คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ห้า ตำนานกษัตริย์อาเธอร์ (แก้นิดหนึ่ง)
บทที่ห้า ตำนานกษัตริย์อาเธอร์
เขารู้สึกมืดสนิทดุจรัตติกาล เขามองไม่เห็นอะไรเลยในดวงตาทั้งสองข้างของเขา เด็กหนุ่มผิวคล้ำวัยสิบหกปีรู้สึกแค่ว่าตนเองเหมือนถูกโบยตีไปทุกส่วน เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด ร่างของตนเองนั้นดูเหมือนเคลื่อนออกไปในที่ใดที่หนึ่ง แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนหยุดนิ่งอย่างพิกล มันเหมือนกับอยู่ในสองโลก โลกหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามกาลเวลา แต่อีกที่หนึ่งเป็นเวลาหยุดนิ่ง ภาพต่างๆในเวลาหยุดนิ่งนั้นดูจะไม่เคลื่อนไหว
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนหน้าผาขนาดใหญ่ที่สูงถึงสิบเมตร
สูงกว่าตัวเขาถึงสิบเท่าเชียวนะ มหิทธิคิดพลางยิ้มฝืดๆ ที่น่ากลัวก็คือทะเลที่อยู่ตรงเบื้องฝ่าเท้าของเขา มันหมุนวนและกระแทกไปมาซ้ำๆตรงหน้าผาที่ยืนอย่างไร้จุดหมาย เขารู้สึกแสยงขนอย่างประหลาดเมื่อละอองเย็นสาดซัดใบหน้าจนเปียก สายตาของตนเองมองเห็นทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาสีเขียวน้ำทะเลที่ตอนนี้มีคลื่นสูง พวกมันนั้นดูเหมือนจะปั่นป่วนรุนแรงจนแทบจะยกปลาน้อยใหญ่ลอยขึ้นไป จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของเขา แต่คราวนี้ไม่ใช่ในหู แต่เป็นจากปากของเขาเอง!!
“ข้าขอเปลี่ยนชื่อดาบเอกซ์คาริเบอร์เป็นดาบแห่งการรวมสมาธิ
”
เพียงพริบตานั้น มือขาวกำยำที่เขาเป็นคนชูขึ้นเองก็ยกดาบยาวของทหารอังกฤษขึ้นสูงสุดฟ้าและตะโกนก้องว่า
“คนที่สามารถดึงดาบเอกซ์คาริเบอร์และดึงเอาความคมกล้าแห่งสมาธิเข้าไว้ด้วยกัน ข้าจะนำดาบแห่งกษัตริย์เล่มนี้สู่คนๆนั้น!!!”
เสียงครืนครั่นดังสนั่นหูเหมือนกับระเบิดดังขึ้นในเยื่อแก้วหู เขารู้สึกว่าดาบเล่มนี้ช่างมีพลังยิ่งใหญ่ยิ่งนัก เช่นเดียวกับเจ้าของดาบเล่มนี้ที่ตนเองคิดว่า น่าจะเป็นลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์อย่างแน่นอน เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้นด้านหน้าของเด็กหนุ่ม พร้อมกับที่สายฟ้าสีแดงฟาดผ่านเหมือนแส้เข้าใส่ดาบเอกซ์คาริเบอร์ พริบตานั้น แสงสีแดงอมชมพูก็ไหลอาบออกมาจากดาบเหมือนลาวาที่ร้อนจัด ดาบนั้นค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างอย่างช้าๆ จากเดิมเป็นสีเงินก็เปลี่ยนเป็นดาบสองคมขนาดใหญ่เท่ากับดาบบาสตาร์ด แต่ก่อนที่มันจะไหลลงมาที่กั่นดาบนั้นเอง สติของเขาก็ดับเลือนหายไปเหมือนกับถูกดึงจุกก๊อกเอาความทรงจำหายไปจากเขา
..
