ที่สุด.....ก็เรา - นิยาย ที่สุด.....ก็เรา : Dek-D.com - Writer
×

ที่สุด.....ก็เรา

เคยแอบหลงรักพี่ชายเพื่อนหรือเปล่า แล้วเคยคิดไหมว่าจะบอกเขาให้รู้ หรือจะแอบเก็บเอาไว้แค่คนเดียว เป็นความทรงจำที่ดีแค่คนเดียว แล้วถ้าบอกไปละ เคยคิดไหมว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง กล้าไหมที่จะบอกรักเขา

ผู้เข้าชมรวม

1,350

ผู้เข้าชมเดือนนี้

0

ผู้เข้าชมรวม


1.35K

ความคิดเห็น


7

คนติดตาม


5
จำนวนตอน : 16 ตอน (จบแล้ว)
อัปเดตล่าสุด :  29 ม.ค. 50 / 16:02 น.

อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ

เสียงตะโกนโวกเวกโวยวายดังลั่นซุ้มของคณะที่มหาวิทยาลัย ฉันนั่งมองภาพแห่งความวุ่นวายนั้นด้วยความงงๆ เพราะเวลาเกือบทั้งชีวิตของฉัน ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ในเมืองหลวงเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงฉันจะเป็นเด็กบ้านนอกมาแต่กำเนิดก็เถิด แต่ที่นี้ไม่ใช่จังหวัดที่ฉันเกิด ถ้อยคำ และสารพัดเสียง

โวกเวก ทำให้ฉันอดที่จะยิ้มให้กับตัวเองเสียไม่ได้ และรู้สึกเริ่มสับสน ที่ครั้งหนึ่งฉันได้โดดข้ามวงจรของชีวิตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ และสุดท้ายฉันถึงกลับมาใช้ชีวิตของเด็กอีกครั้ง ผิดแต่ที่ว่าเด็กที่ฉันกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้เป็น ชีวิตของเด็กที่เรียกว่า เด็กมหาวิทยาลัยเท่านั้นเอง ฉันเคาะนิ้วลงบนเก้าอี้ม้าหินเบาๆ  มองไปรอบๆ ตัวฉัน ทุกอย่างที่นี้ดูใหม่ไปหมด สภาพแวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่ ที่อายุน้อยกว่าฉันเกือบ 5 ปี แต่ฉันต้องเลือกว่า พี่ เพราะมีคำว่า รุ่นพี่ ต้องเคารพเป็นกฏของการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากเป็นข้อบังคับ ฉันแอบหัวเราะหึ ๆ อยู่ในลำคอ ใครจะรู้ว่าไม่กี่เดือนก่อนฉันยังพิมพ์คำพูดของเด็กๆ  พวกนี้ผ่านจอมอนิเตอร์เล็กๆ ก่อนที่จะส่งผ่านไปยังเครื่องรับที่เรียกกันว่าเพจเจอร์อยู่เลย  ถ้อยคำหวานซึ้งที่คนรับและคนส่งก็คงจะปลื้มกันไปหลายๆ  วัน แต่สำหรับฉันมันน่าเบื่อสิ้นดี เพราะฉันต้องทำงานอย่างนั้นเกือบตลอดชีวิตของฉันที่อยู่ในเมืองใหญ่   แล้ววันนี้ฉันกลับต้องมาเรียกคนเหล่านี้ว่า  พี่  ฉันชักไม่แน่ใจว่า  ฉันจะทำได้หรือเปล่า  เมื่อนึกย้อนหลังกับงานที่ฉันจากมา

เธอชื่ออะไร

เสียงถามนั้นเบาๆ   ห้วน สั้น ไม่มีคำลงท้าย เอ่ยถามฉันขึ้น

ฉันเงยหน้ามองคนถาม  หล่อนใส่กระโปรงสั้นแค่เข่า ขาหล่อนดูเนียนสวยและเรียวงามโผล่ออกมาให้ฉันแอบได้ชื่นชมอยู่ในใจ   ผมยาวสลวย นัยต์ตากลมโต ฉันนึกในใจถ้าคนตรงหน้านี้ไม่ถามฉันห้วนๆ  อย่างนี้ฉันคงที่จะอดชื่นชมรูปร่างหน้าตาของหล่อนเสียไม่ได้  แต่นัยต์ตาที่กลมโตที่ฉันนึกชื่นชมอยู่ในใจกลับทำให้ฉันหงุดหงิด เมื่อเจ้าของดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่ฉันเหมือนจะอยากรู้อยากเห็น   มันทำให้ฉันเริ่มออกอาการไม่ชอบใจ ไม่ชอบกริยาของอีกฝ่าย แต่ฉันก็ได้แต่นึกในใจว่า  เด็กสมัยนี้ ไม่มีความเคารพหรือสัมมาคาราวะ กันเลยหรือไร ฉันขมวดคิ้ว มองหน้าหล่อนอย่างสงสัย เกือบจะตำหนิหล่อนออกไปตรงๆ  ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อย่างนี้  มันน่าจะโดน  แต่ก็นึกได้ว่า สภาพของตัวฉันตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเจ้าหล่อนที่ยืนจ้องจะเอาคำตอบจากฉันตรงหน้านี้เสียเท่าไหร่

