ตอนที่ 136 : เจ็ดวิญญาณอสูรและมหาจักรพรรดิเมฆา
บทที่ 3 : เจ็ดวิญญาณอสูรและมหาจักรพรรดิเมฆา
หลังจากคืนนั้น ในวันรุ่งขึ้นครรชิตได้เก็บตัวอยู่ในทำงานของตนเองเป็นเวลาหลายชั่วโมง เขาเพียงแค่กำลังทำความเข้าใจกับเนื้อหาในจดหมายที่แนบมา พร้อมกับหาวิธีเปิดหีบสีทองจากปริศนาในจดหมายนั้นเอง
จดหมายมีเพียงกระดาษสีทองที่ดูเปล่งประกายคล้ายกับวัสดุที่ใช้ทำหีบที่ส่งมาด้วยกัน ตัวกระดาษหน้าแรกเขียนถึงการชื่นชมความสามารถของชายหนุ่ม พร้อมกับคำยกย่งและแสดงความเคารพในการฝึกฝนของเขา
ส่วนด้านหลังของจดหมายเป็นเพียงสองประโยคสั้นๆ พร้อมกับข้อความลงท้ายอีกหนึ่งแถวที่บอกถึงความสำคัญของประโยคก่อนหน้าทั้งสอง ซึ่งเขากำลังคิดถึงคำตอบของมันอยู่หลายชั่วโมงแล้ว
หีบสีทองหลังจากที่พวกมันกลับไป ครรชิตรอจนกระทั่งบิดาและพ่อบ้านกลับไปพักผ่อน เขาจึงยกมันขึ้นมาถือด้วยมือเดียว ซึ่งมันหนักเพียงไม่กี่ตันเท่านั้น แตกต่างจากขนาดของมันที่อย่างน้อยก็นักหลายสิบตัน
เขายกมันขึ้นมาโดยแทบไม่ต้องออกแรง ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องทำงานเพื่อเปิดหีบและอ่านจดหมายให้เรียบร้อย
แต่ใครจะคาดคิดละว่า หีบสีทองนี้กลับไม่สามารถเปิดได้ด้วยวิธีปรกติ ไม่ว่าจะพยายามงั้นหรือทำลายมันก็ไม่เป็นรอยแม้แต่นิดเดียว ส่วนการสะเดาะกุญแจของหีบก็ลืมไปได้เลย เพราะมันไม่มีแม่กุญแจหรือช่องใบๆทั้งสิ้น เหมือนกับว่าหีบมันถูกหลอมออกมาเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
จนเขาละความสนใจไปจากหีบ ถึงได้พบว่าการจะเปิดหีบสีทองนี้ได้ต้องตอบคำถามทั้งสองคำถามให้ได้เสียก่อน เมื่อตอบได้ทั้งสองข้อหีบจะเปิดทั้งสองด้าน และจะได้รับของภายในไปทั้งหมด แต่ถ้าตอบได้เพียงคำถามเดียว หีบก็เปิดเช่นกันแต่จะเปิดเพียงด้านหนึ่ง ซึ่งมีของเพียงเครึ่งเดียวของของทั้งหมด
คำถามมันไม่ยากและไม่ง่าย แต่มันกลับทำให้ชายหนุ่มต้องครุ่นคิดเป็นเวลานาน ทั้งๆที่คำตอบมันก็แทบจะอยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว
"ใครเป็นคนคิดคำถามกันนะ" เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปที่หีบอย่างเซ็งๆ
"มนุษย์และมนุษย์" เขาพูดออกมาเบาๆ
กลไกบนหีบกลับทำงานอย่างรวดเร็ว เสียงของตัวล็อคดังขึ้นถี่ยิบ มันถี่เสียจนไม่อาจจะระบุจำนวนของตัวล็อคได้เลยแม้แต่น้อย
หีบสีทองที่ด้านนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนอกจากเสียงดัง'ก๊อง'ที่ดังออกมาถี่ยิบเท่านั้น มันก็เริ่มปรากฏการเปลี่ยนรูปร่างไป ผิวชั้นนอกของมันเลื่อนไปยังมุมของหีบทั้งแปดมุมของหีบสี่เหลี่ยมพื้นผ้า ก่อนจะหายเข้าไปในมุมทั้งแปดมุมจนสิ้น ตามด้วยผิวชั้นในที่หายไปเช่นนี้ที่ละชั้นที่ละชั้น
