ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่เจ็ด เรื่องราวของโลกทั้งสองและความหวังแห่งแสงสว่าง (แก้เสียนิดหน่อย)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


    บทที่เจ็ด เรื่องราวของโลกทั้งสองและความหวังแห่งแสงสว่าง
    โลกมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยเทพหลากหลายองค์เมื่อสี่พันหกร้อยล้านปีมาแล้ว โลกในสมัยนั้นยังเป็นเพียงโลกสีน้ำเงินอันแสนสวยงามและเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ และมนุษย์ในโลกแห่งนี้เป็นเพียงผู้สร้างโลกแห่งนี้ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิด...เท่านั้น...
    โลกแห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งซึ่งชาวโลกอีกแห่งหนึ่งเรียกกันว่า โลกแห่งความเป็นจริง....
    ถ้าสมมุติว่าโลกแห่งความเป็นจริงคือโลกแห่งเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์  โลกอีกแห่งหนึ่งก็เปี่ยมไปด้วยจินตนาการซึ่งมิอาจเติมเต็มได้หมด
    โลกแห่งความเป็นจริงมีเพียงความเป็นจริงและความเป็นไปได้ โลกแห่งจิตวิญญาณก็คือโลกที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและความเป็นไปไม่ได้ซุกซ่อนอยู่มากมาย
    ดังนั้น โลกทั้งสองจึงเคลื่อนไปในแนวทางขนานกัน ไม่มีทางที่จะขึ้นมาซ้อนกันได้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆก็ตามแต่ที่วิทยาศาสตร์ในโลกแห่งความเป็นจริงจะคิดขึ้นได้  ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปในโลกแห่งจิตวิญญาณได้เป็นอันขาด
    แต่เชื่อหรือไม่ว่า มนุษย์บนโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเคยมีเวทมนตร์ที่ทรงพลัง และเคยเกือบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เพราะเวทมนตร์เหล่านั้นเป็นต้นเหตุ!!
    ในสมัยที่มนุษย์ยังมีเวทมนตร์เป็นของตนเองนั้น โลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำ  เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่มนุษย์จะย้ายถิ่น  เพราะมนุษย์นั้นยังมีศักยภาพที่จะทำให้เวทมนตร์นั้นเกิดขึ้นได้
    แต่ละครโศกนาฏกรรมก็เริ่มต้นขึ้นโดยชายผู้หนึ่งที่อยู่บนหลังม้า  เขาปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดนั้นไม่เคยมีใครรู้  รู้เพียงแค่ว่าชายผู้นี้ชอบขี่อาชาสีดำสนิทและมีหน้ากากสีดำสนิทดุจรัตติกาลเป็นสัญลักษณ์  ชายผู้นี้มีความชั่วร้ายสิงสู่อยู่เป็นจำนวนมากจนจอมเวทย์มิอาจควบคุมอยู่  เขามีนามกรว่า  มอร์เตย์...
    ชายผู้นี้เมื่อลงมาที่โลกแห่งจิตวิญญาณก็เริ่มสมัครพรรคพวก  พวกที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งความชั่วร้ายนั้นเพราะต่างต้องการพลังแบบเดียวกันเพื่อทำลายล้าง  บ้างก็ต้องการความชั่วร้ายที่ละเมียดละไมแบบของเขา  แต่คนที่เข้าไปเป็นพวกนั้นก็เริ่มถูกดูดกลืนความชั่วร้ายมากขึ้น...มากขึ้น...เสียจนแทบจะไม่มีความดีอะไรหลงเหลืออยู่อีก  เพราะความดีนั้นก็เริ่มต้นขึ้นมาจากความชั่ว  ถ้าใครไม่เคยคิดที่จะทำชั่ว  ไหนเลย  ความดีจะปรากฏ...
    มอร์เตย์เริ่มก่อสงครามแห่งความชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้น  แต่ส่วนใหญ่นั้นจะไม่ก่อให้เกิดสงครามเลย  ถ้ามนุษย์กับชนเผ่าต่างๆจะไม่เริ่มก่อความชั่วร้ายในใจของตัวเอง  และความชั่วร้ายนี้ก็เริ่มสร้างตัวสัตว์น่าขยะแขยงขึ้นมาในจิตเพื่อเป็นลูกสมุนและก่อความชั่วร้ายในโลกแห่งจิตวิญญาณนั้น…
    สงครามแห่งความตายจะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยแม้เพียงนิด… ถ้ามนุษย์จะเฉลียวใจแม้เพียงสักนิดว่าการสมัครพรรคพวกไม่ได้เกิดจากการบังคับของอำนาจมืด แต่เป็นความสมัครใจของพวกเขาเอง
    เพราะสงครามแห่งความมืดนี้เกิดขึ้นจากที่มอร์เตย์นั้นให้ความสมัครใจในการเป็นพรรคพวกกับเขา โดยยอมแลกกับพลังอำนาจอันมหาศาลที่เขาเพียงได้แค่ฝัน แล้วจิตใจในมนุษย์น่ะหรือจะยอมปฏิเสธข้อเสนออันหอมหวนนี้...