รหัสอะไร

เจ้าหล่อนยังถามฉันอีก

ฉันมองหน้านั้นงงๆ  ดูเหมือนหล่อนจะไม่สนใจปฏิกริยาฉันเท่าไหร่  เพราะสิ่งที่เจ้าหล่อนสนใจก็คือคำตอบจากปากของฉัน เท่านั้นเอง

รหัส........

ฉันบอกหล่อนห้วนๆ เช่นกัน เพื่อที่จะตัดปัญหาไปเสียพ้น ๆ

แต่เจ้าของคำถามกลับทรุดตัวลงข้างๆ  ฉัน แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  ก่อนที่จะรีบยกขาไข้วห้างฉับ  แล้วเอากระดาษแผ่นพับที่อยู่ในมือของหล่อนพัดไปมาเร็วๆ 

ร้อน ฉิบ........

หล่อนบ่น ให้ฉันได้ยิน

ฉันเหลือบมองหน้าหล่อนนิดหนึ่ง แล้วไม่ถามหล่อนต่อ อาจจะเพราะนิสัยของคนกรุงเทพฯ  ตัวใครตัวมันยังสิงในร่างของฉันอยู่กระมั้ง ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นจะพูดว่ายังไงต่อจากประโยคที่แล้วเสียมากกว่าต่างหาก ฉันแทบจะนึกหัวข้อการสนทนาแทบจะไม่ออก ไม่รู้ว่าวัยรุ่นสมัยนี้เขาพูดกันว่าอย่างเสียด้วยซ้ำ มันเป็นเหมือนฉันเป็นกบอยู่ในกะลา เพิ่งตื่นตากับโลกใหม่ที่เรียกกันว่า  ชีวิตในมหาวิทยาลัย ด้วยความงงๆ  จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

ตัวเอง รู้ไหม อาจารย์ที่ปรึกษาเรา ชื่ออะไร แล้วคนไหน

เสียงคนข้างๆ  ยังถามต่อหลังจากเงียบหายไปสักครู่

ฉันเหลือบไปมองกระดาษในมือ  เป็นรหัสอะไรต่อมิอะไรมากมายเต็มไปหมด ฉันเหลือบมองคนข้างๆ  แล้วอดที่จะส่งยิ้มเจื่อนๆ  ให้หล่อนไปเสียไม่ได้

เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอก

ต้าย..แล้ว ทำไงดี

 เสียงเจ้าหล่อนอุทานเสียงดังมาให้ได้ยิน

เอาอย่างนี้ไหม เราไปหารุ่นพี่กันแล้วถาม  เพราะถ้านั่งอยู่ตรงนี้  ไม่ได้เรียนกันพอดี

หล่อนพูดแล้วแนะนำเสร็จสรรพ  ฉันทำหน้างงๆ

ไปกันเถอะ  ไปหารุ่นพี่กัน

หล่อนพูดเสร็จ แล้วก็เดินฉับๆ ออกไปทันที ท่อนขาที่เรียวยาวและรูปร่างที่สมส่วนของหล่อน  ทำให้ฉันนึกอิจฉาในใจ แล้วอดที่จะเปรียบเทียบกับตัวฉันเองไม่ได้ กระโปรงที่ยาวแทบจะคลุมถึงตาตุ่ม เสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ ที่ตัวเองยังมีความรู้สึกแปลกๆ กับการที่จะต้องมาใส่เสื้อสีขาวกระโปรงยาวอีกครั้ง มันทำให้ฉันไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย แต่อีกคนดูเหมือนจะไม่รู้สึก จะรู้สึกได้อย่างไร หล่อนเดินไปไหน หล่อนก็โปรยยิ้มกับคนนั้นคนนี้ไปหมด ปากหล่อนก็ถามโน้นถามนี่ไม่ได้หยุด

