ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่สี่ เด็กสาวปริศนาและตำนานอันซ้อนกัน

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


    บทที่สี่  เด็กสาวปริศนาและตำนานอันซ้อนกัน

    เสียงกระดิ่งดังกริ๊งเหมือนกระดิ่งบนคอเปรียบเสมือนบ่งว่า  ถึงเวลาอาหารกลางวันของพวกเขาแล้ว  มหิทธิ ซึ่งเหม่อมองไปไกลถึงความฝันของตนเองที่เกี่ยวข้องกับงูรัด  ก่อนที่จะครางงึมงำว่า  ตัวงูนั้นอวบใหญ่แต่ก็มีปากยาวยืดเหมือนพังผืดอันใหญ่  อาจารย์สุรสีห์รู้สึกสุดที่จะทนไหวจึงโยนชอล์กออกจากฝ่ามือเหมือนลูกกระสุน  แต่โชคดีที่มหิทธิลุกขึ้นยืนเสียก่อน  ชอล์กสีน้ำเงิน ซึ่งวาดลวดลายควงเหมือนลูกปืน… - ก็พุ่งปะทะกับโต๊ะและมหิทธิสะดุ้งโหยง!!

    ฉันว่าเธอไปล้างหน้าแล้วค่อยมาเรียนดีกว่า  อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ…”  เสียงของอาจารย์ยานคางราวกับนึกอะไรบางอย่าง

    สมองหมุนติ้วๆเหมือนลูกข่างกระมังครับ  อาจารย์  เสียงของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน  ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะหึๆดังตามมาอย่างขบขันกับมุขฝืดๆของพวกนั้น  แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไรมากนัก  เขาค่อยๆลุกขึ้นด้วยอาการโซเซเหมือนเป็นไข้  ก็พอดีเสียงกระดิ่งดังกริ๊งกร๊างเหมือนเสียงกระพรวนดังขึ้นเป็นเพลง  เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาหารกลางวันที่สุดแสนอร่อยล้ำ  ทิวาจึงลุกขึ้นและบีบไหล่เพื่อนรักเบาๆ  ก่อนที่จะกระซิบเสียงแผ่วว่า

    นายไปล้างหน้าก่อนดีกว่านะ  แล้วค่อยไปนอนหลับที่ห้องสมุดเอา  วันนี้ท่าทางนายจะคาดไม่ถึงว่าต้องตื่นเช้าแบบนี้

    เสียงครืดคราดดังขึ้นแทบฉีกแก้วหู  เด็กๆหนุ่มๆสาวๆลุกขึ้นอย่างเร็วและเดินออกมาจากห้อง  คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้  ชนกับมหิทธิและทิวาไปมาโดยแสดงอาการหัวเราะคิกคัก  และเดินออกไป  ทิ้งให้ครูสุรสีห์คุยกับทิวาเสียงเบาว่า

    วันนี้ครูว่าให้มหิทธิพักผ่อนดีกว่าไหม  ช่วงนี้ร่างกายยิ่งอ่อนแอมากที่สุดเสียด้วยสิ  คุณครูสุรสีห์พูดด้วยความเป็นห่วง  ทิวายิ้มน้อยกับเรียวปากบางที่ยิ้มออกมาด้วย  เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าอาจารย์สุรสีห์เป็นคนสวยจนนักเรียนชายต่างติดหนึบเพื่อเห็นเธอแค่เพียงเสี้ยววินาที  ดวงตาสีดำสุกใสเหมือนตัวด้วงมองดูมหิทธิอย่างเป็นห่วง  ปากเรียวบางนั้นยิ้มใส่ตามหิทธิด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    เธอเป็นอย่างไรบ้าง  มหิทธิ

    ผมสบายดีครับ  แต่ผมเริ่มมีร่างกายอ่อนแอไปหน่อย  ก็เท่านั้นเอง  มหิทธิตอบสีหน้ายิ้มๆด้วยการบอกทางอ้อมว่า  อาจารย์ไปสอนเถอะ  ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก

    ถ้าอย่างนั้นก็ครูไปนะ  อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงยินดีเล็กน้อยกับเจ้าตัวก่อนที่จะโบกมือน้อยๆลาทั้งคู่และเดินออกไป

