ตอนที่ 58 : เม็ดพลังมานาที่แตกสลาย
บทที่ 1 : เม็ดพลังมานาที่แตกสลาย
สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์เวทดำเนินไป ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเช้าของวันถัดไป ทุกชั่วโมงที่ผ่านไปจำนวนสัตว์เวทก็ลดลงเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงการโจมตีของคนที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็อ่อนลงจนเห็นได้ชัด ทั้งสองฝ่ายต่างอ่อนโทรมลง โดยสัตว์เวทมีกำลังในการบุกที่น้อยลงเรื่อยๆ ส่วนฝั่งมนุษย์เต็มไปด้วยผู้หมดแรงและบาดเจ็บจากการโจมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทุกชั่วโมงจะมีนักเวทย์และนักรบต่างถอนตัวออกจากการต่อสู้ พวกเขากลับมาพักในเขตปลอดภัย เพื่อเตรียมพละกำลังเข้าต่อสู้ในระรอกต่อไป ทุกคนผลัดกันออกไปโจมตี ใครหมดแรงหรือบาดเจ็บจนสู้ไม่ไหว ก็ถูกลากออกจากสนามรบ แล้วถูกฟื้นฟูด้วยยาและเวทมนตร์รักษา เมื่อหายดีก็ออกไปสู้อีกครั้ง
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินการไปเกือบสิบชั่วโมง ในที่สุดวันแรกของการโจมตีของสัตว์เวทก็จบลง ในวันที่ทางกำแพงทิศใต้ที่พวกครรชิตทั้งสี่คนอยู่ พร้อมกับหน่วยคุ้มกับเจ็ดคน ทางด้านพวกเขาไม่มีใครบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้าแม้แต่คนเดียว เพราะกลุ่มเด็กหนุ่มได้แต่ยิงเวทย์ระดับหนึ่งลงไปที่กำแพงเมืองเป็นระยะๆ สลับกับการดื่มยาน้ำลดความเหนื่อยล้าของร่างกาย และยาเร่งมานาเป็นพักๆ
ส่วนกองกำลังที่มาด้วยทั้งเจ็ดคน มีหน้าที่เพียงคุ้มกันพวกเขา จึงไม่ได้โจมตีหรือสนับสนุนใคร ทำให้พวกเขามิได้เข้าร่วมในการต่อสู้นั้นเอง จึงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา นอกจากอาการขาแข็งเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากยืนนานเกินไปหน่อย
"ไม่สนุกเลยอ่ะ พี่โรส พี่จูเนียร์ ลงไปสู้ข้างล่างได้ไหม" ลิลลี่นั่งบนเก้าอี้ไม้ของชุดโต๊ะไม้ที่เอาออกมาจากแหวนมิติ เธอทำสีหน้าเบื่อโลกก่อนจะเท้าแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะ แล้วฟุบหน้าลงไป
"ไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นๆสงสัยกันหมด" ครรชิตพูดเบาๆ ก่อนจะโยนแผ่นไม้จารึกเวทย์ เพื่อกางอาณาเขตกั้นเสียงเล็กๆขึ้นมารอบโต๊ะ
"ข้ายิงธนูไม่ถนัดเลยเจ้าค่ะ ต้องค่อยใช้'แท่นจุดมานา'ไปด้วยแบบนี้" ลูน่าพูดออก โดยในมือของเธอมี่แท่นไม้ที่ด้านบนเป็นหินสี่เหลี่ยม ที่ตรงกลางมีศิลาจิตอสูรทั้งหกธาตุประดับไว้ เป็นรูปวงกลมโดยมีศิลาจิตอสูรไร้ธาตุอยู่ตรงกลาง
