ตอนที่ 122 : พิธีจบการศึกษา
บทที่ 3 : พิธีจบการศึกษา
การทดลองอาวุธและชุดเกราะใหม่ของสามสาวเริ่มขึ้นหลังจากนั้นในไม่นาน เมื่อกองทัพของพวกสัตว์เวทได้เดินทัพมาประชิดเมืองในวันที่สามสิบเดือนสิบสอง ซึ่งเที่ยงคืนของวันนี้จะเป็นการเริ่มการโจมตีครั้งใหม่
ก่อนที่การโจมตีจะเปิดฉากขึ้น ครรชิตได้ลอบไปพบกับบิดาของตน พร้อมกับพาเขากลับมายังบ้านหลังใหม่นี้อีกด้วย
"ท่านพ่อ ข้ามาหาท่านแล้วนะครับ" ครรชิตเดินเข้าไปยังห้องนอนแห่งหนึ่งในตึกทหารรับจากของลุงมาสัน ซึ่งมันเป็นห้องพักที่แยกออกมาจากหองพักของคนอื่นๆ มันอยู่สุดริมทางเดินและไม่ค่อยมีใครเดินผ่านมันมากนัก จึงทำให้ห้องนี้ดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก
"สองปีกว่าแล้วสินะลูกข้า มาให้บิดาเจ้าดูหน้าสักหน่อยเถอะ" บิชอบพูดเสียงสั่น ก่อนจะหวักมือเรียกชายหนุ่มให้มานั่งข้างๆตน
"ใช่แล้วครับท่านพ่อ ท่านสบายดีไหมครับ สองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างครับ" ครรชิตถามด้วยรอยยิ้มมีความสุข
"ข้าก็ยังอยู่ดีมีสุขลูกข้า ขอบใจเจ้ามากที่ได้ให้ตำราเล่มนั้นกลับข้า ทำให้ข้าสามารถผจญภัยได้อีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่ได้ใช้นามเดิมก็ตามที" บิชอบพูดรอยยิ้มอันเจิดจ้า พร้อมกับพลิกงายผ่ามือ ซึ่งปรากฏก้อนพลังสีน้ำตาลเข้มออกมา มันมีพลังมากว่าพลังมานาหลายเท่านัก
"ข้าที่ได้เห็นท่านมีความสุขข้าก็ดีใจ" เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เห็นจางหายไปไหน
"ข้าได้รับเอาข้ารับใช้เดิมมาจากตระกูลแอสลาสทั้งหมดแล้ว ข้าเลือกเฉพาะกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์กับพวกเรามากที่สุด ข้าพาพวกมันมาอยู่กับข้าที่บ้านหลังหใม่ของพวกเราด้วย ส่วนบ้านที่หมู่บ้านกรีนพีชข้าไม่ได้เลือกมัน แต่ข้าเลือกสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ามาแทน ขออภัยในการตัดสินใจของข้าด้วย"
ครรชิตก้มหัวขอโทษสักพัก เขาไม่ได้รับการตำหนิจากบิดาเขาแม้แต่น้อย มีเพียงรอยยิ้มอย่างดีใจเท่านั้นที่แสดงออกมา บิชอบเพียงแค่กล่าวให้อภัยกับเรื่องที่ลูกชายตนขอโทษเพียงเท่านั้น
"เจ้าไม่ต้องกังวลมากนักหรอก ไม่ได้คืนก็ไม่เป็นอะไร ยังไงที่แห่งนั้นก็มีความทรงจำเพียงเล็กน้อยสำหรับข้าก็เท่านั้น สู้บ้านของเจ้าดีลไม่ได้ที่ข้าอาศัยอยู่ที่นั้นนานกว่าห้าปีเสียอีก จนมีเจ้านั้นแหละข้าถึงได้ลงหลักปักฐานที่บ้านหลังนั้น"
สองพ่อลุกพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง ส่วนมากก้เกี่ยวกับการต่อสู้และประสบการณืที่ผ่านมาของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีสัตว์เวท การหลอกล่อ เทคนิคการใช้ดาบในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเรื่องพลังลมปราณที่แลกเปลี่ยนผลที่เกิดขึ้นในสองปีที่ผ่านมา
พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันหลายชั่วโมง แต่ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ยิ่งคุยพวกเขายิ่งพูดกันถูกคอมากขึ้น จากที่พูดคุยเหมือนพ่อกับลูกชายธรรมดา เริ่มกลายเป็นสหายที่รู้ใจพูดคุยกันไปเสียอย่างนั้น
โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตถึงเวลาที่เดินผ่านไป ในตอนนี้มันเป็นเวลาย่ำค่ำของวันนั้นแล้ว พวกเขาพูดคุยกันมาตั้งแต่ยามสายของวันนี้ โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่น้อย เมื่อยามค่ำมาถึงพวกเขาถึงงรุ้สึกตัวว่าเวลามันผ่านมานานเท่าใดแล้ว
"ท่านพ่อ ข้าขอเชิญท่านไปอาศัยอยู่ที่บ้านของข้าเถอะ กลับไปเป็นบิชอบคนเดิมผู้เป็นบิดาของข้าด้วยเถอะ" ครรชิตขอร้องกึ่งบังคับบิชอบที่ไม่ต้องการจะกลับไปใช้ชื่อเดิมอีกต่อไป
"ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าร้องขอสักครั้ง เราไปกันเถอะ" บิชอบพูดขึ้นหลังจากทนการรบเร้าของชายหนุ่มไม่ไหว
บิชอบเริ่มลงมือเก็บทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายในห้องเข้าแหวนมิติของตน พร้อมกับเก็บข้าวของที่ไม่ได้ใช้ให้เป็นระเบียบเหมือนตอนเขาย้ายเข้ามา ก่อนจะเดินไปยังหน้าประตูห้องที่มีครรชิตยืนรออยู่
"เชิญท่านพ่อก่อนเลย" ชายหนุ่มผายมือไปทางประตู ก่อนจะเดิมตามหลังชายวัยกลางคนไป
พวกเขาเดินออกจากตึกกิลด์ทหารรับจ้าง ก่อนจะขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตึกกิลด์ มันนำทั้งคู่ไปยังท้องถนนที่เต็มไปด้วยโคมไฟสีเหลืองนวล ที่ให้แสงมากพอจะเห็นถนนหนทางเพียงเท่านั้น ก่อนที่รถม้าจะหลายเข้าไปในเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามบ้านเรือนต่างๆ
ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่สิบนาที พวกเขาก็บรรลุถึงบ้านใหม่ของครรชิต ที่หน้าประตูบ้านยังคงมียามสองคนค่อยเฝ้าเอาไว้
เมื่อพวกมันเห็นรถม้าของเจ้าของบ้านอย่างครรชิตเคลื่อนตัวเข้ามา พวกมันก็รีบเปิดประตูด้วยความรีบร้อนและไม่ร้อนร้น เมื่อประตูเปิดออกสุดก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถม้ามาถึงทางเข้าพอดี
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าสู่บ้านขนาดใหญ่อย่างเชื่องช้า จนมันไปจอดนิ่งสนิทอยู่ตรงบริเวณทางเข้าบ้าน ซึ่งมีข้ารับใช้คอยต้อนรับเช่นครั้งที่สามสาวมาถึงเป็นครั้งแรก เป็นครรชิตที่เดินลงมาก่อน ก่อนที่บิดาของเขาจะเดินลงมาหลังจากนั้น
