ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Marvel love of the last vampire- 7 นิยามแห่งรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 55


    อันที่จริงจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาคนนี้จะต้องมาคอยดูแลฉันทั้งวันและทั้งคืน ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่า ฉันบาดเจ็บสาหัส ด้วยฝีมือผู้ชายคนนี้มันเป็นธรรมเนียมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องของไทย ซึ่งไม่ใช่ธรรมเนียมของฝรั่งมังค่าที่จ่ายเงินเป็นค่าทำขวัญแล้วชิ่งหนี = = เขาคนนี้จึงจำเป็นต้องมาดูแลฉัน นับเดือน เลยทีเดียว : )

                    “เธอ.. เป็นยังไงบ้างอ่ะ”

                    เขาถามพร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง แล้วปรับให้เตียงตั้งชันขึ้นเพื่อที่ฉันจะได้ทานข้าวสะดวก

                    “ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

                    ฉันตอบเขาไปพลางกดรีโมทหมุนไปช่องเพลงสากล

                    “เห้อเธอรีบๆหายนะ แม่ฉันเริ่มจะสงสัยแล้วว่าเดี๋ยวนี้ทำไมฉันแอบออกจากบ้านบ่อยๆ แล้วออกมาแต่ละครั้งก็กว่าจะได้กลับเข้าไปอีกรอบ นานอยู่เหมือนกัน ”

                    เขาตอบพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

                    “อืม ฉันจะรีบๆหาย อันที่จริงๆ นายไม่จำเป็นต้องมาดูแลฉันบ่อยขนาดนี้ก็ได้นะ นี่จะปาไปสองอาทิตย์แล้ว นายกลับไปเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า… yeah yeah ! ^___^

                    ฉันตอบพร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วยตามรายการเพลงที่ออกอากาศ ซึ่งวันนี้เพลงที่ฉันรอคอยมานานแสนนานหลังจากโทรไปขอเพลงจากทางรายการ ก็ได้ฤกษ์เปิดสักที อัลบั้มของศิลปิน Avril Lavigne โดยมาในชื่อเพลง             what the hell อ๊ายย ชอบอ่า > ,< ฟังทีไรไม่เคยจะเบื่อ มีแต่เขาคนนี้นี่ละ ที่เอาแต่นอนอุดหูแล้วก็บ่นออกมาราวกับหมีกินผึ้ง ฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าเขาไม่ถูกกับเพลงสากลเลยสินะ

                    “นี่ ! พอได้แล้วเธอป่วยอยู่นะ จะมาแหกปากร้องเพลงทำไมฮะ เดี๋ยวอาการก็กำเริบอีกหรอก ทีนี้ฉันไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ นั่งๆนอนๆเฝ้าเธออยู่นี่ไปจนตายแน่ๆเลย = =*

                    เขาพูดแล้วลุกขึ้นไปปิดทีวี พร้อมกับหันมาตีหน้ายักษ์ใส่ฉัน

                    “นายเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงหรอ”

                    เขาไม่ตอบ แต่กลับเอนตัวลงนอนบนโซฟาหนานุ่มนั่น ไม่วายเอาผ้าห่มคลุมโปง

                    “หน้าที่ของเธอในตอนนี้ คือต้องรีบๆหาย เข้าใจหรือเปล่า”

                    ฉันเข้าใจ.. ว่าเขาอยากให้ฉันหายไวๆ ไม่ใช่เป็นห่วงอะไรเทือกนั้นหรอก เป็นเพราะเขาอาจจะอยากอิสระมากกว่านี้ละมั้ง ถ้าฉันหาย อะไรๆก็คงจะดีขึ้น เขาก็สามารถไปไหนมาไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องมาพะวงถึงฉันว่าฉันจะเป็นยังไง เห้อถ้าหายไวได้ ก็ดีน่ะสิ นายนี่ก็พูดซะโอเวอร์เกินนะ น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มผืนใหญ่นั้น ทำเอาฉันต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง แล้วหันกลับไปนอนหันหลังให้เขา พร้อมทั้งย้อนเวลาไปในวันที่เขาต้องทำให้ฉัน.. เป็นแบบนี้

                    ‘ขอโทษนะคะ…! ขอทางหน่อยค่ะ

                    ฉันกล่าวขอโทษกลุ่มฝูงชนที่มาอยู่รวมกันอย่างแออัด แล้วพยายามมุดตัวฝ่าออกมาด้วยความเร่งรีบ

                    ขอโทษนะค้า.. ขอทางหน่อยค่ะ อ๊ะ ว๊าย !’

