ตอนที่ 112 : เศษมงกุฎทศธาตุ
บทที่ 2 : เศษมงกุฎทศธาตุ
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ในเรือนพักของครรชิตได้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เหล่าพ่อบ้านและแม่บ้านที่ยังคงจงรักภักดีต่อครอบครัวชายหนุ่ม ได้เริ่มขนย้ายข้าวของและเก็บเครื่องใช้ใส่ในหีบขนย้าย ซึ่งมันก็คืนแหวนมิติเวอร์ชันขนาดใหญ่เหมือนหีบเก็บวัตถุดิบ เพียงแต่มันใส่ได้เฉพาะเครื่องเรือนและอุปกรณ์ไร้วงจรเวทย์
การจัดเตรียมสิ่งของนั้นดูวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง แม้พวกเขาจะเริ่มทำกันตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วก็ตาม แต่ทว่ามันก็ยังไม่เสร็จเสียที
วันนี้พวกเขาเลยจัดการต่อ ด้วยจำนวนเครื่องเรือนและของอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้หีบขนย้ายนับสิบใบเต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆจนเต็มหีบ ทำให้มันมีน้ำหนักที่มากมายนับพันกิโลกรัม
แต่ด้วยความแข็งแรงของผู้คนในโลกนี้ พวกเขาสามารถยกหีบนี้ได้อย่างง่ายดาย แม้จะต้องใช้พลังมากสักหน่อยก่อนตามที ซึ่งพวกเขาก็ขนหีบที่เต็มแล้วไปใส่ไว้ในพาหนะที่ครรชิตซื้อมาให้
มันเป็นรถม้าสีดำขนาดใหญ่ที่มีม้าอสูรสีดำเป็นผู้ลาก ซึ่งมันเป็นม้าชั้นดีสำหรับลากของหนักๆ เพราะมันมีความแข็งแรงและทนทานที่สูงยิ่งกว่าม้าพันธุ์อื่น ด้วยม้าเพียงตัวเดียวสามมารถแบกน้ำหนักได้หลายสิบตัน
ม้าอสูรนั้นมีรูปร่างเหมือนม้าปรกติทั่วไป แต่มีสิ่งที่แตกต่างคือร่างกายที่สูงใหญ่กว่าม้าทั่วไปถึงสองเท่า การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วกว่าและทำระยะทางได้มากกว่า มันสามารถวิ่งติดต่อกันได้นานนับชั่วโมง โดยใช้เพียงศิลาจิตอสูรเป็นอาหารเพียงเล็กน้อย
ด้วยรถม้าที่ทำจากเหล็กดำ ซึ่งถือว่าเป็นโลหะธรรมดาที่แข็งแรงที่สุด และทนทานต่อสภาพแวดล้อมอย่างขีดสุดได้โดยง่าย จึงทำให้รถม้าคันนี้พร้อมด้วยม้าอสูรทั้งสองตัว กลายเป็นพาหนะที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเขาก็เคยใช้บริการของรถม้าเช่นนี้มาแล้ว ในตอนที่เดินทางไปกลับระหว่างอาณาจักอเคเซียกับอาณาจักรพฤกษาพันปี ซึ่งเป็นการเดินทางเต็มอัตราถึงสองวันสองคืนด้วยกัน
"พ่อบ้านโฮซาเอล เหลือของอีกเท่าไร" เสียงตะโกนของครรชิตทำให้พ่อบ้านชราที่กำลังสั่งงานต่างๆอยู่ได้หันกลับมามอง ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างนอบน้อม มันทำความเคารพชายหนุ่มก่อนจะเริ่มพูดออกมา
"อีกส่วนเดียวเท่านั้นขอรับ นายน้อย" มันที่พูดพร้อมกับตรวจดูรายการสิ่งของในสมุดบันทึกของมันไปด้วย
"ก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำธุระสักครู่ เมื่อกลับมาข้าหวังว่าเราจะพร้อมออกเดินทาง" เขาสบัดชายเสื้อผ้าไหมเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไปยังทางหน้าบ้านพักหลังนี้