อ้อ ลืมไป

หล่อนหยุดเดิน ทำให้ฉันต้องหยุดเดินไปด้วย

เราชื่อหงษ์ ตัวเอง ชื่ออะไร

หล่อนถาม

ฉันกลืนน้ำลายลงคอ บอกกับหล่อนด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก ยอมรับว่าตัวฉันรู้สึกเขินๆ อย่างบอกไม่ถูก

เราชื่อมีน

ฉันตอบไปอย่างนั้น

ชื่อแปลกจัง  ไม่ใช่คนที่นี้ใช่ไหม

หล่อนพูดภาษากลางกับฉัน  แต่ถึงกระนั้นสำเนียงก็บ่งบอกว่าไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก  ฉันพยักหน้า

ฉันมาจากกรุงเทพฯ

 ฉันบอกเบาๆ

อ๋อ  เด็กเทพฯ นี่เอง

 หล่อนบอกฉัน  แล้วทำหน้าล้อๆ 

ฉันยิ้มบางๆ  มีความรู้สึกเขินบอกไม่ถูก  ไม่ใช่เพราะอยากที่จะรักษาภูมิตัวเองเอาไว้หรอก  แต่ฉันรู้สึกเขินๆ  อย่างบอกไม่ถูก เพราะมองไปทางไหน ทุกสิ่งที่นี้มันดูใหม่ไปหมดสำหรับฉัน  ภาษาที่ไม่คุ้นเคย  สถานที่และผู้คน ทุกอย่างที่นี้ทำให้ฉันเริ่มที่จะสับสนไม่รู้ที่จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

แล้วพักที่ไหน

 หล่อนยังถามฉันต่อ

ฉันบอกที่พักของฉันให้หล่อนได้ทราบ  หล่อนพยักหน้าช้าๆ  เหมือนจะรู้จักที่ๆ  ฉันพักอยู่

ตลอดเส้นทางการเดินทางไปหาห้องเรียน และรายวิชาตลอดจนอาจารย์ที่ปรึกษา ของชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยของฉัน วันนั้นทั้งวันฉันตองเดินตามอีกคนที่เพิ่งแนะนำตัวหล่อนเองว่า ชื่อ หงษ์  นั้นต้อยๆ  หล่อนจะลากฉันไปไหนฉันก็ไปกับหล่อนเหมือนเด็กตัวเล็กๆ  อย่างไรอย่างนั้น  ทั้งๆ  ที่ฉันอายุมากกกว่าหล่อนเกือบๆ  5 ปี  ในที่สุดวันนั้น เราก็ได้รู้ห้องเรียน และพี่รหัส น้องรหัสกันเรียบร้อย ฉันแอบปลื้มอยู่นิดๆ  นึกขอบคุณแม่คุณที่จ๋อยๆ  ถามชื่อคนนั้นคนนี้ที ท่าทางไม่เหน็ดเหนื่อย ถ้าไม่ได้เจ้าหล่อน ฉันคงนั่งเป็นเจ้าแม่ม้าหินไปเสียแล้ว 

วันพรุ่งนี้ รุ่นจะว้าก พวกเรา  หล่อนบอกฉัน

หมายความว่ายังไง  ว้าก ฉันถาม

อุ้ย  นี่ไม่รู้อะไรเลยหรือไง  ถามจริง คิดยังไงมาเรียนที่นี้  หล่อนถาม

ฉันยิ้มแห้งๆ  ไม่รู้จะตอบคำถามหล่อนดีหรือไม่

คือ..

ฉันอึกๆ  อักๆ ไม่รู้จะตอบหล่อนอย่างไรดี อีกใจหนึ่งก็อยากจะบอกออกไปว่า  มันไม่ใช่ธุระอะไรของหล่อน  แต่นึกถึงว่าวันนี้ถ้าฉันไม่ได้หล่อน ฉันก็คงจะแย่พอสมควร

ฉันทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ  แล้วตัดสินใจเรียนต่อ  ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ 

ฉันบอกสั้นๆ

หล่อนพยักหน้าหงึกๆ  แล้วถามถึงบริษัทที่ฉันเคยทำงานที่กรุงเทพฯ ฉันบอกหล่อนไปตามตรง

พรุ่งนี้ก็มาให้ตรงเวลาด้วยแล้วกัน  มาเจอกันที่ซุ้มก็ได้   แล้วเจอกัน

ก่อนจากไปหล่อนยังไม่วายหันมากำชับฉัน  ฉันพยักหน้าแล้วยิ้มให้อีกคนที่กำลังเดินจากไป