เขารู้สึกว่าตนเองกำลังหลับตาสีดำสนิท และรู้ตัวเองในทันทีว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม สัมผัสจากหลังตรงของเขาบอกเช่นนั้น ก่อนที่เขาจะค่อยๆลืมตาสีดำขึ้นมา เสียงของใครคนหนึ่งที่เขาเคยได้ยินมาสองสามครั้งก็ดังขึ้นเป็นทำนองภาษาอังกฤษเป็นชุดว่า
“ท่าทางเขาคงจะต้องได้รับข้อความของเผ่าของเราแล้วอย่างแน่นอน แต่อาการแบบนี้มันเกินกว่าที่เราคาดคิดไว้ เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขานั้นสัมผัสกับความเป็นมนุษย์ปุถุชนมากเกินไปจนบดบังรัศมีแห่งอดีตกษัตริย์ออกไปจนหมดสิ้น”
เสียงนี้มัน
เสียงของมายะนี่ เด็กหนุ่มตอบพลางแกล้งนอนหลับต่อเพื่อให้รู้ข้อมูลที่เด็กสาวกระซิบอยู่
“เรายังมิอาจคาดการณ์ได้ถึงอนาคตและอดีตอันแปลกประหลาดของมหิทธิในตอนนี้” เสียงของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคย ถึงแม้ว่าจะได้ยินเพียงครั้งเดียว ดังขึ้น “เขาหยิบสมุดบันทึกได้โดยไม่เป็นบ้ากับอดีตร้ายๆอะไรเลย แปลว่าเขาจะต้องมีจิตวิญญาณบางอย่างสิงสู่อยู่ โดยที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
มายะอ้าปากจะพูดแต่ก็เงียบไปโดยไม่รู้สาเหตุ เขาเริ่มสงสัยว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ ก็พอดีรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาจับที่ข้อมือคล้ำของเขา และเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพึมพำอะไรบางอย่างไม่เป็นภาษาออกมา ต่อจากนั้น!!
“ว้าก!! ร้อน!!”
มหิทธิร้องลั่นเหมือนถูกไฟจี้ตรงบริเวณจุดสำคัญ เขาลืมตาขึ้นและสะบัดข้อมือออกไปโดยแรง มายะจึงได้ทีสะดุ้งเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียง(แสร้ง)ดีใจถึงที่สุดว่า
“เธอตื่นแล้วหรือ ทำไมฉันถึงไม่รู้ล่ะ”
มหิทธิมองดูดวงตาสีดำอมน้ำเงินนิลของมายะและพบว่าเห็นแววตาแสดงถึงความตั้งใจปกปิด และอะไรบางอย่างที่ควรจะปกปิดนั้นคืออะไร เขาจึงจ้องตามายะอยู่ครู่หนึ่งเพื่ออ่านดวงตาที่ซ่อนอยู่ และเธอก็หลบตาเหมือนไม่อยากให้รู้ในทันที เขาจึงรู้โดยสัญชาตญาณว่า มายะมาหาเขา เพื่อปลุกสัญชาตญาณบางอย่างที่ตนเองไม่เคยรู้มาก่อน - ในตัวของเขา เขาจึงหันหน้ามาทางสิ่งที่ช็อกกระแสไฟฟ้าใส่เขา เด็กหนุ่มจึงต้องตกใจสุดขีดเพราะผู้ชายคนนั้นคือ
“อาจารย์ใหญ่!!”
ร่างของชายหนุ่มผิวขาวที่สวมชุดสูทสีดำสนิทเหมือนรัตติกาลนั้นกำลังนั่งมองมหิทธิด้วยท่าที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย นั่นคือ เขากำลังมองมหิทธิจากที่ต่ำกว่า และเขาทำให้มหิทธิรู้สึกเหมือนกษัตริย์ที่นั่งอยู่กับนักปราชญ์อย่างพิกล
“ทำไม
อาจารย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจึงมายืนอยู่ที่จุดนี้ เพื่องมามองดูเธอที่มีอาการป่วย แต่มันไม่ใช่ป่วยทางร่างกาย แต่มันป่วยทางความทรงจำอะไรสักอย่างที่กำลังกดหัวของเธออยู่มากกว่า” อาจารย์ใหญ่พูดพลางยืนขึ้นและจ้องมองมหิทธิเหมือนมองผู้สูงศักดิ์ ทำให้มหิทธิรู้สึกอึดอัดมากขึ้น “มันเหมือนกับว่ามีความทรงจำอะไรบางอย่างที่เราเคยรู้ มันเกี่ยวเนื่องกับลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์ และฉันผู้นี้คืออดีตนักปราชญ์ของท่านผู้นั้น เป็นหนึ่งในอัศวินโต๊ะกลมของท่าน”
“ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ก็จริงอยู่ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวข้องกับผมเลยนี่นา” เด็กหนุ่มพูดพลางก้าวถอยออกมา เมื่อแสงสีขาวของห้องนอนนั้นเปิดให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินอมแดงเพลิงลุกโชนของอาจารย์ใหญ่ได้จนน่าขนลุก