    จากนั้น  เหล่ามนุษย์และสัตว์ร้ายที่มนุษย์เป็นคนอัญเชิญเพื่อเป็นพวกเดียวกันก็เริ่มทำลายสัดส่วนในโลกแห่งจิตวิญญาณให้ตกอยู่ในความมืดมิดเหมือนกลุ่มเมฆหมอกแห่งความกลัว  เพียงพริบตาเดียว โลกที่เกิดจากจินตนาการนี้ก็ถูกทำลายไปกว่าสิบเปอร์เซ็นต์  เพียงเพราะมนุษย์เริ่มเหลิงในเวทมนตร์ของตนเอง  และมอร์เตย์ก็เริ่มใช้ความชั่ว  นั่นคือ  ความหลงตัวเอง  เป็นเชื้อเพลิงให้กับเวทมนตร์ของเขา  ทำให้เขามีทั้งพละกำลังและความร้ายกาจมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว...
    แต่ช่างโชคดีนัก  ที่โลกแห่งจิตวิญญาณยังมีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือโลกแห่งนี้  เขาเป็นชายผู้ที่เคยผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน  และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่มีเวทมนตร์และพลังอำนาจมาก สูสีกับมอร์เตย์ แต่เขาบูชาความสว่างอย่างยิ่ง ชายผู้นี้จึงถูกเรียกว่า “กษัตริย์แห่งแสงสว่าง”
    เขาได้เริ่มมองหาผู้คนที่ยังไม่ตกอยู่ในความมืดมิดและเริ่มช่วยเหลือพวกเขาจากความตายที่เฉียดเขาไปเพียงก้าวเดียว นั่นคือ ชายผู้เคยเป็นอดีตสี่ทูตสวรรค์ มูริเย่ห์ และเด็กสาวผู้เคยเป็นราชินีแห่งชนเผ่าดวงจันทร์  สามจอมเวทย์แห่งแสงสว่าง ต่างเริ่มมองหาพรรคพวกที่เคยเป็นฝ่ายชั่วร้าย  และแก้ไขให้พวกเขาอยู่ในสภาวะคงเดิม  ต่อจากนั้น พวกเขามีอิสระที่จะไปหรือจะเข้าพรรคพวก เป็นฝ่ายแห่งแสงสว่าง
    แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้สึกถึงพลังความมืดที่ร้ายกาจมาก และต่างก็ยอมรับความจริงที่ว่า ไม่มีที่ใดในโลกแห่งจิตวิญญาณที่จะไม่ปราศจากความมืดเท่ากับการเข้าพวกกับฝ่ายแสงสว่าง
    ในวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสาม  ที่ถูกเรียกกันว่า  วันแห่งการสลายของอธรรม  เหล่าสัตว์แห่งความมืดและกษัตริย์แห่งความสว่างต่างประจันหน้ากันที่ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่แห่งเพอรีแนล  พวกมันต่างโกรธแค้นและกระหายเลือด และมีเป้าหมายเดียวกัน คือ  ต้องการทำลายกษัตริย์แห่งแสงสว่างให้สูญสิ้นไปพร้อมกัน!!!!
    พรึ่บ!!
    เพียงพริบตานั้น  ดวงตาของมหิทธิก็รู้สึกร้อนขึ้นมาในทันที  ไม่มีใครเห็นเลยแม้เพียงนิดว่า  มหิทธิกำลังมีดวงตาสีขาวสว่าง เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่า ตนเองกำลังย้อนอดีตไปสู่สงครามครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งโลกใบนี้!!
    เด็กหนุ่มมองเห็นมือของตนเองชูยกขึ้นด้วยความกำแหงในชัยชนะ  ดาบขนาดใหญ่ยาวที่ตนเองเคยใช้ในโลกแห่งจิตวิญญาณ  ดาบใหญ่ยาวและมีกั่นดาบเป็นรูปปีกนกสีทับทิมแวววาว  มันกำลังชูขึ้นเป็นประกายเย้ยความมืดที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง  จากนั้น!!
    เปรี้ยง!!!
    สายฟ้าสีดำสนิทผ่าฟาดลงมาอย่างแรงตรงสู่กองทัพทหารสีขาวที่อยู่ทางด้านหลัง  เขารู้สึกเหมือนแผ่นดินสะเทือน  ก่อนที่ร่างของจอมเวทย์กลุ่มหนึ่งจะหายไปอย่างรวดเร็ว  พริบตาต่อมา  สายฟ้าหลากหลายเส้นก็ถูกร่ายลงมาที่บริเวณนี้อย่างรวดเร็วพร้อมกับฟาดลงมาดังโครมคราม  สร้างความเสียวสยองให้กับเหล่าจอมเวทย์ที่อยู่ด้านหลังอย่างรุนแรง
    “พวกเรา!!! บุก!!!”
