คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่หก นักบวชชื่อโกกัสกับหลักฐาน (แก้เสียนิดหนึ่ง)
บทที่หก นักบวชชื่อโกกัสกับหลักฐาน
ในที่สุด วันเสาร์ซึ่งเป็นวันพักผ่อนของมหิทธิก็มาถึง และโชคดีที่วันนี้ มหิทธิไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนที่ไหน เขา ซึ่งตอนนี้ต้องนอนซมอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสามถึงสี่วันและถูกสั่งไม่ให้ขยับออกจากบ้านจนกว่าบิดาจะอนุญาต จึงตัดสินใจนั่งเหยียดขาสบายๆอยู่บนเตียงอย่างจำยอม และเอาหนังสือตำนานปกีรณัมกรีกไปอ่านเพื่อทำการบ้านของอาจารย์ให้เสร็จก่อนสิ้นเดือน เพื่อทำรายงานคู่กับทิวา
เด็กหนุ่มในตอนนี้นั้นตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนปกติในวันเสาร์ที่เขามักจะไปออกกำลังกายอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่เพราะตากฝน และเหนื่อยอ่อนจากฝันร้าย เขาจึงนอนอุตุอยู่บนเตียงจนแปดโมงเช้า
เด็กหนุ่มมองดูแสงอาทิตย์สีส้มแดงที่สาดส่องลงมาอย่างแรงกล้าตรงหน้าต่างติดมุ้งลวดสีขาว มันสาดลงมาถึงพื้นที่สะอาดสะอ้าน เพราะพ่อเพิ่งกวาดพื้นไปเมื่อเช้า ก่อนที่จะออกไปทำงาน โดยกำชับให้มหิทธิกินยาพาราเซตามอลเมื่อเกิดอาการปวดศีรษะ เขาจึงทานยาและนอนเหยียดตรง ปล่อยให้ยาออกฤทธิ์
แต่เช้านี้ เขาต้องทำงานอีกมากมายที่อาจารย์สั่งในวันศุกร์ เด็กหนุ่มนั้นต้องเปิดกระเป๋าทั้งคลุมผ้าห่ม ก่อนที่จะหยิบของสัพเพเหระออกมา และหยิบเอาสมุดการบ้านทั้งๆที่สูดจมูกดังเหมือนหวูดไอน้ำดังสั้นๆและเริ่มลงมือเขียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษทันที แต่ยังไม่ทันที่จะจรดปลายปากกาเขียนเลยสักนิด กลอนที่ถูกล็อคไว้ก็ส่งเสียงกรอกแกรกเหมือนมีคนมาเขย่า ก่อนที่จะส่งเสียงเคาะเป็นจังหวะสามครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และหนึ่งครั้ง
มหิทธิยิ้มเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะประตู เด็กหนุ่มผลักผ้าปูเตียงออกไป ก่อนที่จะปลดกลอนและเปิดออกไป
เด็กหนุ่มผิวขาวผ่องคนหนึ่งยืนอยู่ในอีกด้านของธรณีประตู ผมสีดำยาวถึงติ่งหูนั้นปลิวไสวท่ามกลางลมที่พุ่งออกมาที่นอกหน้าต่าง ดวงตาสุกใสนั้นส่องประกายอยู่ในดวงตาของมหิทธิ และเขาเอาอุปกรณ์ต่างๆมาใส่ไว้ในกระเป๋าเล็กๆที่ดูเล็กกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมีอุปกรณ์พวกปากกา ดินสอ และกระดาษม้วนล้นออกมาจากข้างใน
“หวัดดี พวก” มหิทธิพูดขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ ทิวายิ้มพรายก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้องเล็กอบอ้าวสีขาวนั้น
“ได้ข่าวจากพ่อของนายว่านายป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และนายก็กำลังนอนซมเหมือนกระดูกนอนอยู่ในโลง ก็เลยมาดูแล” ทิวาตอบพลางนั่งลงบนเตียงสีส้ม “นายเป็นยังไงบ้าง”
“กินยาพาดวงอาทิตย์เซเห็นน้ำตาลไปเม็ดหนึ่ง ต่อจากนั้นก็นอนลงบนเตียงเหมือนนอนอยู่บนโลงจริงๆนั่นแหละ” อันแรกน่ะมุกแป้ก แต่ของจริงน่ะ อันหลัง “มันอบอ้าวยิ่งกว่าหลุมศพเสียอีก ว่าแต่ว่าเอาข้าวของมาเยอะแยะ จะมาทำอะไรน่ะ”
“มาวาดรูป” ทิวาตอบง่ายๆ “การบ้านในสัปดาห์นี้ไง ของอาจารย์มารวย ใช่แล้วละ” ทิวาเดินออกไปที่หน้าต่างติดมุ้งลวดที่มีวิวต้นไม้สีเขียวมีดอกไม้แต้มเป็นจุดๆ และมีบ้านสวยๆสูงๆสีขาวเหมือนกับบ้านในโรงแรมที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ โดยรวมแล้วเป็นวิวที่หาดูยากมากสำหรับในเมืองใหญ่แบบกรุงเทพนี้
“นายมาแค่วาดรูปในบ้านของฉันอย่างเดียวหรือ คงจะไม่ใช่หรอกละกระมัง” มหิทธิตอบพลางนั่งเหยียดขาสบายๆบนปลายเตียงและยิ้มออกมา “นายอาจจะมีเรื่องสำคัญจะมาบอก ถึงได้เดินทางไกลมาที่บ้านของฉันยังไงล่ะ”
“เฮ้ย บ้านนายกับบ้านของฉันมันก็อยู่ใกล้ๆกันน่า ไม่เห็นจะไกลแบบที่ต้องเดินในซาฮาราสักหน่อย” ทิวาตอบพลางหัวเราะ ซึ่งมันก็เป็นความจริง บ้านของมหิทธิซึ่งเป็นหอพักชายนั้นอยู่ห่างจากบ้านสองชั้นที่อยู่ในซอยของทิวามาเพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น ดังนั้น การเดินทางมาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องลำบากเลยสักนิด
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะมาบอกจริงๆนั่นละ” ทิวาตอบพลางวางกระดาษสีขาวลงบนตักที่ตั้งขนานกับพื้นเรียบสีขาว “เกี่ยวกับเรื่องที่มายะพูดถึงน่ะ มันเป็นเรื่องจริงนะ”
มหิทธิเริ่มมีอาการปวดแปลบที่ดวงใจอย่างแรงเมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่ใช่เพราะว่าความโกรธที่มายะเอาเรื่องไร้สาระมาพูด แต่มันเป็นอาการหนึบๆที่ดวงใจซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดจากอะไร...กันแน่
“นายยังจะเชื่อคำพูดเหลวไหลที่ยายนั่นพ่นออกมาอีกหรือ ที่ว่าฉันอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์น่ะ”
“ไม่ ไม่ใช่เลยสักนิด” ทิวาพูดขึ้นพลางหันมาทางมหิทธิ แสงสีขาวจากทางหน้าต่างฝุ่นเขรอะทำให้เขาต้องหรี่ตามองทิวาซึ่งกำลังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะบอกเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์อย่างช้าๆ แล่วนายช่วยตัดสินด้วยละกันนะ ว่ามันจะเป็นไปได้มากหรือน้อยเพียงไร”
น้ำเสียงที่ทิวาเปล่งอกมานั้นไม่ใช่ออกคำสั่ง แต่เป็นขอร้องอย่างจริงใจ ซึ่งทำให้มหิทธิรู้สึกสงบลงไปเยอะมาก
ทิวาดูเหมือนจะไม่รอให้ซักถามต่อ เพราะดูเหมือนว่าอากาศในนี้ดูอบอ้าวขึ้นนิดหน่อย เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ก่อนที่กษัตริย์อาเธอร์จะเริ่มเกิด สงครามระหว่างศัตรูและมิตรก็เริ่มต้นขึ้นมานานนมนับศตวรรษแล้ว ทั้งการต่อสู้ระหว่างศัตรู จากดินแดนอื่นที่เข้ามายึดครอง และสงครามระหว่างดินแดนเดียวกันเองเพื่อความเป็นใหญ่”
“แต่ไม่มีความยิ่งใหญ่แบบไหนที่จะยิ่งใหญ่เกินกว่ากษัตริย์อาเธอร์ผู้พิชิตในเกาะอังกฤษและผู้พิชิตความมืดมิดที่เกาะกุมทั่วอังกฤษ นั่นคือ พวกมารศาสนาที่คิดจะยึดครองเกาะอังกฤษและโลกมาไว้ในกำมือของตนเอง แต่ช่างโชคร้ายนักที่กษัตริย์อาเธอร์ได้ปราบเหล่าคนโฉดนั้นได้ และได้ใช้ดาบเอกซ์คาริเบอร์ฟาดฟันหัวหน้าตาย”
ชาวเมืองอังกฤษถือว่ากษัตริย์อาเธอร์มีความสำคัญต่อสงครามแห่งความมืดนั้นมาก เพราะสงครามครั้งนั้นทำให้เหล่าคนนอกที่คิดจะยึดครองอังกฤษเพื่อแผ่ขยายอำนาจ โดยเฉาะอำนาจมืด ได้หมดไปจากโลกใบนี้อย่างเด็ดขาด”