“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเธอเลยก็ได้ เพราะเธอนั้นเป็นคนในโลกแห่งความเป็นจริงและไม่ใช่ประชากรของโลกนั้น แต่มันมีอยู่หลากหลายประเด็นที่ต้องเอามาคิดเกี่ยวกับตัวเธอ ประการแรก มารดาของเธอคือใคร”
“แล้วมันทำไมหรือครับ” มหิทธิถามด้วยความโกรธ ทั้งๆที่ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดผวา เมื่อแสงสีน้ำเงินที่ดวงตาของอาจารย์เริ่มคุเสียจนสว่างในดวงตาของเขา
“มารดาของเธอนั้นหายสาปสูญไปนับตั้งแต่สมัยเธออายุเท่าไรกันหรือ” มายะถามพลางก้าวเข้ามาข้างหน้า มหิทธิก้าวถอยด้วยความขยะแขยงพร้อมกับพูดเสียงสั่นว่า
“แม่ของฉัน
อืม
” เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีหยุดพลางขบคิดถึงอดีตที่ตนเองเคยเห็นมารดาเมื่อเขาอายุได้ประมาณสามถึงสี่ขวบ “ฉันเคยเห็นแม่เพียงแค่ครั้งเดียว ตอนนั้นท่านมาเยี่ยมฉัน และต่อจากนั้น” เขาหลบตามายะอย่างรู้สึกผิดต่อตนเอง “แม่ของฉันก็หายตัวไปที่ไหนไม่รู้”
มายะจ้องมองนัยน์ตาสีดำเข้มของมหิทธิด้วยความรู้สึกสงสารเต็มกำลัง
“มีคนเคยบอกฉันว่าแม่ของฉันนั้นหายสาปสูญ บ้างก็หายไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่มีใครเคยรู้ว่ามีอยู่จริง แต่ว่า
” มหิทธิก้มหน้าลง “ฉันรู้เพียงว่าแม่ของฉันไม่เคยกลับมาอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้น”
อาจารย์ใหญ่จ้องมองมหิทธิด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะใบหน้าขาวของเขานั้นเรียนสนิท ไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
“มารดาของเธอชื่อว่าอะไรหรือ” อาจารย์ถามอย่างสนใจ
“ท่านน่ะหรือ ไม่รู้หรอก แต่ท่านมีชื่ออยู่ในสูติบัตรว่า กษัตรียา รัตนวงศ์”
“กษัตรียา
อืม
” อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นพลางลูบคางที่มีเคราสั้นๆอย่างใช้ความคิด “มีคนชื่อนี้อยู่มากมาย แต่คำว่า รัตนวงศ์ นั่นน่ะ อาจจะทำให้เรารู้เรื่องอะไรบางอย่างที่เราและเธออาจจะไม่รู้ก็ได้”
“คุณหมายความว่าอย่างไร” มหิทธิถาม ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“รัตนวงศ์คือ ชื่อภาษาไทยของอัศวินโต๊ะกลมทั้งเก้าคนของกษัตริย์อาเธอร์ โดยที่หญิงสาวผู้นี้อาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์อาเธอร์ในทางหลานหรือลูกสาวก็เป็นไปได้เหมือนกัน”
“ผม
ไม่เข้าใจ” มหิทธิพูดอย่างงุนงงถึงที่สุด “แค่นามสกุล เราจะเอาไปเกี่ยวโยงกับกษัตริย์อาเธอร์ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว อัศวินโต๊ะกลมนั้นมีทั้งหมดเก้าคน ถ้าไม่นับรวมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปแล้วล่ะก็
”
เด็กหนุ่มวัยสิบหกอ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีด รัตนวงศ์ หมายถึง วงศ์สกุลทั้งเก้าของกษัตริย์ ซึ่งถ้าจะให้เขาเข้าใจในอีกทางก็คือ พี่น้องร่วมสาบานของกษัตริย์อาเธอร์นั่นเอง
“คุณคงไม่ได้หมายความถึงว่า แม่ของผมเป็นลูกสาวของอัศวินโต๊ะกลมหรอกนะ เหลวไหลสิ้นดี” มหิทธิทุบเตียงดังตึง!ด้วยความโมโห จนมายะสะดุ้งเล็กน้อย มหิทธิเดินกางแขนติดกับกำแพงโดยห่างจากร่างมายะกับทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พวกคุณพูดอะไรไร้สาระสิ้นดี อัศวินโต๊ะกลมไม่เคยมีลูกสาวหรือลูกชาย ผมจำได้ว่าไม่มีใครเคยมีลูก ถ้าพวกคุณจะมาพูดอะไรไร้สาระล่ะก็