    หลังจากที่มหิทธิล้างหน้าที่อ่างล้างหน้านอกห้องส้วมที่อาจารย์ใช้  เขาจึงเดินออกมาจากห้อง  โดยมีทิวาพูดอย่างใกล้ชิดว่า

    นายยังดูซีดๆอยู่เลยนะ  หวังว่านายคงจะไม่เป็นอะไรมากนัก

    ไม่เป็นไรจริงๆ  ต่อจากนี้  ฉันจะดูแลรักษาสุขภาพให้ดีๆเลย  จะได้ไม่ป่วยไปมากกว่านี้  มหิทธิให้คำมั่นกับตนเอง  ก่อนที่จะสะลึมสะลือเดินโซเซออกไป  ทิวาเดินตามพร้อมกับยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดูให้กับมหิทธิ

    อาคารโภชนาอาหารนั้นมีคนแน่นและเดินขวักไขว่ไปมาเหมือนหนูยักษ์ที่ไม่มีที่เดินในท่อโสโครก  ทุกคนต่างรีบร้อนที่จะรับประทานอาหารเพื่อที่จะเดินออกไปทำธุระส่วนตัวให้ได้มากที่สุด  ก่อนที่จะต้องเปิดศึกกับการเรียนในคาบบ่าย  เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองหาที่นั่งที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่ทานอาหารกันอยู่  เด็กหนุ่มเลือกที่จะเอาก๋วยเตี๋ยวกับลูกชิ้นร้อนๆเพื่อให้หายง่วงเหงาหาวนอน  แต่ทิวากลับไม่ทานอาหาร  และสั่งขนมปังกับนมสดปั่น  เพื่อให้ทานเสร็จเร็วๆ

    นายรู้สึกอย่างไรบ้าง  ตอนนี้น่ะ  ทิวาถามพลางมองดูมหิทธิที่ตามปกติจะผิวคล้ำเพราะเกรียมแดด  แต่ตอนนี้กลับซีดจนไม่เป็นสีเดิมอีกแล้ว

    ฉันสบายดีมากขึ้นแล้วละ  และจะสบายดีขึ้นกว่านี้ถ้านายไม่หยุดทำท่าเป็นห่วงมากจนฉันเหมือนลูกแหง่แบบนี้  เด็กหนุ่มผิวคล้ำพูดขึ้นพลางดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

    ฉันอาจจะไม่เป็นห่วง  ทิวาพูดขึ้น  แต่คนอื่นอาจจะเป็นห่วงนายก็ได้อย่างคนที่นายกำลังจะเห็นเมื่อเข้าไปข้างในห้องสมุด

    นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะเข้าไปในห้องสมุดน่ะ  มหิทธิพูดขึ้นอย่างทึ่งจัด  ฉันยังไม่ได้บอกนายสักคำ  แล้วทำไมนายถึงได้…”

    ความคิดมักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้บนอากาศและสีหน้าเสมอ…”  ทิวาพูดขึ้นพลางกัดขนมปังออกจากแผ่น  อาเนื้อร้อนๆแบบนี้สิ  ถึงจะเป็นขนมปังปิ้งของจริง

    อาเนื้อก๋วยเตี๋ยวร้อนๆแบบนี้สิ  ถึงจะเป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณของจริง  มหิทธิพูดพลางทำท่าสูดอากาศล้อเลียน

    นายนี่นะ  ทิวาพูดขึ้นพลางแกล้งถลึงตาด้วยความโกรธจัด  “แต่คนที่เป็นห่วงนายนั่นน่ะ  กำลังมาแล้วละ  คนที่นายเห็นในชะตากรรมของนาย…”

    กำลังจะมาถึงแล้ว…”

    ทิวาสูดอากาศเหม็นๆของกลิ่นตัวเด็กนักเรียนและกลิ่นหอมๆของเครื่องเทศในโต๊ะอาหารของเขา  มหิทธิรู้สึกผิดประหลาดมากๆ  ทุกๆครั้งที่เขาเห็นทิวา  เขาเคยแสดงอาการการทำนายแบบถูกเผงมากี่ครั้งแล้วนะหลายร้อยครั้งในความทรงจำของเขา  ครึ่งหนึ่งนั้นเกิดจากความบังเอิญแท้ๆ  แต่อีกครึ่งหนึ่งเหมือนกับมีอะไรผิดประหลาดเช่นกันในตัวเขาดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้