“อำนาจมืด...อย่างนั้นหรือ ฟังดูแล้วเหมือนนิทานอย่างพิกลนะ พวกอำนาจมืดมันก็เป็นเพียงแค่มารศาสนาเท่าน้นเองไม่ใช่หรือไงกัน” มหิทธิถามอย่างงุนงงและหงุดหงิด แต่ก็ทำให้ทิวาถอนหายใจและพูดขึ้นว่า
“สำหรับนาย ฟังแค่นี้แล้วอาจจะไม่เข้าใจ แต่มายะ กับคนที่นายกำลังจะเจออาจจะอธิบายเกี่ยวกับอธิบายบางอย่างให้นายเข้าใจได้เองละนะ”
“คนที่กำลังจะเจอ...อย่างนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ แต่เสียงโทรศัพท์สีน้ำตาลเก่าๆดังขึ้นเสียงกริ๊ง...ยาว เขาจึงหายจากภวังค์และไปรับโทรศัพท์อย่างเร็ว
“สวัสดีครับ”
“มหิทธิหรือลูก” เสียงห้าวห้วนดังขึ้นตามสาย
“พ่อหรือฮะ” มหิทธิร้องขึ้น
“ใช่แล้วละ พ่อในตอนนี้คงจะกลับบ้านไม่ได้แล้วละ” เสียงของบิดานั้นดูเหนื่อยหน่ายอย่างพิกล มหิทธิเอียงคอด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ พ่อ”
“วันนี้มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกราย โชคร้ายนักที่มันเกิดขึ้นที่ประตูสำนักงาน แถมเป็นฆาตกรรมที่โหดมาก เหมือนกับว่ามันไม่มีความปรานีในการฆ่าเลยละ ศพงี้ อี๋...อืดยังกับโดนฆ่ามาหลายวันแล้วเอามาไว้ที่นี่อย่างไรอย่างนั้นแหละ แถมมีน้ำเลือดกับน้ำเหลืองไหลย้อยอกมาจากบาดแผลกรีด ศพนี้มันยิ่งกว่าศพที่แล้วเสียอีกนะ ลูก”
“ศพที่แล้ว ศพไหนล่ะครับ พ่อ” มหิทธิถามด้วยความแปลกใจ
“เอ้า ก็ศพในบ้านที่อยู่ใกล้ๆบ้านเรายังไงล้ะ แหม ขี้ลืมเสียจริงนะ เราน่ะ” พ่อพูดพลางส่งเสียงหึๆมาตามสาย “เอาเป็นว่าพ่อจะไม่กลับบ้านในตอนกลางวัน แต่จะกลับบ้านในตอนเย็นแทน ลูกใช้เงินในกระปุกซื้อกับข้าวบำรุงสุขภาพมาบ้าง พ่อเห็นร้านขายของบำรุงสุขภาพอยู่ที่โบสถ์แน่ะ ลูกไปซื้อเสีย เดี๋ยวพ่อก็กลับแล้วละ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะไปซื้อเดี๋ยวนี้ละ” มหิทธิพูดเสียงหงอยๆอย่างน่าเกลียด การดื่มเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบเลยสักนิด มันก็มีแค่เครื่องดื่มขมๆนั่นละว้า
“พ่ออยู่ที่ไหนครับนี่ ทำไมเสียงมันดังจังเลยล่ะครับ”
“ตอนนี้พ่ออยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ นี่ก็สอบปากคำพยานไปได้ไม่กี่ปากเอง”
“หวังว่าพ่อคงจะกลับมาเร็วๆนะครับ” มหิทธิพูดขึ้น พ่อถอนหายใจใส่โทรศัพท์เสียงดังฮื่อก่อนที่จะพูดว่า
“ก่อนที่จะเป็นห่วงพ่อ ห่วงตัวเองก่อนเหอะ ลูกเป็นไงบ้างล่ะ”
“อาการส่วนใหญ่ก็ไม่น่าห่วงอะไรมากมาย แค่ปวดหัว ตัวร้อน ผมกินยาพาราเซตามอล และปล่อยให้ยามันออกฤทธิ์แล้วละ อีกเดี๋ยวก็หายครับพ่อ”
“อือฮึ ขอให้เป็นอย่างนั้นละกันนะ เอาละ พ่อต้องไปแล้วละ ตำรวจเขาเตรียมบัตรคิวไว้ให้พ่อแล้ว แค่นี้นะลูก”
“ครับ พ่อ” มหิทธิตอบพลางยิ้ม ก่อนที่จะวางโทรศัพท์ และพูดกับทิวาว่า
“ท่าทางนายจะเจอกับข่าวร้ายสินะ ถึงได้ทำหน้าเบ้อย่างนั้นน่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ มหิทธิกำลังทำหน้าเบ้อยู่จริงๆและเขาก็เดินไปหยิบกุญแจหยักตรงสีเงินและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า
“นายดูเหมือนจะทำนายเรื่องราวต่างๆได้หมดเลยนะ ทิวา” มหิทธิพูดขึ้น “นายจะเอาอาหารอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะเอาผลไม้มาให้”
“นายจะลงไปซื้ออาหารเหรอ พอดีเลย ฉันกะจะเดินทางไปที่โบสถ์แถวๆร้านอาหารที่นายชอบไปเป็นประจำ นายจะได้ซื้อของและฉันก็ไปทำธุระให้เสร็จๆไป” ทิวาพูดพลางหันมาทางมหิทธิอย่างต้องการคำถาม
“แล้วนายจะไปทำอะไรในโบสถ์ล่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัย ทิวายิ้มน้อยๆก่อนที่จะพูดว่า
“ไปสารภาพบาปและเล่านิทานให้เด็กๆฟังน่ะ รับรองเลยว่าถ้านายเจอกับนักบวชคนนี้แล้วละก็ นายต้องชอบแน่นอน”
“เฮ้ย นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบศาสนาคริสต์สักเท่าไรนักหรอกนะ เรื่องพระเจ้าและการสร้างโลกน่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องอภินิหารแบบนั้น” มหิทธิพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “แต่นายนับถือศาสนาคริสต์นี่นะ นายอยากไปก็ตามใจ แต่ฉันจะไปซื้ออาหาร แล้วค่อยไปรับนายกลับบ้านละกันนะ”
“ตามใจนายละกัน ถ้านายไม่อยากไป ฉันก็ไม่ขัดศรัทธานาย” ทิวาพูดขึ้นพลางลุกออกไปจากหน้าต่างและไปเปิดประตูสีน้ำตาลขึ้นมา “นายอาจจะได้รับอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ แต่ถ้าไม่รับอากาศทางใจละก็ นายก็ไม่ต่างจากศพเดินได้หรอกนะ”
“อือ” มหิทธิครางอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดประตูหน้าห้องพักออกไป และเดินออกไปพร้อมกับทิวา แต่เพียงแค่เขาเดินไปเปิดประตูเท่านั้น เสียงฝีเท้าสวมรองเท้าส้นสูงก็ดังก้องจากผนังที่ขาวสว่าง เด็กสาวหุ่นดีคนหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม มายะนั่นเอง
“อ้าว มหิทธิ ทิวา จะเดินไปที่ไหนน่ะ” มายะถามอย่างไม่เข้าใจพลางยื่นมือออกมาสัมผัสมือของทิวาตามแบบอังกฤษ มหิทธิจ้องมองด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะมายะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาอีกครั้ง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
ไม่รู้สิ
เขารู้สึกว่าตนเองหายใจแรงขึ้น และรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นมายะ
“ไงจ๊ะ มหิทธิ” มายะทักทายอย่างสดชื่น แต่มหิทธิกลับมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
“ต้องการอะไรจากฉันอีก” มหิทธิถามอย่างหงุดหงิด
“ก็แค่จะมาชวนไปโบสถ์เสียหน่อย จะได้ไปทำบุญเสียบ้าง เดี๋ยวนี้อาการป่วยของคนบางคนมันเยอะจนแทบจะลุกไม่ไหวนี่นะ”
“เธอรู้ได้ยังไง” มหิทธิถามพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด
“ทิวาบอกฉันเองแหละ ว่านายป่วยเป็นหลายโรค ฉันก็เลยจะชวนไปทำบุญแล้วก็ไปซื้ออาหารบำรุงสุขภาพให้กับนาย อย่างน้อยนายจะได้หายดีและมีเกลือแร่มากขึ้น”
ได้ฟังเช่นนี้ มหิทธิรู้สึกสงบลง แต่ก็ยังไม่สามารถเชื่อใจเด็กสาวตรงหน้านี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะความกังขาของตนเองนั้นยังอยู่ มายะเป็นใคร แล้วมาเกี่ยวอะไรกับชีวิตของเขากันแน่นะ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ เด็กสาวก็เดินออกไปพร้อมกับมองมหิทธิเป็นเชิงชักชวนว่า ‘ตามมาสิ’ เขาจึงต้องถอนหายใจหนักหน่วงและเดินไปด้วยกัน
..
