ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่เจ็ด เรื่องราวของโลกทั้งสองและความหวังแห่งแสงสว่าง (แก้เสียนิดหน่อย)
บทที่เจ็ด เรื่องราวของโลกทั้งสองและความหวังแห่งแสงสว่าง
โลกมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยเทพหลากหลายองค์เมื่อสี่พันหกร้อยล้านปีมาแล้ว โลกในสมัยนั้นยังเป็นเพียงโลกสีน้ำเงินอันแสนสวยงามและเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ และมนุษย์ในโลกแห่งนี้เป็นเพียงผู้สร้างโลกแห่งนี้ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิด...เท่านั้น...
โลกแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งซึ่งชาวโลกอีกแห่งหนึ่งเรียกกันว่า โลกแห่งความเป็นจริง....
ถ้าสมมุติว่าโลกแห่งความเป็นจริงคือโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ โลกอีกแห่งหนึ่งก็เปี่ยมไปด้วยจินตนาการซึ่งมิอาจเติมเต็มได้หมด
โลกแห่งความเป็นจริงมีเพียงความเป็นจริงและความเป็นไปได้ โลกแห่งจิตวิญญาณก็คือโลกที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและความเป็นไปไม่ได้ซุกซ่อนอยู่มากมาย
ดังนั้น โลกทั้งสองจึงเคลื่อนไปในแนวทางขนานกัน ไม่มีทางที่จะขึ้นมาซ้อนกันได้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆก็ตามแต่ที่วิทยาศาสตร์ในโลกแห่งความเป็นจริงจะคิดขึ้นได้ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปในโลกแห่งจิตวิญญาณได้เป็นอันขาด
แต่เชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์บนโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเคยมีเวทมนตร์ที่ทรงพลัง และเคยเกือบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เพราะเวทมนตร์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ!!
ในสมัยที่มนุษย์ยังมีเวทมนตร์เป็นของตนเองนั้น โลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่มนุษย์จะย้ายถิ่น เพราะมนุษย์นั้นยังมีศักยภาพที่จะทำให้เวทมนตร์นั้นเกิดขึ้นได้
แต่ละครโศกนาฏกรรมก็เริ่มต้นขึ้นโดยชายผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้า เขาปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดนั้นไม่เคยมีใครรู้ รู้เพียงแค่ว่าชายผู้นี้ชอบขี่อาชาสีดำสนิทและมีหน้ากากสีดำสนิทดุจรัตติกาลเป็นสัญลักษณ์ ชายผู้นี้มีความชั่วร้ายสิงสู่อยู่เป็นจำนวนมากจนจอมเวทย์มิอาจควบคุมอยู่ เขามีนามกรว่า มอร์เตย์...
ชายผู้นี้เมื่อลงมาที่โลกแห่งจิตวิญญาณก็เริ่มสมัครพรรคพวก พวกที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งความชั่วร้ายนั้นเพราะต่างต้องการพลังแบบเดียวกันเพื่อทำลายล้าง บ้างก็ต้องการความชั่วร้ายที่ละเมียดละไมแบบของเขา แต่คนที่เข้าไปเป็นพวกนั้นก็เริ่มถูกดูดกลืนความชั่วร้ายมากขึ้น...มากขึ้น...เสียจนแทบจะไม่มีความดีอะไรหลงเหลืออยู่อีก เพราะความดีนั้นก็เริ่มต้นขึ้นมาจากความชั่ว ถ้าใครไม่เคยคิดที่จะทำชั่ว ไหนเลย ความดีจะปรากฏ...
มอร์เตย์เริ่มก่อสงครามแห่งความชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้น แต่ส่วนใหญ่นั้นจะไม่ก่อให้เกิดสงครามเลย ถ้ามนุษย์กับชนเผ่าต่างๆจะไม่เริ่มก่อความชั่วร้ายในใจของตัวเอง และความชั่วร้ายนี้ก็เริ่มสร้างตัวสัตว์น่าขยะแขยงขึ้นมาในจิตเพื่อเป็นลูกสมุนและก่อความชั่วร้ายในโลกแห่งจิตวิญญาณนั้น
สงครามแห่งความตายจะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยแม้เพียงนิด
ถ้ามนุษย์จะเฉลียวใจแม้เพียงสักนิดว่าการสมัครพรรคพวกไม่ได้เกิดจากการบังคับของอำนาจมืด แต่เป็นความสมัครใจของพวกเขาเอง
เพราะสงครามแห่งความมืดนี้เกิดขึ้นจากที่มอร์เตย์นั้นให้ความสมัครใจในการเป็นพรรคพวกกับเขา โดยยอมแลกกับพลังอำนาจอันมหาศาลที่เขาเพียงได้แค่ฝัน แล้วจิตใจในมนุษย์น่ะหรือจะยอมปฏิเสธข้อเสนออันหอมหวนนี้...