"ขอรับ พวกเจ้า! ช่วยแมรี่เก็บเครื่องครัวซ่ะ แล้วพวกเจ้า..." เสียงตระโกนสั่งงานดังไล่หลังของครรชิตที่กำลังเดินอย่างสง่างามไปยังภนนหลัก ด้วยเสียงตะโกนนี้ทำให้การจัดเตรียมสิ่งของเร่งความเร็วขึ้นไปอีกเล็กน้อย
ในทางด้านของครรชิตนั้น เขาที่เดินออกมาจากบ้านพักได้บรรลุถึงทางหลักเรียบร้อยแล้ว บนทางหลักก็ยังคงเต็มไปด้วยร้านค้าและผู้คนของตระกูลแอสลาส ที่ยังคงเลือกซื้อสิ้นค้ากันอย่างเนื่องแน่นเช่นเดิม แม้จะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม
เหลือเวลาอีกเพียงสิบวันเท่านั้น ก็จะถึงเทศกาลเก็บเกี่ยวของอาณาจักรสวรรค์แห่งสมุนไพรแล้ว แต่ที่อาณาจักรอเคเซียแห่งนี้เป็นเทศกาลเริ่มต้นล่าสัตว์เวท นั้นทำให้การซื้อขายของใช้จำเป็นเริ่มมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งราคาของบ้างอย่างก็เริ่มเพิ่มราคาบางแล้ว
เขาที่เดินผ่านร้านค้าสองข้างทางนั้น ได้สังเกตเห็นว่าพวกยาทั้งระดับต่ำและระดับกลางต่างมีราคาสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเมื่อสามวันที่ผ่านมา เช่นเดียวกับอาวุธระดับต่ำสุดและระดับต่ำ ที่ราคาปรับตัวขึ้นบางแล้วโดยเฉพาะอาวุธประเภทดาบและธนู
ในตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่ครอบครัวดีลเลอร์กำลังเตรียมตัวออกไปล่าอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเขากลับไปถึงเมืองหลวงอเคเซียคงจะสวนทางกันพอดี นั้นทำให้เขาต้องการที่จะไปถึงให้เร็วขึ้นสักเล็กน้อย จึงได้เลื่อนการเดินทางมาเป็นวันนี้แทนที่จะเป็นวันพรุ่งนี้ นั้นทำให้การเตรียมสิ่งของต่างๆมันกระชั้นชิดอย่างที่เห็น
หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาสักพัก ในที่สุดด้านหน้าของเขาก็เป็นทางเขาสู่สนามประลองทั้งแปดแห่งเสียที แม้ว่าวันนี้จะมีคนอยู่ภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะว่าการประลองภายในแต่ละตระกูลเพิ่งจะจบลงไปเมื่อวานนี้ ทำให้วันนี้ทุกคนต่างพักผ่อนแล้วเริ่มออกมาอีกทีในวันมะรืน ซึ่งจะเป็นวันเปิดการประลองรอบสอง เพื่อหาผู้ที่จะได้อันดับหนึ่งถึงสามของทั้งรุ่นเยาว์และรุ่นอาวุธโส
เมื่อเขาสู่สนามประลอง เขามุ่งตรงไปยังโต๊ะกรรมการที่มีคนนั่งรออยู่แล้วสามคน คนแรกเป็นทั้งกรรมาการและพิธีกร รวมทั้งเป็นโฆษกของงานนี้อีกด้วย 'แอนโทนี่'
ส่วนอีกสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นชายแก่ที่ชายหนุ่มเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เป็นผู้ที่คอยแจกเหรียญลงเวทย์ให้กับผู้ชนะ ส่วนอีกคนเขาเพิ่งเคยเห็นในวันนี้ มันเป็นชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดเหมือนพ่อค้าวานิชแถบทะเลทราย มันมีผ้าโพกหัวที่เป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดของมัน มันกำลังมองยังชายหนุ่มอย่าวพิจารณา
"ผู้เข้าแข่งขันจากตระกูลรองของท่านยูโซ 'บิชอบ จูเนียร์ ดิ แอสลาส' มีอะไรให้ข้าแอนโทนี่ผู้นี้รับใช้หรือขอรับ" เสียงทักทายดังออกมาจากฝั่งของแอนโทนี่ ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มมาถึงบริเวณที่สามารถคุยกันได้โดยไม่ต้องตะโกน