    เสียงของตนเองดังกึกก้องขึ้นอย่างรุนแรงแข่งกับเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้างนั้น  เสียงแกรกๆของอาวุธถูกชูขึ้นอย่างรวดเร็วและกองกำลังสีขาวก็ถูกถาโถมลงสู่กลุ่มควันที่กำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของใครบางคนที่ยืนอย่างสง่างามตรงหน้าพวกเขา!!
    เฮือก!!
    มหิทธิสะดุ้งถอยจนดูเหมือนว่าเขากระตุกหัวด้วยความสยองขวัญ  เขารู้สึกตัวว่าตนเองกลับมายืนอยู่ที่จุดเดิมเรียบร้อยแล้ว   แต่ทุกคนกลับมีอาการนิ่งสนิทอย่างน่าประหลาด  ทุกคนต่างนั่งจ้องมองดูด้านหน้าของโกกัส  ไม่มีใครสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวและมองดูพวกเขาอย่างตกใจสุดขีด  และกรีดร้องด้วยความหวาดผวา  เพราะทุกคนต่างนิ่งสนิทเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว!!
    “เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่”
    เสียงของโกกัสดังขึ้นที่จุดด้านข้างของเด็กหนุ่ม  พร้อมกับที่มือนุ่มๆสีขาวนวลออกมาจับไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้  เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็พบว่าชายหนุ่มที่เป็นนักบวชในตอนนี้เริ่มถอดชุดจากชุดคลุมยาวกรอมเท้าสีดำเป็นชุดคลุมเดินทางที่มีหางยาวสีดำสนิท  ตอนนี้เขาเริ่มถือดาบยาวที่ตนเองคุ้นเคยเป็นที่สุดติดมือมาด้วย  ดาบยาวสีดำสนิทที่มีกั่นดาบเป็นเพชรรูปกางเขน
    “ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ”  มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นได้ในที่สุด  พร้อมกับมองไปรอบๆที่บริเวณด้านในและด้านนอก  ปรากฏว่าที่นี่เต็มไปด้วยม่านหมอกของหยาดฝนที่ตกลงมาและหยุดอยู่กับที่  มหิทธิรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาในทันทีเหมือนกับทุกครั้งที่ตนเองมองเห็นเรื่องราวอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น
    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”  มหิทธิถามอย่างไม่พอใจพลางมองโกกัสอย่างจะถามคำถาม
    แต่โกกัสไม่ตอบอะไร แต่กลับมองดูที่ประตูเหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านนอก  ที่ตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่มีขนาดเล็ก  แต่มีพละกำลังสูงพอควรเดินเข้ามาที่ในบริเวณนี้  มหิทธิมองดูอย่างงงๆ ก่อนที่ประตูสีน้ำตาลจะถูกเคาะเป็นรหัสสองครั้ง  สามครั้ง  และสองครั้ง
    เขาสังเกตเห็น – จากใบหน้าของโกกัสว่า – เขามีสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด  เขาเดินออกไปพร้อมกับเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
    ท่ามกลางม่านหมอกของฝนที่นิ่งสนิท  ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู  เขามีผมสีขาวยาวถึงกลางหลังที่เปียกลู่ไปมาท่ามกลางฝน  เขามีดวงตาสีดำเรียวยาวและไม่ฝ้าฟาง  มันดูสุกใสท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำลงมา  เขาสวมชุดคลุมเดินทางสีขาวที่มีฝุ่นโคลนสีดำหยดเกาะลงมาที่กลางทาง  ชายผู้นี้ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา  ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสายฝน  แต่เขากลับมีรัศมีแรงกล้ามากๆจนสาดลงมาที่ผนังกระจกและเกิดความแวววาวขึ้นทุกครั้งที่ออร่าพลุ่งออกไป
    “อรุณสวัสดิ์  ท่านมหิทธิ  สิริราชา”  ชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ  ก่อนที่จะค่อยๆยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์แปลกๆเหมือนรูปดาวหกแฉกพร้อมกับทำรูปวงกลมล้อมรอบ  ซึ่งดูเหมือนแปลกประหลาดมากสำหรับมหิทธิ
    “คุณเป็นใครกันน่ะ”
    มหิทธิถามอย่างแปลกใจ  เมื่อชายวัยกลางคนผู้นั้นเข้ามาข้างใน  แต่ช่างน่าแปลกนักที่ไม่ยักกะเปียกฝนเลยสักนิด
    “อ้อ...ข้าชื่ออะไรนั้น  มันไม่สำคัญอะไรสำหรับเจ้าเท่าไรนักหรอกนะ”  ชายชราที่มีรัศมีของเขาพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม  ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ยาวขนาดใหญ่ที่ด้านข้างของเขา  และพูดขึ้นอย่างไม่ให้เสียเวลาว่า
    “ข้าเป็นชายแก่ที่หลงทางมา  ข้าขออะไรเจ้าเพียงอย่างหนึ่งจะได้หรือไม่”
    “ดะ...ได้สิ”  มหิทธิตอบอย่างเคอะเขิน
    “ข้าขอแก้วน้ำสักแก้วหนึ่งที่มีก้นลึกๆจะได้หรือไม่”  ชายแก่ถามอย่างวิงวอน
    “อะ...อ้อ....ได้สิ
    มหิทธิตอบอย่างไม่ใส่ใจ  ท่าทางเขาคงจะคิดไปเองเท่านั้นแหละ  เขาคิด
    เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น  แก้วน้ำก้นลึกพร้อมกับใส่น้ำเปล่าจนเต็มแก้วก็ถูกส่งให้ชายชราอย่างรวดเร็ว  ชายวัยกลางคนก็หยิบมาจากมือของมหิทธิและดื่มมันอย่างรวดเร็ว  เสียงดังเอื้อกๆ...เหมือนกระหายน้ำอย่างยิ่ง  ก่อนที่จะวางแก้วและมหิทธิสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า
    แก้วน้ำที่เขารินน้ำเปล่ามาชัดๆ...ตอนนี้เปลี่ยนเป็นน้ำแปลกๆสีขาวเหมือนนมอันน่าอร่อย!!
