ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ห้า ตำนานกษัตริย์อาเธอร์ (แก้นิดหนึ่ง)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


    บทที่ห้า ตำนานกษัตริย์อาเธอร์ 

    เขารู้สึกมืดสนิทดุจรัตติกาล  เขามองไม่เห็นอะไรเลยในดวงตาทั้งสองข้างของเขา  เด็กหนุ่มผิวคล้ำวัยสิบหกปีรู้สึกแค่ว่าตนเองเหมือนถูกโบยตีไปทุกส่วน  เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด  ร่างของตนเองนั้นดูเหมือนเคลื่อนออกไปในที่ใดที่หนึ่ง  แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนหยุดนิ่งอย่างพิกล  มันเหมือนกับอยู่ในสองโลก  โลกหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลา  แต่อีกที่หนึ่งเป็นเวลาหยุดนิ่ง  ภาพต่างๆในเวลาหยุดนิ่งนั้นดูจะไม่เคลื่อนไหว

    เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนหน้าผาขนาดใหญ่ที่สูงถึงสิบเมตรสูงกว่าตัวเขาถึงสิบเท่าเชียวนะ  มหิทธิคิดพลางยิ้มฝืดๆ  ที่น่ากลัวก็คือทะเลที่อยู่ตรงเบื้องฝ่าเท้าของเขา  มันหมุนวนและกระแทกไปมาซ้ำๆตรงหน้าผาที่ยืนอย่างไร้จุดหมาย  เขารู้สึกแสยงขนอย่างประหลาดเมื่อละอองเย็นสาดซัดใบหน้าจนเปียก  สายตาของตนเองมองเห็นทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาสีเขียวน้ำทะเลที่ตอนนี้มีคลื่นสูง  พวกมันนั้นดูเหมือนจะปั่นป่วนรุนแรงจนแทบจะยกปลาน้อยใหญ่ลอยขึ้นไป  จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของเขา  แต่คราวนี้ไม่ใช่ในหู  แต่เป็นจากปากของเขาเอง!!

    ข้าขอเปลี่ยนชื่อดาบเอกซ์คาริเบอร์เป็นดาบแห่งการรวมสมาธิ…”

    เพียงพริบตานั้น  มือขาวกำยำที่เขาเป็นคนชูขึ้นเองก็ยกดาบยาวของทหารอังกฤษขึ้นสูงสุดฟ้าและตะโกนก้องว่า

    คนที่สามารถดึงดาบเอกซ์คาริเบอร์และดึงเอาความคมกล้าแห่งสมาธิเข้าไว้ด้วยกัน  ข้าจะนำดาบแห่งกษัตริย์เล่มนี้สู่คนๆนั้น!!!”

    เสียงครืนครั่นดังสนั่นหูเหมือนกับระเบิดดังขึ้นในเยื่อแก้วหู  เขารู้สึกว่าดาบเล่มนี้ช่างมีพลังยิ่งใหญ่ยิ่งนัก  เช่นเดียวกับเจ้าของดาบเล่มนี้ที่ตนเองคิดว่า  น่าจะเป็นลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์อย่างแน่นอน  เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้นด้านหน้าของเด็กหนุ่ม  พร้อมกับที่สายฟ้าสีแดงฟาดผ่านเหมือนแส้เข้าใส่ดาบเอกซ์คาริเบอร์  พริบตานั้น  แสงสีแดงอมชมพูก็ไหลอาบออกมาจากดาบเหมือนลาวาที่ร้อนจัด  ดาบนั้นค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างอย่างช้าๆ  จากเดิมเป็นสีเงินก็เปลี่ยนเป็นดาบสองคมขนาดใหญ่เท่ากับดาบบาสตาร์ด  แต่ก่อนที่มันจะไหลลงมาที่กั่นดาบนั้นเอง  สติของเขาก็ดับเลือนหายไปเหมือนกับถูกดึงจุกก๊อกเอาความทรงจำหายไปจากเขา

    ……………………………..

