บทที่ 1 : จอมเวทย์ธาตุดินและเม็ดพลังลมปราณที่หนึ่ง
หลังจากนั่งฟังการประชุมเกี่ยวกับแผนการล่าสัตว์เวทในเทศกาลล่าสัตว์เวทเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก็ได้ข้อสรุปออกมานั้นคือ ใช้แผนเดิมอย่างเช่นปีก่อนๆ โดยให้ทหารรับจ้างของลุงมาสันเป็นทัพหลัก และทหารรับจ้างของร้านอื่นๆเป็นทัพสนับสนุน โดยปีนี้มีจำนวนทหารรับจ้างมากกว่าเดิมเกือบสองเท่าตัว และยังมีของสนับสนุนทั้งยา ชุดเกราะ เสื้อผ้ากันความหนาวและอาวุธชั้นดีที่ได้มาจากร้านค้าในกลุ่มการค้า'Orebal' ทำให้ปีนี้คงเก็บทรัพยากรได้จำนวนมาก
เขตการล่าครั้งนี้คือภูเขาและเทือกเขาหลังเมืองหลวงนั้นเอง เพราะปีที่แล้วสัตว์เวทมาจากภูเขาจำนวนมาก ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่ามันมาจากไหนกันเยอะขนาดนั้น เพราะเพิ่งกวาดร้างก่อนภัยพิบัติสิ้นปีไปหยกๆ แต่ก็ยังมีจำนวนที่เยอะผิดปรกติอยู่ดี ปีนี้ทางวังหลวงเลยจัดพื้นที่ล่าและภารกิจอีกที่หนึ่งที่เทือกเขาหลังเมืองหลวงขึ้น โดยให้กองกำลังต่างๆสามารถเข้าร่วมได้
ปรกติแล้วเทือกเขาเหล่านี้ จะใช้ทหารหลวงและทหารอาณาจักรในการกวาดร้าง แต่ปีที่แล้วไม่สามารถกวาดร้างได้ทุกพื้นที่ ปีนี้จึงจัดตั้งภารกิจเพื่อกำจัดจำนวนสัตว์เวทจากเทือกเขาให้น้อยที่สุด และยังกระจายทหารไปช่วยกวาดร้างรอบๆเมืองอีกด้วย
ส่วนพวกเด็กๆและพวกครรชิตจะถูกวางไว้ที่แนวหลังหรือที่ฐานบัญชาการนั้นเอง ซึ่งปีนี้จะใช้กระโจมนำทัพที่ได้มาเป็นรางวัลจากกิลด์การค้าจากการกลุ่มการค้าขยายตัวขึ้นเป็นกลุ่มการค้าขนาดกลางโดยจะใช้มันเป็นฐานบัญชาการ กระโจมนำทัพเป็นอุปกรณ์เวทย์โบราณที่ไม่ทราบวิธีการผลิตแล้ว ส่วนใหญ่มักจะหาได้จากกิลด์ใหญ่ๆ หรือไม่ก็ดันเจี้ยนชั้นลึกๆเท่านั้น
มีของขนาดเล็กกว่ากระโจมนำทัพที่ยังสามารถผลิตขึ้นมาได้เรียกว่ากระโจมเวทย์นั้นเอง ด้านในจะมีพื้นที่ขนาดเท่าห้องนอนขนาดใหญ่เลยทีเดียว แต่สู้กระโจมนำทัพไม่ได้ที่มีพื้นที่เท่าบ้านหลังใหญ่ๆเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเวทย์ป้องกันการโจมตีและเวทย์พรางตาระดับสูงอีกด้วย
นอกจากทัพหลัก ทัพเสริมและแนวหลังแล้ว ยังมีกองขนส่งที่เป็นทหารรับจ้างของเพื่อนลุงมาสัน ที่เชี่ยวชาญในด้านฝึกสัตว์ปีกที่ใช้ในการต่อสู้และขนส่งทางอากาศอีกหนึ่งกองทัพ