    “นี่มันอะไรกันนี่” มหิทธิถามอย่างตกใจสุดขีด เพราะเมื่อเขาลองดื่มน้ำขาวขุ่นนั้น มันดูเหมือนกับว่ามีความร้อนไหลหลากลงมาสู่ตัวเขา จากปากลงสู่กระเพาะและลำไส้ เหงื่อสีใสแตกพรากออกมาจากร่างของมหิทธิ ก่อนที่จะหายไป เหลือเพียงความหนาวยะเยือกจากสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา
    ชายวัยกลางคนค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ และนั่นทำให้มหิทธิประจักษ์ถึงความแข็งแรงของชายผู้นี้ เขานั้นเป็นชายร่างสูง…สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร และมีผิวกายขาวซีดผิดกับมหิทธิที่มีผิวคล้ำ…
    “ข้าหวังที่จะได้พบท่านเหลือเกิน ท่านมหิทธิ” ชายวัยกลางคนนั้นพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับจับแขนของเขาเอาไว้ “เพราะท่านคือความหวังเดียวของพวกเรา ชาวโลกแห่งจิตวิญญาณและโลกแห่งความเป็นจริงนี้ พวกเราต่างรอท่านมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะมีศัตรูของท่านต่างพากันทำร้ายท่านก็ตามที”
    มหิทธิขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง “ท่านรอผมมาตลอด ท่านหมายความถึงอะไรกันแน่”
    “ท่านคือ…ความหวังเดียวของพวกเรา…” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งขึ้นมาในทันที “ก่อนที่ข้าจะพูดมากไปกว่านี้ ข้าขอแนะนำตัว ข้ามีชื่อว่า มูริเย่ห์ อากาซัส เป็นกุนซือที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของท่านกษัตริย์อาเธอร์ผู้สูงศักดิ์”
    “ท่าน…คือคนที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านกษัตริย์อย่างนั้นหรือ…” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจมากนัก เท่าที่เด็กหนุ่มเคยได้ยินมา กษัตริย์อาเธอร์ในตำนานมีจอมเวทย์อยู่คนหนึ่งที่มีชื่อว่า เมอร์ลิน แล้วนี่…ใช่คนที่เป็นจอมเวทย์คนนั้นหรือเปล่านะ
    “ข้าเป็นจอมเวทย์ผู้ที่ท่านคิดถึงจริงๆนั่นแหละนะ” ชายชื่อมูริเย่ห์พูดขึ้นอย่างใจเย็น “แต่สาเหตุที่ข้าต้องใช้ชื่อปลอม เพราะจอมอสูรมอร์เตย์สามารถล้วงความลับและพินิจใจของคนอื่น หรือว่า…” ชายวัยกลางคนเว้นนิดหนึ่ง “ฆ่าผู้อื่นได้ เพียงแค่รู้ชื่อของคนๆนั้นเท่านั้น…”
    “ทำไม…ท่านถึงรู้รายละเอียดของจอมอสูรมอร์เตย์ดีจังล่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
    “อาจจะเป็นเพราะข้านั้นเคยลิ้มรสความชั่วร้ายของมอร์เตย์มากที่สุดก็เป็นไปได้” มูริเย่ห์พูดอย่างหวาดผวา ก่อนที่จะแลบลิ้นเลียปากให้ชื้นเหมือนกับเข็ดขยาดกับแผลเก่า “ช่างเถอะ ข้านั้นพอจะรู้เกี่ยวกับความชั่วร้ายและเวทมนตร์แขนงของมันอยู่บ้าง กองทัพของข้าจึงต้องใช้ชื่อปลอมเป็นส่วนใหญ่ เพราะมิอาจให้จอมอสูรมอร์เตย์เป็นจ้าวแห่งความตายในโลกแห่งจิตวิญญาณได้”
    “อันที่จริง ชื่อของข้าที่ใช้นี่ก็มิใช่ชื่อจริงเช่นกัน เพราะข้านั้นมักจะเปลี่ยนชื่ออยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันสถานการณ์ฉุกเฉิน” มูริเย่ห์พูดขึ้นพลางขยิบตาล้อเลียน
    “แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกชื่อจริงกับผมล่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
    “ข้ามิอาจเสี่ยงได้” เขานั้นตัดบทเหมือนไม่อยากคุยเรื่องราวเหล่านี้อีก มหิทธิจึงเงียบกริบไป
    ดูเหมือนว่าเขาจะดูว่าเด็กหนุ่มเงียบไปแล้ว ชายวัยกลางคนจึงเริ่มอธิบายว่า