มันคืออุปกรณ์เวทย์ที่เจ้านายของเธอสร้างขึ้นมา มันเป็นการเอาจารึกเวทย์และวงเวทย์ระดับกลางของไร้ธาตุมาผสมกัน โดยใช้เวทย์ประจุมานา ที่จะทำการดึงมานาจากศิลาจิตอสูรออกมา แล้วส่งมันไปยังอุปกรณ์เวทย์ขนาดใหญ่ หรือนำมานาไปยังคนอื่นๆ เพื่อเป็นการเพิ่มมานาชั่วคราวนั้นเอง โดยดัดแปลงให้มันปล่อยมานาขึ้นเหนือวงเวทย์ แทนที่จะพุ่งไปที่เป้าหมาย แล้วใช้จารึกเวทย์ในการกำหนดเป้าหมายให้เป็นที่จารึกเวทย์อื่นๆนั้นเอง ทำให้ลูน่าเหมือนใช้เวทย์โดยมีแหล่งกำเนิดจากแท่นจุดมานานี้เอง
นอกจากนี้มันยังเป็นสินค้าชนิดใหม่ที่กำลังเริ่มวางขายในร้านเมอลินดีลเลอร์หลังจบภัยพิบัติสิ้นปี มันเหมาะสำหรับพวกโนเลสนั้นเอง โดยในตอนนี้ในคลังของร้านมีอยู่ประมาณร้อยกว่าชุด
"ทนๆไปหน่อยนะลูน่า ความลับเรื่องทำให้เจ้าใช้มานาได้ ยังไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้" เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้กำลังใจหญิงสาว ก่อนจะกลับไปจิบชาและกินขนมกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเข้าในตอนนี้
"พี่โรส ปีนี้ถือว่าสัตว์เวทยกทัพมาจำนวนมากหรือไม่" ครรชิตถามอย่างสนใจ เพราะเท่าที่เขาเห็นทางด้านนี้มีสัตว์เวทจำนวนเกือบล้านตัวแล้ว
"ปีนี้งั้นหรอ ถ้าเทียบกับจำนวนของปีที่แล้วก็ไม่มากเท่านะ ปีที่แล้วยกทัพมาเกือบล้านตัวได้ในทุกทิศทาง ยกเว้นทางเหนือที่ปีที่แล้วมาเกือบสองล้านตัว" พี่โรสตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนไม่ใส่ใจสักเท่าไร
"อืม..."
พวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดเสียงการต่อสู้และเสียงคำรามของสัตว์เวทก็หยุดลง พวกเขาจึงลุกขึ้นแล้วมองออกไปนอกกำแพง ที่ด้านนอกกำแพงมีผู้คนหลายพันคนต่างออกไปลากซากสัตว์เวทเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพอค้าและนัดเรียนจากโรงเรียนหลวงนั้นเอง
"ไกเซอร์ ช่วยไปลากสัตว์เวทที่พวกเราฆ่ามาสักสิบยี่สิบตัวได้ไหม" ครรชิตเอ่ยถามไปยังผู้คุ้มกันที่ยื่นอยู่ด้านหลังของเขา เขาถือโอกาศนี้ใช้งานหน่วยคุ้มกันของเขาเสียเลย ตอนแรกพวกเขาจะลงไปขนมันขึ้นมาเอง แต่ในเมื่อมีคนคอยให้ใช้ทำไมพวกเขาถึงไม่ใช้ล่ะ
"ครับ" ไกเซอร์ ทหารรับจ้างหนุ่มที่เป็นหนึ่งในลูกน้องของลุงมาสัน ที่ตอนนี้เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันร้านค้าเมอลิน และในตอนนี้ก็เป็หัวหน้าหน่วยกองกำลังคุ้มกันพวกเขาอยู่
เขาพาคนในหน่วยจำนวนสองคนลงไปยังด้านล่างของกำแพง พวกเขาเก็บซากสัตว์เวทมาได้รอบละหกตัว พวกเขาขึ้นและลงกำแพงไปห้ารอบ ซากสัตว์เวทพวกนั้นต่างถูกกองไว้ใกล้กับโต๊ะของพวกเขา
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะ ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมา ซากสัตว์ต่างถูกชำแหละด้วยฝีมือของเด็กหนุ่ม พวกมันถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ ส่วนไหนกินได้ก็ถูกเก็บลงแหวนมิติวงหนึ่ง อันไหนเอาไปทำอาวุธได้ก็ถูกแบ่งไปไว้ในอีกวง เขาแยกมันออกจนเหลือเพียงกองเลือดและส่วนที่ไม่ต้องการอยู่บนพื้นเท่านั้น ก่อนที่มันจะถูกเผาด้วยจารึกเวทย์ที่กลายเป็นลูกบอลไฟจนหมดสิ้นร่องรอย