ผมว่าพวกคุณมาหาผิดคนแล้วละ”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางเปิดประตูออกไปและคิดที่จะวิ่งออกไปจากโรงพยาบาล พริบตานั้น มือของอาจารย์ที่วางอยู่บนข้างลำตัวก็เหยียดออกหมายจะทำอะไรสักอย่างกับมหิทธิ
แต่เมื่อมีเสียงของใครสักคนก้องกังวานขึ้นมาในความทรงจำของอาจารย์ เสียงของชายผู้หนึ่งที่เขาอาจจะเรียกว่า ซื่อสัตย์ตลอดกาล พูดก้องอยู่ในศีรษะว่า
“เขาจะไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่พวกเธอพูดในครั้งแรกหรอก ต้องมีหลักฐานหรืออะไรสักอย่างมาประกอบความน่าเชื่อถือเท่านั้น เขาถึงจะพยายามทำความเข้าใจ”
“แต่ทำไมเราถึงจะไม่พยายามลองดูก่อนละขอรับ ท่านมูริเย่ห์” เสียงของเขาอยู่ในหัวของตนเอง มันมองดูเหมือนความทรงจำที่เขามีความมุ่งมั่นถึงที่สุด เขาจึงมีเสียงก้องเป็นพิเศษ
“ข้าได้ส่งหลักฐานส่วนหนึ่งของเด็กหนุ่มผู้ที่อาจจะเป็นหลานชายของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเราไปแล้ว นั่นคือ ร่องรอยเพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะสัมผัสได้ว่า นั่นไม่ใช่ความฝันเลื่อนลอยที่จะมาฝันกันเล่นๆได้ง่ายๆ”
เสียงของหญิงวัยสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์ แต่เขานั้นกลับไม่เคยเห็นแม้เพียงรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้าผู้นี้ได้เลย เพราะท่านนั้นสวมชุดเสื้อตัวยาวคลุมถึงข้อเท้า ทำให้ใบหน้านั้นเป็นปริศนาโดยสิ้นเชิง
“หลักฐานนั้นคืออะไรหรือขอรับ ช่วยบอกข้าที” อาจารย์ใหญ่พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก
“ข้าจะยังบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้หรอก แต่ว่าเขาจะมาหามหิทธิด้วยตนเอง ในฐานะของบุคคลที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตของเด็กหนุ่มผู้นี้
”
เสียงนั้นหายวับไปในทันทีดุจถูกดึงจุกให้หายวับไปกับน้ำ อาจารย์ใหญ่ที่ตอนนี้กำลังแบมือค้างเอาไว้ ลดมือลงในทันใดพร้อมกับสายตาเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อของมายะ
“ปล่อยเอาไว้แบบนี้จะดีหรือคะ ท่าน” มายะพูดพลางมองมหิทธิอย่างดูถูก “ตอนนี้ความมืดเริ่มคุกคามเรามากขึ้นเรื่อยๆ มอร์เตย์ในตอนนี้แข็งแกร่งที่สุดในรอบหนึ่งพันปี เพราะความชั่วร้ายของมนุษย์เริ่มมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ถ้าเราไม่คิดที่จะทำอะไร โลกทั้งสองจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่แท้
“เราอาจจะไม่ต้องกังวลอะไรในตอนนี้นักหรอก” อาจารย์ใหญ่พูดอย่างเหนื่อยล้า “เพราะเขาจะต้องมีคนที่มาฟื้นความทรงจำและความฝันของเขาให้กลับมาคงเดิมได้อย่างแน่นอน” อาจารย์พูดพลางหันไปมองที่บนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีสีดำหม่นดุจฝนจะตกอีกครั้ง พร้อมกับสิ่งทียืนยันได้ว่าฝนกำลังจะตก เพราะแสงวาบของฟ้าแลบนั้นแลบขึ้นมาเหมือนลิ้นงู และหายไป “สิ่งที่เราควรกังวลตอนนี้คือ พวกมอร์เตย์กำลังจะเล่นลูกไม้อะไรกับเราอีก ณ ขณะนี้”
“หมายความว่าอะไรคะ ท่าน”
“ตอนนี้
ข้ารู้สึกได้จนถึงกระดูกวิญญาณของข้าว่ามีพลังมืดอะไรบางอย่างกำลังคุกคามที่นี่อย่างเย็นยะเยือก”
“เราอาจจะต้องระวังเรื่องราวเหล่านี้ให้มากขึ้น เพราะเราไม่รู้เลยว่าเขาจะส่งใครมากันแน่” อาจารย์พูดอีกพลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้เริ่มมีฝนตกปรอยๆลงมา
.