จนขนาดของมันที่ใหญ่ประมาณหีบใส่เสื้อผ้ากลายเป็นกล่องขนาดเท่ากับกล่องเครื่องมือ และสีของมันจากสีทองเปล่งประกายกลายเป็นสีทองที่ดูนวลตาและกลับให้ความรู้สึกคุกคาม นอกจากสีทองที่ดูนวลตาแล้วยังมีสีม่วงเล็ดรอดออกมาเป็นบางครั้ง
กล่องขนาดเท่ากล่องเครื่องมือเปิดตัวเองออกมา ด้านในมีสิ่งของวางอยู่เจ็ดชิ้น ทั้งเจ็ดชิ้นต่างก็เป็นเป็นเครื่องประดับที่ดูแปลกตาทั้งสิ้น เขามองไปที่มันก่อนที่จะรับความรู้สึกที่คุ้นเคยแผ่ออกมาจากพวกมัน
เมื่อเขายกถาดที่ใส่เครื่องประดับในกล่องออกมา ยังไม่ทันที่จะได้สำรวจเครื่องประดับที่อยู่ในมือของเขา ตัวกล่องสีทองประกายม่วงกลับเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มันปิดฝากล่องและเริ่มหดตัวเองลงอย่างรวดเร็วซึ่งเร็วกว่าตอนแรกเสียอีก มันหดจนมีขนาดเท่ากับกล่องใส่แหวนขนาดเล็ก มันก็เปิดฝาออกมาอีกครั้งซึ่งด้านในมีแหวนวงหนึ่งวางเอาไว้
เขาหยิบแหวนออกมาก่อนจะตรวจสอบมัน เมื่อส่งมานาและลมปราณเข้าไปตรวจสอบ สิ่งที่เขาค้นพบค่อนข้างทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พอเข้าใจถึงความต้องการของผู้อาวุธโสอาซาอยู่ไม่น้อย
แหวนวงนี้เป็นแหวนมิติไร้ระดับ เพราะมันไม่ได้มีพื้นที่ภายในที่ใหญ่โตสักเท่าใด แต่กลับสามารถเก็บสิ่งของเพียงหนึ่งชนิดได้มากกว่าที่พื้นที่นั้นบอกนับสิบเท่า เช่นตอนนี้ในแหวนเต็มไปด้วยชั้นหนังสือถึงสิบชั้น แต่พื้นที่ของจริงกลับทำได้เพียงใส่ชั้นหนังสือได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น
แต่มันกลับมีขอเสียที่น่ากลัว กล่าวคือถ้าใส่ดาบลงไปหนึ่งเล่ม มันสามารถเก็บดาบได้อีกเก้าเล่มแต่ไม่สามารถใส่สิ่งของอื่นๆลงไปได้อีก ถึงแม้จะมีพื้นที่เหลืออีกเยอะก็ตามที และของขนาดใหญ่สุดก็เท่ากับพื้นที่ที่มิติแสดงออกมาเท่านั้น
หนังสือส่วนมากในชั้นเป็นเพียงหนังสือเกี่ยวกับตระกูลเกือบทั้งหมด และมีเพียงสองชั้นที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับความรู้ทางด้านการปรุงยา การตีอาวุธ การฝึกฝนและการค้าขายของตระกูล ส่วนที่เหลือเป็นประวัติศาสตร์ของตระกูลและประวัติของคนในตระกูลที่โด่งดังในอดีตถึงปัจจุบัน
แท้จริงแล้วหนังสือทั้งสิบชั้นนี้ทุกคนในตระกูลหลักและตระกูลรองต้องท่องจำให้ได้ตั้งแต่เล็ก เพื่อเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการอยู่ในตระกูล แต่สำหรับจูเนียร์และเด็กๆอีกหลายคนที่ออกจากตระกูลตั้งแต่รุ่นพ่อแม่อาจจะไม่ได้รับความรู้เช่นนี้ จึงทำให้การเข้าสังคมของตระกูลมีปัญหาได้
และไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ได้ของชิ้นนี้ เด็กๆแทบทุกคนจะได้แหวนมิติไร้ระดับนี้กับแทบทั้งสิ้น มีเพียงของในกล่องก่อนหน้าที่แตกต่างกันไปตามฝีมือในการประลอง
