ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : สงครามในพระราชวัง
เวลาผ่านไปหลายเดือน    สงครามจิตวิทยาระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์แสนรักก็ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือดพอสมควร    จนกระทั่งปิดเทอมสงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกราสักที 
มิเชลจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความสบายใจ    เพราะว่าจะได้กลับบ้านและที่สำคัญที่สุดคือจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเหม็นๆของอาจารย์คู่อริอีก      จัดไปเกือบจะเสร็จแล้วแต่พออัลเซก้าผ่านมาเห็นเข้าก็เบรกเสียงหลง
“เธอทำอะไรของเธอน่ะ”
“จัดกระเป๋าไง    หรือว่าเธอตาบอด”  คำตอบที่จงใจให้กวนเล่นๆกลับทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือด
“เธอจะไปไหนนี่เธอโดนอะโดนิสแกล้งจนทนไม่ไหวเลยจริงๆเหรอ    ทำไมเธอไม่บอกฉันสักคำเผื่อว่าฉันจะช่วยอะไรเธอได้      หรือว่าเธอจะไม่เชื่อใจฉันซะแล้ว    โธ่    มิต  ฉันยังเป็นเพื่อนเธอนะมีอะไรก็บอกกันได้    อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ    แล้วนี่เธอจะไปโดยไม่คิดจะลาเลยหรือไงกัน    ใจร้ายที่สุด”  คำคร่ำครวญของเจ้าเพื่อนฟังแล้วน่าปวดหูพอควร    จนเริ่มน่ารำคาญ 
\"ถ้าเธอจะหุบปากสักพักแล้วฟังฉันพูดเธอจะตายไหม\" เธอพูดเรียบๆปนตะคอกทำให้เสียงที่น่ารำคาญนั้นหยุดไป  แล้วตาสีเขียวสดใสคู่นั้นก็เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง  แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม
“เอาล่ะฟังฉันแล้วเธอจะไม่คิดอย่างนั้นอีก  ฉันแค่จะเก็บของเพราะเห็นว่ามันปิดเทอมแล้วก็เท่านั้นเอง  ฉันจะกลับบ้านมันไม่มีอะไรเลย  เธอคิดมากไปเอง”  มิเชลอธิบาย  แต่นั้นกลับทำให้ดวงตาคู่เดิมเบิกกว้างขึ้น  ก่อนที่เจ้าตัวป่วนจะหัวเราะอย่างร่าเริง
“ปิดเทอมงั้นเหรอ    จะกลับบ้าน  ฉันก็อยากจะกลับบ้านเหมือนกันแต่ว่ากลับไม่ได้    เหตุผลมีหลายอย่างอยู่นะแต่ที่เหมือนเธอแน่ๆคือโรงเรียนไม่ให้กลับ”
“ไม่ให้กลับ!”  คนรู้น้อยอุทาน
พระเจ้า !  ไม่ให้กลับงั้นเหรอ  แล้วจะมีปิดเทอมไว้ทำเตี่ยอะไร
“แต่ข้อดีอย่างนะ  เราไม่ต้องเรียนหรอก    ฉันล่ะแสนมีความสุขที่ไม่ต้องมาโรงเรียนเฮงซวยนี่ 1 เดือนแน่ะ    นี่แหละที่เรียกว่าปิดเทอมที่แท้จริง    ไม่ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ที่แสนจะน่าเบื่อ  โอ๊ย  คิดแล้วไม่อยากให้เปิดเทอมเลยล่ะ”
ไม่ต้องมาโรงเรียนหรือนี่    แล้วยังไม่ให้กลับบ้านอีก    ท่าจะให้ไปนอนข้างถนน
โรงเรียนพิลึกที่ทำให้เธอหมดพิษสงไปมาก    เกิดมายังไม่เคยหมดท่าขนาดนี้มาก่อน    เธอถอนหายใจ    คงต้องถามเจ้าคนที่ไม่ยอมอธิบายซะทีอีกรอบ    และยอมรับกับตัวเองว่าคงต้องลดตัวลงเป็นคนรู้น้อยเมื่ออยู่ที่นี่
“เธอจะอธิบายได้หรือยังว่าถ้าไอ้โรงเรียนโหลยโท่ยนี่ไม่อนุญาตให้นักเรียนกลับบ้าน    และก็ห้ามนักเรียนมาโรงเรียน    แล้วจะให้นักเรียนไปกางเต้นท์นอนในป่าหรือไง”  พูดประชดไป  แต่ในใจยังหวั่นๆว่าจะตอบว่าใช่หรือใกล้เคียงก็ยังไม่แปลกนัก
ผู้อมภูมิหันมามองอย่างฉงนเป็นรอบที่ 2 ของวัน  “นี่ฉันยังไม่ได้บอกเธออีกเหรอว่าพอปิดเทอมแล้ว  พระราชวังจะเรียกตัวพวกเราไปเฝ้าพระราชวัง    เรียกง่ายๆก็คือไปเป็นทหารชั่วคราวนั่นแหละ  ให้ทหารประจำได้มีวันหยุดบ้าง    อีกอย่างนะ  เขาไว้ใจพวกเรามากกว่าทหารอีก”
“เดี๋ยวนะเมื่อกี้เธอไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมเนี่ย    ฉันรู้นะว่าที่นี่มันเน้นการป้องกันตัว    แต่ฉันว่ามันก็คงไม่เก่งเท่าทหารตัวจริงได้หรอก    เอานักเรียนอายุยังไม่ถึง  20  แบบนี้ไปปกป้องพระราชวัง    ฆ่าตัวตายชัดๆ”
ดวงตาของอัลเซก้าเริ่มฉายแววแปลกๆ  “ไม่เก่งเท่าเหรอ  เธออย่าดูถูกไปนะ  เราเก่งกว่าพวกนั้นหลายเท่า    พวกนั้นมันเป็นพวกขี้แพ้  มีรึจะไปสู้พวกกบฏได้    เธอไม่รู้หรอกพวกนั้นก็แค่ทาสในเรือนเบี้ย  ใครสั่งอะไรก็ต้องทำ  ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด”  แล้วเธอก็ก้มหน้าถอนหายใจ  “แต่ความจริงแล้ว  จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้หรอก  ถ้าเขาไม่ทำ  เขาก็จะโดนลงโทษ    ใครจะรักพี่ชายคนอื่นมากกว่าหัวตัวเอง”  เธอหยุดพูดแล้วนึกขึ้นได้  “ขอโทษทีนะ    อย่าใส่ใจฉันเลย  เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่เชื่อฉันก็ลองดู  ดอริกเป็นตัวอย่างสิ    เขาเก่งที่สุดในชั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเก่งที่สุดในโรงเรียนหรอกนะ”
“ดอริก”  มิเชลทวนคำตาม  นึกถึงการต่อสู้ที่มันส์หยดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์คนเก่งเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน  ที่อาจารย์แพ้ลูกศิษย์อย่างหมดสภาพ    สร้างความสะใจให้แก่ลูกศิษย์แสนประเสริฐนามมิเชลเป็นอันมาก
“แต่ดอริกก็อาจเก่งอยู่แค่คนเดียวก็ได้    คนอื่นก็ไม่ได้ดีเลยนี่  ดูอย่างฉันสิไม่เห็นจะได้เรื่องเลย”
นัยน์ตาคมกริบมองมาที่เธออย่างไม่ค่อยจะพอใจ  “เธอคิดว่าฉันไม่ได้เรื่องเลยล่ะสิ”
“คือ...”  ใช่เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ    ก็เธอไม่เคยเห็นอัลเซก้าสู้เลยสักครั้ง    และเธอไม่คิดว่ารูปร่างผอมบางอย่างคนๆนั้นจะฟันดาบหนักๆได้เก่งกาจอะไร
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว    ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไร    ใครๆก็คิดอย่างเธอทั้งนั้น    ฉันจะไปข้างนอกเดี๋ยวมา” เธอพูดห้วนๆเคล้าน้ำตา    ประตูเหวี่ยงเปิดออกโดยอัตโนมัติ    เพื่อเปิดทางให้เธอออกไปและปิดอย่างแรงเมื่อเธอไปแล้ว
“ไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย  มิเชล”  เสียงทุ้มๆดังออกมาจากมุมมืดในห้อง  ทำให้มิเชลสะดุ้งหันไปมองก็พบ  เทเรซา  ดอริก  และโทมัสเดินเข้ามาหาเธอ
“อัลเขาเป็นคนที่คิดมาก  ไปสะกิดต่อมน้อยใจเขา  เดี๋ยวได้เกิดเรื่องแน่ๆ” ดอริกพูด “คนทั่วๆไปคิดว่าเธออ่อนที่สุดในพวกเราเพราะตัดสินจากรูปร่าง    แต่ไม่จริงหรอก    เธอเก่งที่สุดต่างหาก    แต่ท่าทางฟันดาบตลกๆก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่เราขอให้เธอแสดง    เพื่อความปลอดภัย”  เขามองไปนอกหน้าต่าง  “ดูสิ มิเชล”
มิเชลมองออกไปนอกหน้าต่าง    แต่เหมือนกับว่ามองเข้าไปในความโศกเสร้าหลุมมหึมา    เธอชะงักแต่ก็ยังจ้องต่อไป    ในที่สุดในความมืดมิดเธอก็เห็นอัลเซก้านั่งกอดเข่าอยู่ในสนามหญ้า    ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างเหี่ยวเฉา ไม่ใช่เพราะกาลเวลาแต่เป็นเพราะความโศกเศร้าอันแรงกล้าจนพวกมันพลอยเสียใจไปด้วย