    เอาละ  เราไปที่ห้องสมุดกันสักทีเป็นไร  เราจะได้หาข้อมูลของอาจารย์สุรสีห์ที่ให้หาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติวรรณคดีสมัยต่างๆนะ

    ตกลงเลย  แล้วนายจะหาอะไรกระนั้นหรือ  เสียงของมหิทธิพูดขึ้นด้วยความรู้สึกพิกลๆว่าทำไมตนเองต้องถามคำถามแบบนี้ด้วย  เพราะตนเองเคยถามแบบนี้มาสามครั้งแล้ว  ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่  และเช่นกันที่ทิวาตอบด้วยคำตอบว่า

    หาข้อมูลเกี่ยวกับปกรณัมกรีก  แล้วนายล่ะ  จะหาเกี่ยวกับอะไรกระนั้นหรือ  ทิวาถามด้วยความสนใจ  ข้อมูลเกี่ยวกับวรรณคดีสมัยต่างๆนั้น  มหิทธิมักจะรู้เกี่ยวกับข้อมูลของตำนานต่างๆมากมาย  บางคนที่ต้องใช้ข้อมูลของมหิทธิบอกว่า  เขาเป็น  พจนานุกรมวรรณคดีโบราณ  สำหรับพวกเขา

    ไม่รู้สินะ  เดี๋ยวฉันจะลองไปหาดูที่ห้องสมุดขนาดใหญ่ละกันนะ  มหิทธิตอบพลางบิดกายเหมือนหนอนด้วยความง่วงงุน  เขาบิดไปมาจนดูเหมือนตัวหนอนสีน้ำตาลคล้ำที่บิดกายในฤดูร้อน

    อาคารห้องสมุดใหญ่ที่มหิทธิจะไปหาข้อมูลนั้นมีตึกอยู่หนึ่งตึก  แต่แบ่งออกเป็นสองห้อง  ห้องแรกนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่ที่กว้างถึงหนึ่งร้อยเมตร  มีชั้นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตต่างๆมากมายและเกี่ยวข้องกับปัจจุบันนี้ตรงที่เกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญของข้อมูล  ส่วนห้องสมุดเล็กนั้นจะเป็นห้องที่มีคอมพิวเตอร์เล็กๆวางอยู่เต็มไปหมด  เอาไว้หาข้อมูลในคอมพิวเตอร์และส่งให้กับอาจารย์เป็นหนังสืออีกทีหนึ่ง

    ได้เลย  ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเลย  ทิวาพูดพลางโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ด้วยความสนิทสนม  แต่ในขณะเดียวกัน  ทิวาก็พยุงมหิทธิได้มากขึ้น  ทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกว่าตนเองไม่มีเพื่อนอีกต่อไป

    มหิทธิยิ้มอย่างเศร้าหมองให้ด้วยความผิดที่ตนเองอ่อนแอถึงเพียงนี้  ทิวายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมหิทธิอย่างที่เรียกกันว่า  มิตรภาพระหว่างเพื่อน  ก่อนที่จะเดินโขยกเขยกไปด้วยกัน

    ……………………………………..

    ห้องสมุดขนาดใหญ่ในตอนนี้นั้นมีคนจองเก้าอี้เต็ม  เพราะมีหลายคนเหมือนกันที่มาหาข้อมูลในห้องสมุดอันเงียบสงัดนี้  บางคนก็มาอ่านหนังสือเล่นๆเพื่อคลายเครียด  แต่สิ่งที่ทำให้ห้องสมุดนั้นเงียบไม่ใช่เพราะกฏที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรอก  แต่เป็นเพราะอาจารย์ร่างอ้วนเตี้ยตาลุกวาวเหมือนเหยี่ยวตัวอ้วนที่นั่งอยู่บนแท่นสูงเหมือนเก้าอี้ของวอลเลย์บอลชายหาด  สายตาสีดำลุกวาวดูเย็นชานั้นจ้องมองมาทางเด็กนักเรียนอย่างประสงค์ร้าย  หล่อนเป็นคนที่เข้มงวดในการรักษาความเงียบสงบมากมากเสียจนบ้าคลั่งเลยทีเดียว

    เราจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ  เสียงของมหิทธินั้นดูแหลมสูงกว่าปกติเล็กน้อยแต่ก็ดูแผ่วเบาเมื่ออาจารย์กำลังสอดส่องดูเด็กหนุ่มผิวคล้ำกร้านเป็นพิเศษ  ทิวาหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาจากชั้นหนังสือสีขาวสะอาดที่ถูกทาด้วยสีกันน้ำ  ทิวายัดหนังสือเล่มนั้นมาให้มหิทธิก่อนที่จะพูดว่า