จากนั้น เหล่ามนุษย์และสัตว์ร้ายที่มนุษย์เป็นคนอัญเชิญเพื่อเป็นพวกเดียวกันก็เริ่มทำลายสัดส่วนในโลกแห่งจิตวิญญาณให้ตกอยู่ในความมืดมิดเหมือนกลุ่มเมฆหมอกแห่งความกลัว เพียงพริบตาเดียว โลกที่เกิดจากจินตนาการนี้ก็ถูกทำลายไปกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงเพราะมนุษย์เริ่มเหลิงในเวทมนตร์ของตนเอง และมอร์เตย์ก็เริ่มใช้ความชั่ว นั่นคือ ความหลงตัวเอง เป็นเชื้อเพลิงให้กับเวทมนตร์ของเขา ทำให้เขามีทั้งพละกำลังและความร้ายกาจมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว...
แต่ช่างโชคดีนัก ที่โลกแห่งจิตวิญญาณยังมีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือโลกแห่งนี้ เขาเป็นชายผู้ที่เคยผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่มีเวทมนตร์และพลังอำนาจมาก สูสีกับมอร์เตย์ แต่เขาบูชาความสว่างอย่างยิ่ง ชายผู้นี้จึงถูกเรียกว่า “กษัตริย์แห่งแสงสว่าง”
เขาได้เริ่มมองหาผู้คนที่ยังไม่ตกอยู่ในความมืดมิดและเริ่มช่วยเหลือพวกเขาจากความตายที่เฉียดเขาไปเพียงก้าวเดียว นั่นคือ ชายผู้เคยเป็นอดีตสี่ทูตสวรรค์ มูริเย่ห์ และเด็กสาวผู้เคยเป็นราชินีแห่งชนเผ่าดวงจันทร์ สามจอมเวทย์แห่งแสงสว่าง ต่างเริ่มมองหาพรรคพวกที่เคยเป็นฝ่ายชั่วร้าย และแก้ไขให้พวกเขาอยู่ในสภาวะคงเดิม ต่อจากนั้น พวกเขามีอิสระที่จะไปหรือจะเข้าพรรคพวก เป็นฝ่ายแห่งแสงสว่าง
แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกถึงพลังความมืดที่ร้ายกาจมาก และต่างก็ยอมรับความจริงที่ว่า ไม่มีที่ใดในโลกแห่งจิตวิญญาณที่จะไม่ปราศจากความมืดเท่ากับการเข้าพวกกับฝ่ายแสงสว่าง
ในวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสาม ที่ถูกเรียกกันว่า วันแห่งการสลายของอธรรม เหล่าสัตว์แห่งความมืดและกษัตริย์แห่งความสว่างต่างประจันหน้ากันที่ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่แห่งเพอรีแนล พวกมันต่างโกรธแค้นและกระหายเลือด และมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการทำลายกษัตริย์แห่งแสงสว่างให้สูญสิ้นไปพร้อมกัน!!!!
พรึ่บ!!
เพียงพริบตานั้น ดวงตาของมหิทธิก็รู้สึกร้อนขึ้นมาในทันที ไม่มีใครเห็นเลยแม้เพียงนิดว่า มหิทธิกำลังมีดวงตาสีขาวสว่าง เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่า ตนเองกำลังย้อนอดีตไปสู่สงครามครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งโลกใบนี้!!
เด็กหนุ่มมองเห็นมือของตนเองชูยกขึ้นด้วยความกำแหงในชัยชนะ ดาบขนาดใหญ่ยาวที่ตนเองเคยใช้ในโลกแห่งจิตวิญญาณ ดาบใหญ่ยาวและมีกั่นดาบเป็นรูปปีกนกสีทับทิมแวววาว มันกำลังชูขึ้นเป็นประกายเย้ยความมืดที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง จากนั้น!!
เปรี้ยง!!!
สายฟ้าสีดำสนิทผ่าฟาดลงมาอย่างแรงตรงสู่กองทัพทหารสีขาวที่อยู่ทางด้านหลัง เขารู้สึกเหมือนแผ่นดินสะเทือน ก่อนที่ร่างของจอมเวทย์กลุ่มหนึ่งจะหายไปอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมา สายฟ้าหลากหลายเส้นก็ถูกร่ายลงมาที่บริเวณนี้อย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดลงมาดังโครมคราม สร้างความเสียวสยองให้กับเหล่าจอมเวทย์ที่อยู่ด้านหลังอย่างรุนแรง
“พวกเรา!!! บุก!!!”