    เขารู้สึกว่าตนเองกำลังหลับตาสีดำสนิท  และรู้ตัวเองในทันทีว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม  สัมผัสจากหลังตรงของเขาบอกเช่นนั้น  ก่อนที่เขาจะค่อยๆลืมตาสีดำขึ้นมา  เสียงของใครคนหนึ่งที่เขาเคยได้ยินมาสองสามครั้งก็ดังขึ้นเป็นทำนองภาษาอังกฤษเป็นชุดว่า

    ท่าทางเขาคงจะต้องได้รับข้อความของเผ่าของเราแล้วอย่างแน่นอน  แต่อาการแบบนี้มันเกินกว่าที่เราคาดคิดไว้  เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขานั้นสัมผัสกับความเป็นมนุษย์ปุถุชนมากเกินไปจนบดบังรัศมีแห่งอดีตกษัตริย์ออกไปจนหมดสิ้น

    เสียงนี้มันเสียงของมายะนี่  เด็กหนุ่มตอบพลางแกล้งนอนหลับต่อเพื่อให้รู้ข้อมูลที่เด็กสาวกระซิบอยู่

    เรายังมิอาจคาดการณ์ได้ถึงอนาคตและอดีตอันแปลกประหลาดของมหิทธิในตอนนี้  เสียงของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคย ถึงแม้ว่าจะได้ยินเพียงครั้งเดียว ดังขึ้น  เขาหยิบสมุดบันทึกได้โดยไม่เป็นบ้ากับอดีตร้ายๆอะไรเลย  แปลว่าเขาจะต้องมีจิตวิญญาณบางอย่างสิงสู่อยู่  โดยที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    มายะอ้าปากจะพูดแต่ก็เงียบไปโดยไม่รู้สาเหตุ  เขาเริ่มสงสัยว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่  ก็พอดีรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาจับที่ข้อมือคล้ำของเขา  และเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพึมพำอะไรบางอย่างไม่เป็นภาษาออกมา  ต่อจากนั้น!!

    ว้าก!!  ร้อน!!”

    มหิทธิร้องลั่นเหมือนถูกไฟจี้ตรงบริเวณจุดสำคัญ  เขาลืมตาขึ้นและสะบัดข้อมือออกไปโดยแรง  มายะจึงได้ทีสะดุ้งเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียง(แสร้ง)ดีใจถึงที่สุดว่า

    เธอตื่นแล้วหรือ  ทำไมฉันถึงไม่รู้ล่ะ

    มหิทธิมองดูดวงตาสีดำอมน้ำเงินนิลของมายะและพบว่าเห็นแววตาแสดงถึงความตั้งใจปกปิด  และอะไรบางอย่างที่ควรจะปกปิดนั้นคืออะไร  เขาจึงจ้องตามายะอยู่ครู่หนึ่งเพื่ออ่านดวงตาที่ซ่อนอยู่  และเธอก็หลบตาเหมือนไม่อยากให้รู้ในทันที  เขาจึงรู้โดยสัญชาตญาณว่า  มายะมาหาเขา  เพื่อปลุกสัญชาตญาณบางอย่างที่ตนเองไม่เคยรู้มาก่อน - ในตัวของเขา  เขาจึงหันหน้ามาทางสิ่งที่ช็อกกระแสไฟฟ้าใส่เขา  เด็กหนุ่มจึงต้องตกใจสุดขีดเพราะผู้ชายคนนั้นคือ

    อาจารย์ใหญ่!!”

    ร่างของชายหนุ่มผิวขาวที่สวมชุดสูทสีดำสนิทเหมือนรัตติกาลนั้นกำลังนั่งมองมหิทธิด้วยท่าที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย  นั่นคือ  เขากำลังมองมหิทธิจากที่ต่ำกว่า  และเขาทำให้มหิทธิรู้สึกเหมือนกษัตริย์ที่นั่งอยู่กับนักปราชญ์อย่างพิกล

    ทำไมอาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ  มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ

    ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจึงมายืนอยู่ที่จุดนี้  เพื่องมามองดูเธอที่มีอาการป่วย  แต่มันไม่ใช่ป่วยทางร่างกาย  แต่มันป่วยทางความทรงจำอะไรสักอย่างที่กำลังกดหัวของเธออยู่มากกว่า  อาจารย์ใหญ่พูดพลางยืนขึ้นและจ้องมองมหิทธิเหมือนมองผู้สูงศักดิ์  ทำให้มหิทธิรู้สึกอึดอัดมากขึ้น  มันเหมือนกับว่ามีความทรงจำอะไรบางอย่างที่เราเคยรู้  มันเกี่ยวเนื่องกับลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์  และฉันผู้นี้คืออดีตนักปราชญ์ของท่านผู้นั้น  เป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของท่าน

    ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ก็จริงอยู่  แต่มันไม่เห็นเกี่ยวข้องกับผมเลยนี่นา  เด็กหนุ่มพูดพลางก้าวถอยออกมา  เมื่อแสงสีขาวของห้องนอนนั้นเปิดให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินอมแดงเพลิงลุกโชนของอาจารย์ใหญ่ได้จนน่าขนลุก

    มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเธอเลยก็ได้  เพราะเธอนั้นเป็นคนในโลกแห่งความเป็นจริงและไม่ใช่ประชากรของโลกนั้น  แต่มันมีอยู่หลากหลายประเด็นที่ต้องเอามาคิดเกี่ยวกับตัวเธอ  ประการแรก  มารดาของเธอคือใคร

    แล้วมันทำไมหรือครับ  มหิทธิถามด้วยความโกรธ  ทั้งๆที่ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดผวา  เมื่อแสงสีน้ำเงินที่ดวงตาของอาจารย์เริ่มคุเสียจนสว่างในดวงตาของเขา

    มารดาของเธอนั้นหายสาปสูญไปนับตั้งแต่สมัยเธออายุเท่าไรกันหรือ  มายะถามพลางก้าวเข้ามาข้างหน้า  มหิทธิก้าวถอยด้วยความขยะแขยงพร้อมกับพูดเสียงสั่นว่า

    แม่ของฉันอืม…”  เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีหยุดพลางขบคิดถึงอดีตที่ตนเองเคยเห็นมารดาเมื่อเขาอายุได้ประมาณสามถึงสี่ขวบ  ฉันเคยเห็นแม่เพียงแค่ครั้งเดียว  ตอนนั้นท่านมาเยี่ยมฉัน  และต่อจากนั้น  เขาหลบตามายะอย่างรู้สึกผิดต่อตนเอง  แม่ของฉันก็หายตัวไปที่ไหนไม่รู้

    มายะจ้องมองนัยน์ตาสีดำเข้มของมหิทธิด้วยความรู้สึกสงสารเต็มกำลัง

    มีคนเคยบอกฉันว่าแม่ของฉันนั้นหายสาปสูญ  บ้างก็หายไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่มีใครเคยรู้ว่ามีอยู่จริง  แต่ว่า…”  มหิทธิก้มหน้าลง  ฉันรู้เพียงว่าแม่ของฉันไม่เคยกลับมาอีกเลย  นับตั้งแต่วันนั้น

    อาจารย์ใหญ่จ้องมองมหิทธิด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง  แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่  เพราะใบหน้าขาวของเขานั้นเรียนสนิท  ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น

    มารดาของเธอชื่อว่าอะไรหรือ  อาจารย์ถามอย่างสนใจ

    ท่านน่ะหรือ  ไม่รู้หรอก  แต่ท่านมีชื่ออยู่ในสูติบัตรว่า  กษัตรียา  รัตนวงศ์ 

    กษัตรียาอืม…”  อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นพลางลูบคางที่มีเคราสั้นๆอย่างใช้ความคิด  มีคนชื่อนี้อยู่มากมาย  แต่คำว่า  รัตนวงศ์  นั่นน่ะ  อาจจะทำให้เรารู้เรื่องอะไรบางอย่างที่เราและเธออาจจะไม่รู้ก็ได้

    คุณหมายความว่าอย่างไร  มหิทธิถาม  ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    รัตนวงศ์คือ  ชื่อภาษาไทยของอัศวินโต๊ะกลมทั้งเก้าคนของกษัตริย์อาเธอร์  โดยที่หญิงสาวผู้นี้อาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์อาเธอร์ในทางหลานหรือลูกสาวก็เป็นไปได้เหมือนกัน

    ผมไม่เข้าใจ  มหิทธิพูดอย่างงุนงงถึงที่สุด  แค่นามสกุล  เราจะเอาไปเกี่ยวโยงกับกษัตริย์อาเธอร์ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว  อัศวินโต๊ะกลมนั้นมีทั้งหมดเก้าคน  ถ้าไม่นับรวมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปแล้วล่ะก็…”

    เด็กหนุ่มวัยสิบหกอ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีด  รัตนวงศ์  หมายถึง  วงศ์สกุลทั้งเก้าของกษัตริย์  ซึ่งถ้าจะให้เขาเข้าใจในอีกทางก็คือ  พี่น้องร่วมสาบานของกษัตริย์อาเธอร์นั่นเอง