"ข้าขอไม่อ้อมค้อม ข้าต้องการแลกเปลี่ยนเหล่านี้เป็นของรางวัล" เขาเรียกเอาเหรียญลงเวทย์นับร้อยเหรียญออกมา พวกมันถูกบรรจุอยู่ในถุงหนังใบเล็กๆ วึ่งมันถูกโยนลงไปบนโต๊ะที่ทั้งสามคนนั่งอยู่
"ขอรับ" แอนโทนี่ยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะดันถุงเหรียญลงเวทย์เหล่านั้นไปให้ชายในชุดพ่อค้าชาวตะวันออกกลาง
มันรับเอาถุงนั้นมา ก่อนที่เทเหรียญทั้งหมดลงบนโต๊ะ เมื่อมันถูกนับโดนชายวัยกลางคนแล้ว เหรียญทั้งหมดก็ถูกชายแก่ที่อยู่ในชุดเหมือนบัณฑิตจีนเก็บไป ถ้าจะพูดให้ถูกคือเหรียญเหล่านั้นสลายกลางเป็นก้อนพลังเวทย์ธาตุโลหะที่เข้มข้น แล้วพวกมันก็ถูกดูดซับไปโดยชายแก่คนนั้น
"หนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดเหรียญ นี้คือรายชื่อของที่เจ้าสามารถแลกได้" มันสบัดมืออกไป สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเป็นกระดาษรายชื่อเช่นที่ชายหนุ่มตรวจดูเมื่อคืน เขาพยักหน้ารับรู้เพียงเล็กน้อย
เขาตรวจดูรายชื่อสิ่งของอย่างคราวๆ มีบางรายชื่อที่ถูกขีดฆ่าไปแล้ว เพราะมีการแลกเปลี่ยนของสิ่งนั้นจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนใหญ่เป็นของระดับต่ำกับกลาง ส่วนของระดับสูงยังไม่มีผู้ใดแลกเปลี่ยนมันแม้แต่น้อย
ทั้งสามคนมองดูครรชิตเลือกรายการอย่างรอบครอบ ซึ่งมันใช้เวลานานสักเล็กน้อยสำหรับชายหนุ่ม ที่จะตรวจดูรายชื่อสิ่งของระดับสูงทั้งสิบเอ็ดชิ้นที่มีให้แลก ซึ่งจริงๆแล้วเขากำลังดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากบันทึกความทรงจำต่างหาก
"ข้าต้องการแลกสิ่งนี้" เขาเลือกเศษชิ้นส่วนอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นชิ้นส่วนที่สามารถเพิ่มพลังในการดูดซับมานาธาตุมืดได้เล็กน้อย
"เศษชิ้นส่วนนี้สินะ ก็ดีเหมือนกันไม่มีใครแลกมันมานานมากแล้ว มันมีค่าเพียงร้อยยี่สิบแต้มเจ้าสามารถนำมันไปได้เลย มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการอีกหรือไม่ เจ้ายังเหลือแต้มอีกพอสมควร" ชายวัยกลางคนในชุดพ่อค้าพูดขึ้น ก่อนจะกากชื่อชิ้นส่วนที่แตกหักนี้ไป แล้วส่งรายชื่อกลับไปให้ชายหนุ่มอีกครั้ง
ครรชิตเลือกเฉพาะวัตถุดิบระดับสูงอีกเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้แต้มทั้งยี่สิบเจ็ดแต้มนั้นหมดลงพอดี พวกมันเป็นเพียงวัตถุดิบสำหรับการปรุงยา ที่หายากพอสมควรสำหรับอาณาจักรเล็กๆแห่งนี้
เมื่อได้ของครบตามที่ต้องการแล้ว เขาก็เก็บพวกมันทั้งหมดลงแหวนมิติไป ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากสนามประลองไปอย่างไม่เร่งรีบ
ที่หน้าประตูทางเข้าบ้านพักของชายหนุ่มตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนสิบกว่าคน พวกมันเป็นแม่บ้านและพ่อบ้านจำนวนห้าคน เป็นเมดและข้ารับใช้ฝึกหัดอีกเจ็ดถึงแปดคน พวกมันมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นผู้ใช้ศาสตราวุธขั้นต้นทั้งสิ้น