    ลองดูเล่มนี้ก่อนเป็นไร

    มหิทธิ ซึ่งกำลังสะลึมสะลือเพราะความง่วงและความเงียบเหงา มองดูหนังสือที่ตนเองเห็นว่าเป็นประวัติของนักเขียนวรรณคดีสมัยโบราณของอังกฤษ  เขาจึงเปิดหน้ากระดาษที่เก่าจนเหลืองขึ้นดู

    เผื่อนายจะหานักเขียนที่ถูกใจและเอาไปเขียนเป็นประวัติวรรณคดีได้  ทิวาตอบ  เดี๋ยวฉันจะไปห้องน้ำ  นายอ่านเล่มนี้ไปพลางๆก่อนละกันนะ

    ได้เลย  มหิทธิตอบเสียงง่วงเหงา  เขาไม่เคยมีร่างกายที่อ่อนแอแบบนี้มาก่อนเลย  นับตั้งแต่เขาป่วยหนักที่สุดจนถึงขั้นปอดอักเสบขั้นรุนแรง  เกือบตาย!!  นี่อาจจะเป็นอาการที่แย่ที่สุดก็ได้นะ

    ทิวาเดินออกไปจากชั้นสีขาวทั้งชั้นที่เรียงแถวกันเป็นเส้นตรง  ก่อนที่เขาจะหันเสี้ยวใบหน้าคมสันมาทางเขาด้วยความรู้สึกพิกล  เหมือนกับเขากำลังถูกอ่านใจอยู่เหมือนทุกที  และทิวาก็ส่งรอยยิ้มปริศนาที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ  และความไม่ประหลาดใจสักนิด  ก่อนที่จะหันออกไปและเดินด้วยขากำยำทั้งสองข้าง  ทิ้งให้มหิทธินั้นนั่งอย่างง่วงนอนและเริ่มเปิดหนังสือ

    เพียงพริบตาที่เด็กชายกระพริบตาขึ้นมา  เขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลลิบๆกำลังยืนหันหลังให้เขาบนโต๊ะของอาจารย์อีกคนที่มีหน้าที่ยืม-คืนหนังสือ  ก่อนที่จะหันมาทางมหิทธิด้วยความรู้สึก

    พริบตานั้น  สมองอันขมวดมุ่นของมหิทธิก็รู้สึกว่างเปล่าดุจว่าเขานั้นกำลังหลุดเข้าสู่โลกที่ดูแปลกประหลาด  เด็กหนุ่มมองเห็นด้วยนัยน์ตาสีดำสนิทว่า  เด็กสาวคนนั้นเดินเข้ามาหาเขาตรงโต๊ะที่ห่างจากตัวถึงห้าสิบเมตร  แต่ชั่วกะพริบตาเท่านั้น  ร่างของเด็กสาวคนนั้นก็พุ่งราวกับจรวดมนุษย์มาประชิดตัวเขาเสียแล้ว

    เด็กสาวคนนี้มีผมสีดำประกายทองล้อแสงแดดที่ส่องลงมาบริเวณหน้าต่าง  ผมของเธอยาวสยายหยิกหยองเหมือนคนไม่ค่อยชอบหวีผม  ดวงตายาวรีสีดำนั้นกำลังจ้องมองเขาด้วยประกายตาแห่งอะไรบางอย่างความหวังหรือหรือว่าอะไรกันแน่  แต่ที่แน่ๆหล่อนนั้นกำลังก้มลงจ้องมองทุกส่วนของเขาอย่างใจเย็นจนเด็กหนุ่มรู้สึกว่าห้วงเวลาแห่งความยาวนานนั้นเริ่มล่าถอยกลับไป  เขานั้นสามารถหายใจแรงๆได้อีกครั้ง  เด็กสาวผู้นั้นยิ้มพลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนชั้นหนังสือที่สูงแค่เข่าของเขา

    หวัดดี  มหิทธิ  สิริราชา  เสียงเด็กสาวผู้นั้นพูดขึ้น  มันเป็นเสียงที่ก้องกังวานและเต็มไปด้วยพลังแห่งความสดใสอย่างน่าเหลือเชื่อ  แต่สำหรับมหิทธิ  เสียงนั้นกลับมีความเจ็บปวดแฝงอยู่เอาไว้ส่วนหนึ่งเสียมากกว่า