โดยปรกติกองขนส่งจะมาจากกองทัพลุงมาสันนั้นเอง เพียงไม่กี่สิบคนสำหรับการขนเสบียงและยุทธภัณฑ์ไปส่งให้ทัพหลัก แต่คราวนี้คนเพิ่มแล้วมีสัตว์เวทที่บินได้อีกจำนวนหนึ่งจึงกลายเป็นกองขนส่งอย่างที่เห็น
ครรชิตที่ได้ฟังข้อสรุปก็เดินตัวปลิวออกจากที่ประชุม แล้วนำข้อสรุปที่ได้ไปบอกบิดาตน เพื่อที่จะได้ขอพักยาวๆหลังจากฝึกทั้งเวทย์ ลมปราณและการปรุงยาจนแทบไม่มีเวลาพัก ไหนจะต้องค่อยรับมือกับการออดอ้อนอันไร้เดียงสาของลิลลี่เวลาอยู่ด้วยกันสองคน ไหนจะต้องรับมือกับพี่โรสที่จะกลับบ้านทุกวันหยุด ซึ่งเขาต้องทำการรับมือกับแม่เสือกระหายเลือดนี้ จะดีหน่อยตรงที่ลูน่าค่อยปรนบัติแบบเบาๆให้เป็นครั้งคราว
และด้วยเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ชายหนุ่มจัดเวลาการฝึกฝนต่างๆไว้อย่างเต็มอัตราศึก เพราะไม่รู้ว่าภัยพิบัติสิ้นปีมันจะรุนแรงขนาดไหน เพราะตามคำบอกเล่าของจูเนียร์ที่หมู่บ้านกรีนพีช จะเจอกองทัพสัตว์เวทประมาณสองพันถึงสามพันตัวเท่านั้นเอง ซึ่งแค่กองกำลังป้องกันหมู่บ้านก็เพียงพอรับมือแล้ว แต่ที่นี้มันเป็นเมืองหลวง และเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรไม่ต่ำกว่าล้านคนแน่นอน จำนวนสัตว์เวทน่าจะประมาณสิบล้านตัวเป็นอย่างต่ำ
ในตอนนี้เขากลายเป็นจอมเวทย์ธาตุดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขากำลังเลือกศิลาจิตอสูรธาตุต่างๆในระดับสามเพื่อหลอมรวมกับเม็ดพลังมานาอยู่ เพราะตอนนี้เขาสามารถใช้การหลอมรวมธาตุที่สองได้แล้ว แต่เขายังไม่แน่ใจว่าจะหลอมรวมเอาธาตุที่สองเลยดีหรือไม่ แล้วค่อยไปเสี่ยงว่ามันจะเป็นธาตุเดียวกับธาตุรองหรือไม่ ถ้าใช่เขาก็ไม่สามารถพัฒนาเป็นจอมเวทย์ไตรธาตุได้นั้นเอง
แน่นอนว่าการที่เขาเป็นจอมเวทย์ธาตุดินนี้ยังไม่มีใครรู้แม้กระทั่งภรรยาทั้งสองของเขา หรือจะเป็นทาสสาวที่ไม่เคยห่างกายเขาก็ไม่ทราบ การควบคุมพลังของเขาเข้าขั้นชำนาญแล้วเพราะเขาเข้าใจการควบคุมมานาอย่างลึกซึ่งแล้วนั้นเอง จากการที่เขาใช้พลังมานาในการโคจรไปรอบร่างกายทุกวัน ทำให้เขาเข้าใจถึงคุณลักษณะของมานาแล้วนั้นเอง
"นายท่าน เจ้าค่ะ" ลูน่าที่เดินตามหลังมาเอ่ยทักเมื่อเห็นเจ้านายของตนเหม่อยลอยขณะเดินไปยังศาลากลางน้ำ
"หืม" เขาหันไปมองด้านหลังก่อนจะเดินต่อไปอย่างช้าๆ
"มีอะไรหรือเปล่า" เขาถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของลูน่า
"นายท่าน ท่านจำได้ไหมเจ้าค่ะ ว่าท่านเคยบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่นายท่านทำไม่ได้"