                    ฉันซึ่งกำลังมุดตัวแหวกกลุ่มฝูงชนเพื่อหาทางหนีอยู่นั้น ก็ต้องชะงักเมื่อสายตาของชายนิรนามกำลังจับจ้องมาที่ฉัน สายตาของชายแก่คนหนึ่งที่มายืนจังก้าขวางทางฉัน อยู่ในสภาพที่มอมแมม ไม่ต่างอะไรจากขอทานข้างถนนเลย..

                    อ่าเอ่อ –o-’

                    ‘ขอเงิน…..’

                    ชายแก่คนนั้นกล่าวพร้อมทั้งยื่นมือมาขอเงินจากฉัน ด้วยความเร่งรีบ พร้อมทั้งปนกับความสงสารสายตาที่มองมานั้น ฉันเลยตัดสินใจหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าหลุยส์ พร้อมทั้งเสยผมที่ตกลงมาปิดหน้าปิดตา และขยับแว่นกันแดดให้กระชับเข้าไว้  ด้วยความรีบจัด ทำให้ฉันลืมเคี้ยวหมากฝรั่งที่อยู่ในปากไปชั่วขณะ ซึ่งในตอนนั้นมันทั้งจืดชืดจนแทบอยากจะคายทิ้ง แต่ทำไม่ได้ = =’ กระดาษห่อก็หมด ยัยเพื่อนตัวแสบลักเอาไปใช้กันหมด มันน่านัก = =’’

                    ฉันให้ลุง 100 นึงนะคะ คงจะพอน้า ทานข้าวให้อร่อยนะคะลุง หนูไปละ

                    ฉันรีบทิ้งท้ายแล้วจึงวิ่งหน้าตั้งออกมาจากตรงนั้น ตรงไปยังพอร์ชสีดำทะมึนของฉันทันที ฉันรีบวิ่งด้วยความเร็วที่มีเพื่อหนีกลุ่มนักข่าวที่มาออกันอยู่หน้าโรงแรมตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว คงจะมีกอสสิปไปเห็นอีกล่ะสิ นักข่าวเดี๋ยวนี้หูไวตาไวอย่างกับสัปปะรดยี่ห้อดี  มันน่าหนักใจนะเป็นคนดัง ทำอะไรก็ดังไปหมด แม้กระทั่งไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ผับยังมีข่าวหน้าหนึ่งมาให้แฟนคลับได้หูตาร้อนกันเป็นพัลวัน 

                    ฉันอาจจะรีบเกินไปจนลืมดูรถที่สวนไปมาบนถนนอย่างเร่งรีบ ซึ่งจุดนั้นล่ะ พลิกชีวิตฉันไปเลย.. จำได้แค่ว่าครั้งสุดท้าย ใครคนหนึ่งมาประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของฉันเอาไว้ พร้อมกับตะโกนให้คนช่วย และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก็คือ

                    ซวยแล้วไอ้อาร์เทอร์เอ๋ยยยย

     

                    นาฬิกายังคงหมุนไป นานเท่าไรไม่มีใครรู้ ฉันมองไปที่ปฏิทินเมื่อไรฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลที่นี่ ฉันชักจะเบื่อแล้วนะ..*o* ฉันนั่งคิด นอนคิด แล้วเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงมองไปรอบๆห้อง ด้วยความเบื่อหน่าย

                    “เห้อ……………

                    ถ้าฉันมีป๊ะป๋า หม่ามี้ เหมือนคนอื่นๆนะ รับรองฉันคงไม่เหงาแบบนี้แน่.. สายตาที่มองไปรอบห้องนั้น สุดท้ายก็ต้องมาหยุดอยู่ที่ผู้ชายใจดีคนนี้ ผู้ที่กำลังหลับใหล ผมสีดำยาวประบ่า จมูกโด่งเป็นสัน รับกับใบหน้าขาวนวลเนียนใสเหมือนผู้หญิง หน้าตาและลักษณะการแต่งกายของเขาดูดีไม่ต่างจาก นายแบบฮ่องกงเลยทีเดียว เขาเป็นคนดีนะ  ฉันรู้สึกได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ละเลยในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ซึ่งเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกต้องที่สุดฉันเคยถามเขาว่าเขาเรียนอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า ฉันไม่ควรจะรู้ฉันเพียงแค่อยากจะจดจำคนดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ต่างหากล่ะ นายนี่ก็นะฉันรู้เพียงแค่ว่า เขาชื่ออาร์เทอร์ ชื่ออย่างกับกษัตริย์นักรบในเรื่องเมอร์รินเลย :D

                    “เอ้า จ้องหน้าอย่างกลับจะกลืนกินฉันเข้าไปอย่างนั้นล่ะ น้ำลายไหลแล้ว เช็ดออกซะ”

                    ฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาตื่นขึ้นมาเมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็รีบตีแขนตัวเองแล้วเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาด้วยแขนเสื้อแขนยาวของโรงพยาบาลอย่างลวกๆ

                    “เห้ยๆ !นั่นมันเสื้อนะ…. เห้อ..