พวกมันกำลังรอชายหนุ่มอยู่ หลังจากที่พวกเขาเหล่านี้ได้ทำการเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของทั้งหมดได้ถูกบรรทุกไว้ด้านหลังรถม้า ซึ่งภายในรถม้ามีที่ว่างมากพอที่จะรองรับคนทั้งสิบกว่าชีวิตได้ทั้งหมด แล้วยังพอเหลือที่ว่างอีกเล็กน้อย
"พวกเราพร้อมแล้วขอรับ นายน้อย" พ่อบ้านโฮซาเอลพูดขึ้น ซึ่งทุกคนก็ทำความเคารพครรชิตอย่างพร้อมเพียงกัน
"ถ้างั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ" ครรชิตส่งสัญญาณให้พวกเขา ก่อนที่ทุกคนจะก้าวขึ้นไปยังรถม้า โดยมีข้ารับใช้ฝึกหัดสองคนเป็นสารถี
ครรชิตนั้นเดินไปยังที่ว่างก่อนจะเรียกเจ้าไลก้าออกมา ในตอนนี้มันเป็นสัตว์เวทระดับห้าขั้นสูงเสียแล้ว ทำให้มันมีพลังอำนาจมากพอจะสยบรุ่นเยาว์ในตระกูลรองทั้งหมด
ในตอนนี้เจ้าไลก้ามีขนาดใหญ่ราวกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ เมื่อมันกางปีกออกปีกข้างหนึ่งของมันกว้างนับสิบเมตร ซึ่งสามารถคลุมทั้งรถม้าได้เลยทีเดียว มันขู่คำรามออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปคลอเคลียกับเจ้านายของมัน
"ไปกันเถอะ ออกเดินทางได้" สิ้นเสียงของครรชิต รถม้าก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงอเคเซีย โดยมีครรชิตที่นั่งอยู่ยนหลังของไลก้าเดินนำไปอย่างช้าๆ
การปรากฏตัวของรถม้าพร้อมกับเจ้าไลก้า ส่งผลให้บนทางหลักเต็มไปด้วยความโกลาหลจากผู้คน เพราะด้วยแรงกดดันที่สิงโตวายุคลั่งปล่อยออกมา ก็นับว่ามีพลังพอจะสะกดคนส่วนใหญ่ได้แทบทั้งหมด
ยังไม่นับรวมกับเจ้าม้าอสูรที่ดูแล้วมีระดับไม่ต่ำกว่าระดับสี่อย่างแน่นอน พวกมันทั้งสามตัวสร้างตวามตกตะลึกให้แก่ผู้พบเห็นได้อย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะเจอกับสัตว์เวทระดับสี่หรือระดับห้ามาบ้าง แต่ไม่เคยเจอแบบใกล้ชิดขนาดนี้มากก่อน
เพราะส่วนใหญ่แล้วสัตว์ระดับสี่และห้านั้น จะได้พวกนักรบของตระกูลหลักเป็นผู้เข้าปะทะ ส่วนพวกมันที่เป็นนักรบระดับต่ำกว่าก็ค่อยฆ่าพวกระดับสามลงไปเพียงเท่านั้น
เมื่อพ้นจากภูเขาของตระกูลแอสลาส พวกเขาก็เริ่มใช้ความเร็วที่มากขึ้นเล็กน้อย เพื่ออ้อมเมืองแบล๊คร็อคที่กำลังเต็มไปด้วยผู้คนไป เพราะไม่อยากจะเสียเวลาเดินฝ่าฝูงชนไปในตอนนี้
การอ้อมเมืองแบล๊คร็อคทำให้พวกเขาเสียเวลาไปเล็กน้อย ที่ทางแยกใกล้กับทางออกประตูทิศเหนือของเมือง ที่นั้นมีเด็กสาวที่กำลังขี่จิ้งจอกสีทองขนาดใหญ่ที่มีหางสามหาง และที่ด้านข้างก็มีพวกมันขนาบข้างอีกข้างละสองตัว พร้อมกับที่ด้านหน้าของกลุ่มจิ้งจอกมีอีกหนึ่งตัวที่ดูตัวใหญ่กว่าตัวอื่น มันกำลังทำหน้าที่เป็นจ่าฝูงหรือผู้นำทางในตอนนี้
เมื่อกลุ่มของเขาเข้าไปใกล้ พวกมันทั้งหกตัวก็ส่งเสียงร้องอย่างยินดีทักทายมาตามสายลม ซึ่งครรชิตก็โบกมือไปให้กับพวกมัน ใกล้ๆกับพวกมันมีคนหลายสิบคนนอนหมอบกระแตอยู่ข้างๆพวกมัน ซึ่งพวกมันยังไม่ตายเพียงแค่สลบไปเท่านั้น
"เป็นไงบ้างล่ะ เมย์" ครรชิตถามหญิงสาวที่ตอนนี้ทำหน้าเซ็งๆออกมา