หล่อนแยกกับฉันมื่อถึงเวลาเย็น   ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านกันหมด  ฉันเดินกลับไปที่ถนนหน้ามหาวิทยาลัย  จ้องมองถนนที่ทอดยาวจากหน้ามหาวิทยาลัยไปถนนใหญ่ด้านหน้าที่มีรถโดยสารวิ่งผ่าน ด้วยความเมื่อยล้า เพราะวันนี้คือวันแรกของฉัน  มันเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉันที่นี้  ที่ๆ  ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัดสินใจมาที่นี้ได้ง่ายดายนัก  ฉันตัดสินใจลาออกทันทีพร้อมเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทเงินทุนคืนให้ เพราะบริษัทเงินทุนจำเป็นต้องปิดลงด้วยสภาพของเศรษฐกิจ  ด้วยจำนวนเงินเพียงเล็กน้อย แล้วมาเริ่มต้นที่นี้   ฉันเริ่มที่จะสับสนว่าฉันตัดสินใจถูกหรือเปล่า  ชีวิตของฉันต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร  จะต้องเริ่มจากตรงไหน  ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนที่จะบอกกับตัวเองว่าตัดสินใจถูกแล้ว  ฉันหันไปถามแม่ค้าที่เริ่มจะเก็บข้าวของตรงหน้ามหาวิทยาลัยถึงหนทางที่จะออกไปจากมหาวิทยาลัย  แม่ค้าก็ช่างใจดี บอกกับฉันว่า ถ้าเป็นช่วงเย็นๆ  จะลำบากหน่อยเพราะรถโดยสารที่คนที่นี้ เรียกกันว่า รถแดง นั้นไม่ค่อยผ่านที่นี้เท่าไหร่นัก  เพราะไม่ใช่ทางผ่าน  นักศึกษาที่นี้ส่วนมากจะมีพาหนะเป็นของตัวเองเกือบทั้งนั้น ฉันถอนหายใจยาว นึกถึงปัญหาแรกที่ฉันจะต้องรีบจัดการเป็นการเร่งด่วน เงินที่เหลือจากการลงทะเบียนเหลือไม่มากนัก  ถ้าขืนฉันจะต้องจ้างรถไปรับไปส่ง เหมือนที่แม่ค้าที่ฉันเพิ่งถามไปแนะนำมา  มันก็คงเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น ฉันต้องแย่แน่ๆ  กับเงินที่เหลือ ฉันเริ่มมองหาระบบขนส่งที่จะส่งฉันมาถึงมหาวิทยาลัย และทางเลือกหลังจากฉันขีดๆ เขียน ลงบนกระดาษผลที่ได้รับก็คือ ฉันต้องซื้อมอเตอร์ไซค์สักคันหนึ่ง แต่ถ้าฉันเอาเงินทั้งหมดมาซื้อ ฉันแทบจะไม่มีเงินเหลือในการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย  และในที่สุดทางเลือกที่เหลือฉันก็คงจะต้องดาวน์แล้วผ่อน  แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนผ่อนกัน ฉันนั่งถอนหายใจ ก่อนที่จะหยิบหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขึ้นมามองหางานทำในหน้าจัดหางาน ทุกๆ  อย่างกลายเป็นงานกลางคืนทั้งนั้น ฉันกัดฟันแล้วชั่งใจ นึกไม่ถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของฉันเริ่มที่จะส่อเค้าให้เห็นปัญหาแต่ไกล

จะเรียนไปทำไหม  อยากเรียนก็เรียนที่กรุงเทพฯนี่ แหละ

เสียงพี่สาวคนโตแว่วมาให้ได้ยิน  หล่อนคัดค้านหัวชนฝาเรื่องที่ฉันจะออกจากที่ทำงานแล้วมาเรียนต่อที่นี้

อยากจะไปให้พ้นหูพ้นตาเตี่ย   แรดๆ  ไปเป็นเด็กมหาวิยาลัย จะไปหาผัวและไม่ว่า

ฉันเอาหูเอาไปนาเอาตาไปไร่เสีย  ไม่อยากที่จะสู้รบปรบมือ  เพราะพี่สาวคนนี้ของฉันทุกวันนี้หน้าก็ไม่อยากจะมองอยู่แล้ว  ถ้าไม่ติดเสียว่าแม่ยังเข้าข้างฉันอยู่บ้าง  ฉันคงจะโต้ตอบกลับไปบ้าง   ชีวิตฉัน ฉันเลือกเองไม่ต้องให้ใครมาจัดการ นี่ถ้าหล่อนรู้ว่าฉันเริ่มที่จะมีปัญหาเสียแล้ว  หล่อนคงจะต้องนั่งหัวเราะสมน้ำหน้าฉันไปตลอดชาติ เพราะความดื้อดึง ทำให้ฉันตัดสินใจโทรไปหาพี่สาวคนที่สองของฉันที่ยังเหลืออยู่ข้างฉันบ้างทันที