    คุณรู้ชื่อผมได้อย่างไร  มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ  ในขณะที่เด็กสาววัยสูงกว่าเขานั่งไขว่ห้างเปลี่ยนท่าทาง

    เธอเป็นผู้ครอบครองสมุดบันทึกเล่มสีแดง  เธอจึงเป็นความหวังชิ้นแรกในความมืดมิดของพวกเรา  เสียงนั้นก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง  ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆให้กับเขา

    ฉันชื่อ  แคทเธอรีน  มายะ  เป็นเด็กสาวที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่  หวังว่าเราคงจะรู้จักและเป็นเพื่อนกันได้นะ  เด็กสาวยิ้มน้อยๆ  ทำให้มหิทธิยิ้มน้อยๆออกมาอย่างผิดปกติ  เหมือนเขาไม่เคยยิ้มแบบนี้มานานมากแล้ว

    ฉันชื่อมหิทธิ  อย่างที่เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว  มายะ  เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยสำเนียงอังกฤษ  ซึ่งมันเป็นสำเนียงที่มายะพูดดูแปร่งๆอย่างพิกลเหมือนคนต่างชาติ

    แล้วเธอย้ายมาจากที่ไหนกันล่ะ  แต่ยังไม่ทันที่จะตอบ  เสียงคุ้นๆเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเหมือนแนะนำรุ่นพี่รุ่นน้องให้รู้จัก

    เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตมาจากอังกฤษของพี่สาวที่เป็นคนญี่ปุ่นน่ะ  ทิวาพูดขึ้น  เขามีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น  ส่วนแม่เป็นคนอังกฤษ  เขาก็เลยออกเสียงได้ทั้งสองภาษา  แต่ก็ออกจะแปร่งๆอยู่สักหน่อยนะ

    อือฮึ  มหิทธิพูดขึ้น  สายตาสีดำสนิทยังจับอยู่ที่รูปร่างของมายะอยู่  เธอสวมเสื้อสีขาวสะอาดที่ผูกเน็คไทสีดำ  กระโปรงสั้นแค่ต้นขาบานพลิ้วไหวสีน้ำเงินอ่อนและรองเท้านักเรียนหญิงสีดำ  ช่างดูดีกับรูปลักษณ์ที่อ่อนหวานแต่เป็นผู้ใหญ่แบบทิวาเหลือเกิน

    อึฮึม…”  ทิวากระแอมเตือน  มหิทธิค่อยๆตรึงดวงตาของเขากลับมาหาทิวาอย่างยากเย็นก่อนที่จะพูดว่า

    แล้วนายเอาเขามาเรียนที่นี่  แล้วเขาจะเรียนไทยกับเรารู้เรื่องไหมนี่

    ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ทิวาตอบพลางมองดูมหิทธิที่สอดส่ายสายตามาหามายะอยู่ตลอดเวลาด้วยรอยยิ้มพลิ้วระริก  เขามาอยู่ที่นี่ได้สามปีแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาจะพูดภาษาไทยได้ไม่ชัดนัก  แต่เขาเชี่ยวมากเลยละเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยอย่างมารยาทที่จะไม่ยั่วล้อคนอ่อนแออย่างนาย

    ทิวาพูดขึ้นด้วยสายตายิ้มน้อยๆอย่างกวนอารมณ์  ทำให้มหิทธิต้องถลึงตาอย่างปรามๆ

    เอาเป็นว่านายคุยกันได้ตามสบายละกันนะ  ก่อนที่จะหมดคาบพักนี่เสียก่อน  เอ้อ  แล้วเขาอยู่ในชั้นเดียวกับเรา  แต่เก่งกว่าเราหลายขุม  เขาเรียนอยู่ในห้องคิง  มหิทธิถึงกับเบิกตากว้างอย่างอิจฉา  ถ้าอย่างนั้นเธอก็เก่งที่สุดในหมู่เพื่อนของฉันเลยล่ะสิ