“เธอมาพักกับทิวาหรือ ถึงรู้ว่าฉันป่วยน่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัยในขณะที่เดินไปตามทางโรยด้วยกรวดหินสีแดงอย่างเป็นธรรมชาติของดิน มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นประปรายในพื้นที่พร้อมกับหญ้า มีรถหรูสองสามคันจอดแสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองใหญ่บ้าง แต่บ้านหลังต่างๆที่ปลูกอยู่สองข้างทางบ่งบอกถึงความเป็นชนบท ซึ่งค่อนข้างหายากในเมืองใหญ่ทีมีตึกระฟ้าและทางด่วนโยงใยกันไปมาเหมือนใยแมงมุมเช่นนี้
“บ้านของทิวาสวยดีแล้วก็มีความเป็นธรรมชาติเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้น บ้านของทิวามีต้นไม้หอมๆเต็มไปหมด อย่างเช่น กุหลาบขาว ดอกแก้ว มะลิ และดอกอื่นๆเต็มไปหมดเลยละ ฉันถึงชอบไงละ” มายะตอบพลางยิ้มน้อยๆ มหิทธิจ้องมองรอยยิ้มของมายะที่แย้มเยื้อนออกมา รอยแยกของกลีบกุหลาบนั้นชมพูระเรื่ออย่างไม่ต้องพึ่งลิปสติก และช่างสวยงามยิ่งกว่ากลีบกุหลาบไหนๆ
“เกินไปแล้วๆ” ทิวาพูดอย่างเคร่งขรึมและเอามือผลักหน้าคล้ำยาวของมหิทธิออกไปดุจผลักประตู มหิทธิหน้าหงายออกไป มายะหัวเราะคิกคักออกมา
“ว่าแต่ว่าโบสถ์ที่มายะพูดถึงนี่อยู่ที่ไหนกันแน่นะ” มหิทธิถามอย่างสนใจพลางมองดูรอบๆเหมือนว่าโบสถ์จะกระโดดออกมาตรงหน้าเขา
“มันอยู่ตรงข้างๆร้านอาหารขนาดเล็กๆนั่นแหละ เพียงแต่ว่านายเคยเห็นมันเป็นบ้านโทรมๆหลังเล็กๆเท่านั้นเอง แต่เมื่อสักประมาณ
เท่าไรนะ
ใช่แล้ว สองสามปีก่อน มีนักบวชหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งเดินออกมาจากหมอกอันหนาวเหน็บในวันของฤดูหนาวและบอกกับเจ้าของบ้านว่า เขาจะสร้างบ้านโทรมๆหลังนี้ให้เป็นโบสถ์สำหรับให้เด็กๆมาฟังนิทานและรับศีลรับพรสำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ และตอนนี้ก็กลายเป็นโบสถ์ที่มีคนเข้าไปค่อนข้างเยอะเหมือนกัน”
“อือฮึ” มหิทธิพึมพำพลางพยักหน้าแสดงความเห็นชอบด้วย เด็กหนุ่มมองดูการแต่งกายของมายะในตอนนี้ หล่อนสวมชุดเสื้อยืดเรียบๆสีขาวสะอาด ไม่มีร่องรอยการจัดแต่งแต่อย่างใด กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนอวดเรียวขางามที่ก้าวเดิน และรองเท้าส้นสูงสีดำ
“ว่าแต่เราจะไปซื้ออาหารบำรุงสุขภาพกันที่ตลาดเหรอ เธอก็รู้นี่นาว่าไม่มีอาหารแบบนั้นอีกแล้วในตลาดน่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“โอ๊ย ไม่ใช่หรอกน่า” มายะพูดอย่างรำคาญ “เธอรู้อะไรไหมว่าในโบสถ์นั้นขายผลไม้สดและผลไม้บำรุงสุขภาพให้เด็กๆกินเป็นประจำ ไม่อย่างนั้น โบสถ์นี้จะมีชื่อเสียงถึงขนาดนั้นเลยหรือ”
“เหรอ” มหิทธิถามพลางมองดูทางที่ทิวาเลี้ยวเบนเส้นทางเข้ามา ซอยนี้มีอาคารอยู่เพียงสองสามหลังเท่านั้น และอาคารเหล่านั้นก็สร้างขึ้นจากอิฐดินหนาหนัก แต่มีอาคารหนึ่งที่ดูแตกต่างไปจากตึกเพื่อนๆ นั่นคือ อาคารหลังนี้ดูไม่เก่าแก่ขนาดว่าจะต้องทุบทิ้ง และไม่มีเศษสีหลุดลอกออกมาเหมือนอาคารอื่นๆ บ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากอิฐใหม่ที่ต่อกันเป็นชั้นๆและทาทับด้วยปูนขาว บ้านมีสองชั้น และที่ชั้นสองนั้นมีกระจกสีสดใสเหมือนกระจกโมเสกตั้งตระหง่านอยู่ มันเป็นรูปอะไรนั้น มหิทธิไม่อาจเข้าใจ เพราะเขาไม่ได้เรียนศาสนาสากล แต่ดูเหมือนรูปพระเจ้าถูกตรึงไม้กางเขน
เสียงเคาะประตูไม้สีขาวสะอาดดังขึ้นสองสามครั้งปลุกภวังค์ของมหิทธิให้ฟื้นขึ้นมา มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นและทรงพลังออกมาจากในโบสถ์ ก่อนที่ประตูจะทำเสียงกรอกแกรกและเปิดประตูออกมา
ชายร่างสูงผิวขาวปรากฏออกมาจากข้างในโบสถ์ เขามีผมสีน้ำตาลยาวถึงติ่งหูที่พลิ้วไหวไปตามลม ดวงตาสีเขียวสดดุจต้นหญ้าใสนั้นจ้องมองมาทางทุกคนอย่างไม่ประหลาดใจ ดุจว่าเขารอทุกคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ชายผู้นี้ถึงแม้ว่าจะตัวสูง แต่ก็ดูลึกลับเพราะเขาสวมชุดนักบวชสีดำสนิทยาวถึงข้อเท้า ในมือนั้นถือสร้อยรูปไม้กางเขน และสิ่งหนึ่งบนหลังมือของเด็กหนุ่มก็สะดุดตามหิทธิเป็นอย่างยิ่ง!!
บาดแผลเรียวยาวปลายแหลมสีแดงดุจมีใครเอามีดที่ร้อนจี๋มากรีดลงบนหลังมือ รอยแผลนี้เหมือนกับที่มหิทธิมีตอนที่เขาฝันไปในโลกแห่งจิตวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็กหนุ่มปริศนายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำสัญลักษณ์อวยพรแบบคริสต์ศาสนา สิ่งที่ทำให้มหิทธิแปลกใจก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม!!