เสียงของตนเองดังกึกก้องขึ้นอย่างรุนแรงแข่งกับเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้างนั้น เสียงแกรกๆของอาวุธถูกชูขึ้นอย่างรวดเร็วและกองกำลังสีขาวก็ถูกถาโถมลงสู่กลุ่มควันที่กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของใครบางคนที่ยืนอย่างสง่างามตรงหน้าพวกเขา!!
เฮือก!!
มหิทธิสะดุ้งถอยจนดูเหมือนว่าเขากระตุกหัวด้วยความสยองขวัญ เขารู้สึกตัวว่าตนเองกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิมเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนกลับมีอาการนิ่งสนิทอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างนั่งจ้องมองดูด้านหน้าของโกกัส ไม่มีใครสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวและมองดูพวกเขาอย่างตกใจสุดขีด และกรีดร้องด้วยความหวาดผวา เพราะทุกคนต่างนิ่งสนิทเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว!!
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่”
เสียงของโกกัสดังขึ้นที่จุดด้านข้างของเด็กหนุ่ม พร้อมกับที่มือนุ่มๆสีขาวนวลออกมาจับไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็พบว่าชายหนุ่มที่เป็นนักบวชในตอนนี้เริ่มถอดชุดจากชุดคลุมยาวกรอมเท้าสีดำเป็นชุดคลุมเดินทางที่มีหางยาวสีดำสนิท ตอนนี้เขาเริ่มถือดาบยาวที่ตนเองคุ้นเคยเป็นที่สุดติดมือมาด้วย ดาบยาวสีดำสนิทที่มีกั่นดาบเป็นเพชรรูปกางเขน
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ” มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นได้ในที่สุด พร้อมกับมองไปรอบๆที่บริเวณด้านในและด้านนอก ปรากฏว่าที่นี่เต็มไปด้วยม่านหมอกของหยาดฝนที่ตกลงมาและหยุดอยู่กับที่ มหิทธิรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาในทันทีเหมือนกับทุกครั้งที่ตนเองมองเห็นเรื่องราวอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” มหิทธิถามอย่างไม่พอใจพลางมองโกกัสอย่างจะถามคำถาม
แต่โกกัสไม่ตอบอะไร แต่กลับมองดูที่ประตูเหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านนอก ที่ตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่มีขนาดเล็ก แต่มีพละกำลังสูงพอควรเดินเข้ามาที่ในบริเวณนี้ มหิทธิมองดูอย่างงงๆ ก่อนที่ประตูสีน้ำตาลจะถูกเคาะเป็นรหัสสองครั้ง สามครั้ง และสองครั้ง
เขาสังเกตเห็น จากใบหน้าของโกกัสว่า เขามีสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินออกไปพร้อมกับเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางม่านหมอกของฝนที่นิ่งสนิท ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู เขามีผมสีขาวยาวถึงกลางหลังที่เปียกลู่ไปมาท่ามกลางฝน เขามีดวงตาสีดำเรียวยาวและไม่ฝ้าฟาง มันดูสุกใสท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำลงมา เขาสวมชุดคลุมเดินทางสีขาวที่มีฝุ่นโคลนสีดำหยดเกาะลงมาที่กลางทาง ชายผู้นี้ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่เขากลับมีรัศมีแรงกล้ามากๆจนสาดลงมาที่ผนังกระจกและเกิดความแวววาวขึ้นทุกครั้งที่ออร่าพลุ่งออกไป
“อรุณสวัสดิ์ ท่านมหิทธิ สิริราชา” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ ก่อนที่จะค่อยๆยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์แปลกๆเหมือนรูปดาวหกแฉกพร้อมกับทำรูปวงกลมล้อมรอบ ซึ่งดูเหมือนแปลกประหลาดมากสำหรับมหิทธิ
“คุณเป็นใครกันน่ะ”
มหิทธิถามอย่างแปลกใจ เมื่อชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้ามาข้างใน แต่ช่างน่าแปลกนักที่ไม่ยักกะเปียกฝนเลยสักนิด
“อ้อ...ข้าชื่ออะไรนั้น มันไม่สำคัญอะไรสำหรับเจ้าเท่าไรนักหรอกนะ” ชายชราที่มีรัศมีของเขาพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ยาวขนาดใหญ่ที่ด้านข้างของเขา และพูดขึ้นอย่างไม่ให้เสียเวลาว่า
“ข้าเป็นชายแก่ที่หลงทางมา ข้าขออะไรเจ้าเพียงอย่างหนึ่งจะได้หรือไม่”
“ดะ...ได้สิ” มหิทธิตอบอย่างเคอะเขิน
“ข้าขอแก้วน้ำสักแก้วหนึ่งที่มีก้นลึกๆจะได้หรือไม่” ชายแก่ถามอย่างวิงวอน
“อะ...อ้อ....ได้สิ
มหิทธิตอบอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางเขาคงจะคิดไปเองเท่านั้นแหละ เขาคิด
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น แก้วน้ำก้นลึกพร้อมกับใส่น้ำเปล่าจนเต็มแก้วก็ถูกส่งให้ชายชราอย่างรวดเร็ว ชายวัยกลางคนก็หยิบมาจากมือของมหิทธิและดื่มมันอย่างรวดเร็ว เสียงดังเอื้อกๆ...เหมือนกระหายน้ำอย่างยิ่ง ก่อนที่จะวางแก้วและมหิทธิสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า
แก้วน้ำที่เขารินน้ำเปล่ามาชัดๆ...ตอนนี้เปลี่ยนเป็นน้ำแปลกๆสีขาวเหมือนนมอันน่าอร่อย!!