    อาจจะอย่างนั้น  มายะตอบพลางก้มหน้าลงตรงด้านหน้าของมหิทธิที่พิงชั้นหนังสือเพื่อหยิบของที่ตนเองต้องการ  เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า  มายะสวมสร้อยรูปจันทร์เสี้ยวสีเงินเอาไว้ที่คอ  ก่อนที่จะมองผ่านสร้อยและเห็นหน้าอกก้อนเบ้อเริ่มแกว่งอย่างเสียวไส้อยู่ตรงหน้า  คงจะไซส์น้องๆแตงโมได้ละกระมัง  มหิทธิคิดพลางหน้าแดงมากขึ้นจนเกือบจะเหมือนลูกแอปเปิลสีแดงไปแล้ว  มายะหันกลับมาและพูดเป็นเชิงถามว่า

    มีอะไรหรือ

    เด็กหนุ่มวัยกระเตาะรีบพูดเพื่อไม่ให้หล่อนสังเกตว่าเขาจ้องดูหน้าอกมายะตาไม่กะพริบว่า

    เปล่าหรอก  แค่เห็นว่าสร้อยเส้นนี้มันสวยดีนะ  เธอได้มาจากที่ไหนหรือ

    มายะยิ้มน้อยๆก่อนที่จะพูดด้วยความรู้สึกแปลกๆเหมือนกับเป็นครั้งแรกที่มีคนถามแบบนี้ว่า

    ฉันได้มาจากยิปซีคนหนึ่งที่เขาบอกว่า  คนที่ถามเรื่องสร้อยนี่จะเป็นเนื้อคู่ของฉัน  เด็กสาวตอบอย่างยินดีพลางมองดูมหิทธิด้วยแววตาพลิ้วระริก  ก่อนที่จะละสายตาจากเขาไปและเริ่มเปิดหนังสือปกสีน้ำเงินอย่างบรรจงและเริ่มพึมพำพร้อมกับจรดนิ้วมือเรียวบางลงบนเนื้อกระดาษนั้น  ก่อนที่เธอจะหลับตานิดหนึ่งและเริ่มอ่านหนังสือเหมือนกับพยายามดื่มด่ำทุกตัวอักษรมากมายที่มีอยู่  จนกระทั่งเธอเปิดหนังสือไปที่หน้าสอง  เสียงกระดิ่งสีขาวสะอาดก็ดังขึ้นที่เหนือศีรษะที่อาจารย์ร่างอ้วนเตี้ยเป็นคนสั่น  บ่งบอกถึงว่า  ห้องสมุดปิดแล้ว  กรุณาเอาหนังสือกลับเข้าชั้นให้ถูกต้องด้วย

    มายะดูเหมือนกับคนที่หลุดจากภวังค์ไม่มีผิด  เมื่อเธอสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนถูกไฟจี้และลืมตาสีดำสนิทขึ้นเหมือนกับดื่มด่ำมาพอแล้ว  ก่อนที่จะวางหนังสือปกน้ำเงินเก่าเอาไว้และเดินออกไป  โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับมหิทธิอีกเลย

    เขามองดูร่างที่เดินออกไปอย่างพลิ้วไหวเหมือนกับไม่รู้ว่าควรที่จะพูดอะไรดี  ก่อนที่จะกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งที่เป็นชั้นเตี้ยๆสีดำ  ก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือที่มายะหยิบทิ้งเอาไว้

    แต่เพียงพริบตาที่มหิทธิแตะหนังสือ  อะไรบางอย่างที่อยู่ในปกด้านในก็เริ่มมีความร้อนพุ่งผ่านจนร้อนจี๋  มหิทธิร้องลั่นและขว้างออกไปด้วยความหวาดผวา  หนังสือเล่มนั้นหล่นดังตุ้บบนพื้นและนั่งนิ่งเงียบ  ราวกับว่าทุกอย่างสงบลง

    นี่มันอะไรกันนี่  มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจพลางมองดูหนังสือปกน้ำเงินเล่มนั้นด้วยความรู้สึกพิกล  เหมือนกับว่ามีตัวประหลาดในสมุดกัดเขาจนแขนเหวอะ  ไม่รู้สึกต่างกันเลยสักนิดเดียว  ก่อนที่มหิทธิจะมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้านในหนังสือแล้ว  เขาจึงเดินไปหยิบด้านนอกปกอย่างแหยงๆและเปิดหนังสืออย่างช้าๆ