รอยแผลอีกรอยแผลหนึ่งที่บางยาวแต่ลึกปรากฏขึ้นรอบแขนเหมือนมีสัตว์ร้ายทำร้ายเขาเข้าตามหิทธิอย่างแรง เขารู้สึกพิกลเหมือนจำรอยแผลนี้ได้จากที่ไหนสักแห่ง ที่ไหน
มันอยู่ที่ไหนหนอ
“ลูกชายกับลูกสาวของหลวงพ่อมีอะไรให้หลวงพ่อรับใช้หรือ” นักบวชหนุ่มถามขึ้นพลางโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“เราจะมาทำบุญและฟังนิทานของท่านน่ะค่ะ แล้วเราก็มาซื้ออาหารบำรุงสุขภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วยค่ะ” มายะหันมาทางมหิทธิด้วยความสงสัย เมื่อเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่คือนักบวช ชื่อ หลวงพ่อโกกัส”
หลวงพ่อโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับมหิทธิ แต่สายตาอันคมกริบของเขานั้นจ้องมองมหิทธิอย่างมีความหวัง
เหมือนกับรอคอยเด็กหนุ่มคนนี้ให้มาที่นี่นานแล้ว มหิทธิโค้งคำนับอย่างสุภาพ พลางถามว่า
“ชื่อแปลกมากเลยนะครับ หลวงพ่อ เป็นคนที่ไหนหรือครับ”
“ผมเป็นคนที่ฝรั่งเศส แต่สนใจประเทศไทยมากเลยนะครับ ก็เลยมาอยู่ที่นี่ได้สองถึงสามปีแล้วละครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เป็นหลวงพ่อที่สร้างโบสถ์หลังนี้หรือครับ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
หลวงพ่อยิ้มน้อยๆอย่างขบขันก่อนที่จะพูดว่า
“เปล่าหรอกครับ หลวงพ่อย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะหลวงพ่อเห็นว่าที่นี่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกจับจองให้กับความเป็นเทคโนโลยี แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณก็ยังคงอยู่ ณ พื้นที่แห่งนี้ด้วย” โกกัสพูดพลางยิ้ม มีอยู่แวบหนึ่งที่มหิทธิสังเกตว่าเขามองดูท้องฟ้าด้วยความรู้สึกแปลกๆเหมือนคุ้นเคยกับธรรมชาติแถบนี้เป็นอย่างดี แต่เขากลับหันมาทางทั้งสามคน ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“เราควรจะไปนั่งในที่สบายๆในโบสถ์กันนะครับ” โกกัสพูดอย่างสดใสเหมือนสายรุ้ง “แล้วจะได้ไม่ต้องยืนตากฝนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ด้วย หึ
หึ
”
มหิทธิแหงนหน้าไปดูบนท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ
ไม่มีฝนตกนี่นา แต่เขาก็มองเห็นว่าฟ้าที่เมื่อกี้เป็นสีฟ้าสด แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปเพราะความมืดครึ้มและความหนาวยะเยือก สายฟ้าแวบแปลบปลาบเหมือนลิ้นงูหลายตัวและหยดฝนที่ตกลงมาบนใบหน้าของมหิทธิ บ่งบอกถึงฝนกำลังจะตกลงมา!!
“ตกลงครับ” มหิทธิพูดขึ้นอย่างสงสัย ชายผู้นี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“งั้นก็
เข้ามาเลยสิ” โกกัสพูดขึ้นอย่างยินดีพร้อมกับก้าวเดินเข้าไปในโบสถ์หลังนั้น มหิทธิขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่มายะกับทิวากลับมีสีหน้าเรียบเฉยดุจไม่ต้องการให้ซักถาม มหิทธิจึงเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยความไม่เข้าใจจนถึงที่สุด
“โบสถ์ของพ่ออาจจะเล็กหน่อยนะ หวังว่าพวกลูกคงจะไม่ว่าข้ามากนัก” โกกัสพูดขึ้นพลางนั่งลงบนเก้าอี้ยาวที่เรียงกันเป็นตับอยู่ตรงหน้าของมหิทธิ และถัดจากตรงหน้าเก้าอี้นั้นเป็นหน้าต่างกระจกโมเสกขนาดใหญ่ยักษ์เท่าความกว้างของประตูฟุตบอล และมันครอบคลุมกำแพงทั้งด้านหลังเอาไว้ รูปที่ทำขึ้นเป็นรูปของบ้านเก่าโทรมและมีรูปของเด็กชายที่ผู้หญิงอุ้มเอาไว้
“ก่อนอื่น
” เด็กหนุ่มชุดคลุมนั่งลงตรงหน้าและจ้องมองมาทางทั้งหมด ที่นั่งอยู่เคียงกัน “ในพวกลูกๆนี้ใครจะบอกไหมว่าใครที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์บ้าง”
“ผมครับ” มหิทธิตอบอย่างไม่รอรี โกกัสขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“แล้วเคยทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการแผ่เมตตาบ้างหรือเปล่า ลูกน่ะ” หลวงพ่อถาม
“ผมนั่งสมาธิตลอดละครับ อย่างน้อยก็แผ่เมตตาให้กับสัตว์โลกแล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตา ต่อจากนั้นก็สวดมนต์กรวดน้ำน่ะครับ” มหิทธิตอบอย่างสดชื่น เพราะเขาเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่ตอนที่เขาไปที่ไหน
ที่ไหนน้า
เขาจำไม่ได้เสียทีแฮะ
มหิทธิคิด
“อือ
” โกกัสพึมพำอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะลุกขึ้น ตวัดเสื้อคลุมออกไปให้พ้นเท้า ก่อนที่จะเดินออกไปที่ห้องเก่าๆและหยิบหนังสือปกหนังเล่มเก่าออกมาและเดินไปที่ประตูสีขาว
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านน่ะ” มหิทธิถามด้วยความสงสัย
และเมื่อหลวงพ่อเปิดประตูออกมา เด็กหญิงชายนับสิบคนที่ล้วนแต่สวมชุดเก่าปอนก้าวออกมาจากข้างนอกที่เปียกชุ่มด้วยฝนและน้ำ ทุกคนต่างมีผิวคล้ำ และเปียกฝนอย่างรุนแรง
“หวัดดีครับ ทุกคน” โกกัสพูดขึ้นพลางยิ้มน้อยๆอยู่ที่ด้านหลังของทั้งสาม “วันนี้มาทำอะไรหรือครับ”
“มาฟังนิทานของหลวงพ่อครับ แต่ละเรื่องนี่สนุกๆทั้งนั้นเลย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น และเด็กๆแต่ละคนก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างเห็นด้วย โกกัสยิ้มอย่างใจดีเมื่อเขาหันหน้ามาทางทั้งสามคน โกกัสทักทายว่า
“นี่จะเป็นคนที่จะมาฟังนิทานกับเราในเวลาที่ฝนตกด้วยกัน เอ้า ทักทายพวกเขาหน่อยสิครับ” โกกัสพูดอย่างใจดี และทุกคนต่างปรบมือส่งเสียงเชียร์เป็นที่สนุกสนาน
“วันนี้หลวงพ่อจะมาเล่าเรื่องอะไรหรือครับ” เด็กชายอีกคนหนึ่งถามด้วยเสียงแปร่งๆจนแทบฟังไม่ออก
“จะมาเล่าเรื่องนี้ยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางชูหนังสือปกหนังขึ้นมาและเดินไปที่ด้านหลังของโบสถ์ ทุกๆที่ๆหลวงพ่อเดินออกไป เด็กๆจะเดินตามกันเป็นพรวน และเมื่อโกกัสนั่งลงบนผิวพื้นที่เป็นไม้สีน้ำตาล เด็กๆก็นั่งลงบนพื้นไม้ด้วย มหิทธิรอรีที่จะก้าวไปนั่งด้วย แต่เมื่อสายตาอันคมของหลวงพ่อจ้องมองมา เขาก็เดินไปนั่งรวมกับมายะและทิวาที่นั่งไปกับเด็กๆด้วยกัน
และนี่คือเรื่องราวที่โกกัสเล่า
บทที่หก นักบวชชื่อโกกัสกับหลักฐาน