    คุณคงไม่ได้หมายความถึงว่า  แม่ของผมเป็นลูกสาวของอัศวินโต๊ะกลมหรอกนะ  เหลวไหลสิ้นดี  มหิทธิทุบเตียงดังตึง!ด้วยความโมโห  จนมายะสะดุ้งเล็กน้อย  มหิทธิเดินกางแขนติดกับกำแพงโดยห่างจากร่างมายะกับทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  พวกคุณพูดอะไรไร้สาระสิ้นดี  อัศวินโต๊ะกลมไม่เคยมีลูกสาวหรือลูกชาย  ผมจำได้ว่าไม่มีใครเคยมีลูก  ถ้าพวกคุณจะมาพูดอะไรไร้สาระล่ะก็ผมว่าพวกคุณมาหาผิดคนแล้วละ

    เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางเปิดประตูออกไปและคิดที่จะวิ่งออกไปจากโรงพยาบาล  พริบตานั้น  มือของอาจารย์ที่วางอยู่บนข้างลำตัวก็เหยียดออกหมายจะทำอะไรสักอย่างกับมหิทธิ

    แต่เมื่อมีเสียงของใครสักคนก้องกังวานขึ้นมาในความทรงจำของอาจารย์  เสียงของชายผู้หนึ่งที่เขาอาจจะเรียกว่า  ซื่อสัตย์ตลอดกาล  พูดก้องอยู่ในศีรษะว่า

    เขาจะไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่พวกเธอพูดในครั้งแรกหรอก  ต้องมีหลักฐานหรืออะไรสักอย่างมาประกอบความน่าเชื่อถือเท่านั้น  เขาถึงจะพยายามทำความเข้าใจ

    แต่ทำไมเราถึงจะไม่พยายามลองดูก่อนละขอรับ  ท่านมูริเย่ห์  เสียงของเขาอยู่ในหัวของตนเอง  มันมองดูเหมือนความทรงจำที่เขามีความมุ่งมั่นถึงที่สุด  เขาจึงมีเสียงก้องเป็นพิเศษ

    ข้าได้ส่งหลักฐานส่วนหนึ่งของเด็กหนุ่มผู้ที่อาจจะเป็นหลานชายของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเราไปแล้ว  นั่นคือ  ร่องรอยเพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะสัมผัสได้ว่า  นั่นไม่ใช่ความฝันเลื่อนลอยที่จะมาฝันกันเล่นๆได้ง่ายๆ

    เสียงของหญิงวัยสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์  แต่เขานั้นกลับไม่เคยเห็นแม้เพียงรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้าผู้นี้ได้เลย  เพราะท่านนั้นสวมชุดเสื้อตัวยาวคลุมถึงข้อเท้า  ทำให้ใบหน้านั้นเป็นปริศนาโดยสิ้นเชิง

    หลักฐานนั้นคืออะไรหรือขอรับ  ช่วยบอกข้าที  อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก

    ข้าจะยังบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้หรอก  แต่ว่าเขาจะมาหามหิทธิด้วยตนเอง  ในฐานะของบุคคลที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตของเด็กหนุ่มผู้นี้…”

    เสียงนั้นหายวับไปในทันทีดุจถูกดึงจุกให้หายวับไปกับน้ำ  อาจารย์ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังแบมือค้างเอาไว้  ลดมือลงในทันใดพร้อมกับสายตาเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อของมายะ

    ปล่อยเอาไว้แบบนี้จะดีหรือคะ  ท่าน  มายะพูดพลางมองมหิทธิอย่างดูถูก  ตอนนี้ความมืดเริ่มคุกคามเรามากขึ้นเรื่อยๆ  มอร์เตย์ในตอนนี้แข็งแกร่งที่สุดในรอบหนึ่งพันปี  เพราะความชั่วร้ายของมนุษย์เริ่มมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้  ถ้าเราไม่คิดที่จะทำอะไร  โลกทั้งสองจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่แท้

    เราอาจจะไม่ต้องกังวลอะไรในตอนนี้นักหรอก  อาจารย์ใหญ่พูดอย่างเหนื่อยล้า  เพราะเขาจะต้องมีคนที่มาฟื้นความทรงจำและความฝันของเขาให้กลับมาคงเดิมได้อย่างแน่นอน  อาจารย์พูดพลางหันไปมองที่บนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีสีดำหม่นดุจฝนจะตกอีกครั้ง  พร้อมกับสิ่งทียืนยันได้ว่าฝนกำลังจะตก  เพราะแสงวาบของฟ้าแลบนั้นแลบขึ้นมาเหมือนลิ้นงู  และหายไป  สิ่งที่เราควรกังวลตอนนี้คือ  พวกมอร์เตย์กำลังจะเล่นลูกไม้อะไรกับเราอีก    ขณะนี้