“นี่มันอะไรกันนี่” มหิทธิถามอย่างตกใจสุดขีด เพราะเมื่อเขาลองดื่มน้ำขาวขุ่นนั้น มันดูเหมือนกับว่ามีความร้อนไหลหลากลงมาสู่ตัวเขา จากปากลงสู่กระเพาะและลำไส้ เหงื่อสีใสแตกพรากออกมาจากร่างของมหิทธิ ก่อนที่จะหายไป เหลือเพียงความหนาวยะเยือกจากสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา
ชายวัยกลางคนค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ และนั่นทำให้มหิทธิประจักษ์ถึงความแข็งแรงของชายผู้นี้ เขานั้นเป็นชายร่างสูง
สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร และมีผิวกายขาวซีดผิดกับมหิทธิที่มีผิวคล้ำ
“ข้าหวังที่จะได้พบท่านเหลือเกิน ท่านมหิทธิ” ชายวัยกลางคนนั้นพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับจับแขนของเขาเอาไว้ “เพราะท่านคือความหวังเดียวของพวกเรา ชาวโลกแห่งจิตวิญญาณและโลกแห่งความเป็นจริงนี้ พวกเราต่างรอท่านมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะมีศัตรูของท่านต่างพากันทำร้ายท่านก็ตามที”
มหิทธิขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง “ท่านรอผมมาตลอด ท่านหมายความถึงอะไรกันแน่”
“ท่านคือ
ความหวังเดียวของพวกเรา
” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งขึ้นมาในทันที “ก่อนที่ข้าจะพูดมากไปกว่านี้ ข้าขอแนะนำตัว ข้ามีชื่อว่า มูริเย่ห์ อากาซัส เป็นกุนซือที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของท่านกษัตริย์อาเธอร์ผู้สูงศักดิ์”
“ท่าน
คือคนที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านกษัตริย์อย่างนั้นหรือ
” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจมากนัก เท่าที่เด็กหนุ่มเคยได้ยินมา กษัตริย์อาเธอร์ในตำนานมีจอมเวทย์อยู่คนหนึ่งที่มีชื่อว่า เมอร์ลิน แล้วนี่
ใช่คนที่เป็นจอมเวทย์คนนั้นหรือเปล่านะ
“ข้าเป็นจอมเวทย์ผู้ที่ท่านคิดถึงจริงๆนั่นแหละนะ” ชายชื่อมูริเย่ห์พูดขึ้นอย่างใจเย็น “แต่สาเหตุที่ข้าต้องใช้ชื่อปลอม เพราะจอมอสูรมอร์เตย์สามารถล้วงความลับและพินิจใจของคนอื่น หรือว่า
” ชายวัยกลางคนเว้นนิดหนึ่ง “ฆ่าผู้อื่นได้ เพียงแค่รู้ชื่อของคนๆนั้นเท่านั้น
”
“ทำไม
ท่านถึงรู้รายละเอียดของจอมอสูรมอร์เตย์ดีจังล่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“อาจจะเป็นเพราะข้านั้นเคยลิ้มรสความชั่วร้ายของมอร์เตย์มากที่สุดก็เป็นไปได้” มูริเย่ห์พูดอย่างหวาดผวา ก่อนที่จะแลบลิ้นเลียปากให้ชื้นเหมือนกับเข็ดขยาดกับแผลเก่า “ช่างเถอะ ข้านั้นพอจะรู้เกี่ยวกับความชั่วร้ายและเวทมนตร์แขนงของมันอยู่บ้าง กองทัพของข้าจึงต้องใช้ชื่อปลอมเป็นส่วนใหญ่ เพราะมิอาจให้จอมอสูรมอร์เตย์เป็นจ้าวแห่งความตายในโลกแห่งจิตวิญญาณได้”
“อันที่จริง ชื่อของข้าที่ใช้นี่ก็มิใช่ชื่อจริงเช่นกัน เพราะข้านั้นมักจะเปลี่ยนชื่ออยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันสถานการณ์ฉุกเฉิน” มูริเย่ห์พูดขึ้นพลางขยิบตาล้อเลียน
“แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกชื่อจริงกับผมล่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
“ข้ามิอาจเสี่ยงได้” เขานั้นตัดบทเหมือนไม่อยากคุยเรื่องราวเหล่านี้อีก มหิทธิจึงเงียบกริบไป
ดูเหมือนว่าเขาจะดูว่าเด็กหนุ่มเงียบไปแล้ว ชายวัยกลางคนจึงเริ่มอธิบายว่า