“อัลเป็นคนพิเศษ  มิต  ถ้าเธอปล่อยหลังที่แท้จริงออกมาเราทั้งหมดจะเดือดร้อน    เธอโดนคนดูถูกต่างๆนานามา 6 ปีแล้ว    คนส่วนใหญ่มักมองเธอจากเปลือกนอก    จึงไม่มีทางรู้เลยว่าเธอต้องทนกับความเจ็บปวดมานานแล้ว  แต่เธอก็อดทนเสมอ    โดนเพื่อนพูดเข้าไปอย่างนี้เธออาจจะละทิ้งความปลอดภัยแล้วอาละวาดก็เป็นได้    ฉันอยากจะเล่าให้เธอฟังเหมือนกันแต่คงจะไม่ใช่เวลานี้” ดอริกยิ้มเศร้าๆ  สายตาจับจ้องเพื่อนผู้น่าสงสารข้างนอกหน้าต่าง
เพื่อนตัวทำอารมณ์เสียถอนหายใจยาวเหยียด  “ไม่ว่าอัลเซก้าจะเป็นใครฉันไม่สนหรอก    แค่เธอเป็นคนดีก็พอแล้ว    จะว่าไปนะพวกนายท่าจะมีประวัติยาวๆกันทุกคนเลย”
เทเรซาหัวเราะน้อยๆ  “ที่นี่ฟิลคอร์นะ    ไม่มีใครในฟิลคอร์ประวัติสั้นกันนักหรอก    แค่ตัวโรงเรียนเอง  ถ้าให้เขียนประวัติ  คงต้องใช้กระดาษยาวเป็นกิโลๆเลยล่ะ    เอาไว้เธออยู่นานไปแล้วเธอจะรู้เอง    เธอนอนก่อนเถอะพรุ่งนี้ต้องไปพระราชวังแต่เช้า” พูดจบทั้งคณะก็เปิดประตูเดินออกไป
“แล้วพวกนายจะไปไหนกัน    ไม่นอนเหรอ”
โทมัสขยิบตา  “ไปตามที่หัวใจเรียกร้อง    เดี๋ยวมา”
เห็นไหม    บอกแล้วว่าโรงเรียนนี้มันประหลาดทั้งโรงเรียน
บุรุษ 2 และสตรี 1 เดินเข้าไปในสวนเหี่ยวๆที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่
“ใจเย็นๆอัลเซก้า    มิเชลไม่ได้ตั้งใจเขาก็คิดแบบคนอื่นๆนั้นแหละ”
เธอเงยหน้าขึ้นมา  “แต่เขาไม่ใช่คนอื่น    เขาเป็นเพื่อนเรา  เขาควรจะได้รู้”
เพื่อนๆมองหน้ากันอย่างลำบากใจ  “แต่เธอก็รู้นี่ว่าถ้าเขาเอาเรื่องไปบอกคนอื่น....”
“ฉันไว้ใจมิเชล”  เธอพูดสั้นๆ
“แต่ถ้าเธอเที่ยวไปไว้ใจคนซี้ซั้วแบบนี้    สักวันหนึ่งเรื่องก็จะแดงขึ้นมา    ไม่เอาน่าอัลเซก้า    เราอยู่กันมาได้ 6  ปี  ยังไม่มีใครรู้ความลับของเราสักคน    ถ้าอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยมันคงไม่ตายหรอกน่า    มิเชลไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้    ใช่  เขาเป็นเพื่อนเรา    แต่เราก็มีเพื่อนตั้งหลายคน    มันก็ไม่ต่างกันหรอก”  โทมัสพูดอย่างระอาใจ
แต่อีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง    ไม่พูดจา    ทำให้ดอริกสงสัย
“พวกนั้นบอกอะไรเธออีกใช่ไหม”  เขากระซิบ    อัลเซก้าพยักหน้า
“อนาคต    ถ้าไม่มีมิเชลฝันของเราจะไม่เป็นจริง”
*****************************************************************************************
วันรุ่งขึ้นอัลเซก้ากลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมพร้อมทั้งขอโทษขอโพยเรื่องเมื่อคืน    ทำให้มิเชลงงเป็นไก่ตาแตก    เพราะความจริงแล้วเธอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษแต่อัลเซก้าบอกปัด    แล้วพูดว่าเธอเองก็ไม่ควรพาลใส่เพื่อนเหมือนกัน
ขบวนรถบัสที่โรงเรียนจ้างมาทั้งหมด  6  คันมุ่งหน้าสู่พระราชวังที่มิเชลได้เห็นเป็นครั้งแรก    พระราชวังมีส่วนในกับส่วนนอก    ส่วนนอกก็มีแต่สวนดอกไม้    ไม้ผลนานาชนิด    สระน้ำ    บึงบัว    ศาลาพักผ่อน  และอาคารที่พักของพระราชอาคันตุกะ    ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะมีคนมาขโมยผลไม้กิน    ส่วนในก็มีสถานที่ที่สำคัญๆเยอะแยะไปหมด คือ  ที่สำคัญที่สุดคือพระราชวังใหญ่เป็นทั้งห้องบรรทม    ห้องพระสำอาง(ก็ห้องน้ำนั่นแหละ)  ห้องรับรองแขก  และห้องอีกนับไม่ถ้วน    ถัดมาก็คือพระตำหนักของพระชายา    ซึ่งเป็นส่วนที่ปี 3 ต้องดูแล
พวกเธอได้พบกับพระชายาเกือบจะทันทีที่มาถึง    พระองค์เป็นผู้ที่จัดว่างามมากๆคนหนึ่ง    เนตรสีเขียวจางๆ    พักตร์ได้รูป      นาสิกโด่งพองาม    แม้ว่าพระองค์จะมีอายุถึง 46 แล้วแต่ว่ายังดูเหมือน 30 ต้นๆเท่านั้น    เสียแต่อารมณ์ที่หมองเศร้าอยู่ตลอดเวลา    ยิ่งเห็นพวกเธอเดินมาหาแล้วเหมือนกับว่าน้ำตาจะไหล
“เขาเล่ากันว่าพระโอรสของพระชายาถูกข้อหากบฏต่อราชบัลลังก์    พระโอรสจึงหลบหนีจนกระทั่งตอนนี้    ส่วนพระธิดาองค์กลางขัดขืนไม่ให้ทหารจับกุมพี่ชายเลยถูกเนรเทศออกจากวัง    แต่พระธิดาองค์สุดท้องใช้การประจบสอพลอจนกษัตริย์ไม่เอาผิด    และพระชายาก็ถูกลดตำแหน่งจากมเหสีเอกเหลือแค่พระชายา    ต้องมาอาศัยอยู่ในตำหนักเล็ก”  ดอริกอธิบายเมื่อเธอถามหลังจากนั้น
“น่าสงสารจังนะ    แค่พระโอรสผิดองค์เดียวทุกพระองค์ต้องลำบากกันหมด    ไม่ยุติธรรมเลย”
“เปล่าซะหน่อย”  อัลเซก้าที่เงียบมานานโพล่งขึ้นดื้อๆ  “พระโอรสไม่ผิดเลย  เขาถูกใส่ร้ายต่างหาก”
“แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงล่ะ  อัลเซก้า    พูดเหมือนกับว่าเธออยู่ในเหตุการณ์งั้นแหละ”  น้ำเสียงปรามๆของเทเรซาทำให้เธอที่อ้าปากแล้วหุบไป
“ก็เปล่าหรอก    แต่นี่ก็แค่เป็นความเห็นของฉัน    จะจริงหรือเท็จยังไงก็ไม่รู้”  ในที่สุดเธอยักไหล่แล้วพูด
“ในเมื่อเธอไม่รู้จริงก็หุบปากไปเถอะ      เรื่องแบบนี้มาพูดในเขตพระราชวัง    เดี๋ยวก็โดนตัดหัวไม่รู้ตัวหรอก    รู้อะไรไม่จริงก็อย่าเที่ยวพูดไป      ความจริงเป็นยังไง  ก็มีแต่คนในวังเท่านั้นแหละที่รู้อยู่แก่ใจ”  พูดจบดอริกก็ถอนหายใจก่อนจะต่อ  “อย่าคุยเลยเรื่องเครียดๆ    อีกอย่างนะมันก็ไม่เกี่ยวกับเราด้วย”
แล้ววงสนทนาก็เปลี่ยนเรื่องและไม่วกกลับมาเรื่องนี้อีกเลย    ก็อย่างที่ดอริกพูดล่ะนะ      มันไม่เกี่ยวกับเราจะมาคิดให้หนักหัวทำไมกัน    จริงไหม
*****************************************************************************************
เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ      ทุกสิ่งดูสลัวๆด้วยแสงจากคบไฟและพระจันทร์ที่มีอยู่เกือบเต็มดวง    เสียงคุยเริ่มเงียบลงๆทุกทีๆ    เหลือแต่เสียงกระซิบเบาๆ    ไม่รู้ว่าเพราะอะไร    แต่ดูเหมือนว่าพอความมืดโรยตัวแล้วจะไม่มีใครทำเสียงดังเลย    เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีกำลังตื่นขึ้นมาจากหลับไหล    ซึ่งจะจากไปเมื่อตะวันทอแสงในตอนเช้า    ทุกคนเงียบราวกับกลัวว่าอะไรบางอย่างนั้นจะเห็นตน
ห้อง3/Aมีหน้าที่เฝ้าห้องบรรทมของพระชายา    ตอนแรกตกลงกันว่าจะผลัดกันนอน    แต่ทำไปทำมา  ก็ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าใครจะตื่นก่อน    อัลเซก้าจึงตัดปัญหาด้วยการเฝ้ามันพร้อมๆกันทั้งคืนนั้นแหละ    พอมิเชลกังวลว่าถ้าเป็นอย่างนี้หลายๆวันเข้า    จะทนไหวเหรอ    เธอจึงแอบกระซิบบอกว่า    ความจริงแล้วพรุ่งนี้ก็หมดปัญหา  หายซ่าแน่ๆ    ที่จริงคืนนี้ก็ไม่รอดหรอก    ไม่เชื่อลองดูถ้ามีใครไม่หลับ  เธอให้พันนึง