    หมายความว่าอะไรคะ  ท่าน

    ตอนนี้ข้ารู้สึกได้จนถึงกระดูกวิญญาณของข้าว่ามีพลังมืดอะไรบางอย่างกำลังคุกคามที่นี่อย่างเย็นยะเยือก

    เราอาจจะต้องระวังเรื่องราวเหล่านี้ให้มากขึ้น  เพราะเราไม่รู้เลยว่าเขาจะส่งใครมากันแน่  อาจารย์พูดอีกพลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้เริ่มมีฝนตกปรอยๆลงมา

    …………………………………….

    มหิทธิวิ่งออกไปจากโรงเรียนโดยกางร่มออกไป  แต่ถึงแม้ว่าเขาจะกางร่มออกไปสู่อากาศที่เลวร้ายก็ตาม  แต่ฝนนั้นก็ตกกระหน่ำลงมาดุจห่ามีดที่เสียบผิวหนังอันบอบบางของมหิทธิให้เจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขีดสุด  ร่างกายของเขาแทบหนาวสั่นในชุดเสื้อสีน้ำเงินหนาๆที่เปียกลู่ลงมา  ร่มนั้นแทบจะใช้การไม่ได้เพราะมันบางเสียจนร่วงลงมากับสายฝน

    มหิทธิวิ่งหลบฝนออกมาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกกังวลจนกระทั่งเขาพาร่างอันเปียกโชก  หนาวสั่น  และไอแค่กๆด้วยไล่น้ำออกจากจมูก  เข้าไปที่ด้านในของหอพัก  ทิ้งโคลนสีดำหยดใหญ่ไปตามทางของเด็กหนุ่ม  จนแม่บ้านทำความสะอาดนั้นจ้องมองมหิทธิด้วยสายตาสีน้ำตาลอันขุ่นเคือง

    เด็กหนุ่มวิ่งไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงชั้นสามของหอพักและเดินออกมาตามทางที่เป็นทางเดินและมีห้องเป็นบลอคๆสองข้างทาง  เขาเดินมาถึงห้องสามหนึ่งแปด(หอพักมีขนาดใหญ่)  และเปิดประตูออกไป  แต่ติด  เขาไม่สามารถเข้าไปได้

    พ่อ  เปิดประตูให้ผมหน่อย  ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว  มหิทธิพึมพำเพราะความหนาวเย็นเข้ากระดูก  เขาพยายามทุบประตู  แทบจะทุบไม่ได้เพราะตัวสั่น  แต่ไม่มีใครเปิดประตูรับ

    กึกกึก

    เสียงรองเท้าหุ้มข้อดังขึ้นด้วยน้ำเสียงน่ากลัวพิกล  เหมือนกับความเย็นยะเยือกกำลังแผ่ออกมาจากเสียงเท้าเดินตรงนั้น  มหิทธิตัวสั่นไปจนถึงไขสันหลังเพราะความรู้สึกนั้น  เพียงพริบตานั้น  เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามีเสียงแฮ่ๆพร้อมกับเสียงครูดไปตามกำแพงของกรงเล็บดังขึ้นผะแผ่วที่บันไดที่จะขึ้นมาที่นี่  เขาจึงรู้ทันทีว่า  สิ่งที่กำลังจะขึ้นมานี้คงไม่ใช่คนหรือสัตว์ที่เขาเคยรู้จัก  แต่เป็นปีศาจจากขุมนรกที่ฉุดลมหายใจของเขาไปสู่นรก!!

    มหิทธิร้องลั่นพร้อมกับทุบประตูและทรุดลงไปด้วยความหนาวเย็น  เขามิอาจเปิดประตูได้  และไม่มีทางที่จะเปิดประตูได้ด้วย  ยิ่งเสียงดังแฮ่ๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงหยดอะไรบางอย่างดังขึ้นที่บันไดนั้น  มหิทธิยิ่งส่งเสียงครางด้วยความหวาดผวาและทุบประตูทั้งนั่งอ่อนแรง  แต่มันก็ยังไม่ยอมเปิดเสียที  เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆด้วยความสะพรึงกลัวที่มิอาจบรรยาย  เขาจึงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระชากประตูออกทั้งที่เท้ายันกำแพง  มันก็ยังเปิดประตูไม่ได้