“จอมอสูรมอร์เตย์เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อทำลายและปกครองโลกทั้งสองใบนี้ดุจที่มันต้องการอยู่ตลอดเวลาหลังจากสงคราม หลังจากที่ถูกกักขังในร่างของชายผู้หนึ่งมานานแสนนาน ชายผู้นั้นถือว่าเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของจอมอสูรมอร์เตย์ และเป็นที่ๆรับพลังงานความชั่วร้ายได้ดีที่สุด อาจจะเรียกได้ว่า อสูรมอร์เตย์นั้นมีพละกำลังมากที่สุดในรอบหนึ่งพันปีก็ว่าได้”
“ชายผู้นั้นเป็นใครหรือ” มหิทธิถามอย่างงุนงง “ผมอยากรู้ จะได้ไปกำจัดมันเลย”
“ช้าก่อนนะท่านลูกชายกษัตริย์
”
“ผมไม่ใช่ลูกชายกษัตริย์
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้” มหิทธิพูดขึ้นพลางหันหลังให้เขา แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจในการเรียกชื่ออย่างเด่นชัด “ท่านเรียกผมได้ไหมครับว่า มหิทธิ น่ะ ไม่ต้องเรียกคำว่าท่านด้วย”
ชายแก่มองมาทางมหิทธิอยู่ครู่หนึ่ง พริบตานั้น เด็กหนุ่มคิดว่าเขาจะตวาดใส่ แต่ตอนนี้ เขายิ้มอย่างเต็มตื้นเป็นที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั้นจะใจดีเหมือนกับบิดาของเขา แต่ถึงแม้ว่าจะมีนิสัยคล้ายกัน แต่ชายวัยกลางคนก็อดที่จะไม่ไว้ใจเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้สักนิด
“ก็ได้
มหิทธิ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นพยานได้ว่าเจ้าเคยไปที่ๆหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งนั่นก็คือ หอนาฬิกาแห่งกูราเยอ ซึ่งเป็นสถานที่ๆเจ้าดึงดาบแห่งกษัตริย์ออกมา”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านเคยไปที่นั่น ในวันที่ผมต่อสู้
” ใบหน้าคล้ำของมหิทธิบิดเบี้ยวด้วยความโกรธทันที “แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยผมล่ะ ห๊ะ!!”
ชายวัยกลางคนยกมือห้ามคำพูดที่พรั่งพรูเหมือนภูเขาร้อนของมหิทธิในทันที เด็กหนุ่มเงียบกริบเหมือนถูกเสก ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดขึ้นว่า
“เพราะข้ายังไม่แน่ใจน่ะสิ ว่าท่านใช่ลูกชายของ ‘ท่านผู้นั้น’ หรือเปล่า” มูริเย่ห์ตอบอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่อาจเสี่ยงมอบดาบของกษัตริย์แก่ผู้ที่ไม่คู่ควรได้ ข้าจึงยังไม่มอบดาบให้ กระทั่งท่านนั้นสามารถดึงดาบและปราบเสือที่ติดคำสาปมอร์ธได้สำเร็จ”
“หมายความว่า
ดาบเล่มนั้น
เป็นของคุณตาของผมกระนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ “แล้วพ่อของผมล่ะ เป็นใครกันแน่
”
“จะให้ตอบเรื่องพ่อที่แท้จริงหรือว่าพ่อบุญธรรมก่อนดีล่ะ” มูริเย่ห์ถามอย่างเคร่งขรึม
“พ่อที่แท้จริง
หมายความว่า พ่อที่เลี้ยงดูผมมาโดยตลอด เป็นพ่อบุญธรรมกระนั้นหรือ” มหิทธิถาม ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอีกครั้ง แต่มูริเย่ห์กลับยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อสั่งให้เงียบ และเขาก็พูดขึ้นอีกว่า
“พ่อบุญธรรมของท่านเป็นมนุษย์ที่พิเศษกว่าคนอื่นมากมายนัก เพราะท่านนั้นสามารถย้ายมิติจากอดีตสู่อนาคต ด้วยพลังที่ท่านได้รับ มหิทธิ เจ้าจึงเดินเข้ามาสู่ชะตากรรมนี้ในระยะสิบหกปีที่ผ่านมานั่นเอง
ส่วนพ่อที่แท้จริงของท่าน
ข้าเสียใจอย่างยิ่ง เพราะข้าบอกไม่ได้จริงๆ” มูริเย่ห์พูดขึ้นสอดคำพูดของมหิทธิที่อ้าปากจะพูดอีกว่า “แต่ข้าบอกได้เพียงคำเดียวว่า ดาบที่ท่านดึงออกมานั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเกี่ยวบิดาของท่านได้”
“อย่างนั้นหรือ