เอาเป็นว่าพอตีสามอัลเซก้าก็มั่นใจได้ว่าเงินจะไม่บินออกจากกระเป๋าตังค์ชัวร์ๆ      แค่สี่ทุ่ม  เจ้าตัวก็เป็นอันสลบไปเรียบร้อย      พอใกล้ๆจะเที่ยงคืนโทมัสฟุบหนุนท้องอัลเซก้า      เลยตีหนึ่งมานิดหน่อยเทเรซาก็หลับตามไปอีกคน    มิเชลนั่งคุยกับดอริกสักพักก็ทนไม่ไหวขอยอมแพ้ต่อความง่วงอีกราย      ส่วนดอริกที่ตาแข็งหน่อยก็ยกธงขาวแล้วปลุกคนที่หลับคนแรกกับคนที่สองมานั่งเฝ้ายามแทน    ก่อนที่จะเข้าสู่นิทราเป็นคนสุดท้าย
รุ่งเช้า    อัลเซก้าก็หัวเราะร่วนใส่หน้าโทมัส    ดอริก  และเทเรซาที่เกี่ยงกันดีนัก    ทำดอริกเกือบเลือดขึ้นหน้าฆ่าเธอคาวังไป    เมื่อโดนขู่เธอจึงเงียบแต่ก็ยังอมยิ้มอยู่อย่างสะใจลึกๆ
พระชายามักจะเดินไปสูดอากาศตอนเช้าเป็นประจำ    แต่เมื่อเหลือบมาเห็นเด็กๆก็เกิดอาการเศร้าขึ้นมากระทันหัน    พระองค์เป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่      หมอหลวงจะมาตรวจเช็คพระอาการทุกวัน    แต่ทุกครั้งที่ออกมาจากห้องบรรทม    เขาไม่เคยมีสีหน้าที่แตกต่างกัน    นั้นคือหน้านิ่วคิ้วขมวด      เขามากับอำมาตย์เสมอ    ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะจงรักภักดีต่อพระชายามาก      คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยจะสนใจพระชายาสักเท่าไหร่
“พวกมันน่ะ    เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก    ใครมีอำนาจใหญ่กว่าก็เคารพคนนั้น    ทีเมื่อก่อนนะ.....” อัลเซก้ากัดฟันพูดอย่างไม่ชอบใจ
อีกสามคน(ก็ยกเว้นมิเชลไง)ทำตาดุๆใส่คนพูดมาก    ทำเอาเจ้าตัวหน้าง่ำงอไปทันที
จนกระทั่งวันหนึ่งหมอหลวงออกมาจากห้อง    แต่ว่าคราวนี้สีหน้าไม่เหมือนเดิม    เขาคุยกับกับอำมาตย์อย่างร้อนรนด้วยเสียงกระซิบ    แต่ทว่าพวกยามจำเป็นก็ยังได้ยินอยู่ดี
“พระอาการหนักขึ้นมาก      ฉันว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”
อำมาตย์ขมวดคิ้ว  “พระอาการเริ่มขึ้นจากจิตใจที่เศร้าหมองของพระองค์      พระองค์คิดถึงพระโอรสกับพระธิดามากเกินไป”
ประโยคนั้นแล่นเข้าไปถึงหัวใจของอัลเซก้า    เธอรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มไหลออกมา    แต่เธอก็พยายามเก็บมันไว้เงียบๆ
“ยิ่งช่วงนี้พระองค์เห็น  เอ่อ.....  พวกเด็กๆวัยไล่เลี่ยกับพระธิดาด้วย    จึงยิ่งคิดมากพระอาการย่อมหนักขึ้นเป็นธรรมดา”  เขาเหลือบมามองที่พวกที่เขาก็รู้ว่าแอบฟังอยู่แวบหนึ่ง    ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ  “แต่ฉันว่ามีทางรักษาอยู่นะ    แถมเป็นวิธีที่ง่ายเสียด้วย”
หมอหลวงเหลือบมามองบ้าง    แล้วเขาก็เข้าใจ    แต่ว่าเขาส่ายหน้า  “ไม่มีทางหรอก    ถ้ากษัตริย์รู้....”
“แล้วถ้าเขาไม่รู้ล่ะ”  อำมาตย์ขัดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์  “พระองค์รู้ก็เพราะว่ามีคนไปกราบทูล    แต่ถ้าไม่มีคนกราบทูล    พระองค์ก็ไม่ทรงทราบ      แล้วใครมันจะทำอะไรได้”
หมอหลวงเงียบไปพักหนึ่ง      ก่อนจะชวนคุยต่อ  “น่าสงสารพระองค์นะ    ตอนที่เป็นพระมเหสีเอกของกษัตริย์องค์ก่อนน่ะ      พระองค์สุขสบายมากไม่เคยต้องลำบาก      พระองค์เป็นคนดี    ไม่เคยรังเกียจผู้ที่ด้อยกว่าเลย    ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศตลอด    คิดดูสิ    ความจริงพระองค์เป็นแค่ลูกข้าราชการเล็กๆเท่านั้น    คงจะเพราะความดีและวาสนาของพระองค์    ทำให้ได้เป็นถึงพระมเหสีเอก”  เขาถอนหายใจ  แล้วอีกคนก็ช่วยผสมโรง
“ใช่ๆ    ถึงพระองค์จะได้ดิบได้ดีไปแล้วพระองค์ก็ไม่เคยลืมตัวนะ    พระองค์รับบิดามารดามาอยู่ด้วย    โดยที่ไม่อายว่าตัวเองเป็นแค่สามัญชน    ต่างจากบางคนที่ลืมกำพืดตัวเองว่าเป็นใคร      รังเกียจพ่อแม่    ฮึ    ก็เหมือนรังเกียจตังเองนั้นแหละ    ฉันยังจำได้อยู่เลย    ทั้งสองท่านใจดีมาก      แม้แต่เราๆเองที่ตอนนั้นก็เป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อย    พวกท่านก็ไม่ได้มองข้าม    ขนาดลูกตัวเองเป็นถึงพระมเหสีเอกเชียวนะ    ประเสริฐจริงๆ” เขาหยุดไปสักพักแล้วก็พูดต่อ  “ ครอบครัวนั้นน่ะเป็นคนที่ดีมาก    อบรมสั่งสอนลูกหลานก็ดี      ลูกๆของพระชายาก็เป็นคนดี    อาจจะยกเว้นองค์เล็ก”  เขาลดเสียงลงอีก
พวกแอบฟังหูผึ่งขึ้นทันทีเมื่อประเด็นของรายการนินทาเข้าสู่เรื่องสำคัญ                   
“ความจริงนะ    ที่องค์เล็กเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า    ไอ้ผ.อ.โรงเรียนฟิลคอร์เอาไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ    ดูสิทำให้เสียนิสัยหมด    กษัตริย์ก็ช่างไว้ใจส่งหลานตัวเองไปให้คนชั่วแบบนั้นน่ะ    เหมือนชี้โพรงให้กระรอกชัดๆ    แถมเจ้าหญิงองค์น้อยของเราก็ยังเหมือนทาสของ ไอ้นั่นเข้าไปทุกวันๆ    บอกให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่าง      ดูสิขนาดแม่ตัวเองตกระกำลำบากขนาดนี้ยังไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเลย      ฉันล่ะสงสารทั้งสี่พระองค์จริงๆ    ทำไมคนดีๆอย่างพระองค์ต้องเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้    เออ  เด็กๆที่แอบฟังอยู่น่ะคงไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันไปฟ้องใครหรอกใช่ไหม”  พูดจบท่านอำมาตย์และหมอหลวงก็หันมามองพวกเขา
ทุกคนสะดุ้งสุดตัวมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก  ในที่สุดอัลเซก้าก็โดนดันออกไปรับหน้าแก้ตัว
เธอเกือบจะหันมาด่าไอ้เวรที่ดันเธอออกไปแล้ว  แต่ว่าเมื่อเห็นสายตาของอำมาตย์ก็กลืนคำด่าลงคอแทบไม่ทัน    ก่อนจะยิ้มแหะๆ    สมองก็คิดหาทางออก   
“ขอโทษด้วยนะคะที่พวกหนูแอบฟังท่านคุยกัน      หนูเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากค่ะ    ไม่ทราบว่าพวกหนูจะพอช่วยพระชายาได้บ้างไหมคะ    พระชายาก็ใจดีกับพวกหนูมาก    หนูอยากจะตอบแทนพระองค์เหมือนกัน”
เพื่อนๆต่างก็อึ้งในสมองอันเฉียบแหลมของเธอ    นอกจากเธอจะไม่ได้แก้ตัวแล้ว  แต่กลับเสนอตัวช่วยอีก
“หนูได้ยินมาว่าพระอาการของพระองค์เกิดจากอาการเศร้าซึม    พวกหนูอาจจะทำให้พระองค์รู้สึกดีขึ้นก็ได้นะคะ    อีกอย่างงานทางนี้เพื่อนๆห้องอื่นก็มีกันเยอะแยะ  คงไม่อันตรายนักหรอกค่ะที่พวกหนูจะเข้าไปคุยกับพระองค์สักชั่วโมง”
ทั้งสองท่านมีท่าทีลังเล  “ตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอก  แต่.....”