ใบหน้าที่คุ้นเคยของบิชอบ ทำให้บรรดาข้ารับใช้ที่มีอายุมากพอสมควรต่างตกใจจนพูดไม่ออก บ้างคนถึงกับร้องไห้ดีใจเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นนายเหนือหัวของตัวเองยังไม่ตายและยังอยู่ดีมีสุขเป็นอย่างยิ่ง จะไม่ให้พวกมันไม่ดีใจได้อย่างไร
ครรชิตปล่อยให้บิดาและข้ารับใช้พูดคุยกันไปก่อน ส่วนตัวเองก็แยกออกมาจัดการอะไรต่อมิอะไร รวมทั้งจัดแจงของขวัญไปวางไว้ในห้องที่เขาได้จัดเตรียมไว้ให้บิชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันเป็นห้องที่อยู่ใกล้กับห้องนอนบนชั้นสองของเขาเอง โดยมันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถใส่เตียงขนาดสี่คนลงไปได้ พร้อมตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่อีกสิบกว่าตู้ลงไปได้ พร้อมด้วยห้องน้ำส่วนตัวขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งภายในมีทั้งห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำที่มีอ่างอาบน้ำอยู่ พร้อมทั้งห้องน้ำแยกออกมาอีกห้องหนึ่ง ทำให้มันเป็นห้องพักสุดหรูในชั้นเฟิร์สคลาสเลยทีเดียว
บ้านทั้งหลังตกแต่งด้วยสไตล์โมเดลผสมกับยุคกลาง ทำให้มันดูหรูหราแต่ก็ไม่ดูหรูมากจนเกินไป มีความสวยงามและมีประโยชน์ใช้สอยอย่างเต็มที่ และไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
บ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามส่วนด้วยกัน คือส่วนตัวบ้านหลังที่เขาอาศัยอยู่ มันมีทั้งห้องรับแขกขนาดใหญ่ ห้องนอนแขกและห้องนอนของเจ้าบ้าน ส่วนที่สองคือส่วนกลางของบ้านหลังนี้ มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเป็นห้องอาหาร ห้องเต้นรำ ห้องจัดงานเลี้ยงและห้องฝึกซ้อมไปในตัว ในส่วนนี้จะมีโรงครัวและห้องทำงานของเขาอยู่ รวมทั้งห้องเก็บของขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนโกดังเลยก็ว่าได้
ส่วนสุดท้ายเป็นเรือนพักของข้ารับใช้ซึ่งอยู่หลังส่วนกลางไป มันมีทั้งหมดสองชั้นซึ่งเต็มไปด้วยห้องขนาดกลางเกือยร้อยห้อง ซึ่งตอนนี้มีข้ารับใช้จับจองอยู่เพียงไม่กี่สิบห้องเท่านั้น
หลังจากที่อะไรหลายๆอย่างลงตัวแล้ว มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ภัยพิบัติสิ้นปีได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งครอบครัวของเขาได้ไปประจำการทางทิศเหนือ โดยมีครอบครัวของลุงดีลมาอยู่ด้วยกันอีกกลุ่มหนึ่ง
ฝีมือของสองครอบครัวนั้นแตกต่างกันเล็กน้อย เพราะทางฝั่งของครอบครัวลุงดีลเป็นทหารรับจ้างมืออาชีพ พร้อมด้วยกำลังข้ารับใช้ที่ฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้มีฝีมือที่เข้มแข็งและเข้าขากันดี จนสามารถฆ่าสัตว์เวทไปได้จำนวนมาก
ส่วนทางด้านครอบครัวของบิชอบนั้น หลังจากที่เขาได้เข้าไปดูแลการฝึกแทนที่ครรชิต เขาก้ได้ให้แต่ละกลุ่มฝึกซ้อมการต่อสู้เป็นกลุ่มและการกวาดล้างสัตว์เวทจำนวนมากในครั้งเดียว