” มหิทธิถามอย่างเข้าใจ “แล้วดาบที่ผมดึงออกมาจากโลกแห่งจิตวิญญาณนั่น เป็นดาบของคุณพ่อสินะ แล้วดาบนั้นมันอยู่ที่ไหน และชื่ออะไรกันแน่”
“มันมีชื่อว่า ดาบคอนซอนตรา ดาบเล่มนี้เป็นดาบวิเศษที่พอกษัตริย์ได้ครอบครองเมื่อใด ความสงบสุขจะเกิดขึ้นเมื่อนั้น”
“เอาละ เรานอกเรื่องกันมากพอสมควรแล้ว” มูริเย่ห์พูดขึ้น “เราจะพูดถึง “อะไรบางอย่าง” ที่อยู่ในตัวของเจ้า ก่อนอื่น เธอเคยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ไหม”
มหิทธินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า
“ถึงตอนนี้ก็คงจะต้องเชื่อเรื่องเวทมนตร์แล้วละครับ เพราะสายฝนที่หยุดตกลงมา หรือการหยุดเวลาแบบนี้ คงจะเป็นฝีมือของท่านละสินะ”
“เดาได้เก่งนี่นะ เราน่ะ” ชายชราพูดขึ้นด้วยความร่าเริงและยิ้มย่นๆให้เห็นฟันที่ยังเรียงครบเหมือนฟันของคนหนุ่มสาวปกติ (แถมยังขาวด้วย) แต่มหิทธิกลับไม่ยิ้มตอบ แต่กลับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีขาวขุ่นมัวของชายชรา ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ก้องออกมาจากปาก เหมือนกับมีพลังอะไรบางอย่างที่กึกก้องขึ้นมาว่า
“หมายความว่า
ผมก็มีเวทมนตร์
อย่างนั้นละสินะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจและรู้สึกสับสนมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ “แล้วทำไมผมถึงไม่แสดงพลังหรืออะไรสักอย่างก่อนหน้านี้ล่ะ เผื่อจะได้อัดพวกปากเสียที่กำแหงผม” เด็กหนุ่มพูดเหมือนหยิ่งผยองอย่างพิกล
ถึงตอนนี้ มูริเย่ห์ก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายจนถึงที่สุด ก่อนที่จะยกมือขึ้นและหลับตา ก่อนที่จะเอ่ยคำสองถึงสามคำอย่างง่ายๆ เปลวไฟสีม่วงและเหลืองโผล่ผลุบสลับกันไปมาดุจประกายเพชร ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและหายวับไปพร้อมกับส่งกลิ่นฟู่เหมือนกลิ่นร้ายกาจที่ติดแน่นอยู่บนจมูกของมหิทธิ
“เพราะว่าการใช้เวทมนตร์นั้นจะต้องสละกิเลสส่วนหนึ่งออกไปเพื่อเพิ่มสมาธิให้กับตนเองอย่างไรล่ะ ถ้าเกิดสละกิเลสหรือความชั่วออกไปไม่ได้ ก็ไม่อาจที่จะใช้พลังเวทมนตร์ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าความชั่วนั้นเข้าครอบงำเมื่อใด คนๆนั้นก็จะสามารถใช้เวทมนตร์มืดได้อย่างง่ายดาย แต่ก็จะต้องเสียความดีส่วนหนึ่งออกไปเพื่อแลกกับพลังมืด”
“ดุจดังสุภาษิตที่ว่า
ความดีจักได้ดี ความชั่วจักได้ชั่วก็เพราะเหตุนี้”
มหิทธิก็พยักหน้าอออือด้วยความเข้าใจในทฤษฎี แต่จะปฏิบัติได้หรือไม่นั้นยังเป็นปัญหาและเหตุปัจจัยที่สามารถใช้เวทมนตร์นั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือ พลังสมาธิ แต่เขาจะใช้พลังได้หรือเปล่านั้นอีกเรื่อง
“เอาละ เวลาผ่านไปนานมากแล้วสำหรับข้า” มูริเย่ห์พูดขึ้นพลางค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ “ข้าสมควรที่จะต้องไปเสียที อีกอย่างหนึ่ง
” ชายแก่ร้องขึ้นพลางเดินออกไปที่ประตูไม้นั้น “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ เพราะการฆาตกรรมต่อเนื่อง
ที่เจ้ากำลังจะเจอในครั้งนี้ เกี่ยวพันกับครอบครัวบุญธรรมของเจ้าอย่างมากถึงมากที่สุดเลยละ” ชายแก่เดินไปเปิดประตูออกพร้อมกับที่หยาดฝนนั้นค่อยๆเปลี่ยนจากหยุดนิ่งเหมือนหยาดแหลมเป็นค่อยๆเคลื่อนที่อย่างช้าๆ “และขอเตือนอีกอย่างหนึ่งนะ ว่าเจ้าจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของเจ้าทีละเล็กละน้อย