"ทางฝั่งนู้นจะเป็นยังไงบ้างนะ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย" เด็กหนุ่มพูดออกมาเบาๆ เมื่อตนชำแหละซากสัตว์เวทเสร็จก็รู้สึกแปลกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทางด้านฝั่งกำแพงทิศเหนือ การต่อสู้ยังไม่จบ ด้วยจำนวนทหารเกือบสองเท่าของกำแพงด้านอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถฆ่าสัตว์เวทได้ทั้งหมด มันบุกลงมาจากเทือกเขาด้วยจำนวนที่มากเกือบสองล้านตัว มันมีจำนวนเท่ากับปีที่แล้วเลยทีเดียว ขนาดพวกเขาเข้าไปกำจัดมันมาสี่เดือนแทบไม่ได้ลดจำนวนมันลงเลยแม้แต่น้อย
"เป็นไงบ้าง พวกเจ้ายังไหวหรือไม่" คาลอตหันไปถามกองกำลังของกลุ่มการค้า'Orebal' ที่กำลังร่ายเวทย์โจมตีกองทัพของสัตว์เวทอยู่นั้นเอง
"ยังไหวอยู่ขอรับ" ฟาย่าตอบด้วยเสียงแหบๆ เพราะเขาร่ายเวทย์มาหลายชั่วโมงแล้วนั้นเอง ถึงแม้จะมียาสนับสนุนจำนวนมากก็ตาม
พวกเขายังคงโจมตีไปยังสัตว์เวทที่ปืนกำแพงขึ้นมา บ้างส่วนก็โจมตีลงไปด้านล่าง ด้วยความกว้างของกำแพงทำให้พวกเขารวมกลุ่มกันได้ โดยไม่ต้องแยกออกเป็นกลุ่มย่อย แม้จะมีถึงสามร้อยคนแต่พวกเขาก็ฆ่าพวกสัตว์เวทได้ครั้งละไม่กี่สิบตัวเท่านั้น ชั่วโมงหนึ่งตกชั่วโมงละห้าพันถึงหกพันตัวได้
ที่ฆ่าได้จำนวนมากมายขนาดนี้ เพราะไม่ต้องเสียเวลาตามหาพวกมัน แถมพวกมันก็ไม่สนใจสิ่งใด นอกจากจะข้ามกำแพงเมืองเข้า เพื่อทำลายคริสตัลของเมือง หรือปัจจุบันมันถูกเรียกว่าเสาอเคเซีย มันคือการเอาศิลาอเคเซียที่นักปราชญ์อเคเซียสร้างขึ้น ไปหลอมรวมกับคริสตัลเมืองทำให้ชาวเมืองสามารถรับทักษะสัญญาได้นั้นเอง
คริสตัลเมืองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อมีการก่อตั้งหมู่บ้านขึ้น มันจะปรากฏครัสตัลเมืองขึ้นที่กลางหมู่บ้าน มันเป็นสิ่งยืนยันว่ามนุษย์ได้ตั้งหลักแหล่งแล้วนั้นเอง เมื่อคริสตัลเมืองปรากฏขึ้น สิ้นปีนั้นเหล่าสัตว์เวทจะเริ่มรวมกำลังเพื่อทำลายคริสตัลเมืองนั้นเอง ทำให้พวกมนุษย์ต้องรับมือกับสัตว์เวททุกปีไป
ไม่มีใครทราบถึงที่มาของมัน และวิธีการสร้างมันขึ้นมาก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน ได้แต่คาดเดาว่ามันเป็นพลังงานที่เก่าแกและโบราณมากเท่านั้น คาดว่ามีก่อนที่มนุษย์จะย้ายมาตั้งถิ่นฐานบนแผ่นดินนี้ด้วยซ้ำ
"งั้นพวกเราพักสักหน่อยเถอะ ให้พวกเด็กๆมันสู้บ้าง" คาลอตพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะเรียกกระโจมเวทย์ออกมา แล้วเชิญทุกคนเข้าไปพัก
"ขอบคุณท่านมาก" ฟาย่าขอบคุณก่อนที่พวกเขาจะพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ในวันนี้