    “จอมอสูรมอร์เตย์เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อทำลายและปกครองโลกทั้งสองใบนี้ดุจที่มันต้องการอยู่ตลอดเวลาหลังจากสงคราม หลังจากที่ถูกกักขังในร่างของชายผู้หนึ่งมานานแสนนาน ชายผู้นั้นถือว่าเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของจอมอสูรมอร์เตย์ และเป็นที่ๆรับพลังงานความชั่วร้ายได้ดีที่สุด อาจจะเรียกได้ว่า อสูรมอร์เตย์นั้นมีพละกำลังมากที่สุดในรอบหนึ่งพันปีก็ว่าได้”
    “ชายผู้นั้นเป็นใครหรือ” มหิทธิถามอย่างงุนงง “ผมอยากรู้ จะได้ไปกำจัดมันเลย”
    “ช้าก่อนนะท่านลูกชายกษัตริย์…”
    “ผมไม่ใช่ลูกชายกษัตริย์…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้” มหิทธิพูดขึ้นพลางหันหลังให้เขา แสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจในการเรียกชื่ออย่างเด่นชัด “ท่านเรียกผมได้ไหมครับว่า มหิทธิ น่ะ ไม่ต้องเรียกคำว่าท่านด้วย”
    ชายแก่มองมาทางมหิทธิอยู่ครู่หนึ่ง พริบตานั้น เด็กหนุ่มคิดว่าเขาจะตวาดใส่ แต่ตอนนี้ เขายิ้มอย่างเต็มตื้นเป็นที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั้นจะใจดีเหมือนกับบิดาของเขา แต่ถึงแม้ว่าจะมีนิสัยคล้ายกัน แต่ชายวัยกลางคนก็อดที่จะไม่ไว้ใจเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้สักนิด
    “ก็ได้…มหิทธิ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นพยานได้ว่าเจ้าเคยไปที่ๆหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งนั่นก็คือ หอนาฬิกาแห่งกูราเยอ ซึ่งเป็นสถานที่ๆเจ้าดึงดาบแห่งกษัตริย์ออกมา”
    “ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านเคยไปที่นั่น ในวันที่ผมต่อสู้…” ใบหน้าคล้ำของมหิทธิบิดเบี้ยวด้วยความโกรธทันที “แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยผมล่ะ ห๊ะ!!”
    ชายวัยกลางคนยกมือห้ามคำพูดที่พรั่งพรูเหมือนภูเขาร้อนของมหิทธิในทันที เด็กหนุ่มเงียบกริบเหมือนถูกเสก ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดขึ้นว่า
    “เพราะข้ายังไม่แน่ใจน่ะสิ ว่าท่านใช่ลูกชายของ ‘ท่านผู้นั้น’ หรือเปล่า” มูริเย่ห์ตอบอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่อาจเสี่ยงมอบดาบของกษัตริย์แก่ผู้ที่ไม่คู่ควรได้ ข้าจึงยังไม่มอบดาบให้ กระทั่งท่านนั้นสามารถดึงดาบและปราบเสือที่ติดคำสาปมอร์ธได้สำเร็จ”
    “หมายความว่า…ดาบเล่มนั้น…เป็นของคุณตาของผมกระนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ “แล้วพ่อของผมล่ะ เป็นใครกันแน่…”
    “จะให้ตอบเรื่องพ่อที่แท้จริงหรือว่าพ่อบุญธรรมก่อนดีล่ะ” มูริเย่ห์ถามอย่างเคร่งขรึม
    “พ่อที่แท้จริง…หมายความว่า พ่อที่เลี้ยงดูผมมาโดยตลอด เป็นพ่อบุญธรรมกระนั้นหรือ” มหิทธิถาม ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธอีกครั้ง แต่มูริเย่ห์กลับยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อสั่งให้เงียบ และเขาก็พูดขึ้นอีกว่า
    “พ่อบุญธรรมของท่านเป็นมนุษย์ที่พิเศษกว่าคนอื่นมากมายนัก เพราะท่านนั้นสามารถย้ายมิติจากอดีตสู่อนาคต ด้วยพลังที่ท่านได้รับ มหิทธิ เจ้าจึงเดินเข้ามาสู่ชะตากรรมนี้ในระยะสิบหกปีที่ผ่านมานั่นเอง… ส่วนพ่อที่แท้จริงของท่าน…ข้าเสียใจอย่างยิ่ง เพราะข้าบอกไม่ได้จริงๆ” มูริเย่ห์พูดขึ้นสอดคำพูดของมหิทธิที่อ้าปากจะพูดอีกว่า “แต่ข้าบอกได้เพียงคำเดียวว่า ดาบที่ท่านดึงออกมานั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเกี่ยวบิดาของท่านได้”