ในตอนแรกพวกมันไม่เคยได้รับการฝึกเช่นนี้ เพราะทั้งครรชิตและเมย์ต่างเป็นพวกที่ไม่ต้องสนใจปริมาณของสัตว์เวท มีมากเท่าใดก็ฆ่าพวกมันให้หมดในครั้งเดียวเท่านั้น มีเพียงพวกระดับกลางหรือระดับหกขึ้นไปเท่านั้น ที่อาจจะต้องเสียเวลาจัดการกับพวกมันบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับสัตว์เวทระดับต่ำทั้งหลายนั้นเพียงแค่เวทย์บนเดียว หรือการกวัดแกว่งอาวุธเพียงครั้งเดียวทั้งสองคนก็จัดการได้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัวในทีเดียว
ในบริเวณที่ทั้งสองครอบครัวประจำการอยู่ พวกสัตว์เวทต่างล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เวทมนตร์ถูกยิงลงไปอย่างต่อเนื่อง พวกนักรบก็ใช้ทั้งธนูและหน้าไม้ที่ถูกเสริมด้วยพลังมานาโจมตีลงไป หรือจะใช้หอกขว้างก็ไม่ว่ากัน จนทำให้ด้านล่างของกำแพงเต็มไปด้วยซากสัตว์เวทหลายพันตัว
ภัยพิบัติสิ้นปีในครั้งนี้ดูเหมือนจำนวนสัตว์เวทที่บุกเข้ามาจะน้อยลงไปสักเล็กน้อย นี้น่าจะเป็นเพราะมีการย้ายถิ่นฐานของขุนนางหลายกลุ่ม พวกมันได้กระจายไปตามเมืองอื่นและหมู่บ้านขนาดใหญ่ รวมทั้งพวกพ่อค้าและชาวบ้านที่ไปบุกเบิกหมู่บ้านใหม่ๆ แทนที่จะกระจุกรวมกันอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งจะทำให้สัตว์เวทมันเพิ่มขึ้นหลายพันตัว
เมื่อกระจายไปยังที่ใหม่รอบอาณาจักร ก็ทำให้สัตว์เวทบุกเข้าเมืองต่างๆน้อยลง และสัตว์เวทสำหรับพวกหมู่บ้านก็อ่อนแอเกินไปสำหรับพวกนับรบ ยกเว้นก็แต่หมู่บ้านที่มีแต่พวกคนธรรมดาที่อาจจะหนักหนาอยู่บ้าง
หลังจากภัยพิบัติสิ้นปีได้จบลงไป ก็ทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาวะปรกติ แต่ราคาข้าวของจำเป็นก็ยังคงแพงอยู่บ้าง แม้จะไม่เียบเท่ากับช่วงภัยพิบัติสิ้นปีก็ตามที แต่ก็นับว่าแพงกว่าตอนปรกติอยู่หลายส่วน
ครรชิตใช้เวลาอยู่รวมกับครอบครัวและว่าที่ภรรยาอย่างมีความสุขอยู่เป็นเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งมีจดหมายส่งมายังบ้านของเขา ซึ่งส่งมาจากโรงเรียนหลวงอเคเซียที่ลิลลี่กำลังจะเรียนจบในปีนี้พอดี ซึ่งถือว่าจบเร็วกว่าปรกติเพราะการทำภารกิจหลายอย่างจนมากพอจะทำเรื่องจบ เช่นเดียวกับวิชาที่เรียนรู้จนมากพอจะขอสอบจยเช่นกัน
ลิลลี่ได้ทำการขอจบการศึกษาตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว ซึ่งเธอก็ทำภารกิจและสอบครั้งสุดท้ายจบไปแล้ว ก่อนที่ภัยพิบัติสิ้นปีจะมาถึงเสียอีก และจดหมายนี้ก็เป็นจดหมายเชิญเข้ารวมพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนหลวงอเคเซีย แน่นอนว่าต้องไปเพื่อรับใบรับรองซึ่งถือเป็นสัญญาแบบหนึ่งเช่นกัน