    เพียงพริบตานั้น  ร่างนั้นก็ยืนจังก้าอยู่ที่ตรงหน้าของเขา

    มันเป็นเงามัวๆของความมืดเพราะฟ้าฝนไม่เป็นใจ  แต่เขาก็ยังพอมองเห็นว่ามันมีกรงเล็บยาวที่ครูดพื้นจนเกิดรอย  ทั้งๆที่มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจรดคางของมัน  ใบหน้าของมันนั้นมืดเสียจนไม่สามารถมองเห็นได้  แต่เขาพอมองเห็นว่าผิวหนังของมันนั้นเป็นสีแดงเลือนๆและมีรอยหยดของอะไรบางอย่างที่หยดไปมาตามเนื้อตามตัว  ทีแรก  มหิทธิคิดว่ามันเป็นหยดฝนที่ตกลงมา  แต่เขาพอมองเห็นว่าเป็นหยดน้ำที่เหนียวอย่างพิกล

    เด็กหนุ่มภาวนาว่าขออย่าให้มันมองเห็นและได้ยินเขาเลย  ไม่มีโชคเช่นนั้น  เมื่อเท้าของเขา(ที่สวมรองเท้าผ้าใบ)ไถลไปจนเกิดเสียงดังเอี๊ยด  มันหันมามองเขาด้วยนัยน์ตาสีขาวชั่วช้าและโหดร้ายของมัน  มหิทธิพอมองเห็นว่ามันมีรอยขีดสีดำเหมือนนัยน์ตาของสัตว์ร้าย

    เพียงพริบตานั้น  ร่างอันน่าขยะแขยงนั้นก็พุ่งออกมาหาเขาด้วยความเร็วพร้อมกับใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องมาอย่างกระหายเลือด

    มหิทธิร้องลั่นอย่างเสียขวัญพร้อมกับดึงประตูและทุบอย่างร้อนรน  ไร้ประโยชน์  ประตูไม่เปิดออก  มันพุ่งเข้ามาและส่งเสียงกรงเล็บดังครูดชวนเสียวไส้อยู่ตลอดเวลา  ทั้งบิดตัวไปมา  ทิ้งหยดน้ำสีแดงอมเหลืองน่าสยดสยองเอาไว้

    เพียงพริบตาที่แสงไฟอันเล็กน้อยของไฟสำรองที่มีเพียงดวงเดียวเปิดออก  มหิทธิก็ต้องบิดขากรรไกรด้วยความสยองและพยายามร้องลั่น  แต่ไม่มีเสียงอะไรลอดออกมาจากปาก

    ร่างกายของมันไม่ต่างจากร่างของมนุษย์ที่มีเพียงเส้นเลือดและกล้ามเนื้อ  และมีเลือดและน้ำเหลืองสีชวนแสยงขนหยดตามตัวลงมาเปรอะพื้นสีขาวสะอาด  มันมีดวงตาสีเหลืองสองตาที่คล้ายกับมนุษย์  แต่ปากของมันนั้นเล่า  กลับมีเพียงปากหลากหลายที่ฝังอยู่ตรงแก้มบ้าง  ตรงโหนกคอบ้าง  ตรงคางบ้าง  ปากหลากหลายนั้นกำลังส่งเสียงแฮ่ๆพร้อมกับอ้าปากขึ้นพร้อมขย้ำ

    ม่ายยยยยยยยยย!!”

    มหิทธิพ่ออยู่นี่  พ่ออยู่ที่นี่  ไม่ต้องห่วง  เด็กดี  พ่ออยู่ที่นี่  ไม่มีอะไรมาทำร้ายลูกนะ  ตื่นสิ  ลูกชายของพ่อ…”

    เสียงก้องกังวานของบิดาร้องขึ้นพร้อมกับเสียงเลือดไหลราดออกมาจากศีรษะเพราะปากนั้นกำลังกัดฉีกเขาอย่างหิวกระหาย  เสียงของบิดานั้นเรียกลูกพร้อมกับเสียงคำรามของมันที่สมหวังกับเหยื่อ  มหิทธิครวญครางพร้อมกับไขว่คว้ามือด้วยความหนาวเหน็บที่พลุ่งพล่าน!!