สำหรับของที่เขาได้เป็นเครื่องประดับที่ส่งกลิ่นไอที่คุ้นเคยอย่างประหลาดมาให้เขา ซึ่งเขาลองตรวจสอบมันดูหลังจากเก็บแหวนมิติไร้ระดับไว้ที่บนชั้นเหนือโต๊ะขึ้น
ในถาดนอกจากเครื่องประดับทั้งเจ็ดชิ้นยังมีกระดาษแผ่นเล็กๆวางเอาไว้อยู่ มันมีเนื้อหาเพียงสองบรรทัดเท่านั้น
" 'เจ็ดวิญญาณอสูร'อุปกรณ์สำหรับเสริมพลังให้แก่ร่างกาย ถูกสร้างจากโลหะเวทมนตร์อสูรเพื่อใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกาย" เขาพูดออกมาเบาๆ ก่อนเข้าใจถึงความคุ้นเคยที่ได้รับจากการสัมผัสกับเครื่องประดับทั้งเจ็ดชิ้น
"ต้องไปที่ลานหลังบ้าน ไม่งั้นห้องได้พังหมดแน่" เขาพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องแล้วตรงไปยังลานกว้างหลังบ้านพักของเขา
เมื่อมาถึงลานหลังบ้านโดยที่ในมือยังมีถาดใส่เครื่องประดับทั้งเจ็ดอยู่ เขาจัดการสวมใส่เครื่องประดับทั้งเจ็ดชิ้น ซึ่งมันเป็นสร้อยคอหนึ่งชิ้น จึ้อีกหนึ่งชิ้นสามารถรวมทั้งสองชิ้นเป็นหนึ่งได้ ปลอกนิ้วสองชิ้นสำหรับนิ้วโป้งทั้งสองข้าง กำไลข้อมือสองชิ้น กำไลข้อเท้าอีกสองอันและเข็มขัดอีกหนึ่งเส้น
เครื่องประดับทั้งเจ็ดชิ้น ทั้งหมดเป็นสีทองประกายม่วงมีลวดลายเป็นสิ่งมีชีวิตเจ็ดชนิดด้วยกัน ทั้งหมดเหมือนกับว่าพวกมันมีชีวิตและจิตใจอย่างแท้จริง
"ออกมา! มหาจักรพรรดิเมฆา!" พูดส่งเสียงอันหนักแน่นออกมา ก่อนที่กำไลมิติระดับสูงของเขาจะเรืองแสงที่แสดงให้เห็นว่ามีการเรียกใช้กำไลในการนำสิ่งของออกมา
สิ่งที่ปรากฏออกมาหลังจากแสงจากกำไลดับลงในเสี้ยววินาทีต่อมาคือดาบขนาดใหญ่หนึ่งเล่ม มันมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าร่างกายของครรชิตเสียอีก ความสูงของมันอย่างน้อยก็เกือบสองเมตรครึ่ง ซึ่งนั้นเป็นเพียงส่วนใบดาบเท่านั้นและตัวดาบเองกว้างเกือบสามสิบเซนติเมตร ทำให้มันเป็นดาบที่ใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะใช้
ตัวดาบเป็นโลหะสีน้ำเงินเข้มตัดกับส่วนคมที่เป็นสีฟ้าอ่อนจนแทบจะโปร่งใส จนแทบจะมองไม่เห็นส่วนคมของดาบแม้แต่น้อย รูปทรงของดาบเหมือนกับดาบตัดหัวที่ปลายดาบถูกตัดเฉียงสี่สิบห้าองศา
ระหว่างใบดาบและด้ามจับมีกั้นดาบสีดำที่ทำจากโลหะสีม่วงเข้มจนเกือบดำ ที่กั้นดาบเป็นรูปปุยเมฆที่ม้วนตัวราวกับเกิดพายุ ส่วนด้ามจับทำจากโลหะสีน้ำเงินเช่นเดียวกับตัวดาบ มันสลักลายเป็นรูปมงกุฎที่ปลายด้ามจับ ส่วนที่เหลือพันด้านหนังสัตว์นี้ส่งกลิ่นอายน่าขนลุกออกมา
ที่กั้นระหว่างใบดาบและด้ามจับนอกจากตัวโลหะสีม่วงแล้ว ยังมีลูกแก้วขนาดเท่ากำปั้นติดอยู่เป็นแก่นหลักของที่กั้นดาบ มันเปล่งประกายราวกับมีชีวิต มันมีจังหวะการเปล่งประกายคล้ายกับการเต้นของหัวใจสิ่งในมีชีวิต