    “อย่างนั้นหรือ…” มหิทธิถามอย่างเข้าใจ “แล้วดาบที่ผมดึงออกมาจากโลกแห่งจิตวิญญาณนั่น เป็นดาบของคุณพ่อสินะ แล้วดาบนั้นมันอยู่ที่ไหน และชื่ออะไรกันแน่”
    “มันมีชื่อว่า ดาบคอนซอนตรา ดาบเล่มนี้เป็นดาบวิเศษที่พอกษัตริย์ได้ครอบครองเมื่อใด ความสงบสุขจะเกิดขึ้นเมื่อนั้น”
    “เอาละ เรานอกเรื่องกันมากพอสมควรแล้ว” มูริเย่ห์พูดขึ้น “เราจะพูดถึง “อะไรบางอย่าง” ที่อยู่ในตัวของเจ้า ก่อนอื่น เธอเคยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ไหม”
    มหิทธินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า
    “ถึงตอนนี้ก็คงจะต้องเชื่อเรื่องเวทมนตร์แล้วละครับ เพราะสายฝนที่หยุดตกลงมา หรือการหยุดเวลาแบบนี้ คงจะเป็นฝีมือของท่านละสินะ”
    “เดาได้เก่งนี่นะ เราน่ะ” ชายชราพูดขึ้นด้วยความร่าเริงและยิ้มย่นๆให้เห็นฟันที่ยังเรียงครบเหมือนฟันของคนหนุ่มสาวปกติ (แถมยังขาวด้วย) แต่มหิทธิกลับไม่ยิ้มตอบ แต่กลับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีขาวขุ่นมัวของชายชรา ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ก้องออกมาจากปาก เหมือนกับมีพลังอะไรบางอย่างที่กึกก้องขึ้นมาว่า
    “หมายความว่า…ผมก็มีเวทมนตร์…อย่างนั้นละสินะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจและรู้สึกสับสนมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ “แล้วทำไมผมถึงไม่แสดงพลังหรืออะไรสักอย่างก่อนหน้านี้ล่ะ เผื่อจะได้อัดพวกปากเสียที่กำแหงผม” เด็กหนุ่มพูดเหมือนหยิ่งผยองอย่างพิกล
    ถึงตอนนี้ มูริเย่ห์ก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายจนถึงที่สุด ก่อนที่จะยกมือขึ้นและหลับตา ก่อนที่จะเอ่ยคำสองถึงสามคำอย่างง่ายๆ เปลวไฟสีม่วงและเหลืองโผล่ผลุบสลับกันไปมาดุจประกายเพชร ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นและหายวับไปพร้อมกับส่งกลิ่นฟู่เหมือนกลิ่นร้ายกาจที่ติดแน่นอยู่บนจมูกของมหิทธิ
    “เพราะว่าการใช้เวทมนตร์นั้นจะต้องสละกิเลสส่วนหนึ่งออกไปเพื่อเพิ่มสมาธิให้กับตนเองอย่างไรล่ะ ถ้าเกิดสละกิเลสหรือความชั่วออกไปไม่ได้ ก็ไม่อาจที่จะใช้พลังเวทมนตร์ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าความชั่วนั้นเข้าครอบงำเมื่อใด คนๆนั้นก็จะสามารถใช้เวทมนตร์มืดได้อย่างง่ายดาย แต่ก็จะต้องเสียความดีส่วนหนึ่งออกไปเพื่อแลกกับพลังมืด”
    “ดุจดังสุภาษิตที่ว่า…ความดีจักได้ดี ความชั่วจักได้ชั่วก็เพราะเหตุนี้”
    มหิทธิก็พยักหน้าอออือด้วยความเข้าใจในทฤษฎี  แต่จะปฏิบัติได้หรือไม่นั้นยังเป็นปัญหาและเหตุปัจจัยที่สามารถใช้เวทมนตร์นั้นง่ายนิดเดียว นั่นคือ พลังสมาธิ แต่เขาจะใช้พลังได้หรือเปล่านั้นอีกเรื่อง
    “เอาละ เวลาผ่านไปนานมากแล้วสำหรับข้า” มูริเย่ห์พูดขึ้นพลางค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ “ข้าสมควรที่จะต้องไปเสียที อีกอย่างหนึ่ง…” ชายแก่ร้องขึ้นพลางเดินออกไปที่ประตูไม้นั้น “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ เพราะการฆาตกรรมต่อเนื่อง…ที่เจ้ากำลังจะเจอในครั้งนี้ เกี่ยวพันกับครอบครัวบุญธรรมของเจ้าอย่างมากถึงมากที่สุดเลยละ” ชายแก่เดินไปเปิดประตูออกพร้อมกับที่หยาดฝนนั้นค่อยๆเปลี่ยนจากหยุดนิ่งเหมือนหยาดแหลมเป็นค่อยๆเคลื่อนที่อย่างช้าๆ “และขอเตือนอีกอย่างหนึ่งนะ ว่าเจ้าจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของเจ้าทีละเล็กละน้อย…มิฉะนั้น เจ้าอาจจะต้องเสียชีวิต เพราะรับรู้เรื่องราวมากจนเกินไป…”
