คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
อันที่จริงจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาคนนี้จะต้องมาคอยดูแลฉันทั้งวันและทั้งคืน ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่า ‘ฉันบาดเจ็บสาหัส ด้วยฝีมือผู้ชายคนนี้’ มันเป็นธรรมเนียมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องของไทย ซึ่งไม่ใช่ธรรมเนียมของฝรั่งมังค่าที่จ่ายเงินเป็นค่าทำขวัญแล้วชิ่งหนี = = เขาคนนี้จึงจำเป็นต้องมาดูแลฉัน นับเดือน เลยทีเดียว : )
“เธอ.. เป็นยังไงบ้างอ่ะ”
เขาถามพร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง แล้วปรับให้เตียงตั้งชันขึ้นเพื่อที่ฉันจะได้ทานข้าวสะดวก
“ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ฉันตอบเขาไปพลางกดรีโมทหมุนไปช่องเพลงสากล
“เห้อ… เธอรีบๆหายนะ แม่ฉันเริ่มจะสงสัยแล้วว่าเดี๋ยวนี้ทำไมฉันแอบออกจากบ้านบ่อยๆ แล้วออกมาแต่ละครั้งก็กว่าจะได้กลับเข้าไปอีกรอบ นานอยู่เหมือนกัน ”
เขาตอบพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อืม ฉันจะรีบๆหาย อันที่จริงๆ นายไม่จำเป็นต้องมาดูแลฉันบ่อยขนาดนี้ก็ได้นะ นี่จะปาไปสองอาทิตย์แล้ว นายกลับไปเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า… yeah yeah ! ^___^”
ฉันตอบพร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วยตามรายการเพลงที่ออกอากาศ ซึ่งวันนี้เพลงที่ฉันรอคอยมานานแสนนานหลังจากโทรไปขอเพลงจากทางรายการ ก็ได้ฤกษ์เปิดสักที อัลบั้มของศิลปิน Avril Lavigne โดยมาในชื่อเพลง what the hell อ๊ายย ชอบอ่า > ,< ฟังทีไรไม่เคยจะเบื่อ มีแต่เขาคนนี้นี่ละ ที่เอาแต่นอนอุดหูแล้วก็บ่นออกมาราวกับหมีกินผึ้ง ฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าเขาไม่ถูกกับเพลงสากลเลยสินะ
“นี่ ! พอได้แล้ว… เธอป่วยอยู่นะ จะมาแหกปากร้องเพลงทำไมฮะ เดี๋ยวอาการก็กำเริบอีกหรอก ทีนี้ฉันไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ นั่งๆนอนๆเฝ้าเธออยู่นี่ไปจนตายแน่ๆเลย = =* ”
เขาพูดแล้วลุกขึ้นไปปิดทีวี พร้อมกับหันมาตีหน้ายักษ์ใส่ฉัน
“นายเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงหรอ”
เขาไม่ตอบ แต่กลับเอนตัวลงนอนบนโซฟาหนานุ่มนั่น ไม่วายเอาผ้าห่มคลุมโปง
“หน้าที่ของเธอในตอนนี้ คือต้องรีบๆหาย เข้าใจหรือเปล่า”
ฉันเข้าใจ.. ว่าเขาอยากให้ฉันหายไวๆ ไม่ใช่เป็นห่วงอะไรเทือกนั้นหรอก เป็นเพราะเขาอาจจะอยากอิสระมากกว่านี้ละมั้ง ถ้าฉันหาย อะไรๆก็คงจะดีขึ้น เขาก็สามารถไปไหนมาไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องมาพะวงถึงฉันว่าฉันจะเป็นยังไง เห้อ… ถ้าหายไวได้ ก็ดีน่ะสิ นายนี่ก็พูดซะโอเวอร์เกินนะ… น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มผืนใหญ่นั้น ทำเอาฉันต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง แล้วหันกลับไปนอนหันหลังให้เขา พร้อมทั้งย้อนเวลาไปในวันที่เขาต้องทำให้ฉัน.. เป็นแบบนี้…
‘ขอโทษนะคะ…! ขอทางหน่อยค่ะ’
ฉันกล่าวขอโทษกลุ่มฝูงชนที่มาอยู่รวมกันอย่างแออัด แล้วพยายามมุดตัวฝ่าออกมาด้วยความเร่งรีบ
‘ขอโทษนะค้า.. ขอทางหน่อยค่ะ อ๊ะ ว๊าย !’