เป็นยังไงบ้าง

เสียงพี่สาวคนที่สองแว่วมาให้ได้ยิน

ก็..ดี

ฉันตอบสั้นๆ

แล้วหางานทำได้หรือไง

พี่ฉันถามต่อ

ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะเงียบไป

เมื่อวันก่อน  เจ้ใหญ่มาที่บ้าน  ทะเลาะกับแม่ใหญ่เรื่องเรา

 พี่ฉันบอก

เรื่องอะไร 

p>

ฉันถามเป็นเรื่องปรกติ ไม่ได้ตื่นเต้น ออกจะเบื่อหน่ายเต็มที

ก็  เรื่องเราไปเรียนต่อนั้นแหละ

ทำไม  ยังไม่จบกันอีกหรือ  เรามาเรียนต่อ  แล้วเดือดร้อนเจ้ใหญ่เรื่องอะไร  เราไม่ได้ขอเงินเตี่ยมาเรียนเสียหน่อย   เจ้ใหญ่จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไร

ฉันถามด้วยความหงุดหงิด เมื่ออีกคนบอกถึงสาเหตุ

เขาบอกว่า  ทำไมเราต้องไปเรียนไกลขนาดนั้น  ที่กรุงเทพฯ ก็มีให้เรียน  เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันก็ไม่เสียหายสักหน่อย  เขาบอกว่าเป็นห่วงเรา ไปอยู่ไกลขนาดนั้น เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันจะลำบาก

เจ้ใหญ่  พูดอย่างนั้นหรือ

ฉันถามอยากจะให้มั่นใจว่าฟังไม่ผิด

เสียงพี่สาวฉันรับคำในลำคอ

โกหก 

ฉันบอกไปสั้นๆ  น้ำเสียงบ่งบอกถึงโกรธ

เจ้ ก็รู้ว่า  เจ้ใหญ่เขาโกรธที่เราไม่ให้เขายืมเงินต่างหาก  เราบอกเขาว่าเราจะเอามาลงทะเบียนเรียน  เลยพาลหาเรื่องให้เตี่ยไม่ให้เรามาเรียนที่นี้   เจ้พูดยังกับไม่รู้นิสัยพี่สาวเจ้อย่างนั้นแหละ              

ช่างเขาเหอะ แล้ว  มีอะไรโทรมาหา

 พี่ฉันตัดบท

ฉันถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องปัญหาให้อีกฝ่ายได้รับทราบ

เราจะให้ทำไง

เรา  อยากจะดาวน์รถมอเตอร์ไซค์ แล้วช่วงนี้ก็หางานทำไปก่อน  แต่ดาวน์รถมันต้องใช้คนค้ำ เจ้ค้ำให้เราได้หรือเปล่า 

ฉันถาม

ก็เอาซิ  แล้วจะลงมาเองหรือว่า จะให้จัดการให้

พี่ฉันตอบรับคำง่ายๆ   ซึ่งฉันก็ไม่แปลกใจเลย พี่คนนี้นิสัยเหมือนแม่ของฉันนั้นแหละ อะไรที่สามารถจะตัดปัญหาได้ก็จะรีบจัดการให้เรียบร้อย ถ้าบ้านหลังน้ไม่มีคนอย่างพี่คนนี้ของฉันอยู่  ฉันเองก็สามารถบอกกับตัวของฉันได้เลยว่า  ฉันแทบจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับคนที่เรียกฉันว่าครอบครัวของฉัน อีกเลย    ฉันบอกสั้นๆ ว่าให้จัดการให้ แล้วจะโอนเงินไปให้ แล้วหลังจากนั้นให้ส่งมาทางรถไฟ  ฉันวางโทรศัพท์กับพี่สาวคนที่สองไปแล้ว  ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำ แล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมา เมื่อนึกถึงท่าทางของเตี่ยและพี่สาวคนโตของฉัน  เรื่องที่ฉันจะมาเรียนต่อ  คำถามต่อหลายคำถามวิ่งเข้ามาที่หัวของฉัน  คำว่า ทำไม วิ่งผ่านมาเป็นร้อย กับท่าทีของคนเป็นพ่อที่โกรธจนไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันร้องไห้ออกมา ท่ามกลางสายน้ำที่เย็นเฉียบกับค่ำคืนที่เหน็บหนาวของสถานที่ๆ  ฉันเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

คำนิยม Top

ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

คำนิยมล่าสุด

ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

ความคิดเห็น