ในพิธีจบการศึกษาไม่มีอะไรมากไปกว่าการงานเลี้ยงฉลอง ที่โรงเรียนหลวงอเคเซียเป็นผู้จัดงานเลี้ยงให้แก่ลูกศิษย์ของตน ส่วนมากจะเป็นงานจัดซุ้มและนิทรรศการของรุ่นน้องในตอนกลางวัน รวมถึงกิจกรรมสนุกๆที่ทางโรงเรียนจัดหามาให้ ทั้งการแสดงของวงดรี การโชว์เวทมนตร์ที่น่าสนใจหรือแม้แต่การแข่งขันกันเล็กๆน้อยๆระหว่างนักเรียน
เมื่อถึงตอนกลางคืนก็จะเป็นงานเต้นรำที่หอประชุมของโรงเรียน โดยสามารถพาใครก็ได้มาเต้นรำเป็นคู่ของตน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนในโรงเรียนหลวงหรือคนนอกก็ได้ตามแต่นักเรียนพอใจ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคู่หมั้นหรือคนที่ชอบพอกันทั้งนั้น มีบ้างที่เต้นรำกับเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้อง
สำหรับลิลลี่คนที่เธอเลือกไปงานด้วยก็คงไม่พ้นครรชิต พร้อมด้วยพี่สาวของเธอที่ไปพร้อมกันกับเมย์และลูน่า โดยพวกเธอต่างสวมใส่ชุดที่ชายหนุ่มออกแบบและตัดเย็บให้พวกเธอ ซึ่งมันเป็นชุดเกราะผ้าที่เขามอบให้นั้นเอง
เมย์นั้นสวมใสชุดเกราะเบาที่ดูสวยงามแทนที่สุดเกราะหนังสำหรับต่อสู้ ด้วยความที่เธอสามารถควบคุมร่างกายได้ดังใจนึกแล้ว ทำให้เธอไม่ต้องปกปิดหูแบบหมาป่าบนศีรษะแล้ว เธอจึงใช้รัดเกล้าสำหรับรวบผมให้ดูทะมัดทะแมง และไม่เกะกะเวลาเคลื่อนไหว
ส่วนครรชิตอยู่ในชุดทักซิโดสีดำ ที่ถูกออกแบบให้เข้ากับชุดพิธีการของอาณาจักรนี้ สไตล์การแต่งตัวของเขาต่างจากปรกติ ที่เพียงสวมชุดผ้าไหมที่ดูสวมใส่สบายและสะดวกต่อการเคลื่อนไหว กลายเป็นชุดที่ดูซับซ้อนและจำกัดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ชายหนุ่มดูภูมิฐานและมีสง่าราศีมากขึ้นกว่าเดิม จากคุณชายเจ้าสำราญกลายเป็นคุณชายเจ้าเสน่ห์ไปเสียแล้ว
เมื่อทั้งห้าคนก้าวขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปยังโรงเรียนหลวงอเคเซีย พวกเขาได้รับสายตาที่ดูภูมิใจและตกตะลึงจากข้ารับใช้ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่พวกเขาออกมาจากห้องของตัวเองแล้ว จนกระทั่งประตูปิดไปแล้วยังมีบางคนที่ยังคงตกตะลึงอยู่เลย
"ตื่นได้แล้ว ยยังไม่รีบกลับไปทำงานอีก" พ่อบ้านโฮซาเอลดุพวกขารับใช้ ก่อนที่ตนเองจะไปนั่งข้างสารถีและเดิมออกคำสั่งให้เดินทางออกไป
รถม้าที่ดูแข็งแรงและดูหรูหราเป็นอย่างยิ่งเคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังงาม มุ่งหน้าไปยังส่วนกลางของเมืองที่ซึ่งมีลานกว้างกางเมืองตั้งอยู่ มันขับเลยผ่านตรงนั้นไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร พวกเขาก็มาถึงเขตโรงเรียนหลวงอเคเซียแล้ว ซึ่งโดยรอบก็เต็มไปด้วยรถม้าหลายร้อยหลายพันคัน