“ถ้าท่านกลัวกษัตริย์รู้    ก็อย่างที่ท่านบอกนั้นแหละถ้าไม่มีใครไม่กราบทูล    ก็ไม่ทรงทราบ    กษัตริย์ไม่ได้มีหูตาเป็นสับปะรดสักหน่อย    จริงไหมคะ”
\"มันก็จริงนะ    แต่จะดีเหรอ    พวกเธอเต็มใจไหมล่ะ\"
\"เต็มใจอย่างที่สุดเลยครับ\"  โทมัสเข้ามาแทรก    ก่อนที่อัลเซก้าจะทันอ้าปากตอบ  \"จริงไหมเพื่อนๆ\"  เขาหันกลับมาถาม    เพื่อนๆที่ยังรับมุขไม่ค่อยทันก็พยักหน้าเออออห่อหมกไปด้วย
ทั้งสองท่านยิ้ม  \"ดีล่ะฉันหวังว่าพวกเธอจะช่วยคลายเหงาพระชายาได้นะ\"  และก็เดินจากไป
อัลเซก้าหันมาประจันหน้ากับเพื่อนๆที่มองตาเขียวปั๊ด
\"เธอไปอาสาช่วยเขา    แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดี  พูดอะไรไม่คิด\"  ดอริกติทำให้เจ้าตัวดียิ้มจํอยๆ
\"เอาน่า    ยังไงซะฉันก็รับปากไปแล้ว    แค่คุยกับพระชายาเอง  ไม่เป็นไรหรอก\"
\"แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น\"  เขาพูดอย่างรำคาญ  \"ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขซะเหลือเกินนะ\"
\"มีความสุขเหรอ  เปล่านี่  จะมีความสุขเรื่องอะไร    นายดูผิดมากกว่า\"  เธอตอบแทบจะร้องออกมาเป็นเพลง
ดอริกถอนหายใจอย่างปลงตก
*****************************************************************************************
ในที่สุดทุกคนยกเว้นอัลเซก้าก็เข้าไปนั่งตัวลีบหน้าเหลือสองนิ้วในห้องส่วนพระองค์    ผิดกับอัลเซก้าที่นั่งคุยกับพระชายาหัวเราะกันคิกคักหน้าตาเฉย    เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าเชื้อพระวงค์   
ทำได้ยังไงกันนะ  มิเชลคิด  แล้วยกย่องอัธยาศัยเพื่อนคนนี้ในใจ
เข้ามากันห้าคนก็เหมือนเข้ามาคนเดียว    ก็อัลเซก้าจ้ออยู่คนเดียวส่วนที่เหลือเอาแต่นั่งตัวแข็งพูดไม่ออก    เทเรซาซึ่งเงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีก    ดอริกนั่งไปก็ถอนหายใจไป    โทมัสที่ปกติจ้อไม่น้อยกว่าอัลเซก้าก็นิ่งไม่มีปฏิกริยาใดๆ 
พระชายาเป็นคนที่อารมณ์ดีพอสมควร    แม้ว่าจะดูออกว่ายังคิดถึงลูกๆอยู่ก็ตาม  แต่อัลเซก้าก็ดูเหมือนว่าจะช่วยให้สดใสขึ้นเยอะ    ทรงเอ็นดูเหมือนลูกหลานแท้ๆเลยทีเดียว 
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกว่าจะรู้ตัวก็ใกล้จะเปิดเทอมในสัปดาห์หน้าแล้ว    ขณะที่อัลเซก้าก็นั่งคุยกับพระชายาตามปกติ    ดอริกก็เปิดประตูพรวดเข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก
\"อัลเซก้า!มีผู้บุกรุกเข้ามา    เป้าหมายคาดว่าน่าจะมาลักพาตัวพระชายา!\"
เธอลุกพรวดขึ้น \"ดอริก  เพื่อนๆที่เหลืออยู่ที่ไหน\"
\"เทเรซา  มิเชลและโทมัสดักรออยู่หน้าประตูพระตำหนักกับเพื่อนๆปี3    ตอนนี้พวกนั้นกำลังสู้กับปี1อยู่  แต่มีทีท่าว่าพวกปี1จะแพ้\"
\"ดี  ดอริกพาพระชายาหนีไปหลังครบ1ชั่วโมงแล้ว    ใช้อุโมงค์ไปที่สวนโรงเรียนเลย    แล้วแอบอย่าให้ใครรู้  จำเอาไว้ว่าถ้าครบ1ชั่วโมงแล้วยังไม่มีใครส่งข่าวมาให้หนีทันทีเพื่อความปลอดภัย\"
\"แต่...\"
\"อย่าแต่จะได้ไหม    นายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร    วิธีนี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้พระชายาปลอดภัยมากที่สุด    อีกอย่างนะนายเก่งที่สุดในพวกเราถ้าฉันจะไว้ใจใครก็คงจะเป็นนายคนแรก\"  เธอพูดด้วยความรวดเร็วราวกับมีแผนการอยู่ในสมองอยู่แล้ว
ดอริกยอมจำนนต่อเหตุผล    แม้ว่าเขาอยากจะค้านเหลือเกิน    แต่เขาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ย  \"ขอให้โชคดีนะ\"
อัลเซก้ายิ้ม  มองพระชายาแวบหนึ่งแล้ววิ่งออกไป
*****************************************************************************************
สงครามกำลังดุเดือดตอนที่อัลเซก้าวิ่งไปถึง    เพื่อนๆกำลังตั้งรับผู้บุกรุกที่กำลังสู้กับน้องๆอยู่(ที่จวนเจียนจะแพ้เต็มที่
\"มีอะไรคืบหน้าบ้าง\"เธอถามเทเรซาที่ขมวดคิ้วมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กระพริบ
\"บอกได้คำเดียวว่า  เราต้องสู้แน่ๆ  ฝีมือมันไม่ธรรมดา    แม้ว่าจะห่างไกลกับพวกเราก็เถอะ    แต่พวกมันมีเป็นพันคน    เรามีอยู่แค่ไม่กี่ร้อย    พวกปีหกกำลังส่งคนมาช่วยอยู่แต่ยังเดินทางไม่ถึง    แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้    ก็ส่วนที่พี่เขาดูแลอยู่มันห่างไปเป็นโลๆ  จะให้วิ่งมาถึงภายใน5นาทีมันเป็นไปไม่ได้\"
\"ฉันเคยบอกแล้วว่าการที่พระราชวังใหญ่มันไม่ดี\"  อัลเซก้าพึมพำเบาๆ
พวกเธอเฝ้ารอดูผลการต่อสู้แม้ว่าจะรู้ผลอยู่แล้ว    ในที่สุดพวกปีหนึ่งก็ต้านไม่ไหวผู้บุกรุกก็วิ่งตรงเข้ามาที่พระตำหนักและปะทะกับปีสาม
       
         
มิเชลจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความสบายใจ    เพราะว่าจะได้กลับบ้านและที่สำคัญที่สุดคือจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเหม็นๆของอาจารย์คู่อริอีก      จัดไปเกือบจะเสร็จแล้วแต่พออัลเซก้าผ่านมาเห็นเข้าก็เบรกเสียงหลง
“เธอทำอะไรของเธอน่ะ”
“จัดกระเป๋าไง    หรือว่าเธอตาบอด”  คำตอบที่จงใจให้กวนเล่นๆกลับทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือด
“เธอจะไปไหนนี่เธอโดนอะโดนิสแกล้งจนทนไม่ไหวเลยจริงๆเหรอ    ทำไมเธอไม่บอกฉันสักคำเผื่อว่าฉันจะช่วยอะไรเธอได้      หรือว่าเธอจะไม่เชื่อใจฉันซะแล้ว    โธ่    มิต  ฉันยังเป็นเพื่อนเธอนะมีอะไรก็บอกกันได้    อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ    แล้วนี่เธอจะไปโดยไม่คิดจะลาเลยหรือไงกัน    ใจร้ายที่สุด”  คำคร่ำครวญของเจ้าเพื่อนฟังแล้วน่าปวดหูพอควร    จนเริ่มน่ารำคาญ 
\"ถ้าเธอจะหุบปากสักพักแล้วฟังฉันพูดเธอจะตายไหม\" เธอพูดเรียบๆปนตะคอกทำให้เสียงที่น่ารำคาญนั้นหยุดไป  แล้วตาสีเขียวสดใสคู่นั้นก็เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง  แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม
“เอาล่ะฟังฉันแล้วเธอจะไม่คิดอย่างนั้นอีก  ฉันแค่จะเก็บของเพราะเห็นว่ามันปิดเทอมแล้วก็เท่านั้นเอง  ฉันจะกลับบ้านมันไม่มีอะไรเลย  เธอคิดมากไปเอง”  มิเชลอธิบาย  แต่นั้นกลับทำให้ดวงตาคู่เดิมเบิกกว้างขึ้น  ก่อนที่เจ้าตัวป่วนจะหัวเราะอย่างร่าเริง
“ปิดเทอมงั้นเหรอ    จะกลับบ้าน  ฉันก็อยากจะกลับบ้านเหมือนกันแต่ว่ากลับไม่ได้    เหตุผลมีหลายอย่างอยู่นะแต่ที่เหมือนเธอแน่ๆคือโรงเรียนไม่ให้กลับ”
“ไม่ให้กลับ!”  คนรู้น้อยอุทาน
พระเจ้า !  ไม่ให้กลับงั้นเหรอ  แล้วจะมีปิดเทอมไว้ทำเตี่ยอะไร
“แต่ข้อดีอย่างนะ  เราไม่ต้องเรียนหรอก    ฉันล่ะแสนมีความสุขที่ไม่ต้องมาโรงเรียนเฮงซวยนี่ 1 เดือนแน่ะ    นี่แหละที่เรียกว่าปิดเทอมที่แท้จริง    ไม่ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ที่แสนจะน่าเบื่อ  โอ๊ย  คิดแล้วไม่อยากให้เปิดเทอมเลยล่ะ”
ไม่ต้องมาโรงเรียนหรือนี่    แล้วยังไม่ให้กลับบ้านอีก    ท่าจะให้ไปนอนข้างถนน
โรงเรียนพิลึกที่ทำให้เธอหมดพิษสงไปมาก    เกิดมายังไม่เคยหมดท่าขนาดนี้มาก่อน    เธอถอนหายใจ    คงต้องถามเจ้าคนที่ไม่ยอมอธิบายซะทีอีกรอบ    และยอมรับกับตัวเองว่าคงต้องลดตัวลงเป็นคนรู้น้อยเมื่ออยู่ที่นี่
“เธอจะอธิบายได้หรือยังว่าถ้าไอ้โรงเรียนโหลยโท่ยนี่ไม่อนุญาตให้นักเรียนกลับบ้าน    และก็ห้ามนักเรียนมาโรงเรียน    แล้วจะให้นักเรียนไปกางเต้นท์นอนในป่าหรือไง”  พูดประชดไป  แต่ในใจยังหวั่นๆว่าจะตอบว่าใช่หรือใกล้เคียงก็ยังไม่แปลกนัก
ผู้อมภูมิหันมามองอย่างฉงนเป็นรอบที่ 2 ของวัน  “นี่ฉันยังไม่ได้บอกเธออีกเหรอว่าพอปิดเทอมแล้ว  พระราชวังจะเรียกตัวพวกเราไปเฝ้าพระราชวัง    เรียกง่ายๆก็คือไปเป็นทหารชั่วคราวนั่นแหละ  ให้ทหารประจำได้มีวันหยุดบ้าง    อีกอย่างนะ  เขาไว้ใจพวกเรามากกว่าทหารอีก”
“เดี๋ยวนะเมื่อกี้เธอไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมเนี่ย    ฉันรู้นะว่าที่นี่มันเน้นการป้องกันตัว    แต่ฉันว่ามันก็คงไม่เก่งเท่าทหารตัวจริงได้หรอก    เอานักเรียนอายุยังไม่ถึง  20  แบบนี้ไปปกป้องพระราชวัง    ฆ่าตัวตายชัดๆ”
ดวงตาของอัลเซก้าเริ่มฉายแววแปลกๆ  “ไม่เก่งเท่าเหรอ  เธออย่าดูถูกไปนะ  เราเก่งกว่าพวกนั้นหลายเท่า    พวกนั้นมันเป็นพวกขี้แพ้  มีรึจะไปสู้พวกกบฏได้    เธอไม่รู้หรอกพวกนั้นก็แค่ทาสในเรือนเบี้ย  ใครสั่งอะไรก็ต้องทำ  ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด”  แล้วเธอก็ก้มหน้าถอนหายใจ  “แต่ความจริงแล้ว  จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้หรอก  ถ้าเขาไม่ทำ  เขาก็จะโดนลงโทษ    ใครจะรักพี่ชายคนอื่นมากกว่าหัวตัวเอง”  เธอหยุดพูดแล้วนึกขึ้นได้  “ขอโทษทีนะ    อย่าใส่ใจฉันเลย  เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่เชื่อฉันก็ลองดู  ดอริกเป็นตัวอย่างสิ    เขาเก่งที่สุดในชั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเก่งที่สุดในโรงเรียนหรอกนะ”
“ดอริก”  มิเชลทวนคำตาม  นึกถึงการต่อสู้ที่มันส์หยดระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์คนเก่งเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน  ที่อาจารย์แพ้ลูกศิษย์อย่างหมดสภาพ    สร้างความสะใจให้แก่ลูกศิษย์แสนประเสริฐนามมิเชลเป็นอันมาก
“แต่ดอริกก็อาจเก่งอยู่แค่คนเดียวก็ได้    คนอื่นก็ไม่ได้ดีเลยนี่  ดูอย่างฉันสิไม่เห็นจะได้เรื่องเลย”
นัยน์ตาคมกริบมองมาที่เธออย่างไม่ค่อยจะพอใจ  “เธอคิดว่าฉันไม่ได้เรื่องเลยล่ะสิ”
“คือ...”  ใช่เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ    ก็เธอไม่เคยเห็นอัลเซก้าสู้เลยสักครั้ง    และเธอไม่คิดว่ารูปร่างผอมบางอย่างคนๆนั้นจะฟันดาบหนักๆได้เก่งกาจอะไร
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว    ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไร    ใครๆก็คิดอย่างเธอทั้งนั้น    ฉันจะไปข้างนอกเดี๋ยวมา” เธอพูดห้วนๆเคล้าน้ำตา    ประตูเหวี่ยงเปิดออกโดยอัตโนมัติ    เพื่อเปิดทางให้เธอออกไปและปิดอย่างแรงเมื่อเธอไปแล้ว
“ไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย  มิเชล”  เสียงทุ้มๆดังออกมาจากมุมมืดในห้อง  ทำให้มิเชลสะดุ้งหันไปมองก็พบ  เทเรซา  ดอริก  และโทมัสเดินเข้ามาหาเธอ
“อัลเขาเป็นคนที่คิดมาก  ไปสะกิดต่อมน้อยใจเขา  เดี๋ยวได้เกิดเรื่องแน่ๆ” ดอริกพูด “คนทั่วๆไปคิดว่าเธออ่อนที่สุดในพวกเราเพราะตัดสินจากรูปร่าง    แต่ไม่จริงหรอก    เธอเก่งที่สุดต่างหาก    แต่ท่าทางฟันดาบตลกๆก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่เราขอให้เธอแสดง    เพื่อความปลอดภัย”  เขามองไปนอกหน้าต่าง  “ดูสิ มิเชล”
มิเชลมองออกไปนอกหน้าต่าง    แต่เหมือนกับว่ามองเข้าไปในความโศกเสร้าหลุมมหึมา    เธอชะงักแต่ก็ยังจ้องต่อไป    ในที่สุดในความมืดมิดเธอก็เห็นอัลเซก้านั่งกอดเข่าอยู่ในสนามหญ้า    ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างเหี่ยวเฉา ไม่ใช่เพราะกาลเวลาแต่เป็นเพราะความโศกเศร้าอันแรงกล้าจนพวกมันพลอยเสียใจไปด้วย
“อัลเป็นคนพิเศษ  มิต  ถ้าเธอปล่อยหลังที่แท้จริงออกมาเราทั้งหมดจะเดือดร้อน    เธอโดนคนดูถูกต่างๆนานามา 6 ปีแล้ว    คนส่วนใหญ่มักมองเธอจากเปลือกนอก    จึงไม่มีทางรู้เลยว่าเธอต้องทนกับความเจ็บปวดมานานแล้ว  แต่เธอก็อดทนเสมอ    โดนเพื่อนพูดเข้าไปอย่างนี้เธออาจจะละทิ้งความปลอดภัยแล้วอาละวาดก็เป็นได้    ฉันอยากจะเล่าให้เธอฟังเหมือนกันแต่คงจะไม่ใช่เวลานี้” ดอริกยิ้มเศร้าๆ  สายตาจับจ้องเพื่อนผู้น่าสงสารข้างนอกหน้าต่าง
เพื่อนตัวทำอารมณ์เสียถอนหายใจยาวเหยียด  “ไม่ว่าอัลเซก้าจะเป็นใครฉันไม่สนหรอก    แค่เธอเป็นคนดีก็พอแล้ว    จะว่าไปนะพวกนายท่าจะมีประวัติยาวๆกันทุกคนเลย”
เทเรซาหัวเราะน้อยๆ  “ที่นี่ฟิลคอร์นะ    ไม่มีใครในฟิลคอร์ประวัติสั้นกันนักหรอก    แค่ตัวโรงเรียนเอง  ถ้าให้เขียนประวัติ  คงต้องใช้กระดาษยาวเป็นกิโลๆเลยล่ะ    เอาไว้เธออยู่นานไปแล้วเธอจะรู้เอง    เธอนอนก่อนเถอะพรุ่งนี้ต้องไปพระราชวังแต่เช้า” พูดจบทั้งคณะก็เปิดประตูเดินออกไป