มหิทธิวิ่งออกไปจากโรงเรียนโดยกางร่มออกไป แต่ถึงแม้ว่าเขาจะกางร่มออกไปสู่อากาศที่เลวร้ายก็ตาม แต่ฝนนั้นก็ตกกระหน่ำลงมาดุจห่ามีดที่เสียบผิวหนังอันบอบบางของมหิทธิให้เจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขีดสุด ร่างกายของเขาแทบหนาวสั่นในชุดเสื้อสีน้ำเงินหนาๆที่เปียกลู่ลงมา ร่มนั้นแทบจะใช้การไม่ได้เพราะมันบางเสียจนร่วงลงมากับสายฝน
มหิทธิวิ่งหลบฝนออกมาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกกังวลจนกระทั่งเขาพาร่างอันเปียกโชก หนาวสั่น และไอแค่กๆด้วยไล่น้ำออกจากจมูก เข้าไปที่ด้านในของหอพัก ทิ้งโคลนสีดำหยดใหญ่ไปตามทางของเด็กหนุ่ม จนแม่บ้านทำความสะอาดนั้นจ้องมองมหิทธิด้วยสายตาสีน้ำตาลอันขุ่นเคือง
เด็กหนุ่มวิ่งไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงชั้นสามของหอพักและเดินออกมาตามทางที่เป็นทางเดินและมีห้องเป็นบลอคๆสองข้างทาง เขาเดินมาถึงห้องสามหนึ่งแปด(หอพักมีขนาดใหญ่) และเปิดประตูออกไป แต่ติด เขาไม่สามารถเข้าไปได้
“พ่อ เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว” มหิทธิพึมพำเพราะความหนาวเย็นเข้ากระดูก เขาพยายามทุบประตู แทบจะทุบไม่ได้เพราะตัวสั่น แต่ไม่มีใครเปิดประตูรับ
กึก
กึก
เสียงรองเท้าหุ้มข้อดังขึ้นด้วยน้ำเสียงน่ากลัวพิกล เหมือนกับความเย็นยะเยือกกำลังแผ่ออกมาจากเสียงเท้าเดินตรงนั้น มหิทธิตัวสั่นไปจนถึงไขสันหลังเพราะความรู้สึกนั้น เพียงพริบตานั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามีเสียงแฮ่ๆพร้อมกับเสียงครูดไปตามกำแพงของกรงเล็บดังขึ้นผะแผ่วที่บันไดที่จะขึ้นมาที่นี่ เขาจึงรู้ทันทีว่า สิ่งที่กำลังจะขึ้นมานี้คงไม่ใช่คนหรือสัตว์ที่เขาเคยรู้จัก แต่เป็นปีศาจจากขุมนรกที่ฉุดลมหายใจของเขาไปสู่นรก!!