                    เขาลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ฉัน ในขณะนั้นสายตาของเขาก็มองมาที่ฉัน ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆที่ฉันสามารถอ่านจากสายตาของเขาได้ ทันใดนั้นฉันก็ก้มหน้างุดทันทีด้วยความอาย

                    “เอ้าก้มหน้าลงไป จะเช็ดได้มั้ยล่ะ

                    เสียงเขาอ่อนโยนมากจนทำให้คนฟังอย่างฉันต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งทันทีอย่างเชื่อฟัง คราวนี้ฉันลองใจแข็งมองเขากลับไปบ้าง ระยะห่างระหว่างหน้าเขากับหน้าฉันนั้นห่างกันประมาณ 2 คืบได้ ถ้าฉันคาดคะเนไม่ผิด เราสองคนจ้องตากันได้สักพัก เขาก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกก่อนแล้วยกมือเกาหัวแก้เก้อ เดินไปเปิดม่านตรงหน้าต่างระเบียงเพื่อให้แสงแดดได้สาดส่องเข้ามาในห้องบ้าง

                    “ฉันไม่ชอบแสง มันจ้าเกินไป

                    ฉันหยิบผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้กันแสงแดดเล็ดลอดเข้ามา ฉันไม่ชอบแสงแดดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งแสงแดดจ้าๆนั้นทำให้ฉันอยากจะมุดหัวดำลงดินไปในทันที

                    “เธอเป็นแวมไพร์เหรอ ฮะฮะ”

                    เขาแซวฉันอย่างขำๆเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวแสงชนิดแบบว่าไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้มาก่อน

                    “อืม”

                    “ติ๊งต๊องน่า.. ฮะฮะ”

                    เขารับคำพร้อมทั้งเดินไปปิดม่านให้เหลือครึ่งหนึ่งของบานหน้าต่างบานใหญ่  แต่ไม่ว่าจะเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆแค่ไหนยังไงมันก็เหมือนฉันกำลังถูกเผาอยู่ดี

                    “ฉันมีเวลาอยู่อีกได้แค่ 3 ชม นะ แล้วฉันจะรีบไปทำรายงานที่มหาวิทยาลัย”

                    “อืม”

                    ฉันรับคำในขณะที่หัวยังมุดผ้าห่มอยู่

                    “เธอต้องรีบหายไวๆนะ

                    “อืม”

                    “เธออยู่ปีสองใช่มั้ย”

                    “อืม”

                    “ฉันว่าฉันเคยเห็นหน้าเธอนะ”

                    เขาพูดพร้อมทั้งค่อยๆแง้มผ้าห่มที่ฉันคลุมโปงอยู่นั้นออก แต่ไม่วายฉันก็รีบปิดมิดลงไปทันที ทีนี้มึดตึ๊ดตื๋อเลย แบบนี้แหละฉันชอบ… :D

                    “หรอ”

                    “ใช่ เคยเห็นน่ะ ในรูปถ่าย

                    “รูป?

                    “อืม”

                    เขารับคำแล้วเดินมาคว้าผ้าห่มออกทันที

                    “อยากขาดออกซิเจนตายหรือไงฮะ ฉันไม่อยากมีคดีซ้ำซ้อนนะครับ ขอบอก”

                    “อืม”

                    ฉันรับคำอีกทีแล้วหลบตัวอยู่หลังหมอนหนุนหัวใบใหญ่นั่น ถึงจะเล็กกว่าผ้าห่มแต่ก็ช่วยหลบได้บางส่วน…           อาร์เทอร์มองฉันนิ่ง

                    “เธอกลัวแสงเหรอ”

                    “อืมมาก”

                    ได้ยินดังนั้น เขาก็รีบเดินไปปิดม่านทันที

                    “คนเราต้องถูกแสงบ้างนะเธอไม่เปิดม่านตอนเช้ามา เป็นอาทิตย์แล้วนะ เธออาจจะป่วย

                    ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ฉันก็เสียมารยาทขัดเขาทันที

                    “ฉันไม่ชอบ”