วันนี้พวกที่ต่อสู้มีเพียงนักรบ นักรบมนตราและผู้ฝึกเวทย์เท่านั้น พวกขั้นผู้ใช้เวทย์จะโจมตีบ้างเป็นบ้างครั้งเท่านั้น นอกจากกลุ่มที่เป็นทหารรับจ้างของพวกพ่อค้า ที่มักจะโจมตีอยู่เรื่อยๆ เพื่อเก็บซากสัตว์เวทนั้นเอง เพราะสัตว์เวทระดับหนึ่ง เพียงใช้พลังเวทย์เล็กน้อยก็จัดการได้แล้ว
"พวกเจ้ามียาจำนวนมาก แสดงว่าปีนี้พวกเจ้าได้ศิลาจิตอสูรและซากสัตว์เวทจำนวนมากสินะ ข้าหวังว่าจะมีศิลาจิตอสูรธาตุไฟจำนวนมากพอสำหรับข้านะ" คาลอตถามด้วยสีหน้ามีความสุข
"มีพอแน่นอนขอรับ ระดับพลังมานาของท่านเพิ่มขึ้นมากไหมขอรับในปีนี้" ฟาย่าถามอย่างนอบน้อม เพราะจอมเวทย์ถือเป็นตัวตนที่น่าเกรงข้ามพอสมควร
"ยังอยู่ที่ขั้นเจ็ดระดับสามเหมือนเดิม มันช่วยไม่ได้ขั้นมานาเริ่มต้นของข้าแค่ขั้นสองระดับสี่เท่านั้นเอง คงสู้พวกขั้นสามไม่ได้หรอก"น้ำเสียงของคาลอตเต็มไปด้วยความเจ็บใจเล็กน้อย เพราะปีนี้เขาอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว ยังไม่อาจข้ามระดับขั้นมานาที่เจ็ดระดับสามไปได้ หนทางข้างหน้าค่อนข้างเลือนลางลง
การดูดซับมานาธาตุนั้นจะช้ากว่าการดูดซับมานาไร้ธาตุเป็นอย่างมาก ทำให้การพัฒนาระดับมานาเป็นไปอย่างช้าๆ ถ้าจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนก็คงเป็นตอนระดับขึ้นมานาระดับสองข้ามไประดับสาม ถ้ามีศิลาจิตอสูรระดับหนึ่งไร้ธาตุจำนวนหมื่นก้อน ก็สามารถทะลุระดับขั้นมานาได้แล้ว แต่เมื่อขั้นสามไปขั้นสี่ต้องใช้ศิลาจิตอสูรธาตุนั้นๆจำนวนมหาศาล ซึ่งมันขึ้นอยู่กับร่างกายของคนนั้นๆ ว่าสามารถรับพลังมานาธาตุได้ขนาดไหน
บ้างคนรับได้สามในสิบส่วน ซึ่งถือเป็นระดับปรกติ ในขณะที่บ้างคนรับได้สี่ส่วนขึ้นไปพวกนี้นับว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ก็มีจำนวนน้อยนิด คราวนี้ก็ต้องวัดกันที่ระดับขั้นมานาเริ่มต้นแล้ว ว่ายิ่งขั้นสูงก็ยิ่งทะลวงระดับขั้นได้เร็วขึ้น
"แย่แล้วท่านดีล ท่านบิชอบหมดสติไปแล้วขอรับ" หนึ่งในนักรบของกองกำลังมาสัน วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในกระโจมเวทย์ พร้อมกับกระซิบข่าวร้ายนี้ให้ดีลฟัง แต่ด้วยความที่กระโจมนี้เงียบไร้ซึ่งเสียงรบกวน จึงทำให้ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงกระซิบนี้
"ไปพาบิชอบเข้ามาในกระโจมเร็ว!" ดีลที่ได้ยินคำพูดนั้น ออกคำสั่งในทันที เพราะด้านนอกนั้นมีเพียงหัวหน้าคนเดียวที่ยังคงสั่งการอยู่ นั้นคือบิชอบนั้นเอง ส่วนหัวหน้ากองกำลังของร้านค้าต่างๆ ต่างก็เข้ามาพักผ่อนกันทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงบิชอบที่เป็นหัวหน้าหน่วยหนึ่งในกองกำลังที่ค่อยดูแลความเรียบร้อยอยู่ด้านนอก
ร่างที่ไร้สติของบิชอบถูกนำเข้ามาภายในกระโจมเวทย์แห่งนี้ ทุกคนต่างจ้องมองอย่างตกตะลึง เมื่อผิวกายที่เคยหมองคล้ำกลับกลายเป็นขาวซีด มิหนำซ้ำมีเหงื่อไหลออกมาจากผิวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายที่เคยบึกบึนมีอากาศแห้งเหี่ยวลงเล็กน้อย จนทำให้แทบจะไม่ใช้บิชอบที่ทุกคนรู้จัก