มหิทธิร้องลั่นพร้อมกับทุบประตูและทรุดลงไปด้วยความหนาวเย็น เขามิอาจเปิดประตูได้ และไม่มีทางที่จะเปิดประตูได้ด้วย ยิ่งเสียงดังแฮ่ๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงหยดอะไรบางอย่างดังขึ้นที่บันไดนั้น มหิทธิยิ่งส่งเสียงครางด้วยความหวาดผวาและทุบประตูทั้งนั่งอ่อนแรง แต่มันก็ยังไม่ยอมเปิดเสียที เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆด้วยความสะพรึงกลัวที่มิอาจบรรยาย เขาจึงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระชากประตูออกทั้งที่เท้ายันกำแพง มันก็ยังเปิดประตูไม่ได้
เพียงพริบตานั้น ร่างนั้นก็ยืนจังก้าอยู่ที่ตรงหน้าของเขา
มันเป็นเงามัวๆของความมืดเพราะฟ้าฝนไม่เป็นใจ แต่เขาก็ยังพอมองเห็นว่ามันมีกรงเล็บยาวที่ครูดพื้นจนเกิดรอย ทั้งๆที่มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจรดคางของมัน ใบหน้าของมันนั้นมืดเสียจนไม่สามารถมองเห็นได้ แต่เขาพอมองเห็นว่าผิวหนังของมันนั้นเป็นสีแดงเลือนๆและมีรอยหยดของอะไรบางอย่างที่หยดไปมาตามเนื้อตามตัว ทีแรก มหิทธิคิดว่ามันเป็นหยดฝนที่ตกลงมา แต่เขาพอมองเห็นว่าเป็นหยดน้ำที่เหนียวอย่างพิกล
เด็กหนุ่มภาวนาว่าขออย่าให้มันมองเห็นและได้ยินเขาเลย ไม่มีโชคเช่นนั้น เมื่อเท้าของเขา(ที่สวมรองเท้าผ้าใบ)ไถลไปจนเกิดเสียงดังเอี๊ยด มันหันมามองเขาด้วยนัยน์ตาสีขาวชั่วช้าและโหดร้ายของมัน มหิทธิพอมองเห็นว่ามันมีรอยขีดสีดำเหมือนนัยน์ตาของสัตว์ร้าย
เพียงพริบตานั้น ร่างอันน่าขยะแขยงนั้นก็พุ่งออกมาหาเขาด้วยความเร็วพร้อมกับใช้ดวงตาสีเหลืองจ้องมาอย่างกระหายเลือด
มหิทธิร้องลั่นอย่างเสียขวัญพร้อมกับดึงประตูและทุบอย่างร้อนรน ไร้ประโยชน์ ประตูไม่เปิดออก มันพุ่งเข้ามาและส่งเสียงกรงเล็บดังครูดชวนเสียวไส้อยู่ตลอดเวลา ทั้งบิดตัวไปมา ทิ้งหยดน้ำสีแดงอมเหลืองน่าสยดสยองเอาไว้
เพียงพริบตาที่แสงไฟอันเล็กน้อยของไฟสำรองที่มีเพียงดวงเดียวเปิดออก มหิทธิก็ต้องบิดขากรรไกรด้วยความสยองและพยายามร้องลั่น แต่ไม่มีเสียงอะไรลอดออกมาจากปาก
ร่างกายของมันไม่ต่างจากร่างของมนุษย์ที่มีเพียงเส้นเลือดและกล้ามเนื้อ และมีเลือดและน้ำเหลืองสีชวนแสยงขนหยดตามตัวลงมาเปรอะพื้นสีขาวสะอาด มันมีดวงตาสีเหลืองสองตาที่คล้ายกับมนุษย์ แต่ปากของมันนั้นเล่า กลับมีเพียงปากหลากหลายที่ฝังอยู่ตรงแก้มบ้าง ตรงโหนกคอบ้าง ตรงคางบ้าง ปากหลากหลายนั้นกำลังส่งเสียงแฮ่ๆพร้อมกับอ้าปากขึ้นพร้อมขย้ำ
“ม่ายยยยยยยยยย!!”
“มหิทธิ
พ่ออยู่นี่ พ่ออยู่ที่นี่ ไม่ต้องห่วง เด็กดี พ่ออยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรมาทำร้ายลูกนะ ตื่นสิ ลูกชายของพ่อ
”
เสียงก้องกังวานของบิดาร้องขึ้นพร้อมกับเสียงเลือดไหลราดออกมาจากศีรษะเพราะปากนั้นกำลังกัดฉีกเขาอย่างหิวกระหาย เสียงของบิดานั้นเรียกลูกพร้อมกับเสียงคำรามของมันที่สมหวังกับเหยื่อ มหิทธิครวญครางพร้อมกับไขว่คว้ามือด้วยความหนาวเหน็บที่พลุ่งพล่าน!!