    มหิทธิ

    พ่อนั้นตบหน้าลูกเบาๆ  แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว  ตาสีดำของมหิทธินั้นเบิกโพลงดุจว่าเขาเพิ่งถูกผีหลอก  น้ำโคลนที่ไหลราดออกมาจากเนื้อตัวของเขาหยดลงมาที่ทางเดิน  ไม่ใช่เลือด  และไม่ใช่ตัวประหลาดน่าสยดสยองที่กำลังแตะใบหน้าของเขาอยู่  แต่เป็นบิดาของเขานั่นเอง

    พ่อ…”  มหิทธิครางดังลั่นและโอบกอดร่างหนาของชายหนุ่มเอาไว้  พ่อกอดร่างอันเปียกโชกของมหิทธิพร้อมกับลูบศีรษะด้วยความรู้สึกว่า  เขาเป็นห่วงร่างอันสั่นเทาเหมือนลูกนกของมหิทธิอย่างจริงใจ

    พ่อว่าลูกเข้าไปในบ้านของเราดีกว่านะ  พ่อเห็นว่าลูกตัวสั่นเพราะความหนาวแน่ๆเลย  ยิ่งไปกว่านั้น  พ่อเห็นว่าลูกหลับไปนานเกือบชั่วโมงตรงประตูนี่  แถมยังตัวเปียกด้วย  ลูกก็เลยเพ้อ

    ผมขอโทษครับ  พ่อ  ผมน่าจะมีความแกร่งมากกว่านี้  จะได้ไม่ป่วยกายป่วยใจแบบนี้  มหิทธิพูดขึ้นอย่างเศร้าใจพลางตัวสั่นด้วยความหนาว

    มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ  พ่อตอบพลางเดินออกไปและไขกุญแจ  เข้าไปข้างใน  มันอยู่ที่ว่าลูกจะมีร่างกายแข็งแรงมากกว่านี้หรือเปล่า  มันเกี่ยวข้องกับโชคชะตาน่ะ  ลูก

    ครับ  พ่อ  เด็กหนุ่มตอบอย่างอ่อนเพลียพลางค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆแต่ก็ทรุดกายลงไปอีกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด  พ่อต้องพยุงเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน

    ………………………………………

    หลังจากที่สระผมและอาบน้ำจนร่างกายนั้นกลับเป็นปกติด้วยความสดชื่นแล้ว  เด็กหนุ่มก็กลับมานอนคลุมผ้าห่มพร้อมกับกินยาแก้ไข้ไปหนึ่งเม็ด  เพราะเมื่อบิดานั้นเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว  เขาก็แตะศีรษะเพื่อตรวจอาการของมหิทธิที่ตอนนี้นอนซมอยู่อย่างใกล้หมดสติ  ผลปรากฏว่าตัวร้อนจัดจนแทบจะลวกมือขาวของพ่อ  เขาจึงตัดสินใจหยิบผ้าอุ่นๆมาให้  และให้เขากินยาพาราเซตามอล  เพราะเด็กหนุ่มเริ่มมีอาการปวดหัวแล้ว

    โชคดีที่ลูกไม่ได้อยู่บ้านในวันนี้  พ่อพูดอย่างอ่อนโยน  เมื่อมหิทธินั้นนอนซมอยู่บนกองผ้าห่มหนา  เพราะวันนี้มีคดีฆาตกรรมในแถวบ้านของเรา  ลูกอาจจะแปลกใจที่อยู่ๆศพมันเดินได้น่ะ

    ทำไมหรือครับ  มหิทธิถามเสียงเพลียๆ

    วันนี้พ่อไปเจอรถตำรวจที่เป็นนักสืบยืนอยู่เต็ม  พ่อก็เข้าไปถาม  และก็พบว่ามีคดีเกิดขึ้น  มีคนตายแบประหลาดๆ  คือจะให้พูดยังไงดีล่ะ  ก็ศพที่นอนอยู่บนพื้นถูกแทงที่ขั้วหัวใจเป็นรูใหญ่เหมือนถูกลิ่มปัก  แต่ไม่พบอาวุธ  แถมมีเชื้อราสีดำปกคลุมอยู่ทั่วแผลหัวใจด้วย  เลยคิดว่าน่าจะเป็นอาวุธที่มีเชื้อปลูกเอาไว้  แล้วก็ที่มือและเท้าถูกตรึงด้วยลิ่มเหมือนกัน  แต่มันปักคาก่อนที่จะเสียชีวิต  ก็เลยคิดกันว่า  มีพวกลัทธิประหลาดอาละวาดล่ะนะ