    เสียงซู่ๆดังกระหน่ำอีกครั้งพร้อมกับเสียงฟาดเปรี้ยงของสายฟ้าแลบ ร่างของชายแก่หายวับไปเหมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
    มหิทธิรู้สึกเหมือนมันเป็นเพียงภาพลวงตา เขารู้สึกว่าร่างของชายวัยกลางคนนั้นค่อยๆเลือนไปจนหายวับเหมือนกับเป็นกระจก ท่ามกลางสายฟ้าฟาดเปรี้ยงอย่างรุนแรงและสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา
    เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนคนที่สำคัญที่สุดหายไปอย่างไม่มีวันกลับ น้ำตาสีใสไหลลงมาอย่างช้าๆ แต่พริบตานั้น มันเหมือนกับว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามา เสียงกุบกับของม้าพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งของเหล็กที่เชื่อมอานดังขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับสภาวะอากาศเริ่มเลวร้ายมากขึ้นจนน่าแปลกใจ สายฝนเริ่มเทกระหน่ำดังโครมครามลงมาอย่างแรง พร้อมกับสายฟ้าแลบแวบวับเหมือนลิ้นงูสีสว่าง
    “อย่าออกไปข้างนอกตอนนี้นะ” โกกัสร้องเมื่อมหิทธิทำท่าจะเปิดประตูให้กับแขกผู้มาเยือน “มันอาจจะเป็นร่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้…”
    เสียงกุบกับนั้นดังขึ้นอีก แต่คราวนี้มีเสียงหายใจแรงๆดังพรื่อ…ของม้าขนาดใหญ่กว่าม้าธรรมดาทั่วไปที่เคยพบเคยเห็น เพราะมันหายใจดังมากเสียจนกึกก้องไปทั่วพื้น มหิทธิถอยหลังออกไป แต่เพียงพริบตาที่มหิทธิก้าวออกไปดังแกรก… เสียงม้าร้องฮี้…เหมือนมันกำลังโกรธเกรี้ยวดังขึ้น…ก่อนที่เสียงกุบกับดังถี่รัวจะร้องลั่นและล่าถอยไปเหมือนกับมันกำลังหวาดผวากับเสียงนั้น…
    “ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางยิ้มกริ่ม “ท่าทางจะเป็นแค่ม้าพเนจรมากกว่า…เป็นอะไรไปน่ะ”
    มหิทธิหันไปหาโกกัส แต่เขากลับมีใบหน้าซีดเผือดดุจไม่มีสีเลือด พร้อมกับที่ตัวของโกกัสสั่นระรัวและดาบสีดำนั้นชักออกมาเสียงดังแกรก
    “นายทำอะไรลงไป…รู้ตัวบ้างหรือเปล่า” โกกัสพูดเสียงสั่น “นายไปปลุกสัญชาตญาณแห่งความตายให้ตื่นขึ้นมา เพราะนายคนเดียว มันเลยรู้ว่านายอยู่ที่นี่ และมันกำลังจะล่าตัวนายในไม่ช้านี้…” เสียงของโกกัสค่อยๆลดระดับลงจนต่ำอย่างน่ากลัว…
    “สัญชาตญาณแห่งความตายคืออะไรกันแน่น่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
    “นายไม่มีทางที่จะหนีรอดออกจากสัญชาตญาณแห่งความตายที่มันปูพื้นเอาไว้รอบๆเพื่อวางหมาก…ให้นาย…ไม่มีทางรอดออกไปจากที่นี่ได้…นายถือสิ่งนี้เอาไว้สิ”
    โกกัสร้องพลางหยิบและขว้างดาบสองคมยาวหนึ่งเมตรครึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มองดูไปมันเหมือนกับดาบของอัศวินที่มีคนถือไว้เพื่อป้องกันตัว ปลายดาบนั้นเรียวแหลมและสามารถเสียบคนให้ตายได้ในดาบเดียว และด้ามดาบนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างขรุขระ เพื่อให้สามารถจับได้อย่างถนัดมือ และที่ฐานดาบนั้นเป็นรูปไม้กางเขนในรูปวงกลม…เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง เด็กหนุ่มคิด…
    “พร้อมนะ…” โกกัสพูดขึ้นพลางจับดาบอย่างไม่รอช้า พร้อมกับชักดาบเสียงดังแกรกๆเหมือนเสียงกรงเล็บยาวครูดกับพื้น ดาบสีดำยาววาววับและเรียวแหลมเหมือนดาบซามูไร และที่ด้ามดาบนั้นมีกั่นดาบรูปกากบาทและมีวงกลมอยู่ที่รอบนอก ดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่น่าประหลาด มหิทธิคิด