“มหิทธิ”
พ่อนั้นตบหน้าลูกเบาๆ แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว ตาสีดำของมหิทธินั้นเบิกโพลงดุจว่าเขาเพิ่งถูกผีหลอก น้ำโคลนที่ไหลราดออกมาจากเนื้อตัวของเขาหยดลงมาที่ทางเดิน ไม่ใช่เลือด และไม่ใช่ตัวประหลาดน่าสยดสยองที่กำลังแตะใบหน้าของเขาอยู่ แต่เป็นบิดาของเขานั่นเอง
“พ่อ
” มหิทธิครางดังลั่นและโอบกอดร่างหนาของชายหนุ่มเอาไว้ พ่อกอดร่างอันเปียกโชกของมหิทธิพร้อมกับลูบศีรษะด้วยความรู้สึกว่า เขาเป็นห่วงร่างอันสั่นเทาเหมือนลูกนกของมหิทธิอย่างจริงใจ
“พ่อว่าลูกเข้าไปในบ้านของเราดีกว่านะ พ่อเห็นว่าลูกตัวสั่นเพราะความหนาวแน่ๆเลย ยิ่งไปกว่านั้น พ่อเห็นว่าลูกหลับไปนานเกือบชั่วโมงตรงประตูนี่ แถมยังตัวเปียกด้วย ลูกก็เลยเพ้อ”
“ผมขอโทษครับ พ่อ ผมน่าจะมีความแกร่งมากกว่านี้ จะได้ไม่ป่วยกายป่วยใจแบบนี้” มหิทธิพูดขึ้นอย่างเศร้าใจพลางตัวสั่นด้วยความหนาว
“มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ” พ่อตอบพลางเดินออกไปและไขกุญแจ เข้าไปข้างใน “มันอยู่ที่ว่าลูกจะมีร่างกายแข็งแรงมากกว่านี้หรือเปล่า มันเกี่ยวข้องกับโชคชะตาน่ะ ลูก”
“ครับ พ่อ” เด็กหนุ่มตอบอย่างอ่อนเพลียพลางค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆแต่ก็ทรุดกายลงไปอีกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด พ่อต้องพยุงเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน
หลังจากที่สระผมและอาบน้ำจนร่างกายนั้นกลับเป็นปกติด้วยความสดชื่นแล้ว เด็กหนุ่มก็กลับมานอนคลุมผ้าห่มพร้อมกับกินยาแก้ไข้ไปหนึ่งเม็ด เพราะเมื่อบิดานั้นเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว เขาก็แตะศีรษะเพื่อตรวจอาการของมหิทธิที่ตอนนี้นอนซมอยู่อย่างใกล้หมดสติ ผลปรากฏว่าตัวร้อนจัดจนแทบจะลวกมือขาวของพ่อ เขาจึงตัดสินใจหยิบผ้าอุ่นๆมาให้ และให้เขากินยาพาราเซตามอล เพราะเด็กหนุ่มเริ่มมีอาการปวดหัวแล้ว
“โชคดีที่ลูกไม่ได้อยู่บ้านในวันนี้” พ่อพูดอย่างอ่อนโยน เมื่อมหิทธินั้นนอนซมอยู่บนกองผ้าห่มหนา “เพราะวันนี้มีคดีฆาตกรรมในแถวบ้านของเรา ลูกอาจจะแปลกใจที่อยู่ๆศพมันเดินได้น่ะ”
“ทำไมหรือครับ” มหิทธิถามเสียงเพลียๆ
“วันนี้พ่อไปเจอรถตำรวจที่เป็นนักสืบยืนอยู่เต็ม พ่อก็เข้าไปถาม และก็พบว่ามีคดีเกิดขึ้น มีคนตายแบประหลาดๆ คือ
จะให้พูดยังไงดีล่ะ ก็ศพที่นอนอยู่บนพื้นถูกแทงที่ขั้วหัวใจเป็นรูใหญ่เหมือนถูกลิ่มปัก แต่ไม่พบอาวุธ แถมมีเชื้อราสีดำปกคลุมอยู่ทั่วแผลหัวใจด้วย เลยคิดว่าน่าจะเป็นอาวุธที่มีเชื้อปลูกเอาไว้ แล้วก็ที่มือและเท้าถูกตรึงด้วยลิ่มเหมือนกัน แต่มันปักคาก่อนที่จะเสียชีวิต ก็เลยคิดกันว่า มีพวกลัทธิประหลาดอาละวาดล่ะนะ”
“แล้วศพล่ะ ไหนพ่อบอกว่ามันหายไปยังไงล่ะฮะ”