“แล้วพวกนายจะไปไหนกัน    ไม่นอนเหรอ”
โทมัสขยิบตา  “ไปตามที่หัวใจเรียกร้อง    เดี๋ยวมา”
เห็นไหม    บอกแล้วว่าโรงเรียนนี้มันประหลาดทั้งโรงเรียน
บุรุษ 2 และสตรี 1 เดินเข้าไปในสวนเหี่ยวๆที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่
“ใจเย็นๆอัลเซก้า    มิเชลไม่ได้ตั้งใจเขาก็คิดแบบคนอื่นๆนั้นแหละ”
เธอเงยหน้าขึ้นมา  “แต่เขาไม่ใช่คนอื่น    เขาเป็นเพื่อนเรา  เขาควรจะได้รู้”
เพื่อนๆมองหน้ากันอย่างลำบากใจ  “แต่เธอก็รู้นี่ว่าถ้าเขาเอาเรื่องไปบอกคนอื่น....”
“ฉันไว้ใจมิเชล”  เธอพูดสั้นๆ
“แต่ถ้าเธอเที่ยวไปไว้ใจคนซี้ซั้วแบบนี้    สักวันหนึ่งเรื่องก็จะแดงขึ้นมา    ไม่เอาน่าอัลเซก้า    เราอยู่กันมาได้ 6  ปี  ยังไม่มีใครรู้ความลับของเราสักคน    ถ้าอยู่ต่อไปอีกสักหน่อยมันคงไม่ตายหรอกน่า    มิเชลไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้    ใช่  เขาเป็นเพื่อนเรา    แต่เราก็มีเพื่อนตั้งหลายคน    มันก็ไม่ต่างกันหรอก”  โทมัสพูดอย่างระอาใจ
แต่อีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง    ไม่พูดจา    ทำให้ดอริกสงสัย
“พวกนั้นบอกอะไรเธออีกใช่ไหม”  เขากระซิบ    อัลเซก้าพยักหน้า
“อนาคต    ถ้าไม่มีมิเชลฝันของเราจะไม่เป็นจริง”
*****************************************************************************************
วันรุ่งขึ้นอัลเซก้ากลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิมพร้อมทั้งขอโทษขอโพยเรื่องเมื่อคืน    ทำให้มิเชลงงเป็นไก่ตาแตก    เพราะความจริงแล้วเธอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษแต่อัลเซก้าบอกปัด    แล้วพูดว่าเธอเองก็ไม่ควรพาลใส่เพื่อนเหมือนกัน
ขบวนรถบัสที่โรงเรียนจ้างมาทั้งหมด  6  คันมุ่งหน้าสู่พระราชวังที่มิเชลได้เห็นเป็นครั้งแรก    พระราชวังมีส่วนในกับส่วนนอก    ส่วนนอกก็มีแต่สวนดอกไม้    ไม้ผลนานาชนิด    สระน้ำ    บึงบัว    ศาลาพักผ่อน  และอาคารที่พักของพระราชอาคันตุกะ    ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะมีคนมาขโมยผลไม้กิน    ส่วนในก็มีสถานที่ที่สำคัญๆเยอะแยะไปหมด คือ  ที่สำคัญที่สุดคือพระราชวังใหญ่เป็นทั้งห้องบรรทม    ห้องพระสำอาง(ก็ห้องน้ำนั่นแหละ)  ห้องรับรองแขก  และห้องอีกนับไม่ถ้วน    ถัดมาก็คือพระตำหนักของพระชายา    ซึ่งเป็นส่วนที่ปี 3 ต้องดูแล
พวกเธอได้พบกับพระชายาเกือบจะทันทีที่มาถึง    พระองค์เป็นผู้ที่จัดว่างามมากๆคนหนึ่ง    เนตรสีเขียวจางๆ    พักตร์ได้รูป      นาสิกโด่งพองาม    แม้ว่าพระองค์จะมีอายุถึง 46 แล้วแต่ว่ายังดูเหมือน 30 ต้นๆเท่านั้น    เสียแต่อารมณ์ที่หมองเศร้าอยู่ตลอดเวลา    ยิ่งเห็นพวกเธอเดินมาหาแล้วเหมือนกับว่าน้ำตาจะไหล
“เขาเล่ากันว่าพระโอรสของพระชายาถูกข้อหากบฏต่อราชบัลลังก์    พระโอรสจึงหลบหนีจนกระทั่งตอนนี้    ส่วนพระธิดาองค์กลางขัดขืนไม่ให้ทหารจับกุมพี่ชายเลยถูกเนรเทศออกจากวัง    แต่พระธิดาองค์สุดท้องใช้การประจบสอพลอจนกษัตริย์ไม่เอาผิด    และพระชายาก็ถูกลดตำแหน่งจากมเหสีเอกเหลือแค่พระชายา    ต้องมาอาศัยอยู่ในตำหนักเล็ก”  ดอริกอธิบายเมื่อเธอถามหลังจากนั้น
“น่าสงสารจังนะ    แค่พระโอรสผิดองค์เดียวทุกพระองค์ต้องลำบากกันหมด    ไม่ยุติธรรมเลย”
“เปล่าซะหน่อย”  อัลเซก้าที่เงียบมานานโพล่งขึ้นดื้อๆ  “พระโอรสไม่ผิดเลย  เขาถูกใส่ร้ายต่างหาก”
“แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงล่ะ  อัลเซก้า    พูดเหมือนกับว่าเธออยู่ในเหตุการณ์งั้นแหละ”  น้ำเสียงปรามๆของเทเรซาทำให้เธอที่อ้าปากแล้วหุบไป
“ก็เปล่าหรอก    แต่นี่ก็แค่เป็นความเห็นของฉัน    จะจริงหรือเท็จยังไงก็ไม่รู้”  ในที่สุดเธอยักไหล่แล้วพูด
“ในเมื่อเธอไม่รู้จริงก็หุบปากไปเถอะ      เรื่องแบบนี้มาพูดในเขตพระราชวัง    เดี๋ยวก็โดนตัดหัวไม่รู้ตัวหรอก    รู้อะไรไม่จริงก็อย่าเที่ยวพูดไป      ความจริงเป็นยังไง  ก็มีแต่คนในวังเท่านั้นแหละที่รู้อยู่แก่ใจ”  พูดจบดอริกก็ถอนหายใจก่อนจะต่อ  “อย่าคุยเลยเรื่องเครียดๆ    อีกอย่างนะมันก็ไม่เกี่ยวกับเราด้วย”
แล้ววงสนทนาก็เปลี่ยนเรื่องและไม่วกกลับมาเรื่องนี้อีกเลย    ก็อย่างที่ดอริกพูดล่ะนะ      มันไม่เกี่ยวกับเราจะมาคิดให้หนักหัวทำไมกัน    จริงไหม
*****************************************************************************************
เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ      ทุกสิ่งดูสลัวๆด้วยแสงจากคบไฟและพระจันทร์ที่มีอยู่เกือบเต็มดวง    เสียงคุยเริ่มเงียบลงๆทุกทีๆ    เหลือแต่เสียงกระซิบเบาๆ    ไม่รู้ว่าเพราะอะไร    แต่ดูเหมือนว่าพอความมืดโรยตัวแล้วจะไม่มีใครทำเสียงดังเลย    เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีกำลังตื่นขึ้นมาจากหลับไหล    ซึ่งจะจากไปเมื่อตะวันทอแสงในตอนเช้า    ทุกคนเงียบราวกับกลัวว่าอะไรบางอย่างนั้นจะเห็นตน
ห้อง3/Aมีหน้าที่เฝ้าห้องบรรทมของพระชายา    ตอนแรกตกลงกันว่าจะผลัดกันนอน    แต่ทำไปทำมา  ก็ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าใครจะตื่นก่อน    อัลเซก้าจึงตัดปัญหาด้วยการเฝ้ามันพร้อมๆกันทั้งคืนนั้นแหละ    พอมิเชลกังวลว่าถ้าเป็นอย่างนี้หลายๆวันเข้า    จะทนไหวเหรอ    เธอจึงแอบกระซิบบอกว่า    ความจริงแล้วพรุ่งนี้ก็หมดปัญหา  หายซ่าแน่ๆ    ที่จริงคืนนี้ก็ไม่รอดหรอก    ไม่เชื่อลองดูถ้ามีใครไม่หลับ  เธอให้พันนึง
เอาเป็นว่าพอตีสามอัลเซก้าก็มั่นใจได้ว่าเงินจะไม่บินออกจากกระเป๋าตังค์ชัวร์ๆ      แค่สี่ทุ่ม  เจ้าตัวก็เป็นอันสลบไปเรียบร้อย      พอใกล้ๆจะเที่ยงคืนโทมัสฟุบหนุนท้องอัลเซก้า      เลยตีหนึ่งมานิดหน่อยเทเรซาก็หลับตามไปอีกคน    มิเชลนั่งคุยกับดอริกสักพักก็ทนไม่ไหวขอยอมแพ้ต่อความง่วงอีกราย      ส่วนดอริกที่ตาแข็งหน่อยก็ยกธงขาวแล้วปลุกคนที่หลับคนแรกกับคนที่สองมานั่งเฝ้ายามแทน    ก่อนที่จะเข้าสู่นิทราเป็นคนสุดท้าย