    ด้านในปกนั้นเคยเป็นกระดาษหนาว่างเปล่าเก่าเขรอะสีน้ำตาลและเคยมีรอยไหม้เป็นด่างดวงเล็กน้อย  บ่งบอกถึงอายุอันเก่าแก่ของหนังสือ  เพราะห้องสมุดแห่งนี้เคยมีไฟไหม้มาก่อน  และหนังสือเล่มนี้คงจะเป็นเล่มหนึ่งในนั้น

    แต่ตอนนี้  จำนวนรอยไหม้สีน้ำตาลนั้นได้เพิ่มขึ้น  จากเดิมที่มีเพียงแค่ตรงมุมสีน้ำตาล  แต่ตอนนี้  ตรงกลางของหน้ากระดาษนั้นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาลแล้ว  แต่มันดูเหมือนจงใจมากกว่าที่จะเกิดโดยธรรมชาติ  เขาจึงเริ่มอ่านข้อความนั้น  ข้อความเป็นภาษาที่ตนเองเคยเห็นบนหน้าปัดหอนาฬิกาแห่งกูราเยอ  เด็กชายจึงอ่านได้ว่า

    หนังสือและข้อความรหัสเหล่านี้เป็นสมบัติของกษัตริย์อาเธอร์และลูกชาย

    เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดเริ่มงุนงงกับข้อความนี้มาก  แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานกษัตริย์อาเธอร์มาก่อน  เขาถือว่ากษัตริย์อาเธอร์เคยเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถสูงมากในการสงครามและการปกครองประเทศ  เขาเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา  เขาจึงเดินไปที่โต๊ะสูงเพื่อขอยืมหนังสือเล่มนี้

    ขอโทษนะครับ  มหิทธิพูดพลางวางหนังสือเล่มเก่าเอาไว้ที่ตรงหน้าอาจารย์ร่างอ้วนนั้น  ไม่ทราบว่าผมจะขอยืมหนังสือเล่มนี้ได้ไหมครับ

    อาจารย์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะสูงหันมามองเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดด้วยดวงตาสีดำแวววาวเอาเรื่อง  หล่อนถามเสียงแหบต่ำเหมือนกบว่า

    จะเอาไปทำอะไรกันหรือ

    ผมกะจะยืมไปทำการบ้านหน่อยครับ  มหิทธิตอบพลางยิ้มให้ดูจริงใจที่สุด  ผมต้องไปทำเรื่องตำนานต่างๆครับผม

    อาจารย์มองดูมหิทธิผ่านแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมมุมมนสีดำ  ทำให้ดวงตาของเจ้าหล่อนนั้นยิ่งดุกว่าเดิมเสียอีก  เด็กหนุ่มพยายามอย่างมากที่จะไม่กะพริบตาหรือทำอะไรมีพิรุธ  เขาสั่งให้จ้องจ้องต่อไป  ในที่สุด

    ได้เลย  เดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนเอาใบยืมมาให้เธอละกันนะ

    ครับ  มหิทธิตอบพลางยิ้มน้อยๆอย่างจริงใจ  ก่อนที่อาจารย์จะลงจากเก้าอี้และเดินไปสั่งนักเรียนให้เอาใบยืมมาให้เขา

    หลังจากที่ตราประทับการยืม-คืนหนังสือเอาไว้เรียบร้อยและทำข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว  เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากอากาศเย็นสบายของห้องสมุด  สู่ความร้อนจัดจนสามารถเผาไข่ให้กลายเป็นจุลของแสงแดดยามบ่ายแทน  เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองจะยืมหนังสือเล่มนี้มาเพื่ออะไรกันแน่  แต่ว่ามันน่าจะมีประโยชน์ในการเขียนรายงานนะ

    เด็กชายคิดพลางยิ้มน้อยๆก่อนที่จะเดินออกไปสู่ห้องเรียนในคาบถัดไป

    ……………………………………

    หลังจากคาบแรกในตอนบ่ายนั้นผ่านไป  โชคดีนักที่คบต่อไป คาบภาษาไทยสองคาบ นั้นไม่มีครูสอน  และไม่มีใครมาสอนแทนเลย  แต่อาจารย์สั่งให้ทำเรียงความเกี่ยวกับโลกสาธารณะ  แต่ทุกคนต่างเลือกที่จะไปทำที่บ้านมากกว่า  เด็กหนุ่มจึงเริ่มที่จะอ่านเรื่องปริศนาที่มายะทิ้งเอาไว้เป็นเบาะแสของอะไรบางอย่างที่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่เธอน่าจะเป็นคนร่ายตัวเขียนนั้นเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่าง  เขาจึงเริ่มหยิบหนังสือออกมาและเริ่มเปิดกางหน้าแรกที่เป็นปกใน(จริงๆ)ของมันเอาไว้

    เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม

    เขาจึงเปิดหนังสืออย่างช้าๆและเริ่มอ่านมันอย่างไม่รีบร้อนมากนัก

    โดยส่วนใหญ่นั้น  เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์นั้นไม่มีอะไรในส่วนที่เขาไม่รู้มากนัก  เพราะกษัตริย์อาเธอร์เป็นตำนานโบราณที่เขารู้มาเยอะพอตัว  แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือข้อความในสองหน้าของบทแรก(บทย่อ)ในหน้าที่สามถึงสี่ว่า

    หลังจากที่กษัตริย์อาเธอร์เสียชีวิต  เขาได้ทิ้งดาบเอกซ์คาริเบอร์ที่กลายเป็นตำนานเอาไว้  โดยเสียบมันเอาไว้ในทั่งที่ตนเองเคยดึงดาบออกมาแล้วในดินแดนแห่งความห่างไกล  นั่นคือ  บนเกาะหน้าคนของเกาะอังกฤษ  แต่หลายปีต่อมา  ลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์ซึ่งเป็นสายเลือดแท้ๆได้ดึงดาบเอกซ์คาริเบอร์ออกมาและหายสาปสูญไป  ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายตัวไปอยู่ในส่วนไหนของโลก  และไม่มีใครรับรู้เกี่ยวกับข้อความปริศนาที่อยู่บนทั่งที่เขียนเอาไว้ว่า

    เมื่อความมืดผงาดขึ้นในจิตใจของมนุษย์  ข้าจะกลับมาอีกครั้งในร่างของคนอื่น

    พริบตานั้น  เขารู้สึกว่าความทรงจำอะไรบางอย่างกระแทกศีรษะเขาอย่างแรงจนเลือดสีแดงไหลราดออกมา  ภาพของชายผู้หนึ่งที่มีร่างกายกำยำดึงดาบออกมาจากทั่งสีเงินวาวและเริ่มเขียนตัวอักษรด้วยของแหลมยาว  ก่อนที่จะร่ายคาถาด้วยเสียงดัง  ซึ่งมันก้องอยู่ในหัวว่า

    ข้าขอเปิดประตูมิติสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ!!

    ปึง!!

    อ๊า!!”

    เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกปวดหัวจี๊ดอย่างแรงจนแทบจะได้ยินเสียงเนื้อสมองปริแตกออกด้วยแรงมหาศาล  เขาเริ่มนอนกลิ้งลงไปกองกับพื้นและดิ้นพราดๆ  ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งถึงขีดสุด  ได้ยินเสียงใครบางคนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน  แต่กลับเป็นเสียงของคนอีกผู้หนึ่งซึ่งตอนนี้นอนดิ้นอยู่ในตัวเขา

    เด็กหนุ่มดิ้นไปมาบนกระจก  เขาจึงมองเห็นร่างอีกร่างหนึ่งซึ่งทับซ้อนกันกับเขาอย่างแนบแน่นด้วยพันธนาการแห่งโลกอีกแห่งหนึ่ง

    เขามีร่างสีทองแดงอ่อนๆเหมือนโดนแดดเผาร่าง  เขามีผมสีขาวอ่อนดุจสาหร่ายที่ปลิวไสวไปมา  ดวงตาสีแดงที่ทับซ้อนกับดวงตาของเขานั้นแสดงถึงความเจ็บปวดถึงที่สุด  และใบหน้าเรียวบางนั้นบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกว่าสมองของเขากำลังจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว!!

    พริบตาต่อมา  ภาพอีกภาพหนึ่งนั้นก็เข้าปะทะกับสมองของเด็กหนุ่มจนร้องลั่นด้วยความเจ็บ

    ภาพของตนเองตนเองกำลังดึงดาบออกมาจากความหวาดผวาในโลกแห่งจิตวิญญาณ!!

    ม่าย!!!!!”

    แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย  นอกจากเสียงของใครคนหนึ่งที่ร้องขึ้นว่า

    มหิทธิมหิทธิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×