ฉันซึ่งกำลังมุดตัวแหวกกลุ่มฝูงชนเพื่อหาทางหนีอยู่นั้น ก็ต้องชะงักเมื่อสายตาของชายนิรนามกำลังจับจ้องมาที่ฉัน สายตาของชายแก่คนหนึ่งที่มายืนจังก้าขวางทางฉัน อยู่ในสภาพที่มอมแมม ไม่ต่างอะไรจากขอทานข้างถนนเลย..
‘อ่า… เอ่อ –o-’
‘ขอเงิน…..’
ชายแก่คนนั้นกล่าวพร้อมทั้งยื่นมือมาขอเงินจากฉัน ด้วยความเร่งรีบ พร้อมทั้งปนกับความสงสารสายตาที่มองมานั้น ฉันเลยตัดสินใจหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าหลุยส์ พร้อมทั้งเสยผมที่ตกลงมาปิดหน้าปิดตา และขยับแว่นกันแดดให้กระชับเข้าไว้ ด้วยความรีบจัด ทำให้ฉันลืมเคี้ยวหมากฝรั่งที่อยู่ในปากไปชั่วขณะ ซึ่งในตอนนั้นมันทั้งจืดชืดจนแทบอยากจะคายทิ้ง แต่ทำไม่ได้ = =’ กระดาษห่อก็หมด ยัยเพื่อนตัวแสบลักเอาไปใช้กันหมด มันน่านัก = =’’
‘ฉันให้ลุง 100 นึงนะคะ คงจะพอน้า ทานข้าวให้อร่อยนะคะลุง หนูไปละ’
ฉันรีบทิ้งท้ายแล้วจึงวิ่งหน้าตั้งออกมาจากตรงนั้น ตรงไปยังพอร์ชสีดำทะมึนของฉันทันที ฉันรีบวิ่งด้วยความเร็วที่มีเพื่อหนีกลุ่มนักข่าวที่มาออกันอยู่หน้าโรงแรมตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว คงจะมีกอสสิปไปเห็นอีกล่ะสิ นักข่าวเดี๋ยวนี้หูไวตาไวอย่างกับสัปปะรดยี่ห้อดี มันน่าหนักใจนะ… เป็นคนดัง ทำอะไรก็ดังไปหมด แม้กระทั่งไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ผับยังมีข่าวหน้าหนึ่งมาให้แฟนคลับได้หูตาร้อนกันเป็นพัลวัน
ฉันอาจจะรีบเกินไปจนลืมดูรถที่สวนไปมาบนถนนอย่างเร่งรีบ ซึ่งจุดนั้นล่ะ พลิกชีวิตฉันไปเลย.. จำได้แค่ว่าครั้งสุดท้าย ใครคนหนึ่งมาประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของฉันเอาไว้ พร้อมกับตะโกนให้คนช่วย และเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก็คือ…
‘ซวยแล้ว… ไอ้อาร์เทอร์เอ๋ยยยย ’
นาฬิกายังคงหมุนไป นานเท่าไรไม่มีใครรู้ ฉันมองไปที่ปฏิทิน… เมื่อไรฉันจะได้ออกจากโรงพยาบาลที่นี่ ฉันชักจะเบื่อแล้วนะ..*o* ฉันนั่งคิด นอนคิด แล้วเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงมองไปรอบๆห้อง ด้วยความเบื่อหน่าย
“เห้อ……………”
ถ้าฉันมีป๊ะป๋า หม่ามี้ เหมือนคนอื่นๆนะ รับรองฉันคงไม่เหงาแบบนี้แน่.. สายตาที่มองไปรอบห้องนั้น สุดท้ายก็ต้องมาหยุดอยู่ที่ผู้ชายใจดีคนนี้ ผู้ที่กำลังหลับใหล ผมสีดำยาวประบ่า จมูกโด่งเป็นสัน รับกับใบหน้าขาวนวลเนียนใสเหมือนผู้หญิง หน้าตาและลักษณะการแต่งกายของเขาดูดีไม่ต่างจาก นายแบบฮ่องกงเลยทีเดียว เขาเป็นคนดีนะ ฉันรู้สึกได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ละเลยในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป ซึ่งเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ถูกต้องที่สุด… ฉันเคยถามเขาว่าเขาเรียนอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า ฉันไม่ควรจะรู้… ฉันเพียงแค่อยากจะจดจำคนดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ต่างหากล่ะ นายนี่ก็นะ… ฉันรู้เพียงแค่ว่า เขาชื่ออาร์เทอร์ ชื่ออย่างกับกษัตริย์นักรบในเรื่องเมอร์รินเลย :D
“เอ้า จ้องหน้าอย่างกลับจะกลืนกินฉันเข้าไปอย่างนั้นล่ะ น้ำลายไหลแล้ว เช็ดออกซะ”
ฉันไม่ทันสังเกตว่าเขาตื่นขึ้นมาเมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็รีบตีแขนตัวเองแล้วเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาด้วยแขนเสื้อแขนยาวของโรงพยาบาลอย่างลวกๆ
“เห้ยๆ !นั่นมันเสื้อนะ…. เห้อ..”
เขาลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ฉัน ในขณะนั้นสายตาของเขาก็มองมาที่ฉัน ไม่มีความรู้สึกนึกคิดใดๆที่ฉันสามารถอ่านจากสายตาของเขาได้ ทันใดนั้นฉันก็ก้มหน้างุดทันทีด้วยความอาย
“เอ้า… ก้มหน้าลงไป จะเช็ดได้มั้ยล่ะ…”
เสียงเขาอ่อนโยนมากจนทำให้คนฟังอย่างฉันต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งทันทีอย่างเชื่อฟัง คราวนี้ฉันลองใจแข็งมองเขากลับไปบ้าง ระยะห่างระหว่างหน้าเขากับหน้าฉันนั้นห่างกันประมาณ 2 คืบได้ ถ้าฉันคาดคะเนไม่ผิด เราสองคนจ้องตากันได้สักพัก เขาก็เป็นฝ่ายถอนสายตาออกก่อนแล้วยกมือเกาหัวแก้เก้อ เดินไปเปิดม่านตรงหน้าต่างระเบียงเพื่อให้แสงแดดได้สาดส่องเข้ามาในห้องบ้าง…
“ฉันไม่ชอบแสง มันจ้าเกินไป…”
ฉันหยิบผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้กันแสงแดดเล็ดลอดเข้ามา ฉันไม่ชอบแสงแดดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งแสงแดดจ้าๆนั้นทำให้ฉันอยากจะมุดหัวดำลงดินไปในทันที
“เธอเป็นแวมไพร์เหรอ ฮะฮะ”
เขาแซวฉันอย่างขำๆเมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวแสงชนิดแบบว่าไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้มาก่อน
“อืม”
“ติ๊งต๊องน่า.. ฮะฮะ”
เขารับคำพร้อมทั้งเดินไปปิดม่านให้เหลือครึ่งหนึ่งของบานหน้าต่างบานใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเปิดแง้มเป็นช่องเล็กๆแค่ไหนยังไงมันก็เหมือนฉันกำลังถูกเผาอยู่ดี…
“ฉันมีเวลาอยู่อีกได้แค่ 3 ชม นะ แล้วฉันจะรีบไปทำรายงานที่มหาวิทยาลัย”
“อืม”
ฉันรับคำในขณะที่หัวยังมุดผ้าห่มอยู่
“เธอต้องรีบหายไวๆนะ…”
“อืม”
“เธออยู่ปีสองใช่มั้ย”
“อืม”
“ฉันว่าฉันเคยเห็นหน้าเธอนะ”
เขาพูดพร้อมทั้งค่อยๆแง้มผ้าห่มที่ฉันคลุมโปงอยู่นั้นออก แต่ไม่วายฉันก็รีบปิดมิดลงไปทันที ทีนี้มึดตึ๊ดตื๋อเลย แบบนี้แหละฉันชอบ… :D
“หรอ”
“ใช่ เคยเห็นน่ะ ในรูปถ่าย…”
“รูป?”