ในที่สุด วันเสาร์ซึ่งเป็นวันพักผ่อนของมหิทธิก็มาถึง และโชคดีที่วันนี้ มหิทธิไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนที่ไหน เขา ซึ่งตอนนี้ต้องนอนซมอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสามถึงสี่วันและถูกสั่งไม่ให้ขยับออกจากบ้านจนกว่าบิดาจะอนุญาต จึงตัดสินใจนั่งเหยียดขาสบายๆอยู่บนเตียงอย่างจำยอม และเอาหนังสือตำนานปกีรณัมกรีกไปอ่านเพื่อทำการบ้านของอาจารย์ให้เสร็จก่อนสิ้นเดือน เพื่อทำรายงานคู่กับทิวา
เด็กหนุ่มในตอนนี้นั้นตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนปกติในวันเสาร์ที่เขามักจะไปออกกำลังกายอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่เพราะตากฝน และเหนื่อยอ่อนจากฝันร้าย เขาจึงนอนอุตุอยู่บนเตียงจนแปดโมงเช้า
เด็กหนุ่มมองดูแสงอาทิตย์สีส้มแดงที่สาดส่องลงมาอย่างแรงกล้าตรงหน้าต่างติดมุ้งลวดสีขาว มันสาดลงมาถึงพื้นที่สะอาดสะอ้าน เพราะพ่อเพิ่งกวาดพื้นไปเมื่อเช้า ก่อนที่จะออกไปทำงาน โดยกำชับให้มหิทธิกินยาพาราเซตามอลเมื่อเกิดอาการปวดศีรษะ เขาจึงทานยาและนอนเหยียดตรง ปล่อยให้ยาออกฤทธิ์
แต่เช้านี้ เขาต้องทำงานอีกมากมายที่อาจารย์สั่งในวันศุกร์ เด็กหนุ่มนั้นต้องเปิดกระเป๋าทั้งคลุมผ้าห่ม ก่อนที่จะหยิบของสัพเพเหระออกมา และหยิบเอาสมุดการบ้านทั้งๆที่สูดจมูกดังเหมือนหวูดไอน้ำดังสั้นๆและเริ่มลงมือเขียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษทันที แต่ยังไม่ทันที่จะจรดปลายปากกาเขียนเลยสักนิด กลอนที่ถูกล็อคไว้ก็ส่งเสียงกรอกแกรกเหมือนมีคนมาเขย่า ก่อนที่จะส่งเสียงเคาะเป็นจังหวะสามครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และหนึ่งครั้ง
มหิทธิยิ้มเพราะรู้ว่าใครเป็นคนเคาะประตู เด็กหนุ่มผลักผ้าปูเตียงออกไป ก่อนที่จะปลดกลอนและเปิดออกไป
เด็กหนุ่มผิวขาวผ่องคนหนึ่งยืนอยู่ในอีกด้านของธรณีประตู ผมสีดำยาวถึงติ่งหูนั้นปลิวไสวท่ามกลางลมที่พุ่งออกมาที่นอกหน้าต่าง ดวงตาสุกใสนั้นส่องประกายอยู่ในดวงตาของมหิทธิ และเขาเอาอุปกรณ์ต่างๆมาใส่ไว้ในกระเป๋าเล็กๆที่ดูเล็กกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมีอุปกรณ์พวกปากกา ดินสอ และกระดาษม้วนล้นออกมาจากข้างใน
“หวัดดี พวก” มหิทธิพูดขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ ทิวายิ้มพรายก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้องเล็กอบอ้าวสีขาวนั้น
“ได้ข่าวจากพ่อของนายว่านายป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และนายก็กำลังนอนซมเหมือนกระดูกนอนอยู่ในโลง ก็เลยมาดูแล” ทิวาตอบพลางนั่งลงบนเตียงสีส้ม “นายเป็นยังไงบ้าง”
“กินยาพาดวงอาทิตย์เซเห็นน้ำตาลไปเม็ดหนึ่ง ต่อจากนั้นก็นอนลงบนเตียงเหมือนนอนอยู่บนโลงจริงๆนั่นแหละ” อันแรกน่ะมุกแป้ก แต่ของจริงน่ะ อันหลัง “มันอบอ้าวยิ่งกว่าหลุมศพเสียอีก ว่าแต่ว่าเอาข้าวของมาเยอะแยะ จะมาทำอะไรน่ะ”
“มาวาดรูป” ทิวาตอบง่ายๆ “การบ้านในสัปดาห์นี้ไง ของอาจารย์มารวย ใช่แล้วละ” ทิวาเดินออกไปที่หน้าต่างติดมุ้งลวดที่มีวิวต้นไม้สีเขียวมีดอกไม้แต้มเป็นจุดๆ และมีบ้านสวยๆสูงๆสีขาวเหมือนกับบ้านในโรงแรมที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ โดยรวมแล้วเป็นวิวที่หาดูยากมากสำหรับในเมืองใหญ่แบบกรุงเทพนี้
“นายมาแค่วาดรูปในบ้านของฉันอย่างเดียวหรือ คงจะไม่ใช่หรอกละกระมัง” มหิทธิตอบพลางนั่งเหยียดขาสบายๆบนปลายเตียงและยิ้มออกมา “นายอาจจะมีเรื่องสำคัญจะมาบอก ถึงได้เดินทางไกลมาที่บ้านของฉันยังไงล่ะ”
“เฮ้ย บ้านนายกับบ้านของฉันมันก็อยู่ใกล้ๆกันน่า ไม่เห็นจะไกลแบบที่ต้องเดินในซาฮาราสักหน่อย” ทิวาตอบพลางหัวเราะ ซึ่งมันก็เป็นความจริง บ้านของมหิทธิซึ่งเป็นหอพักชายนั้นอยู่ห่างจากบ้านสองชั้นที่อยู่ในซอยของทิวามาเพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น ดังนั้น การเดินทางมาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องลำบากเลยสักนิด
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะมาบอกจริงๆนั่นละ” ทิวาตอบพลางวางกระดาษสีขาวลงบนตักที่ตั้งขนานกับพื้นเรียบสีขาว “เกี่ยวกับเรื่องที่มายะพูดถึงน่ะ มันเป็นเรื่องจริงนะ”
มหิทธิเริ่มมีอาการปวดแปลบที่ดวงใจอย่างแรงเมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่ใช่เพราะว่าความโกรธที่มายะเอาเรื่องไร้สาระมาพูด แต่มันเป็นอาการหนึบๆที่ดวงใจซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดจากอะไร...กันแน่
“นายยังจะเชื่อคำพูดเหลวไหลที่ยายนั่นพ่นออกมาอีกหรือ ที่ว่าฉันอาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์น่ะ”
“ไม่ ไม่ใช่เลยสักนิด” ทิวาพูดขึ้นพลางหันมาทางมหิทธิ แสงสีขาวจากทางหน้าต่างฝุ่นเขรอะทำให้เขาต้องหรี่ตามองทิวาซึ่งกำลังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะบอกเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์อย่างช้าๆ แล่วนายช่วยตัดสินด้วยละกันนะ ว่ามันจะเป็นไปได้มากหรือน้อยเพียงไร”
น้ำเสียงที่ทิวาเปล่งอกมานั้นไม่ใช่ออกคำสั่ง แต่เป็นขอร้องอย่างจริงใจ ซึ่งทำให้มหิทธิรู้สึกสงบลงไปเยอะมาก
ทิวาดูเหมือนจะไม่รอให้ซักถามต่อ เพราะดูเหมือนว่าอากาศในนี้ดูอบอ้าวขึ้นนิดหน่อย เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ก่อนที่กษัตริย์อาเธอร์จะเริ่มเกิด สงครามระหว่างศัตรูและมิตรก็เริ่มต้นขึ้นมานานนมนับศตวรรษแล้ว ทั้งการต่อสู้ระหว่างศัตรู จากดินแดนอื่นที่เข้ามายึดครอง และสงครามระหว่างดินแดนเดียวกันเองเพื่อความเป็นใหญ่”
“แต่ไม่มีความยิ่งใหญ่แบบไหนที่จะยิ่งใหญ่เกินกว่ากษัตริย์อาเธอร์ผู้พิชิตในเกาะอังกฤษและผู้พิชิตความมืดมิดที่เกาะกุมทั่วอังกฤษ นั่นคือ พวกมารศาสนาที่คิดจะยึดครองเกาะอังกฤษและโลกมาไว้ในกำมือของตนเอง แต่ช่างโชคร้ายนักที่กษัตริย์อาเธอร์ได้ปราบเหล่าคนโฉดนั้นได้ และได้ใช้ดาบเอกซ์คาริเบอร์ฟาดฟันหัวหน้าตาย”
ชาวเมืองอังกฤษถือว่ากษัตริย์อาเธอร์มีความสำคัญต่อสงครามแห่งความมืดนั้นมาก เพราะสงครามครั้งนั้นทำให้เหล่าคนนอกที่คิดจะยึดครองอังกฤษเพื่อแผ่ขยายอำนาจ โดยเฉาะอำนาจมืด ได้หมดไปจากโลกใบนี้อย่างเด็ดขาด”
“อำนาจมืด...อย่างนั้นหรือ ฟังดูแล้วเหมือนนิทานอย่างพิกลนะ พวกอำนาจมืดมันก็เป็นเพียงแค่มารศาสนาเท่าน้นเองไม่ใช่หรือไงกัน” มหิทธิถามอย่างงุนงงและหงุดหงิด แต่ก็ทำให้ทิวาถอนหายใจและพูดขึ้นว่า