"จำได้สิ อยากให้ข้าทำอะไรละ"
"ช่วยข้าให้ใช้มานาได้ไหมเจ้าค่ะ" ลูน่าตอบกลับด้วยสีหน้ามีความหวัง
"ข้าทำได้ แต่เจ้ากล้าที่จะลองหรือไม่" เขาเอ่ยเสียงเรียบ ในใจก็ลอบยินดีว่าจะมีหนูทดลองการฝึกลมปราณของตนแล้ว
"เจ้าค่ะ" ลูน่าตอบกลับทันที
ครรชิตได้แต่คิดในใจ ว่าในตอนนี้เขาบรรลุหลอมกระดูกเพชรเรียบร้อยแล้ว และสามารถความคุมกลิ่นหอมให้มีผลต่อใครได้บ้างแล้ว และเมื่อบรรลุหลอมกระดูกเพชรแล้ว ขั้นจิตแห่งเจตนาก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนแรกไปขั้นตอนสร้างทะเลลมปราณได้เลย ตอนนี้การสร้างทะเลลมปราณของเขาก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน เขากำลังจะสร้างเม็ดพลังเม็ดแรกในคืนนี้พอดี และก็มีหนูทดลองฝึกลมปราณอีกด้วยในคืนนี้
การที่เขาสร้างทะเลลมปราณได้ไวเพราะผลวิวัฒน์ ผลวิวัฒน์เป็นอาหารสำหรับสัตว์เวทระดับสามขึ้นไป มันมีมานาที่หนาแน่นจนกลายเป็นของเหลวนั้นเอง ของเหลวนั้นคือลมปราณนั้นเอง ผู้คนในแผ่นดินทลายฟ้าไม่สามารถดูดซับมานาจากมันได้ เพราะมันเข้มข้นเกินไปจนเป็นพิษต่อร่างกาย แต่ไม่ใช้สำหรับสัตว์เวทระดับสามขึ้น พวกมันสามารถดูดวับมานาเหลวนี้ได้และยังสามารถดูดซับได้ทั้งหมดอีกด้วย จึงทำให้พวกมันพัฒนาการระดับได้อย่างรวดเร็วนั้นเอง
ผลวิวัฒน์สามารถหาซื้อได้เรื่อยๆได้ที่กิลด์นักฝึกสัตว์หรือร้านค้าสัตว์เวท พวกมันมีราคาไม่แพงมากนักแค่ผลละสิบสองเหรียญจิตมารเท่านั้น ในตอนแรกที่เขาได้ยินชื่อมัน เขาต้องการเอามันมาพัฒนาระดับของเจ้าไลก้านั้นเอง แต่เมื่อเขาได้มันมาจากการให้ดูลันไปซื้อมา มันแทบทำให้เขาเก็บอาการประหลาดใจและดีใจจนเนื้อเต้นไม่ได้ จนต้องบอกให้ดูลันและลูน่าไปรับซื้อมาให้มากที่สุดเท่าที่มีเงินอยู่ตอนนั้น ทำให้ได้มันมาเกือบสองร้อยผลในวันเดียว และเพิ่มขึ้นทุกๆวัน จนตอนนี้แหวนมิติขนาดเล็กสองวงเต็มไปด้วยผลวิวัฒน์เลยทีเดียว
"มานั่งนี้สิ"
"เจ้าค่ะ" ลูน่ามานั่งบนตักข้าเหมือนทุกทีที่ข้าเรียกนาง ข้าลูบหัวนางเบาๆ ก่อนจะเอาผลวิวัฒน์ออกมาหนึ่งผล
"เจ้ารู้ใช่ไหมว่านี้คืออะไร"
"เจ้าค่ะ"
"งั้นก็คงรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถดูดซับมานาเหลวนี้ได้ แต่ข้าสามารถทำให้เจ้าดูดซับมันได้ เจ้าต้องการมันไหมแลกกับความเจ็บปวดอย่างน้อยสามทิวาราตรี" เขาเอ่ยเสียงนุ่มขณะเดียวกันก็โอบกอดและลูบหัวนางอย่างช้าๆ