"เจ้าเรียกข้าออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้วเจ้ามนุษย์ โอ้! ดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ้าจะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่กับตัวเสียด้วย" น้ำเสียงที่เก่าแก่และทรงอำนาจดังขึ้นในหัวของชายหนุ่ม ทำให้สีหน้าของเขาแปลกพิกลราวกับพบสิ่งที่น่ารำคาญ
"หุบปากสักครู่จะได้ไหมเจ้ามหาจักรพรรดิเมฆา" ครรชิตพูดออกมาอย่างแผ่วเบาอย่างยากเย็น พร้อมกับที่ร่างกายของเขาส่งเสียดังลั่นออกมาราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
"ย๊าก!!!" เขาตะโกนขึ้นก่อนจะกวัดแกว่งดาบมหาจักรพรรดิเมฆาด้วยกระบวนท่าดาบใหญ่ชุดหนึ่ง
"เมฆาผันแปร!!!" ท้องฟ้าพลันกลายเป็นยามค่ำคืนในฉับพลัน เมฆบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นเมฆพายุในทันที เสียงฟ้าร้องฟ้าฝ่าดังกระจายออกไปรอบๆเมืองหลวง บนท้องฟ้าฝนตกลงมาราวกับจะกวาดล้างทุกสิ่งให้สูญสิ้นไป พร้อมกับลมพายุที่พัดกวาดต้นไม้และสิ่งของกระจัดกระจายและดูดมันขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในทางด้านครรชิตหลังจากออกกระบวนท่าเสร็จสิ้น เขาก็ปักดาบลงบนพื้นดินอย่างหมดแรง ปล่อยให้ความวิปโยคที่เกิดขึ้นเหนือเมืองหลวงอเคเซียเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
เปรี๊ยง!
พื้นที่รับแรงกระแทกของการปักดาบแตกกระจายคล้ายใยแมงมุม มันมีความกว่าจากจุดที่ดาบปักอยู่เกือบสิบเมตร และยังมีรอบยุบลงไปอีกหลายสิบเซนติเมตร เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับรอยราวของพื้นดิน เขากลับนั่งพิงดาบมหาจักรพรรดิเมฆาอย่างหมดแรงเสียอย่างนั้น
"ฮ่าๆๆๆ ข้าไม่คิดว่าเพียงแค่เจ้าจะมีวิญญาณอสูรระดับต่ำสุดเพียงเจ็ดดวง จะสามารถกวัดแกว่งกระบวนท่าของข้าได้เช่นนี้ ดูเหมือนการเลือกเจ้าเป็นผู้สืบทอดจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเสียแล้ว!" เสียงหัวเราะและคำพูดของมหาจักรพรรดิเมฆาดังก้องในหัวของเขา ก่อนที่ดาบจะสั่นไหวไปมาตามจังหวะการหัวเราะอย่างยินดีของมัน
"บัดซบ! เจ็ดวิญญาณอสูรแทบจะไร้ค่าเมื่อใช้กับเจ้าดาบนี้" เขาสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะเก็บดาบเข้าไปในแหวนมิติระดับสูง เพื่อลดภาระของร่างกายลงไปให้มากที่สุด
มหาจักรพรรดิเมฆาและเจ็ดวิญญาณอสูรล้วนทำมาจากวัตถุดิบที่คล้ายกันเป็นอย่างยิ่ง พวกมันมีชื่อเรียกว่า'โลหะเวทมนตร์อสูร' เป็นหนึ่งสามของโลหะเวทมนตร์ที่ดีที่สุดในบรรดาโลหะเวทมนตร์
โลหะในแผ่นดินนี้แบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือโลหะธรรมดาที่ไม่มีมานาหรือพลังเวทย์ธาตุอยู่ภายในตัวโลหะ อีกชนิดคือโลหะที่มีพลังมานาหรือพลังเวทย์ธาตุแฝงอยู่ภายใน ซึ่งถูกเรียกว่าโลหะเวทมนตร์