"เม็ดพลังเสียหายงั้นรึ" คาลอตพูดออกมาเบาๆ เพราะตนเห็นไอมานาที่รั่วไหลออกมา โดยมิได้ผ่านการใช้มานาเลยแม้แต่น้อย มันมิใช่สิ่งปรกติของร่างกายมนุษย์
"ขอข้าตรวจดูหน่อย" คาลอตเดินมานั่งข้างๆเตียงบิชอบ ก่อนที่เขาจะใช้เวทย์ตรวจสอบกับร่างกายของบิชอบ
เม็ดเหงื่อหลังไหลออกมาจากหน้าผากของชายชรา สามตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ในความไม่น่าเชื่อของเม็ดพลังมานาของชายหนุ่ม เขาหันไปมองเพื่อนของชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นถึงกระดูก "มันถูกทำลายเม็ดพลัง อีกไม่นานมันจะกลายเป็นคนพิการ"
สิ้นเสียงของจอมเวทย์ชรา ทำให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ พวกเขามิรู้จะทำสิ่งใด นอกจากนั่งอยู่นิ่งๆในท่าเดิมหลายนาที
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

2,037 ความคิดเห็น
-
#1863 Waiwit (จากตอนที่ 58)วันที่ 10 มกราคม 2560 / 09:26พ่อมันก็ปากแข็งไม่เคยบอกลูกแถมไม่ค่อยได้อยู่บ้านอีกจะว่าพระเอกอย่างเดียวก็ไม่ได้หรอก#1,8630
-
#1092 phairatw (จากตอนที่ 58)วันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 / 14:31ขอบคุณครับ#1,0920
-
#827 Maya (จากตอนที่ 58)วันที่ 11 ตุลาคม 2559 / 00:05รีบให้คนไปบอกจูเนียร์เร็วเข้า#8270
-
#477 Gnuh (จากตอนที่ 58)วันที่ 10 กันยายน 2559 / 12:37ขอบคุณครับ#4770
-
#475 ตติยา (จากตอนที่ 58)วันที่ 10 กันยายน 2559 / 11:56รอลูกเทวดามาโปรด มัวแต่ฝึกพลังให้สาวๆ แต่พ่อตัวเองนี่ไม่เหลียวแลเลยนะจ๊ะะ ถ้าคิดจะฝึกปราณให้พ่อสักนิดป่านนี้อาการคงไม่หนักขนาดนี้😣😣#4750
-
#473 แว่นใส (จากตอนที่ 58)วันที่ 10 กันยายน 2559 / 10:05มาช่วยพ่อก่อนเร็ว จูเนียร์#4730
-
#472 Urtrash (จากตอนที่ 58)วันที่ 10 กันยายน 2559 / 09:29กรรม...#4720
-
#471 Lotte Dittakan (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 23:48พ่อพระเอกและพ่อแม่นางเอก พระเอกควรให้ฝึกปราณนะ แต่เท่าอ่านๆมา เหมือนจะไม่อยากฝึกให้ใครเลย#4710
-
#470 kamol1122 (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 23:43สนุกดีครับ#4700
-
#469 James'z Ks'jaxdd (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 21:43ให้พระเอกรักษาให้เถิดด -..-#4690
-
#466 หยาดน้ำบนยอดหญ้า (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 21:07แย่แล้ว...#4660
-
#465 Thongnin (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 20:58สนุกครับ#4650
-
#464 ปกเงิน& (จากตอนที่ 58)วันที่ 9 กันยายน 2559 / 20:53ขอบคุณครับ#4640