รุ่งเช้า    อัลเซก้าก็หัวเราะร่วนใส่หน้าโทมัส    ดอริก  และเทเรซาที่เกี่ยงกันดีนัก    ทำดอริกเกือบเลือดขึ้นหน้าฆ่าเธอคาวังไป    เมื่อโดนขู่เธอจึงเงียบแต่ก็ยังอมยิ้มอยู่อย่างสะใจลึกๆ
พระชายามักจะเดินไปสูดอากาศตอนเช้าเป็นประจำ    แต่เมื่อเหลือบมาเห็นเด็กๆก็เกิดอาการเศร้าขึ้นมากระทันหัน    พระองค์เป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่      หมอหลวงจะมาตรวจเช็คพระอาการทุกวัน    แต่ทุกครั้งที่ออกมาจากห้องบรรทม    เขาไม่เคยมีสีหน้าที่แตกต่างกัน    นั้นคือหน้านิ่วคิ้วขมวด      เขามากับอำมาตย์เสมอ    ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะจงรักภักดีต่อพระชายามาก      คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ค่อยจะสนใจพระชายาสักเท่าไหร่
“พวกมันน่ะ    เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก    ใครมีอำนาจใหญ่กว่าก็เคารพคนนั้น    ทีเมื่อก่อนนะ.....” อัลเซก้ากัดฟันพูดอย่างไม่ชอบใจ
อีกสามคน(ก็ยกเว้นมิเชลไง)ทำตาดุๆใส่คนพูดมาก    ทำเอาเจ้าตัวหน้าง่ำงอไปทันที
จนกระทั่งวันหนึ่งหมอหลวงออกมาจากห้อง    แต่ว่าคราวนี้สีหน้าไม่เหมือนเดิม    เขาคุยกับกับอำมาตย์อย่างร้อนรนด้วยเสียงกระซิบ    แต่ทว่าพวกยามจำเป็นก็ยังได้ยินอยู่ดี
“พระอาการหนักขึ้นมาก      ฉันว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก”
อำมาตย์ขมวดคิ้ว  “พระอาการเริ่มขึ้นจากจิตใจที่เศร้าหมองของพระองค์      พระองค์คิดถึงพระโอรสกับพระธิดามากเกินไป”
ประโยคนั้นแล่นเข้าไปถึงหัวใจของอัลเซก้า    เธอรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มไหลออกมา    แต่เธอก็พยายามเก็บมันไว้เงียบๆ
“ยิ่งช่วงนี้พระองค์เห็น  เอ่อ.....  พวกเด็กๆวัยไล่เลี่ยกับพระธิดาด้วย    จึงยิ่งคิดมากพระอาการย่อมหนักขึ้นเป็นธรรมดา”  เขาเหลือบมามองที่พวกที่เขาก็รู้ว่าแอบฟังอยู่แวบหนึ่ง    ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ  “แต่ฉันว่ามีทางรักษาอยู่นะ    แถมเป็นวิธีที่ง่ายเสียด้วย”
หมอหลวงเหลือบมามองบ้าง    แล้วเขาก็เข้าใจ    แต่ว่าเขาส่ายหน้า  “ไม่มีทางหรอก    ถ้ากษัตริย์รู้....”
“แล้วถ้าเขาไม่รู้ล่ะ”  อำมาตย์ขัดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์  “พระองค์รู้ก็เพราะว่ามีคนไปกราบทูล    แต่ถ้าไม่มีคนกราบทูล    พระองค์ก็ไม่ทรงทราบ      แล้วใครมันจะทำอะไรได้”
หมอหลวงเงียบไปพักหนึ่ง      ก่อนจะชวนคุยต่อ  “น่าสงสารพระองค์นะ    ตอนที่เป็นพระมเหสีเอกของกษัตริย์องค์ก่อนน่ะ      พระองค์สุขสบายมากไม่เคยต้องลำบาก      พระองค์เป็นคนดี    ไม่เคยรังเกียจผู้ที่ด้อยกว่าเลย    ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศตลอด    คิดดูสิ    ความจริงพระองค์เป็นแค่ลูกข้าราชการเล็กๆเท่านั้น    คงจะเพราะความดีและวาสนาของพระองค์    ทำให้ได้เป็นถึงพระมเหสีเอก”  เขาถอนหายใจ  แล้วอีกคนก็ช่วยผสมโรง
“ใช่ๆ    ถึงพระองค์จะได้ดิบได้ดีไปแล้วพระองค์ก็ไม่เคยลืมตัวนะ    พระองค์รับบิดามารดามาอยู่ด้วย    โดยที่ไม่อายว่าตัวเองเป็นแค่สามัญชน    ต่างจากบางคนที่ลืมกำพืดตัวเองว่าเป็นใคร      รังเกียจพ่อแม่    ฮึ    ก็เหมือนรังเกียจตังเองนั้นแหละ    ฉันยังจำได้อยู่เลย    ทั้งสองท่านใจดีมาก      แม้แต่เราๆเองที่ตอนนั้นก็เป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อย    พวกท่านก็ไม่ได้มองข้าม    ขนาดลูกตัวเองเป็นถึงพระมเหสีเอกเชียวนะ    ประเสริฐจริงๆ” เขาหยุดไปสักพักแล้วก็พูดต่อ  “ ครอบครัวนั้นน่ะเป็นคนที่ดีมาก    อบรมสั่งสอนลูกหลานก็ดี      ลูกๆของพระชายาก็เป็นคนดี    อาจจะยกเว้นองค์เล็ก”  เขาลดเสียงลงอีก
พวกแอบฟังหูผึ่งขึ้นทันทีเมื่อประเด็นของรายการนินทาเข้าสู่เรื่องสำคัญ                   
“ความจริงนะ    ที่องค์เล็กเป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า    ไอ้ผ.อ.โรงเรียนฟิลคอร์เอาไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ    ดูสิทำให้เสียนิสัยหมด    กษัตริย์ก็ช่างไว้ใจส่งหลานตัวเองไปให้คนชั่วแบบนั้นน่ะ    เหมือนชี้โพรงให้กระรอกชัดๆ    แถมเจ้าหญิงองค์น้อยของเราก็ยังเหมือนทาสของ ไอ้นั่นเข้าไปทุกวันๆ    บอกให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่าง      ดูสิขนาดแม่ตัวเองตกระกำลำบากขนาดนี้ยังไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเลย      ฉันล่ะสงสารทั้งสี่พระองค์จริงๆ    ทำไมคนดีๆอย่างพระองค์ต้องเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้    เออ  เด็กๆที่แอบฟังอยู่น่ะคงไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันไปฟ้องใครหรอกใช่ไหม”  พูดจบท่านอำมาตย์และหมอหลวงก็หันมามองพวกเขา
ทุกคนสะดุ้งสุดตัวมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก  ในที่สุดอัลเซก้าก็โดนดันออกไปรับหน้าแก้ตัว
เธอเกือบจะหันมาด่าไอ้เวรที่ดันเธอออกไปแล้ว  แต่ว่าเมื่อเห็นสายตาของอำมาตย์ก็กลืนคำด่าลงคอแทบไม่ทัน    ก่อนจะยิ้มแหะๆ    สมองก็คิดหาทางออก   
“ขอโทษด้วยนะคะที่พวกหนูแอบฟังท่านคุยกัน      หนูเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากค่ะ    ไม่ทราบว่าพวกหนูจะพอช่วยพระชายาได้บ้างไหมคะ    พระชายาก็ใจดีกับพวกหนูมาก    หนูอยากจะตอบแทนพระองค์เหมือนกัน”
เพื่อนๆต่างก็อึ้งในสมองอันเฉียบแหลมของเธอ    นอกจากเธอจะไม่ได้แก้ตัวแล้ว  แต่กลับเสนอตัวช่วยอีก
“หนูได้ยินมาว่าพระอาการของพระองค์เกิดจากอาการเศร้าซึม    พวกหนูอาจจะทำให้พระองค์รู้สึกดีขึ้นก็ได้นะคะ    อีกอย่างงานทางนี้เพื่อนๆห้องอื่นก็มีกันเยอะแยะ  คงไม่อันตรายนักหรอกค่ะที่พวกหนูจะเข้าไปคุยกับพระองค์สักชั่วโมง”
ทั้งสองท่านมีท่าทีลังเล  “ตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอก  แต่.....”