ลูน่าพยักหน้าให้เด็กหนุ่มเจ้าของตักที่นางนั่งอยู่ เด็กชายปล่อยพลังบางอย่างออกมาจากฝ่ามือ พลังนั้นค่อยๆลอกเปลือกของผลวิวัฒน์ ผลวิวัฒน์มีรูปร่างเหมือนส้มที่มีเปลือกสีเทาซีดๆ เนื้อด้านในมันมีสีแดงสดเหมือนโลหิตและมีเม็ดเป็นสีขาวราวกับกระดูก เมื่อผลวิวัฒน์สีแดงสดปรากฏออกมามันก็แพร่รัศมีของพลังมานาที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ยิ่งนัก
พลังของผลวิวัฒน์หนึ่งลูกเท่ากับน้ำครึ่งแก้วที่เติมลงในทะเลลมปราณเลยทีเดียว เหมือนกับว่าใช้เวลากลืนกินและกลั่นมานาในธรรมชาติถึงครึ่งวันในครั้งเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับครรชิต ยิ่งมีมากเขาก็ยิ่งก้าวสู่การเป็นเซียนอมตะเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มค่อยๆบีบอัดและคันเอาเฉพาะน้ำสีแดงที่เต็มไปด้วยมานาของผลวิวัฒน์ออกมาเท่านั้น เขาค่อยๆอัดมันเป็นเม็ดเล็กๆเท่านิ้วโป้ง จนสีที่แดงสดกลายเป็นแดงเข้มจนเกือบจะกลายเป็นสีดำ เขาประคองเม็ดพลังนี้จอไปที่ปากของหญิงสาวในอ้อมกอด ก่อนสงสายตาอบอุนไปให้
"อ้าปากแล้วกลืนมันลงไป อย่างนั้นแหละเด็กดี" ครรชิตยิ้มน้อยๆให้ลูน่าก่อนจะประทับริมฝีปากเบาๆ แล้วถอนออกมาแล้วจ้องไปยังใบหน้าของลูน่าที่เริ่มแดงซ่าน นี้ไม่ใช้อาการเขินอายแต่เป็นเพราะร่างกายของเธอร้อนขึ้นจริงๆ จนเกิดสีแดงเนื่องจากเลือดไหลเวียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อระบายความร้อน เมื่อเห็นดังนั้นครรชิตก็เริ่มควบคุมเม็ดพลังให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ด้วยการใช้มือจับที่มือของหญิงสาวก่อนจะส่งพลังปราณของตนไปควบคุมเม็ดพลังอีกที
"ปล่อยตัวตามสบาย แล้วจับเส้นทางที่เม็ดพลังวิ่งผ่านให้ดี เมื่อข้าช่วยเจ้าโคจรรอบแรก ข้าจะปล่อยให้เจ้าโคจรต่อเอง" ครรชิตพูดอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ค่อยเคลื่อนเม็ดพลังอย่างช้าๆ ยิ่งเม็ดพลังเคลื่อนผ่านไปนานเท่าใดมันยิ่งมีขนาดเล็กเรื่อยๆจนครบหนึ่งรอบมันก็สลายหายไป