“สำหรับนาย ฟังแค่นี้แล้วอาจจะไม่เข้าใจ แต่มายะ กับคนที่นายกำลังจะเจออาจจะอธิบายเกี่ยวกับอธิบายบางอย่างให้นายเข้าใจได้เองละนะ”
“คนที่กำลังจะเจอ...อย่างนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ แต่เสียงโทรศัพท์สีน้ำตาลเก่าๆดังขึ้นเสียงกริ๊ง...ยาว เขาจึงหายจากภวังค์และไปรับโทรศัพท์อย่างเร็ว
“สวัสดีครับ”
“มหิทธิหรือลูก” เสียงห้าวห้วนดังขึ้นตามสาย
“พ่อหรือฮะ” มหิทธิร้องขึ้น
“ใช่แล้วละ พ่อในตอนนี้คงจะกลับบ้านไม่ได้แล้วละ” เสียงของบิดานั้นดูเหนื่อยหน่ายอย่างพิกล มหิทธิเอียงคอด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ พ่อ”
“วันนี้มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกราย โชคร้ายนักที่มันเกิดขึ้นที่ประตูสำนักงาน แถมเป็นฆาตกรรมที่โหดมาก เหมือนกับว่ามันไม่มีความปรานีในการฆ่าเลยละ ศพงี้ อี๋...อืดยังกับโดนฆ่ามาหลายวันแล้วเอามาไว้ที่นี่อย่างไรอย่างนั้นแหละ แถมมีน้ำเลือดกับน้ำเหลืองไหลย้อยอกมาจากบาดแผลกรีด ศพนี้มันยิ่งกว่าศพที่แล้วเสียอีกนะ ลูก”
“ศพที่แล้ว ศพไหนล่ะครับ พ่อ” มหิทธิถามด้วยความแปลกใจ
“เอ้า ก็ศพในบ้านที่อยู่ใกล้ๆบ้านเรายังไงล้ะ แหม ขี้ลืมเสียจริงนะ เราน่ะ” พ่อพูดพลางส่งเสียงหึๆมาตามสาย “เอาเป็นว่าพ่อจะไม่กลับบ้านในตอนกลางวัน แต่จะกลับบ้านในตอนเย็นแทน ลูกใช้เงินในกระปุกซื้อกับข้าวบำรุงสุขภาพมาบ้าง พ่อเห็นร้านขายของบำรุงสุขภาพอยู่ที่โบสถ์แน่ะ ลูกไปซื้อเสีย เดี๋ยวพ่อก็กลับแล้วละ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะไปซื้อเดี๋ยวนี้ละ” มหิทธิพูดเสียงหงอยๆอย่างน่าเกลียด การดื่มเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบเลยสักนิด มันก็มีแค่เครื่องดื่มขมๆนั่นละว้า
“พ่ออยู่ที่ไหนครับนี่ ทำไมเสียงมันดังจังเลยล่ะครับ”
“ตอนนี้พ่ออยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ นี่ก็สอบปากคำพยานไปได้ไม่กี่ปากเอง”
“หวังว่าพ่อคงจะกลับมาเร็วๆนะครับ” มหิทธิพูดขึ้น พ่อถอนหายใจใส่โทรศัพท์เสียงดังฮื่อก่อนที่จะพูดว่า
“ก่อนที่จะเป็นห่วงพ่อ ห่วงตัวเองก่อนเหอะ ลูกเป็นไงบ้างล่ะ”
“อาการส่วนใหญ่ก็ไม่น่าห่วงอะไรมากมาย แค่ปวดหัว ตัวร้อน ผมกินยาพาราเซตามอล และปล่อยให้ยามันออกฤทธิ์แล้วละ อีกเดี๋ยวก็หายครับพ่อ”
“อือฮึ ขอให้เป็นอย่างนั้นละกันนะ เอาละ พ่อต้องไปแล้วละ ตำรวจเขาเตรียมบัตรคิวไว้ให้พ่อแล้ว แค่นี้นะลูก”
“ครับ พ่อ” มหิทธิตอบพลางยิ้ม ก่อนที่จะวางโทรศัพท์ และพูดกับทิวาว่า
“ท่าทางนายจะเจอกับข่าวร้ายสินะ ถึงได้ทำหน้าเบ้อย่างนั้นน่ะ” เด็กหนุ่มถามอย่างสนอกสนใจ มหิทธิกำลังทำหน้าเบ้อยู่จริงๆและเขาก็เดินไปหยิบกุญแจหยักตรงสีเงินและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า
“นายดูเหมือนจะทำนายเรื่องราวต่างๆได้หมดเลยนะ ทิวา” มหิทธิพูดขึ้น “นายจะเอาอาหารอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะเอาผลไม้มาให้”
“นายจะลงไปซื้ออาหารเหรอ พอดีเลย ฉันกะจะเดินทางไปที่โบสถ์แถวๆร้านอาหารที่นายชอบไปเป็นประจำ นายจะได้ซื้อของและฉันก็ไปทำธุระให้เสร็จๆไป” ทิวาพูดพลางหันมาทางมหิทธิอย่างต้องการคำถาม
“แล้วนายจะไปทำอะไรในโบสถ์ล่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัย ทิวายิ้มน้อยๆก่อนที่จะพูดว่า
“ไปสารภาพบาปและเล่านิทานให้เด็กๆฟังน่ะ รับรองเลยว่าถ้านายเจอกับนักบวชคนนี้แล้วละก็ นายต้องชอบแน่นอน”
“เฮ้ย นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยชอบศาสนาคริสต์สักเท่าไรนักหรอกนะ เรื่องพระเจ้าและการสร้างโลกน่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องอภินิหารแบบนั้น” มหิทธิพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “แต่นายนับถือศาสนาคริสต์นี่นะ นายอยากไปก็ตามใจ แต่ฉันจะไปซื้ออาหาร แล้วค่อยไปรับนายกลับบ้านละกันนะ”
“ตามใจนายละกัน ถ้านายไม่อยากไป ฉันก็ไม่ขัดศรัทธานาย” ทิวาพูดขึ้นพลางลุกออกไปจากหน้าต่างและไปเปิดประตูสีน้ำตาลขึ้นมา “นายอาจจะได้รับอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ แต่ถ้าไม่รับอากาศทางใจละก็ นายก็ไม่ต่างจากศพเดินได้หรอกนะ”
“อือ” มหิทธิครางอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดประตูหน้าห้องพักออกไป และเดินออกไปพร้อมกับทิวา แต่เพียงแค่เขาเดินไปเปิดประตูเท่านั้น เสียงฝีเท้าสวมรองเท้าส้นสูงก็ดังก้องจากผนังที่ขาวสว่าง เด็กสาวหุ่นดีคนหนึ่งก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม มายะนั่นเอง
“อ้าว มหิทธิ ทิวา จะเดินไปที่ไหนน่ะ” มายะถามอย่างไม่เข้าใจพลางยื่นมือออกมาสัมผัสมือของทิวาตามแบบอังกฤษ มหิทธิจ้องมองด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะมายะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาอีกครั้ง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่รู้สิ เขารู้สึกว่าตนเองหายใจแรงขึ้น และรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นมายะ
“ไงจ๊ะ มหิทธิ” มายะทักทายอย่างสดชื่น แต่มหิทธิกลับมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
“ต้องการอะไรจากฉันอีก” มหิทธิถามอย่างหงุดหงิด
“ก็แค่จะมาชวนไปโบสถ์เสียหน่อย จะได้ไปทำบุญเสียบ้าง เดี๋ยวนี้อาการป่วยของคนบางคนมันเยอะจนแทบจะลุกไม่ไหวนี่นะ”
“เธอรู้ได้ยังไง” มหิทธิถามพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด
“ทิวาบอกฉันเองแหละ ว่านายป่วยเป็นหลายโรค ฉันก็เลยจะชวนไปทำบุญแล้วก็ไปซื้ออาหารบำรุงสุขภาพให้กับนาย อย่างน้อยนายจะได้หายดีและมีเกลือแร่มากขึ้น”
ได้ฟังเช่นนี้ มหิทธิรู้สึกสงบลง แต่ก็ยังไม่สามารถเชื่อใจเด็กสาวตรงหน้านี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะความกังขาของตนเองนั้นยังอยู่ มายะเป็นใคร แล้วมาเกี่ยวอะไรกับชีวิตของเขากันแน่นะ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ เด็กสาวก็เดินออกไปพร้อมกับมองมหิทธิเป็นเชิงชักชวนว่า ‘ตามมาสิ’ เขาจึงต้องถอนหายใจหนักหน่วงและเดินไปด้วยกัน
..