                    จบคำ ฉันก็เอนตัวลงนอนที่เดิม แล้วหันกลับไปถามเขาอีกครั้ง

                    “นายเคยเห็นรูปฉันที่ไหน”

                    “ในนิตยสาร”

                    “เหรอ

                    ฉันลืมไปเลยสินะ ว่าฉันเป็นคนดังไปแล้วหลังจากแมวมองมาติดต่อฉันให้ไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เมื่อสองปีก่อน

                    ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู พบว่าเป็นเบอร์ของ ฮาร์มชายหนุ่มผู้หลงใหลในวัฒนธรรมตะวันตก หายใจเข้า-ออกก็ต้องศิลปินตะวันตก อาทิเช่น one direction และของใช้ทุกอย่าง เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นอะไรต้องเป็นของมีแบรนด์ทั้งนั้น ไม่มีแบรนด์ไม่ใช้ นั่นละฮาร์ม - -‘ ใครๆก็หลงรัก หลงใหลในตัวเขา ดูเปลือกนอกก็อาจจะใช่ รูปหล่อ พ่อรวย แม่สวย แม่ย่าใจดี คือทุกสิ่งทุกอย่างในตัวผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็กหมด ติดอยู่แค่ว่า หัวโบราณในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาทิเช่น โทรจิกฉันตลอดทุกเวลา ถึงแม้จะเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันยังคงรำคาญอยู่ไม่รู้ลืม และอีกอย่างก็คือ เขาเป็นคนจุกจิก ไม่เยอะ แต่ทั่วถึง ประมาณนี้เลย ซึ่งข้อแม้ที่ได้เอามาบรรยายกันนั้น เป็นเหตุให้ฉันไม่สามารถรับเขาเป็นแฟนได้ J

                    “ทำไมไม่รับล่ะ”

                    “รำคาญ..

                    ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลย ฮาร์มเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยเจอมา ไม่ว่าจะไปไหนต้องโทรมาถาม จะต้องรู้ทุกเรื่องราวที่ฉันจะไป ตกลงเขาเป็นใครกันแน่เพื่อน หรือ พ่อ - - และแน่นอน เรื่องที่ฉันขาดเรียนนั้น ฮาร์มไม่มีวันรู้ เพราะฉันกำชับเพื่อนสนิทเอาไว้แล้วว่าอย่าให้ฮาร์มรู้เด็ดขาดว่าฉันเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ขืนรู้ขึ้นมาล่ะก็มีเหรอเขาจะอยู่นิ่งและโทรจิกฉันอย่างเดียว เขาคงไม่ทำแค่นั้นแน่

                    ฉันตัดสายทิ้งทันที ต่อหน้าอาร์เทอร์ ซึ่งกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

                    “มองฉันทำไม”

                    ฉันถามเขาทั้งๆที่สายตาฉันก็ยังไม่ละจาก iphone4s ของตัวเองที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะตัดสายไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เถอะ

                    “แฟนเธอเหรอ”

                    เขาถามฉันทันทีหลังจากปิดเครื่องไปเมื่อสักครู่

                    “อย่าเลยเป็นเพื่อนกันก็ยังจะไม่ไหวอยู่แล้ว - - ผู้ชายอะไรขี้บ่นชะมัด ขี้จิกด้วย เชื่อเขาเลย ในอนาคตเขาไม่มีวันได้ลงคานหรอก”

                    ฉันโพล่งออกไปด้วยความอึดอัดที่มีอยู่เต็มอก

                    “อ๊ะ ! นายคุยกับฉันนี่แล้วนายรู้ชื่อฉันหรือยัง อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้”

                    “ยัง”

                    ฉันมองหน้าเขาพร้อมทั้งหลุดขำออกมา นั้นทำให้เขาเกิดอาการหน้านิ่วทันที

                    “ขำทำไม”

                    “555 ขำนายไง ^^

                    ฉันทำท่าป้องปากเอาไว้ แต่ก็ต้องหลุดขำออกมาอยู่ดี

                    “ฉันถามว่า ขำทำไม ?- -

                    “ไม่รู้สิ”

                    ฉันตอบหน้าตายแล้วหยุดขำทันที

                    “แต่ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ชื่อเธอ จะหมายถึงฉันไม่รู้จักเธอนะเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่เธอจะต้องแนะนำตัว ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นใคร แล้วไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เพราะเธอน่ะเป็นผู้หญิงที่ขี้สงสัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอะเคยเจอมา ต่อไปนี้…. ฟังฉันอย่างเดียว ไม่ต้องเอะอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×