โลหะเวทมนตร์ตัวมันเองก็แบ่งออกไปอีกหลายชนิดและมีชื่อเรียกอีกหลายอย่าง ที่พบได้ไม่ยากในแผ่นดินนี้คือโลหะเวทมนตร์เหลว คุณสมบัติพิเศษของมันนอกจากมีพลังมานาในตัวเองแล้ว มันยังสามารถสร้างรูปร่างออกมาได้ตามความคิด แต่ข้อเสียของมันคือการที่ผิดพลาดได้ง่าย และมักจะนำมันไปทำเป็นอุปกรณ์เวทย์ระดับกลาง
หายากขึ้นมาอีกระดับคือโลหะที่มีธาตุอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งเราเรียกพวกนี้ว่า'โลหะเวทมนตร์ธาตุ' คล้ายกับโลหะเวทมนตร์เหลว พวกมันมีพลังในตัวเองแต่เป็นพลังมานาธาตุหรือเวทย์ธาตุ และสามารถตีขึ้นรูปได้ง่ายกว่าโลหะเวทมนตร์เหลวที่แข็งตัว คุณสมบัติที่ดีของมันคือการที่มันชดเชยพลังธาตุที่ใช้สำหรับเวทมนตร์ได้ แตกต่างจากโลหะเวทมนตร์เหลวที่เป็นพลังมานาดิบที่ไม่ผ่านการเปลี่ยนคุณลักษณะ
ส่วนระดับหายากที่สุดคือ'โลหะเวทมนตร์อสูร' เป็นโลหะเวทมนตร์ที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง มันเป็นโลหะที่เกิดจากการที่ศิลาจิตอสูรระดับสิบ หรือศิลาจิตอสูรที่มีสติปัญญาสูงมากพอหลอมรวมกับโลหะเวทมนตร์ชนิดใดชนิดหนึ่ง แล้วก่อรูปร่างเป็นโลหะทรงกลมที่มีชีวิต
แต่มันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระหรือไปไหมมาไหนได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหมื่นปีถึงจะสามารถก่อตัวเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ดังเดิม จนสามารถใช้ชีวิตเช่นเดิมได้อย่างปรกติ แต่ถ้าต้องการเคลื่อนไหวก็เพียงหนึ่งพันปีก็เพียงพอแล้ว
นอกจากโลหะเวทมนตร์ทั้งสามอย่างแล้วยังโลหะเวทมนตร์ที่มีความแปลกและหาได้ยากยิ่งกว่านี้อีกหลายชนิด บางอย่างมีเพียงชิ้นเดียวในแผ่นดินด้วยซ้ำไป และการตามหาพวกมันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
มหาจักรพรรดิเมฆาถูกสร้างจากโลหะเวทมนตร์อสูรระดับสูงสุด หรือก็คือมันคืนชีพตัวเองได้ครบร้อยส่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความแข็งแกร่งและพลังอำนาจของมันใกล้เคียงกับสัตว์อสูรเป็นอย่างยิ่ง แล้วในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมานั้นทำให้มันหลุดผลจากห้วงฤดีมรณะมานานแล้ว ทำให้มันมีชีวิตจิตใจและสามารถตอบโต้ได้เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง
แต่กลับถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งผนึกและนำมาสร้างเป็นศาสตราวุธ แต่ทว่าผู้ใช้กลับไม่มีใครเปล่งอนุภาคของมันได้แม้แต่คนเดียว มีเพียงคนหนึ่งที่พอจะเรียกได้ว่าใช้มันได้ มันสามารถใช้ดาบใหญ่นี้ได้เพียงสามครั้งในชีวิต ซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในรอบพันปีที่มันถูกสร้างขึ้นมา แต่ทว่าหลังจากนั้นกลับไม่มีใครจะสามารถถือมันไว้ในมือได้แม้แต่คนเดียว