"เจ้าพวกนี้มันน่าตายนัก" เด็กสาวกระทืบเท้าไปยังหนึ่งในพวกคนที่นอนสลบเมือดอยู่ข้างๆ ซึ่งการกระทืบเท้าลงไปนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
"ปล่อยพวกมันไปเถอะ เรารีบออกเดินทางกันดีกว่า แล้วจะไม่เรียกพวกมันกลับไปบางหรือไง" เขาพยักหน้าไปยังพวกสุนัขจิ้งจอกทั้งห้า-หกตัวนั้น
"ข้าไม่อยากฟังเสียงประท้วงของพวกมันหรอกนะ ท่านอาจารย์"
"งั้นก็ไปกันเถอะ" เขาหันไปพยักหน้าให้เด็กสาว ก่อนที่จะกระต้นให้เจ้าไลก้าเดินต่อ ซึ่งเขานำขบวนเดินทางนี้เดินหน้าต่อไป โดยมีเขาและเด็กสาวนำหน้า โดยมีเจ้าจ่าฝูงจิ้งจอกคอยคุ้มกันหน้ารถม้า และมีจิ้งจองที่เหลือคอยระหว่างด้านที่เหลือเอาไว้
เมื่อการเดินทางเป็นไปได้ด้วยดี ชายหนุ่มก็นำเอาเศษชิ้นส่วนที่เพิ่งไปแลกออกมาดู มันเป็นเศษชิ้นส่วนที่เหมือนกับโลหะที่สานกันไปมา และตรงกลางของเศษชิ้นส่วนนี้มีร่องลึกเป็นรูปหยดน้ำ โดยมีขายึดสำหรับยึดอัญมณีประดับเอาไว้อยู่ แต่ตัวอัญมณีด้านในกลับหายไป
มันมีขนาดประมาณฝ่ามือเด็ก ซึ่งมีรอยตัดที่เรียบสนิทอยู่ด้านข้างทั้งสองด้าน มันเหมือนถูกแบ่งออกเป็นชิ้นๆมากกว่าการแตกหักตามธรรมชาติ และโลหะที่ทำมันก็มีความแข็งแกร็งเดียวกับโลหะเวทมนตร์ระดับสูงเลยทีเดียว เพราะตัวมันเองก็มีพลังมานาไหลเวียนอยู่จำนวนมาก แต่มัน็อ่อนโทรมลงจนเกือบจะสลายหายไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ในร่องลึกนั้นยังจารึกเวทย์ด้วยตัวอักษรที่เก่าแก่อย่างที่สุด ซึ่งเก่าแก่พอๆกับประตูภายในถ้ำที่เขาเจอด้วยซ้ำ แต่มันกลับมีความเก่าแก่พอๆกัน นั้นหมายความว่าเศษชิ้นส่วนของสิ่งนี้ถูกสร้างในยุคเดียวกับประตูหินนั้น
เขาส่งพลังมานาธาตุมืดลงไปที่วงจรเวทย์ นั้นทำให้วงเวทย์มันทำงานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราวกลับว่ามันมิได้ดูดซับพลังมานาธาตุมืดมาอย่างยาวนาน มันคล้ายกับกระหายพลังมานานี้เสียเหลือเกิน
เมื่อมันได้พลังมานามากพอแล้ว ตัวมันเองก็กระจายละอองแสงสีดำออกมา มันเหมือนสะเก็ดเพลิงสีดำที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บริเวณร่องลึกนั้น ก่อนที่ความรู้บางอย่างจะพุ่งเข้าสู่สมองของครรชิตโดยตรง
มันเป็นข้อความสั้นๆเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น 'มงกุฎทศธาตุ มงกุฎที่เหนือกว่ามงกุฎใดทั้งปวง หนึ่งมงกุฎปกคลุมเหนือทุกธาตุ หนึ่งมงกุฎสั่งการธาตุทั้งสิบ หนึ่งมงกุฎครองพิภพสยบอริราชทั่วแผ่นดิน'
'หนึ่งมงกุฎประกอบเม็ดพลังทศธาตุ ในทุกธาตุประกอบขึ้นด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง ทั้งสิบธาตุน้อบรับใช้ผู้ครองมงกุฎดั่งนายตน'
'ทั้งทศธาตุต่างทลายด้วยไร้ธาตุ ทั้งสิบธาตุถูกกระจายทั่วทั้งพิภพ ไร้ธาตุผู้พิชิตมงกุฎทศธาตุ'
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหัวของครรชิตนับสิบรอบ จนมันจางหายไปในเวลาไม่นาน แต่มันกลับฝั่งลึกลงไปในความทรงจำของเขาเสียแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

Ash nazg durbatulûk, ash nazg gimbatul, ash nazg thrakatulûk agh burzum-ishi krimpatul.!!!!!!!