“ถ้าท่านกลัวกษัตริย์รู้    ก็อย่างที่ท่านบอกนั้นแหละถ้าไม่มีใครไม่กราบทูล    ก็ไม่ทรงทราบ    กษัตริย์ไม่ได้มีหูตาเป็นสับปะรดสักหน่อย    จริงไหมคะ”
\"มันก็จริงนะ    แต่จะดีเหรอ    พวกเธอเต็มใจไหมล่ะ\"
\"เต็มใจอย่างที่สุดเลยครับ\"  โทมัสเข้ามาแทรก    ก่อนที่อัลเซก้าจะทันอ้าปากตอบ  \"จริงไหมเพื่อนๆ\"  เขาหันกลับมาถาม    เพื่อนๆที่ยังรับมุขไม่ค่อยทันก็พยักหน้าเออออห่อหมกไปด้วย
ทั้งสองท่านยิ้ม  \"ดีล่ะฉันหวังว่าพวกเธอจะช่วยคลายเหงาพระชายาได้นะ\"  และก็เดินจากไป
อัลเซก้าหันมาประจันหน้ากับเพื่อนๆที่มองตาเขียวปั๊ด
\"เธอไปอาสาช่วยเขา    แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดี  พูดอะไรไม่คิด\"  ดอริกติทำให้เจ้าตัวดียิ้มจํอยๆ
\"เอาน่า    ยังไงซะฉันก็รับปากไปแล้ว    แค่คุยกับพระชายาเอง  ไม่เป็นไรหรอก\"
\"แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น\"  เขาพูดอย่างรำคาญ  \"ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขซะเหลือเกินนะ\"
\"มีความสุขเหรอ  เปล่านี่  จะมีความสุขเรื่องอะไร    นายดูผิดมากกว่า\"  เธอตอบแทบจะร้องออกมาเป็นเพลง
ดอริกถอนหายใจอย่างปลงตก
*****************************************************************************************
ในที่สุดทุกคนยกเว้นอัลเซก้าก็เข้าไปนั่งตัวลีบหน้าเหลือสองนิ้วในห้องส่วนพระองค์    ผิดกับอัลเซก้าที่นั่งคุยกับพระชายาหัวเราะกันคิกคักหน้าตาเฉย    เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าเชื้อพระวงค์   
ทำได้ยังไงกันนะ  มิเชลคิด  แล้วยกย่องอัธยาศัยเพื่อนคนนี้ในใจ
เข้ามากันห้าคนก็เหมือนเข้ามาคนเดียว    ก็อัลเซก้าจ้ออยู่คนเดียวส่วนที่เหลือเอาแต่นั่งตัวแข็งพูดไม่ออก    เทเรซาซึ่งเงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีก    ดอริกนั่งไปก็ถอนหายใจไป    โทมัสที่ปกติจ้อไม่น้อยกว่าอัลเซก้าก็นิ่งไม่มีปฏิกริยาใดๆ 
พระชายาเป็นคนที่อารมณ์ดีพอสมควร    แม้ว่าจะดูออกว่ายังคิดถึงลูกๆอยู่ก็ตาม  แต่อัลเซก้าก็ดูเหมือนว่าจะช่วยให้สดใสขึ้นเยอะ    ทรงเอ็นดูเหมือนลูกหลานแท้ๆเลยทีเดียว 
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกว่าจะรู้ตัวก็ใกล้จะเปิดเทอมในสัปดาห์หน้าแล้ว    ขณะที่อัลเซก้าก็นั่งคุยกับพระชายาตามปกติ    ดอริกก็เปิดประตูพรวดเข้ามาหน้าตาตื่นตระหนก
\"อัลเซก้า!มีผู้บุกรุกเข้ามา    เป้าหมายคาดว่าน่าจะมาลักพาตัวพระชายา!\"
เธอลุกพรวดขึ้น \"ดอริก  เพื่อนๆที่เหลืออยู่ที่ไหน\"
\"เทเรซา  มิเชลและโทมัสดักรออยู่หน้าประตูพระตำหนักกับเพื่อนๆปี3    ตอนนี้พวกนั้นกำลังสู้กับปี1อยู่  แต่มีทีท่าว่าพวกปี1จะแพ้\"
\"ดี  ดอริกพาพระชายาหนีไปหลังครบ1ชั่วโมงแล้ว    ใช้อุโมงค์ไปที่สวนโรงเรียนเลย    แล้วแอบอย่าให้ใครรู้  จำเอาไว้ว่าถ้าครบ1ชั่วโมงแล้วยังไม่มีใครส่งข่าวมาให้หนีทันทีเพื่อความปลอดภัย\"
\"แต่...\"
\"อย่าแต่จะได้ไหม    นายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร    วิธีนี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้พระชายาปลอดภัยมากที่สุด    อีกอย่างนะนายเก่งที่สุดในพวกเราถ้าฉันจะไว้ใจใครก็คงจะเป็นนายคนแรก\"  เธอพูดด้วยความรวดเร็วราวกับมีแผนการอยู่ในสมองอยู่แล้ว
ดอริกยอมจำนนต่อเหตุผล    แม้ว่าเขาอยากจะค้านเหลือเกิน    แต่เขาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ย  \"ขอให้โชคดีนะ\"
อัลเซก้ายิ้ม  มองพระชายาแวบหนึ่งแล้ววิ่งออกไป
*****************************************************************************************
สงครามกำลังดุเดือดตอนที่อัลเซก้าวิ่งไปถึง    เพื่อนๆกำลังตั้งรับผู้บุกรุกที่กำลังสู้กับน้องๆอยู่(ที่จวนเจียนจะแพ้เต็มที่
\"มีอะไรคืบหน้าบ้าง\"เธอถามเทเรซาที่ขมวดคิ้วมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กระพริบ
\"บอกได้คำเดียวว่า  เราต้องสู้แน่ๆ  ฝีมือมันไม่ธรรมดา    แม้ว่าจะห่างไกลกับพวกเราก็เถอะ    แต่พวกมันมีเป็นพันคน    เรามีอยู่แค่ไม่กี่ร้อย    พวกปีหกกำลังส่งคนมาช่วยอยู่แต่ยังเดินทางไม่ถึง    แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้    ก็ส่วนที่พี่เขาดูแลอยู่มันห่างไปเป็นโลๆ  จะให้วิ่งมาถึงภายใน5นาทีมันเป็นไปไม่ได้\"
\"ฉันเคยบอกแล้วว่าการที่พระราชวังใหญ่มันไม่ดี\"  อัลเซก้าพึมพำเบาๆ
พวกเธอเฝ้ารอดูผลการต่อสู้แม้ว่าจะรู้ผลอยู่แล้ว    ในที่สุดพวกปีหนึ่งก็ต้านไม่ไหวผู้บุกรุกก็วิ่งตรงเข้ามาที่พระตำหนักและปะทะกับปีสาม
       
         
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น