นี้เป็นสิ่งที่นิยมทำกันในดินแดนที่เซียนอมตะผู้นั้นจากมา เรียกว่าวิชาถ่ายทอดลมปราณฝ่ายอธรรม โดยอาจารย์หรือผู้ฝึกสอนจะสร้างเม็ดพลังที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณขึ้นมาหนึ่งเม็ด แล้วส่งมันเข้าสู่ร่างของลูกศิษย์โดยตรง แล้วค่อยๆโคจรมันไปทั่วเส้นชีพจรในร่างกาย เมื่อครบรอบเม็ดพลังนั้นจะหายไปเอง แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่จะฝึกตนเป็นเซียนอมตะ เพราะจะทำให้ร่างกายไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะรับทัณฑ์สวรรค์นั้นเอง แต่เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธทั่วไปมากกว่า
ยังมีอีกวิธีที่เป็นที่นิยม แต่วิธีนี้ใช้เวลายาวนานในการสร้างลมปราณขึ้นมาได้เอง นั้นคือการดูดซับลมปราณจากเม็ดยา สมุนไพรหรือแก่นสัตว์ปีศาจนั้นเอง เมื่อได้พลังมากพอที่จะโคจรไปทั่วร่างได้ก็เริ่มโคจรด้วยตัวเอง ถ้าสำเร็จก็จะสามารถเพิ่มพูนลมปราณได้ด้วยการโคจรไปเรื่อยๆแล้วมันจะดูดซับจากธรรมชาติหรือจะใช้วัตถุที่มีลมปราณก็ได้ แต่ถ้าโคจรไม่ครบรอบพลังลมปราณที่สะสมไว้จะหายไปหนึ่งส่วนแล้วต้องเริ่มสะสมใหม่แล้วค่อยโคจรอีกครั้ง
วิธีแรกมีผลลัพธ์ที่แน่นอนแต่มาพร้อมกับความเจ็บปวดมหาศาล เพราะร่างกายที่ไม่เคยได้รับลมปราณไม่อาจปรับสภาพได้ในเวลารวดเร็ว จึงเป็นที่มาของความเจ็บปวด ส่วนวิธีที่สองมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวแต่กลับไม่มีผลกระทบต่อร่างกายเลยแม้แต่น้อย ทำให้วิธีการแรกมักจะถูกเรียกว่าวิชาถ่ายทอดลมปราณฝ่ายอธรรม ส่วนวิธีที่สองถูกเรียกด้วยชื่อการถ่ายทอดลมปราณฝ่ายธรรมนั้นเอง
"ดีมากๆ อย่าเสียสมาธิละ การโคจรครั้งแรกก็ยากอย่างนี้แหละ" ครรชิตพูดอย่างปลอบโยนเมื่อเห็นว่าสีหน้าของลูน่า ปรากฏความเจ็บปวดและทรมานขึ้นเป็นบางครั้ง และเขาก็ยังมิได้ถอนลมปราณของเขาออกจากร่างกายของนาง เขาค่อยๆติดตามการโคจรของนางอย่างใกล้ชิด
ปัง! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในร่างกายของลูน่า ทำให้นางสั่นสะท้านครั้งหนึ่ง
"เจ้าโคจรรอบแรกได้แล้ว ต่อไปเจ้าต้องโคจรอีกเรื่อยๆจนกว่าเจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด" ชายหนุ่มยังคงพูดด้วยเสียงนุ่มๆ และค่อยลูบหัวแล้วเช็ดหน้าของลูน่าที่เต็มไปด้วยเหงื่อสีคล้ำ ที่บ้างครั้งก็มีเลือดสีดำส่งกลิ่นเหม็นไหลซึมออกมา
"เจ้าว่าข้าใช้วิธีกับภรรยาข้าดีไหมนะ พวกเจ้าจะได้อยู่กับข้าสักหลายร้อยปีถึงหลายพันปี ฮ่าๆ" ครรชิตหัวเราะอย่างมีความสุข เมื่อเขาสามารถอยู่ที่จะอยู่กินกับเหล่าภรรยาของเขาได้นับพันปี จะมีความสุขใดเทียบเท่านี้ได้เล่า!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
^~^