“พ่อก็สงสัยอยู่ เพราะเขาบอกว่าอีกสองชั่วโมงถัดไป ก็ไม่เห็นศพแล้ว อ้อ! ลูกอยากถามว่าทำไมถึงไม่มีใครเฝ้าดูศพล่ะก็ เพราะฝนสีดำมันตกลงมา ตำรวจก็เลยหนีกันให้วุ่น เพราะปืนก็ละลาย รถก็ละลาย พวกเขาก็เลยหนีออกจากพื้นที่ แต่ต่อจากที่ฝนหยุดตกได้สักพักและพวกเขาตรวจดูพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง
”
“ศพก็หายไป” มหิทธิต่อให้
“อาจจะเป็นอย่างนั้น ใช่
” พ่อตอบ “น่าขำไหมล่ะ พบศพ แต่ไม่พบพยานหรือหลักฐานอะไรที่จะบ่งว่าใครเป็นฆาตกรน่ะ มีเพียงแค่เลือดจำนวนหนึ่งที่เป็นสีดำสนิทตกลงมา แต่ตำรวจก็คิดว่าฝนมันตกหนัก ก็เลยหาพยานหรือหลักฐานไม่ได้”
“แล้วพ่อคิดว่าศพมันเดินได้เองหรือยังไงล่ะครับ” มหิทธิถามติดตลก
แต่มันสะดุดตรงตัวของพ่อ ดวงตาสีดำนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวสนิทและไร้ตาดำเหมือนเป็นปีศาจ แต่ก็มีตาสีดำเป็นรอยขีดปรากฏขึ้นเหมือนตาแมวด้วย
แต่เมื่อเขาหันมาอีกครั้ง ดวงตานั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนเดิม ก่อนที่พ่อจะเสยผมและพูดว่า
“หลับเสียเถิด ดึกแล้วนะลูก”
“ครับ พ่อ”
“ราตรีสวัสดิ์ มหิทธิ สิริราชา”
“ทำไมพ่อต้องเรียกผมเต็มยศอย่างนั้นละครับ พ่อ” มหิทธิตอบยิ้มๆ “ราตรีสวัสดิ์ครับ พ่อ”
เด็กหนุ่มหันหลังให้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อนอนหลับพักผ่อนให้ฟื้นจากพิษไข้ และมหิทธิก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวเลยว่า เขานั้นหนีชะตากรรมของกษัตริย์ไม่พ้นคอของตนเองเหมือนโยนงูแล้วงูหันมาฉกกัดเขาได้อีก
เขานั้นไม่มีวันทิ้งชะตากรรมได้
ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงขึ้นที่โบสถ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับบ้านหลังที่ถูกฆาตกรรม แสงวาบออกมาจากท้องฟ้าดุจกิ่งไม้สว่าง เพียงพริบตานั้น มันก็หยุดพร้อมกับเสียงครืนครั่นของท้องฟ้าและฝนที่ตกไม่หยุด
มีเพียงชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งที่เปิดประตูโบสถ์หลังเก่าออกมาและจ้องมองดูท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีเมฆฝน ชายผู้นี้มีผมสีขาวโพลนเหมือนเส้นไหมขาวยาวพลิ้วไหวไปตามลมฝน ดวงตาสีเขียวสดผิดปกตินั้นจ้องมองมาทางท้องฟ้า และทิศทางนั้นก็เป็นทิศทางของบ้านของมหิทธิเสียด้วย เขานั้นสวมชุดคลุมยาวสีดำแบบนักบวชของคริสต์ คือ มีคอตั้งและเสื้อทั้งตัวสีดำล้วน แต่มีกระดุมขาวและมีไม้กางเขนประดับเอาไว้ ชายหนุ่มผู้นี้จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพื้นที่ทั้งหมดของบริเวณนี้ที่มีน้ำขังพร้อมกับวงคลื่นของฝนที่ตกลงมาจนท่วม
“หวังว่าลูกคงจะไม่เป็นไรนะ มหิทธิ สิริราชา”
หลวงพ่อพูดอย่างสงบพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงวาบเหมือนสามง่ามและเสียงครืนครั่นเหมือนแผ่นดินจะสะเทือน!!
ความคิดเห็น