“เธอมาพักกับทิวาหรือ ถึงรู้ว่าฉันป่วยน่ะ” มหิทธิถามอย่างสงสัยในขณะที่เดินไปตามทางโรยด้วยกรวดหินสีแดงอย่างเป็นธรรมชาติของดิน มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นประปรายในพื้นที่พร้อมกับหญ้า มีรถหรูสองสามคันจอดแสดงให้เห็นถึงความเป็นเมืองใหญ่บ้าง แต่บ้านหลังต่างๆที่ปลูกอยู่สองข้างทางบ่งบอกถึงความเป็นชนบท ซึ่งค่อนข้างหายากในเมืองใหญ่ทีมีตึกระฟ้าและทางด่วนโยงใยกันไปมาเหมือนใยแมงมุมเช่นนี้
“บ้านของทิวาสวยดีแล้วก็มีความเป็นธรรมชาติเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้น บ้านของทิวามีต้นไม้หอมๆเต็มไปหมด อย่างเช่น กุหลาบขาว ดอกแก้ว มะลิ และดอกอื่นๆเต็มไปหมดเลยละ ฉันถึงชอบไงละ” มายะตอบพลางยิ้มน้อยๆ มหิทธิจ้องมองรอยยิ้มของมายะที่แย้มเยื้อนออกมา รอยแยกของกลีบกุหลาบนั้นชมพูระเรื่ออย่างไม่ต้องพึ่งลิปสติก และช่างสวยงามยิ่งกว่ากลีบกุหลาบไหนๆ
“เกินไปแล้วๆ” ทิวาพูดอย่างเคร่งขรึมและเอามือผลักหน้าคล้ำยาวของมหิทธิออกไปดุจผลักประตู มหิทธิหน้าหงายออกไป มายะหัวเราะคิกคักออกมา
“ว่าแต่ว่าโบสถ์ที่มายะพูดถึงนี่อยู่ที่ไหนกันแน่นะ” มหิทธิถามอย่างสนใจพลางมองดูรอบๆเหมือนว่าโบสถ์จะกระโดดออกมาตรงหน้าเขา
“มันอยู่ตรงข้างๆร้านอาหารขนาดเล็กๆนั่นแหละ เพียงแต่ว่านายเคยเห็นมันเป็นบ้านโทรมๆหลังเล็กๆเท่านั้นเอง แต่เมื่อสักประมาณ
เท่าไรนะ
ใช่แล้ว สองสามปีก่อน มีนักบวชหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งเดินออกมาจากหมอกอันหนาวเหน็บในวันของฤดูหนาวและบอกกับเจ้าของบ้านว่า เขาจะสร้างบ้านโทรมๆหลังนี้ให้เป็นโบสถ์สำหรับให้เด็กๆมาฟังนิทานและรับศีลรับพรสำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ และตอนนี้ก็กลายเป็นโบสถ์ที่มีคนเข้าไปค่อนข้างเยอะเหมือนกัน”
“อือฮึ” มหิทธิพึมพำพลางพยักหน้าแสดงความเห็นชอบด้วย เด็กหนุ่มมองดูการแต่งกายของมายะในตอนนี้ หล่อนสวมชุดเสื้อยืดเรียบๆสีขาวสะอาด ไม่มีร่องรอยการจัดแต่งแต่อย่างใด กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนอวดเรียวขางามที่ก้าวเดิน และรองเท้าส้นสูงสีดำ
“ว่าแต่เราจะไปซื้ออาหารบำรุงสุขภาพกันที่ตลาดเหรอ เธอก็รู้นี่นาว่าไม่มีอาหารแบบนั้นอีกแล้วในตลาดน่ะ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“โอ๊ย ไม่ใช่หรอกน่า” มายะพูดอย่างรำคาญ “เธอรู้อะไรไหมว่าในโบสถ์นั้นขายผลไม้สดและผลไม้บำรุงสุขภาพให้เด็กๆกินเป็นประจำ ไม่อย่างนั้น โบสถ์นี้จะมีชื่อเสียงถึงขนาดนั้นเลยหรือ”
“เหรอ” มหิทธิถามพลางมองดูทางที่ทิวาเลี้ยวเบนเส้นทางเข้ามา ซอยนี้มีอาคารอยู่เพียงสองสามหลังเท่านั้น และอาคารเหล่านั้นก็สร้างขึ้นจากอิฐดินหนาหนัก แต่มีอาคารหนึ่งที่ดูแตกต่างไปจากตึกเพื่อนๆ นั่นคือ อาคารหลังนี้ดูไม่เก่าแก่ขนาดว่าจะต้องทุบทิ้ง และไม่มีเศษสีหลุดลอกออกมาเหมือนอาคารอื่นๆ บ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากอิฐใหม่ที่ต่อกันเป็นชั้นๆและทาทับด้วยปูนขาว บ้านมีสองชั้น และที่ชั้นสองนั้นมีกระจกสีสดใสเหมือนกระจกโมเสกตั้งตระหง่านอยู่ มันเป็นรูปอะไรนั้น มหิทธิไม่อาจเข้าใจ เพราะเขาไม่ได้เรียนศาสนาสากล แต่ดูเหมือนรูปพระเจ้าถูกตรึงไม้กางเขน
เสียงเคาะประตูไม้สีขาวสะอาดดังขึ้นสองสามครั้งปลุกภวังค์ของมหิทธิให้ฟื้นขึ้นมา มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นและทรงพลังออกมาจากในโบสถ์ ก่อนที่ประตูจะทำเสียงกรอกแกรกและเปิดประตูออกมา
ชายร่างสูงผิวขาวปรากฏออกมาจากข้างในโบสถ์ เขามีผมสีน้ำตาลยาวถึงติ่งหูที่พลิ้วไหวไปตามลม ดวงตาสีเขียวสดดุจต้นหญ้าใสนั้นจ้องมองมาทางทุกคนอย่างไม่ประหลาดใจ ดุจว่าเขารอทุกคนอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ชายผู้นี้ถึงแม้ว่าจะตัวสูง แต่ก็ดูลึกลับเพราะเขาสวมชุดนักบวชสีดำสนิทยาวถึงข้อเท้า ในมือนั้นถือสร้อยรูปไม้กางเขน และสิ่งหนึ่งบนหลังมือของเด็กหนุ่มก็สะดุดตามหิทธิเป็นอย่างยิ่ง!!
บาดแผลเรียวยาวปลายแหลมสีแดงดุจมีใครเอามีดที่ร้อนจี๋มากรีดลงบนหลังมือ รอยแผลนี้เหมือนกับที่มหิทธิมีตอนที่เขาฝันไปในโลกแห่งจิตวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็กหนุ่มปริศนายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำสัญลักษณ์อวยพรแบบคริสต์ศาสนา สิ่งที่ทำให้มหิทธิแปลกใจก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม!!