ผู้ที่ได้ลองถือมันถ้าไม่ตายก็พิการไปจนหมดสิ้น เพราะไม่ใช่เพียงน้ำหนักที่มากมายของมันที่หนักราวๆหนึ่งร้อยห้าสิบตันเท่านั้น แต่ต้องใช้พลังมานาจำนวนมหาศาลในการถือมันเอาไว้เพียงวินาทีเดียว และการกวัดแว่งมันให้ได้สักหนึ่งครั้งต้องใช้ทั้งแรงกายและพลังมานาเกือบหมดตัวของครรชิต
แต่สำหรับเจ็ดวิญญาณอสูรเป็นเพียงโลหะเวทมนตร์อสูรที่ถูกสร้างโดยฝีมือมนุษย์ ทำให้มันมีระดับต่ำสุดของบรรดาโลหะเวทมนตร์อสูร ด้วยการฝืนหลอมศิลาจิตอสูรกับแร่โลหะเวทมนตร์ ด้วยการก่อรูปโลหะเวทมนตร์เป็นวงเวทย์บนศิลาจิตอสูรระดับต่ำกว่าหก เพราะในระดับเจ็ดไม่อาจจะบังคับจิตอสูรที่ยังคงเหลือด้วยการที่มันมีสติปัญญามากพอจะดิ้นรนได้
ด้วยวงเวทย์ที่ถูกก่อรูปลงไป พลังมานาและตัวโลหะจะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปยังศิลาจิตอสูร และศิลาจิตอสูรจะเริ่มทำตามเจตจำนงเดิมของสัตว์เวทตัวนั้น ด้วยการพยายามคืนชีพตัวเองจากพลังมานาและโลหะเวทมนตร์เหลวที่ไหลซึมเข้ามายังจิตอสูรของมัน
หลังจากกระบวนการนี้ดำเนินไปได้เกือบปี มันจะได้โลหะเวทมนตร์อสูรเทียมขึ้นมา ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทันทีแต่มันก็มีขนาดเล็กและมีอำนาจเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากกว่าเศษโลหะเวทมนตร์ที่หาได้ยากตามธรรมชาติเล็กน้อย
ความยากของมันคือการหาศิลาจิตอสูรระดับหกมาทำ และไม่ใช่ทุกอันจะกลายเป็นโลหะเวทมนตร์อสูรเทียม บ้างอันกลายเป็นเพียงเศษโลหะเวทมนตร์ที่ผุพังก็มี และการหลอมรวมล้มเหลวก็มีโอกาศเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับตระกูลขุนนางขั้นกลางที่อยู่รอดมาหลายพันปี โลหะเวทมนตร์อสูรเทียมเพียงเจ็ดชิ้นนับว่าเรื่องเล็กน้อย อย่างน้อยในคลังของมันต้องมีไม่ต่ำกว่าพันชิ้นเป็นอย่างต่ำ ด้วยการออกล่าและภัยพิบัติสิ้นปีตลอดพันปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ครรชิตกำลังนั่งพักอย่างเหนื่อยหอบ ด้านตัวเมืองหลวงอเคเซียกำลังวุ่นวายไปด้วยกองทหาร ที่กำลังตรวจสอบแหล่งที่มาและสาเหตุของเหตุการณ์วิปโยคเมื่อสักครู่อย่างวุ่นวาย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชั้นหนังสือก็เก็บได้สิบ ดาบก็เก็บได้สิบ ทั้งๆที่ดาบโดยทั่วไปน่าจะเล็กกว่าชั้นหนังสือ ดูแล้วไม่เกี่ยวกับขนาดพื้นที่ในแหวนเลย
แหวนแมกมัสมีกี่วงครับ
-วงหนึ่งเป็นระดับสูง แต่บอกว่าซื้อมาสองวง(วงหนึ่งหรือสองวง)
-หกวงเป็นระดับกลาง
-สามวงเป็นระดับต่ำ
เครื่องประดับถ้านับสร้อยกับจี้ที่รวมเป็นหนึ่งชิ้น นับรวมที่เหลือทั้งหมดก็ได้แปด
อย่าลืมกลับมาแก้เน่อ พวกคำผิด คำพลาด มันจะช่วยให้เรื่องลื่นไหลได้เยอะเลย
มันจะโหด
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 9 ธันวาคม 2559 / 13:08