พวกมันต่างเข้าแถวเคลื่อนตัวเข้าสู่รั้วโรงเรียนหลวงอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อพวกเขาเข้าไปในเขตรั้วของโรงเรียน รถม้าของพวกเขาได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะม้าที่ใช้ลากเป็นถึงม้าอสูรที่หาได้ยากในเมืองหลวงนี้ และตัวรถม้ายังทำจากโลหะหายากที่มีความทนทานเป็นอย่างยิ่ง และมีการตกแต่งรมม้าอย่างสวยงามและไม่เหมือนใครอีกด้วย ซึ่งมันดูหรูหราและมีเสน่ห์มากกว่ารถม้าคนอื่นหลายเท่านัก
และเมื่อทั้งห้าคนเดินลงจากรถม้า โดยมีพ่อบ้านที่ดูดีและมีความเป็นมืออาชีพเป็นผู้เปิดประตู ก็ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจในทันที จนเมื่อทุกคนในบริเวณนั้นเห็นกลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งห้าคน พวกเขาต่างอุทานและพึมพำเสียงเบาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
"โอ้สวรรค์! ท่านสร้างพวกเขาขึ้นมาจากอะไรกัน ถึงได้ดูดีไปเสียทุกสิ่งอย่างเช่นนี้"
ทุกคนต่างตกตะลึงและชื่นชมในรูปลักษณ์ของทั้งห้าคน ที่ดูดีเสียจนไม่อาจจะหาข้อตำหนิได้เลยสักนิดเดียว ทั้งชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์ยั่วยวนทั้งเด็กสาวไปจนถึงหญิงชรา หญิงสาวข้างกายทั้งสี่คนก็ดูแตกต่างกัน แต่กลับมีเสน่ห์ที่ลงตัวเมื่อยู่รวมกัน
ทั้งหญิงสาวที่ดูมีความรับผิดชอบสูงที่อยู่ในชุดราตรีสีดำ เด็กสาวที่หน้าตาคล้ายกับหญิงสาวที่ดูเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ในชุดราตีสีครีมเรียบๆ ซึ่งเหมาะกับเธอเป็นอย่างยิ่ง เด็กสาวคนต่อมาอยู่ในชุดเดรดสีแดงเพลิง ซึ่งสอดรับกับสายตาที่ดูมุทะลุและซื่อตรงต่อความรู้สึก ส่วนเด้กสาวคนสุดท้ายอยู่ในชุดเกราะหนังสีเข้ม ที่เข้ากับเธอที่ดูเป็นคนเอาจริงเอาจังและมีความซุกซนเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขากลายเป็นจุดสนใจของผู้เข้าร่วมงานพิธีจบการศึกษาเป็นอย่างมาก จนแทบจะทนต่อสายตาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ โดยเฉพาะเมย์ที่เริ่มกระสับกระส่ายแล้ว จนพวกเขาต้องรีบไปหาที่นั่งสงบๆเพื่อพักผ่อน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่น่าเสียดายอีเว้นสิ้นไปนิดนึง...แต่พอเค้าใจได้จากเหตุผล...และการลดความสำคัญลงตั้งแต่ปีที่ 2 แล้วจึงแต่ได้คลาดหวังกับ 4ปมที่คนเขียนทิ้งไว้ให้เป็นอย่างน้อย...
1.เรื่องการเมืองภายในประเทศ
2.ปัญหาขัดแย้งในตระกูล(ไม่รวมความขัดแย้งการชิงผลประโยชน์กลุ่ม หรือตระกูลขุนนางอื่นอีก)
3.ความขัดแย้งระหว่างประเทศ(คือการพูดถึงตอนทะเลทรายสีดำอะนะ)
4.ปมการผจญภัยในโครเซี่ยม(ตอนนี้สวย 2คนเรียนจบแล้วสามารถลาดมาผจญภัยเสริมประสบการณ์ได้)
แค่4ปมผมว่าถ้าเขียนไเลื่อยเรื่องนี้ยังมีได้อีก หลายร้อยตอนเลย...จะคอยรออ่านนะคับ...