มิฉะนั้น เจ้าอาจจะต้องเสียชีวิต เพราะรับรู้เรื่องราวมากจนเกินไป
”
เสียงซู่ๆดังกระหน่ำอีกครั้งพร้อมกับเสียงฟาดเปรี้ยงของสายฟ้าแลบ ร่างของชายแก่หายวับไปเหมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
มหิทธิรู้สึกเหมือนมันเป็นเพียงภาพลวงตา เขารู้สึกว่าร่างของชายวัยกลางคนนั้นค่อยๆเลือนไปจนหายวับเหมือนกับเป็นกระจก ท่ามกลางสายฟ้าฟาดเปรี้ยงอย่างรุนแรงและสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนคนที่สำคัญที่สุดหายไปอย่างไม่มีวันกลับ น้ำตาสีใสไหลลงมาอย่างช้าๆ แต่พริบตานั้น มันเหมือนกับว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามา เสียงกุบกับของม้าพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งของเหล็กที่เชื่อมอานดังขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับสภาวะอากาศเริ่มเลวร้ายมากขึ้นจนน่าแปลกใจ สายฝนเริ่มเทกระหน่ำดังโครมครามลงมาอย่างแรง พร้อมกับสายฟ้าแลบแวบวับเหมือนลิ้นงูสีสว่าง
“อย่าออกไปข้างนอกตอนนี้นะ” โกกัสร้องเมื่อมหิทธิทำท่าจะเปิดประตูให้กับแขกผู้มาเยือน “มันอาจจะเป็นร่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
”
เสียงกุบกับนั้นดังขึ้นอีก แต่คราวนี้มีเสียงหายใจแรงๆดังพรื่อ
ของม้าขนาดใหญ่กว่าม้าธรรมดาทั่วไปที่เคยพบเคยเห็น เพราะมันหายใจดังมากเสียจนกึกก้องไปทั่วพื้น มหิทธิถอยหลังออกไป แต่เพียงพริบตาที่มหิทธิก้าวออกไปดังแกรก
เสียงม้าร้องฮี้
เหมือนมันกำลังโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
ก่อนที่เสียงกุบกับดังถี่รัวจะร้องลั่นและล่าถอยไปเหมือนกับมันกำลังหวาดผวากับเสียงนั้น
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่ม “ท่าทางจะเป็นแค่ม้าพเนจรมากกว่า
เป็นอะไรไปน่ะ”
มหิทธิหันไปหาโกกัส แต่เขากลับมีใบหน้าซีดเผือดดุจไม่มีสีเลือด พร้อมกับที่ตัวของโกกัสสั่นระรัวและดาบสีดำนั้นชักออกมาเสียงดังแกรก
“นายทำอะไรลงไป
รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” โกกัสพูดเสียงสั่น “นายไปปลุกสัญชาตญาณแห่งความตายให้ตื่นขึ้นมา เพราะนายคนเดียว มันเลยรู้ว่านายอยู่ที่นี่ และมันกำลังจะล่าตัวนายในไม่ช้านี้
” เสียงของโกกัสค่อยๆลดระดับลงจนต่ำอย่างน่ากลัว
“สัญชาตญาณแห่งความตายคืออะไรกันแน่น่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“นายไม่มีทางที่จะหนีรอดออกจากสัญชาตญาณแห่งความตายที่มันปูพื้นเอาไว้รอบๆเพื่อวางหมาก
ให้นาย
ไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ได้
นายถือสิ่งนี้เอาไว้สิ”
โกกัสร้องพลางหยิบและขว้างดาบสองคมยาวหนึ่งเมตรครึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มองดูไปมันเหมือนกับดาบของอัศวินที่มีคนถือไว้เพื่อป้องกันตัว ปลายดาบนั้นเรียวแหลมและสามารถเสียบคนให้ตายได้ในดาบเดียว และด้ามดาบนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างขรุขระ เพื่อให้สามารถจับได้อย่างถนัดมือ และที่ฐานดาบนั้นเป็นรูปไม้กางเขนในรูปวงกลม
เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง เด็กหนุ่มคิด
“พร้อมนะ
” โกกัสพูดขึ้นพลางจับดาบอย่างไม่รอช้า พร้อมกับชักดาบเสียงดังแกรกๆเหมือนเสียงกรงเล็บยาวครูดกับพื้น ดาบสีดำยาววาววับและเรียวแหลมเหมือนดาบซามูไร และที่ด้ามดาบนั้นมีกั่นดาบรูปกากบาทและมีวงกลมอยู่ที่รอบนอก ดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่น่าประหลาด มหิทธิคิด