    มหิทธิพยายามนึกถึงตอนที่ตนเองนั้นใช้ดาบคอนซอนตรา ก่อนที่จะเหยียดแขนไปข้างหน้าและจับดาบเฉียงมุมแหลมกับพื้นอย่างมั่นคง เตรียมพร้อมฟันสะพายแล่งถ้าหากเกิดอะไรขึ้น
    เด็กหนุ่มมองดูมายะกับทิวาที่ตอนนี้นั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้ว่าตนเองกำลังจะชะตาขาด มหิทธิเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้…ทุกคนอยู่ที่นี่เหมือนกัน…ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรับผลกระทบเช่นกันอย่างนั้นน่ะหรือ…
    “โกกัส นายรู้หรือเปล่าว่ามีคนอยู่ที่นี่ตั้งสิบยี่สิบคน” มหิทธิพูดขึ้น “แล้วเรามีเพียงแค่สองคนด้วย แล้วเราจะไปสู้กับเจ้านั่นโดยไม่มีกำลังเสริมได้อย่างไร”
    โกกัสพูดพลางยิ้มโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า
    “ที่นี่ถูกกางม่านป้องกันแห่งกาลเวลาเอาไว้แล้วโดยท่านมูริเย่ห์ นายก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วนี่นะว่าคนเหล่านี้จะไม่รับรู้การต่อสู้นี่โดยเด็ดขาด”
    “แล้วทำไมนายถึงไม่ปลดผนึกมายะแล้วให้ออกมาสู้ด้วยล่ะ”
    คำถามนี่ถึงกับทำให้โกกัสอึ้งกิมกี่ไปด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ…เหมือนกับว่ามหิทธิรู้เรื่องที่มายะเป็นชนเผ่าดวงจันทร์…หรือเปล่านะ…
    “นายรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือ” โกกัสถามอย่างไม่แน่ใจ…
    “ใช่ เสียใจด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดหรอกนะ ฉันรู้แค่ว่ามายะน่ะถูกส่งมาให้ปกป้องฉันโดยเฉพาะ แต่ทำไมนายถึงไม่ปลดผนึกมายะล่ะ”
    โกกัสมองดูมหิทธิอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะพูดเสียงเบาว่า
    “นายจำได้ไหมว่า มอร์เตย์มีลูกชายที่เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจอยู่คนหนึ่ง” โกกัสถามทวนความทรงจำ
    “ฉันต้องจำได้อยู่แล้วสิ จริงไหม” มหิทธิตอบเสียงดังแข่งกับเสียงครืนครั่นของฟ้าร้อง…
    “ใช่แล้ว ร่างนั้นแหละ เป็นสาเหตุที่มายะออกมาสู้กับเราไม่ได้ เพราะร่างนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็น…”
    โครม!!
    เสียงกระแทกอัดของอะไรบางอย่างที่หนักมากปรากฏขึ้นที่หน้าประตู พร้อมกับเสียงตึง!! ประตูงอในทันทีเหมือนถูกแรงถีบของยักษ์ เด็กหนุ่มกระชับดาบแน่นเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อม ในขณะที่ลูกกลมสีใสของโกกัสมีแสงสีแดงร้อนฉ่าเหมือนกับเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว เพียงพริบตานั้น…
    เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!! เปรี้ยง!!!
    แสงฟ้าผ่าวาบขึ้นที่ตรงหน้าของมหิทธิ เพียงพริบตานั้น แรงของฟ้าผ่าก็ถีบร่างของมหิทธิออกมาอย่างแรง พร้อมกับที่ประตูก็ถูกทำลายไปเสียย่อยยับ ร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าของพวกเขา จากม่านหมอกของฝน เด็กหนุ่มรู้เพียงว่ามันมีความสูงเกือบๆสองเมตรครึ่ง และร่างนั้นกำลังขี่ม้าตัวเขื่องเท่ารถแทรกเตอร์ แต่แค่สายฝนนั้นแทบจะมองไม่เห็นถึงรูปร่างของมันอย่างเด่นชัด
    แต่ร่างอันโตเท่ายักษ์นั้นดูเหมือนจะรับรู้ มันก้าวเข้ามาในโบสถ์หลังเล็กนี้ในทันที พร้อมกับที่ร่ายมนตร์อะไรบางอย่าง แต่ทำให้แสงสว่างที่อยู่ในโบสถ์ทำอะไรมันไม่ได้
    เพียงพริบตานั้น ร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองคน
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×