    แล้วศพล่ะ  ไหนพ่อบอกว่ามันหายไปยังไงล่ะฮะ

    พ่อก็สงสัยอยู่  เพราะเขาบอกว่าอีกสองชั่วโมงถัดไป  ก็ไม่เห็นศพแล้ว  อ้อ!  ลูกอยากถามว่าทำไมถึงไม่มีใครเฝ้าดูศพล่ะก็  เพราะฝนสีดำมันตกลงมา  ตำรวจก็เลยหนีกันให้วุ่น  เพราะปืนก็ละลาย  รถก็ละลาย  พวกเขาก็เลยหนีออกจากพื้นที่  แต่ต่อจากที่ฝนหยุดตกได้สักพักและพวกเขาตรวจดูพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง…”

    ศพก็หายไป  มหิทธิต่อให้

    อาจจะเป็นอย่างนั้น  ใช่…”  พ่อตอบ  น่าขำไหมล่ะ  พบศพ  แต่ไม่พบพยานหรือหลักฐานอะไรที่จะบ่งว่าใครเป็นฆาตกรน่ะ  มีเพียงแค่เลือดจำนวนหนึ่งที่เป็นสีดำสนิทตกลงมา  แต่ตำรวจก็คิดว่าฝนมันตกหนัก  ก็เลยหาพยานหรือหลักฐานไม่ได้

    แล้วพ่อคิดว่าศพมันเดินได้เองหรือยังไงล่ะครับ  มหิทธิถามติดตลก

    แต่มันสะดุดตรงตัวของพ่อ  ดวงตาสีดำนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวสนิทและไร้ตาดำเหมือนเป็นปีศาจ  แต่ก็มีตาสีดำเป็นรอยขีดปรากฏขึ้นเหมือนตาแมวด้วย

    แต่เมื่อเขาหันมาอีกครั้ง  ดวงตานั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนเดิม  ก่อนที่พ่อจะเสยผมและพูดว่า

    หลับเสียเถิด  ดึกแล้วนะลูก

    ครับ  พ่อ

    ราตรีสวัสดิ์  มหิทธิ  สิริราชา

    ทำไมพ่อต้องเรียกผมเต็มยศอย่างนั้นละครับ  พ่อ  มหิทธิตอบยิ้มๆ  ราตรีสวัสดิ์ครับ  พ่อ

    เด็กหนุ่มหันหลังให้อย่างรวดเร็ว  ก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อนอนหลับพักผ่อนให้ฟื้นจากพิษไข้  และมหิทธิก็หลับไปอย่างรวดเร็ว

    โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวเลยว่า  เขานั้นหนีชะตากรรมของกษัตริย์ไม่พ้นคอของตนเองเหมือนโยนงูแล้วงูหันมาฉกกัดเขาได้อีกเขานั้นไม่มีวันทิ้งชะตากรรมได้

    ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้นที่โบสถ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับบ้านหลังที่ถูกฆาตกรรม  แสงวาบออกมาจากท้องฟ้าดุจกิ่งไม้สว่าง  เพียงพริบตานั้น  มันก็หยุดพร้อมกับเสียงครืนครั่นของท้องฟ้าและฝนที่ตกไม่หยุด

    มีเพียงชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งที่เปิดประตูโบสถ์หลังเก่าออกมาและจ้องมองดูท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีเมฆฝน  ชายผู้นี้มีผมสีขาวโพลนเหมือนเส้นไหมขาวยาวพลิ้วไหวไปตามลมฝน  ดวงตาสีเขียวสดผิดปกตินั้นจ้องมองมาทางท้องฟ้า  และทิศทางนั้นก็เป็นทิศทางของบ้านของมหิทธิเสียด้วย  เขานั้นสวมชุดคลุมยาวสีดำแบบนักบวชของคริสต์  คือ  มีคอตั้งและเสื้อทั้งตัวสีดำล้วน  แต่มีกระดุมขาวและมีไม้กางเขนประดับเอาไว้  ชายหนุ่มผู้นี้จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพื้นที่ทั้งหมดของบริเวณนี้ที่มีน้ำขังพร้อมกับวงคลื่นของฝนที่ตกลงมาจนท่วม

    หวังว่าลูกคงจะไม่เป็นไรนะ  มหิทธิ  สิริราชา

    หลวงพ่อพูดอย่างสงบพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงวาบเหมือนสามง่ามและเสียงครืนครั่นเหมือนแผ่นดินจะสะเทือน!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×