มหิทธิพยายามนึกถึงตอนที่ตนเองนั้นใช้ดาบคอนซอนตรา ก่อนที่จะเหยียดแขนไปข้างหน้าและจับดาบเฉียงมุมแหลมกับพื้นอย่างมั่นคง เตรียมพร้อมฟันสะพายแล่งถ้าหากเกิดอะไรขึ้น
เด็กหนุ่มมองดูมายะกับทิวาที่ตอนนี้นั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้ว่าตนเองกำลังจะชะตาขาด มหิทธิเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้
ทุกคนอยู่ที่นี่เหมือนกัน
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรับผลกระทบเช่นกันอย่างนั้นน่ะหรือ
“โกกัส นายรู้หรือเปล่าว่ามีคนอยู่ที่นี่ตั้งสิบยี่สิบคน” มหิทธิพูดขึ้น “แล้วเรามีเพียงแค่สองคนด้วย แล้วเราจะไปสู้กับเจ้านั่นโดยไม่มีกำลังเสริมได้อย่างไร”
โกกัสพูดพลางยิ้มโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า
“ที่นี่ถูกกางม่านป้องกันแห่งกาลเวลาเอาไว้แล้วโดยท่านมูริเย่ห์ นายก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วนี่นะว่าคนเหล่านี้จะไม่รับรู้การต่อสู้นี่โดยเด็ดขาด”
“แล้วทำไมนายถึงไม่ปลดผนึกมายะแล้วให้ออกมาสู้ด้วยล่ะ”
คำถามนี่ถึงกับทำให้โกกัสอึ้งกิมกี่ไปด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ
เหมือนกับว่ามหิทธิรู้เรื่องที่มายะเป็นชนเผ่าดวงจันทร์
หรือเปล่านะ
“นายรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือ” โกกัสถามอย่างไม่แน่ใจ
“ใช่ เสียใจด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดหรอกนะ ฉันรู้แค่ว่ามายะน่ะถูกส่งมาให้ปกป้องฉันโดยเฉพาะ แต่ทำไมนายถึงไม่ปลดผนึกมายะล่ะ”
โกกัสมองดูมหิทธิอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะพูดเสียงเบาว่า
“นายจำได้ไหมว่า มอร์เตย์มีลูกชายที่เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจอยู่คนหนึ่ง” โกกัสถามทวนความทรงจำ
“ฉันต้องจำได้อยู่แล้วสิ จริงไหม” มหิทธิตอบเสียงดังแข่งกับเสียงครืนครั่นของฟ้าร้อง
“ใช่แล้ว ร่างนั้นแหละ เป็นสาเหตุที่มายะออกมาสู้กับเราไม่ได้ เพราะร่างนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็น
”
โครม!!
เสียงกระแทกอัดของอะไรบางอย่างที่หนักมากปรากฏขึ้นที่หน้าประตู พร้อมกับเสียงตึง!! ประตูงอในทันทีเหมือนถูกแรงถีบของยักษ์ เด็กหนุ่มกระชับดาบแน่นเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อม ในขณะที่ลูกกลมสีใสของโกกัสมีแสงสีแดงร้อนฉ่าเหมือนกับเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว เพียงพริบตานั้น
เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!!
แสงฟ้าผ่าวาบขึ้นที่ตรงหน้าของมหิทธิ เพียงพริบตานั้น แรงของฟ้าผ่าก็ถีบร่างของมหิทธิออกมาอย่างแรง พร้อมกับที่ประตูก็ถูกทำลายไปเสียย่อยยับ ร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าของพวกเขา จากม่านหมอกของฝน เด็กหนุ่มรู้เพียงว่ามันมีความสูงเกือบๆสองเมตรครึ่ง และร่างนั้นกำลังขี่ม้าตัวเขื่องเท่ารถแทรกเตอร์ แต่แค่สายฝนนั้นแทบจะมองไม่เห็นถึงรูปร่างของมันอย่างเด่นชัด
แต่ร่างอันโตเท่ายักษ์นั้นดูเหมือนจะรับรู้ มันก้าวเข้ามาในโบสถ์หลังเล็กนี้ในทันที พร้อมกับที่ร่ายมนตร์อะไรบางอย่าง แต่ทำให้แสงสว่างที่อยู่ในโบสถ์ทำอะไรมันไม่ได้
เพียงพริบตานั้น ร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองคน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น