“อืม”
เขารับคำแล้วเดินมาคว้าผ้าห่มออกทันที
“อยากขาดออกซิเจนตายหรือไงฮะ ฉันไม่อยากมีคดีซ้ำซ้อนนะครับ ขอบอก”
“อืม”
ฉันรับคำอีกทีแล้วหลบตัวอยู่หลังหมอนหนุนหัวใบใหญ่นั่น ถึงจะเล็กกว่าผ้าห่มแต่ก็ช่วยหลบได้บางส่วน… อาร์เทอร์มองฉันนิ่ง
“เธอกลัวแสงเหรอ”
“อืม… มาก”
ได้ยินดังนั้น เขาก็รีบเดินไปปิดม่านทันที
“คนเราต้องถูกแสงบ้างนะ… เธอไม่เปิดม่านตอนเช้ามา เป็นอาทิตย์แล้วนะ เธออาจจะป่วย…”
ไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ฉันก็เสียมารยาทขัดเขาทันที
“ฉันไม่ชอบ”
จบคำ ฉันก็เอนตัวลงนอนที่เดิม แล้วหันกลับไปถามเขาอีกครั้ง
“นายเคยเห็นรูปฉันที่ไหน”
“ในนิตยสาร”
“เหรอ…”
ฉันลืมไปเลยสินะ ว่าฉันเป็นคนดังไปแล้วหลังจากแมวมองมาติดต่อฉันให้ไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เมื่อสองปีก่อน…
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู พบว่าเป็นเบอร์ของ ‘ฮาร์ม’ ชายหนุ่มผู้หลงใหลในวัฒนธรรมตะวันตก หายใจเข้า-ออกก็ต้องศิลปินตะวันตก อาทิเช่น one direction และของใช้ทุกอย่าง เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นอะไรต้องเป็นของมีแบรนด์ทั้งนั้น ไม่มีแบรนด์ไม่ใช้ นั่นละฮาร์ม - -‘ ใครๆก็หลงรัก หลงใหลในตัวเขา ดูเปลือกนอกก็อาจจะใช่ รูปหล่อ พ่อรวย แม่สวย แม่ย่าใจดี คือ… ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็กหมด ติดอยู่แค่ว่า หัวโบราณในเรื่องไม่เป็นเรื่อง อาทิเช่น โทรจิกฉันตลอดทุกเวลา ถึงแม้จะเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันยังคงรำคาญอยู่ไม่รู้ลืม และอีกอย่างก็คือ เขาเป็นคนจุกจิก ไม่เยอะ แต่ทั่วถึง ประมาณนี้เลย… ซึ่งข้อแม้ที่ได้เอามาบรรยายกันนั้น เป็นเหตุให้ฉันไม่สามารถรับเขาเป็นแฟนได้ J
“ทำไมไม่รับล่ะ”
“รำคาญ..”
ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลย ฮาร์มเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยเจอมา ไม่ว่าจะไปไหนต้องโทรมาถาม จะต้องรู้ทุกเรื่องราวที่ฉันจะไป ตกลงเขาเป็นใครกันแน่… เพื่อน หรือ พ่อ - - และแน่นอน เรื่องที่ฉันขาดเรียนนั้น ฮาร์มไม่มีวันรู้ เพราะฉันกำชับเพื่อนสนิทเอาไว้แล้วว่าอย่าให้ฮาร์มรู้เด็ดขาดว่าฉันเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ขืนรู้ขึ้นมาล่ะก็… มีเหรอเขาจะอยู่นิ่งและโทรจิกฉันอย่างเดียว เขาคงไม่ทำแค่นั้นแน่…
ฉันตัดสายทิ้งทันที ต่อหน้าอาร์เทอร์ ซึ่งกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“มองฉันทำไม”
ฉันถามเขาทั้งๆที่สายตาฉันก็ยังไม่ละจาก iphone4s ของตัวเองที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะตัดสายไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เถอะ
“แฟนเธอเหรอ”
เขาถามฉันทันทีหลังจากปิดเครื่องไปเมื่อสักครู่
“อย่าเลย… เป็นเพื่อนกันก็ยังจะไม่ไหวอยู่แล้ว - - ผู้ชายอะไรขี้บ่นชะมัด ขี้จิกด้วย เชื่อเขาเลย ในอนาคตเขาไม่มีวันได้ลงคานหรอก”
ฉันโพล่งออกไปด้วยความอึดอัดที่มีอยู่เต็มอก
“อ๊ะ ! นายคุยกับฉันนี่… แล้วนายรู้ชื่อฉันหรือยัง อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้”
“ยัง”
ฉันมองหน้าเขาพร้อมทั้งหลุดขำออกมา นั้นทำให้เขาเกิดอาการหน้านิ่วทันที
“ขำทำไม”
“555 ขำนายไง ^^”
ฉันทำท่าป้องปากเอาไว้ แต่ก็ต้องหลุดขำออกมาอยู่ดี
“ฉันถามว่า ขำทำไม ?- -”
“ไม่รู้สิ”
ฉันตอบหน้าตายแล้วหยุดขำทันที
“แต่ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ชื่อเธอ จะหมายถึงฉันไม่รู้จักเธอนะ… เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่เธอจะต้องแนะนำตัว ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นใคร แล้วไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เพราะเธอน่ะเป็นผู้หญิงที่ขี้สงสัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอะเคยเจอมา ต่อไปนี้…. ฟังฉันอย่างเดียว ไม่ต้องเอะอะไรทั้งนั้น… เข้าใจไหม?”
ความคิดเห็น