รอยแผลอีกรอยแผลหนึ่งที่บางยาวแต่ลึกปรากฏขึ้นรอบแขนเหมือนมีสัตว์ร้ายทำร้ายเขาเข้าตามหิทธิอย่างแรง เขารู้สึกพิกลเหมือนจำรอยแผลนี้ได้จากที่ไหนสักแห่ง ที่ไหน
มันอยู่ที่ไหนหนอ
“ลูกชายกับลูกสาวของหลวงพ่อมีอะไรให้หลวงพ่อรับใช้หรือ” นักบวชหนุ่มถามขึ้นพลางโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“เราจะมาทำบุญและฟังนิทานของท่านน่ะค่ะ แล้วเราก็มาซื้ออาหารบำรุงสุขภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วยค่ะ” มายะหันมาทางมหิทธิด้วยความสงสัย เมื่อเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่คือนักบวช ชื่อ หลวงพ่อโกกัส”
หลวงพ่อโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับมหิทธิ แต่สายตาอันคมกริบของเขานั้นจ้องมองมหิทธิอย่างมีความหวัง
เหมือนกับรอคอยเด็กหนุ่มคนนี้ให้มาที่นี่นานแล้ว มหิทธิโค้งคำนับอย่างสุภาพ พลางถามว่า
“ชื่อแปลกมากเลยนะครับ หลวงพ่อ เป็นคนที่ไหนหรือครับ”
“ผมเป็นคนที่ฝรั่งเศส แต่สนใจประเทศไทยมากเลยนะครับ ก็เลยมาอยู่ที่นี่ได้สองถึงสามปีแล้วละครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เป็นหลวงพ่อที่สร้างโบสถ์หลังนี้หรือครับ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
หลวงพ่อยิ้มน้อยๆอย่างขบขันก่อนที่จะพูดว่า
“เปล่าหรอกครับ หลวงพ่อย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะหลวงพ่อเห็นว่าที่นี่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกจับจองให้กับความเป็นเทคโนโลยี แต่ความเป็นธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณก็ยังคงอยู่ ณ พื้นที่แห่งนี้ด้วย” โกกัสพูดพลางยิ้ม มีอยู่แวบหนึ่งที่มหิทธิสังเกตว่าเขามองดูท้องฟ้าด้วยความรู้สึกแปลกๆเหมือนคุ้นเคยกับธรรมชาติแถบนี้เป็นอย่างดี แต่เขากลับหันมาทางทั้งสามคน ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“เราควรจะไปนั่งในที่สบายๆในโบสถ์กันนะครับ” โกกัสพูดอย่างสดใสเหมือนสายรุ้ง “แล้วจะได้ไม่ต้องยืนตากฝนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ด้วย หึ
หึ
”
มหิทธิแหงนหน้าไปดูบนท้องฟ้าด้วยความแปลกใจ
ไม่มีฝนตกนี่นา แต่เขาก็มองเห็นว่าฟ้าที่เมื่อกี้เป็นสีฟ้าสด แต่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปเพราะความมืดครึ้มและความหนาวยะเยือก สายฟ้าแวบแปลบปลาบเหมือนลิ้นงูหลายตัวและหยดฝนที่ตกลงมาบนใบหน้าของมหิทธิ บ่งบอกถึงฝนกำลังจะตกลงมา!!
“ตกลงครับ” มหิทธิพูดขึ้นอย่างสงสัย ชายผู้นี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“งั้นก็
เข้ามาเลยสิ” โกกัสพูดขึ้นอย่างยินดีพร้อมกับก้าวเดินเข้าไปในโบสถ์หลังนั้น มหิทธิขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่มายะกับทิวากลับมีสีหน้าเรียบเฉยดุจไม่ต้องการให้ซักถาม มหิทธิจึงเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยความไม่เข้าใจจนถึงที่สุด
“โบสถ์ของพ่ออาจจะเล็กหน่อยนะ หวังว่าพวกลูกคงจะไม่ว่าข้ามากนัก” โกกัสพูดขึ้นพลางนั่งลงบนเก้าอี้ยาวที่เรียงกันเป็นตับอยู่ตรงหน้าของมหิทธิ และถัดจากตรงหน้าเก้าอี้นั้นเป็นหน้าต่างกระจกโมเสกขนาดใหญ่ยักษ์เท่าความกว้างของประตูฟุตบอล และมันครอบคลุมกำแพงทั้งด้านหลังเอาไว้ รูปที่ทำขึ้นเป็นรูปของบ้านเก่าโทรมและมีรูปของเด็กชายที่ผู้หญิงอุ้มเอาไว้
“ก่อนอื่น
” เด็กหนุ่มชุดคลุมนั่งลงตรงหน้าและจ้องมองมาทางทั้งหมด ที่นั่งอยู่เคียงกัน “ในพวกลูกๆนี้ใครจะบอกไหมว่าใครที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์บ้าง”
“ผมครับ” มหิทธิตอบอย่างไม่รอรี โกกัสขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“แล้วเคยทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการแผ่เมตตาบ้างหรือเปล่า ลูกน่ะ” หลวงพ่อถาม
“ผมนั่งสมาธิตลอดละครับ อย่างน้อยก็แผ่เมตตาให้กับสัตว์โลกแล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตา ต่อจากนั้นก็สวดมนต์กรวดน้ำน่ะครับ” มหิทธิตอบอย่างสดชื่น เพราะเขาเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่ตอนที่เขาไปที่ไหน
ที่ไหนน้า
เขาจำไม่ได้เสียทีแฮะ
มหิทธิคิด
“อือ
” โกกัสพึมพำอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะลุกขึ้น ตวัดเสื้อคลุมออกไปให้พ้นเท้า ก่อนที่จะเดินออกไปที่ห้องเก่าๆและหยิบหนังสือปกหนังเล่มเก่าออกมาและเดินไปที่ประตูสีขาว
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านน่ะ” มหิทธิถามด้วยความสงสัย
และเมื่อหลวงพ่อเปิดประตูออกมา เด็กหญิงชายนับสิบคนที่ล้วนแต่สวมชุดเก่าปอนก้าวออกมาจากข้างนอกที่เปียกชุ่มด้วยฝนและน้ำ ทุกคนต่างมีผิวคล้ำ และเปียกฝนอย่างรุนแรง
“หวัดดีครับ ทุกคน” โกกัสพูดขึ้นพลางยิ้มน้อยๆอยู่ที่ด้านหลังของทั้งสาม “วันนี้มาทำอะไรหรือครับ”
“มาฟังนิทานของหลวงพ่อครับ แต่ละเรื่องนี่สนุกๆทั้งนั้นเลย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้น และเด็กๆแต่ละคนก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างเห็นด้วย โกกัสยิ้มอย่างใจดีเมื่อเขาหันหน้ามาทางทั้งสามคน โกกัสทักทายว่า
“นี่จะเป็นคนที่จะมาฟังนิทานกับเราในเวลาที่ฝนตกด้วยกัน เอ้า ทักทายพวกเขาหน่อยสิครับ” โกกัสพูดอย่างใจดี และทุกคนต่างปรบมือส่งเสียงเชียร์เป็นที่สนุกสนาน
“วันนี้หลวงพ่อจะมาเล่าเรื่องอะไรหรือครับ” เด็กชายอีกคนหนึ่งถามด้วยเสียงแปร่งๆจนแทบฟังไม่ออก
“จะมาเล่าเรื่องนี้ยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางชูหนังสือปกหนังขึ้นมาและเดินไปที่ด้านหลังของโบสถ์ ทุกๆที่ๆหลวงพ่อเดินออกไป เด็กๆจะเดินตามกันเป็นพรวน และเมื่อโกกัสนั่งลงบนผิวพื้นที่เป็นไม้สีน้ำตาล เด็กๆก็นั่งลงบนพื้นไม้ด้วย มหิทธิรอรีที่จะก้าวไปนั่งด้วย แต่เมื่อสายตาอันคมของหลวงพ่อจ้องมองมา เขาก็เดินไปนั่งรวมกับมายะและทิวาที่นั่งไปกับเด็กๆด้วยกัน
ความคิดเห็น