คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่สี่ เด็กสาวปริศนาและตำนานอันซ้อนกัน
บทที่สี่ เด็กสาวปริศนาและตำนานอันซ้อนกัน
เสียงกระดิ่งดังกริ๊งเหมือนกระดิ่งบนคอเปรียบเสมือนบ่งว่า ถึงเวลาอาหารกลางวันของพวกเขาแล้ว มหิทธิ ซึ่งเหม่อมองไปไกลถึงความฝันของตนเองที่เกี่ยวข้องกับงูรัด ก่อนที่จะครางงึมงำว่า ตัวงูนั้นอวบใหญ่แต่ก็มีปากยาวยืดเหมือนพังผืดอันใหญ่ อาจารย์สุรสีห์รู้สึกสุดที่จะทนไหวจึงโยนชอล์กออกจากฝ่ามือเหมือนลูกกระสุน แต่โชคดีที่มหิทธิลุกขึ้นยืนเสียก่อน ชอล์กสีน้ำเงิน ซึ่งวาดลวดลายควงเหมือนลูกปืน
- ก็พุ่งปะทะกับโต๊ะและมหิทธิสะดุ้งโหยง!!
“ฉันว่าเธอไปล้างหน้าแล้วค่อยมาเรียนดีกว่า อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ
” เสียงของอาจารย์ยานคางราวกับนึกอะไรบางอย่าง
“สมองหมุนติ้วๆเหมือนลูกข่างกระมังครับ อาจารย์” เสียงของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะหึๆดังตามมาอย่างขบขันกับมุขฝืดๆของพวกนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไรมากนัก เขาค่อยๆลุกขึ้นด้วยอาการโซเซเหมือนเป็นไข้ ก็พอดีเสียงกระดิ่งดังกริ๊งกร๊างเหมือนเสียงกระพรวนดังขึ้นเป็นเพลง เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอาหารกลางวันที่สุดแสนอร่อยล้ำ ทิวาจึงลุกขึ้นและบีบไหล่เพื่อนรักเบาๆ ก่อนที่จะกระซิบเสียงแผ่วว่า
“นายไปล้างหน้าก่อนดีกว่านะ แล้วค่อยไปนอนหลับที่ห้องสมุดเอา วันนี้ท่าทางนายจะคาดไม่ถึงว่าต้องตื่นเช้าแบบนี้”
เสียงครืดคราดดังขึ้นแทบฉีกแก้วหู เด็กๆหนุ่มๆสาวๆลุกขึ้นอย่างเร็วและเดินออกมาจากห้อง คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ชนกับมหิทธิและทิวาไปมาโดยแสดงอาการหัวเราะคิกคัก และเดินออกไป ทิ้งให้ครูสุรสีห์คุยกับทิวาเสียงเบาว่า
“วันนี้ครูว่าให้มหิทธิพักผ่อนดีกว่าไหม ช่วงนี้ร่างกายยิ่งอ่อนแอมากที่สุดเสียด้วยสิ” คุณครูสุรสีห์พูดด้วยความเป็นห่วง ทิวายิ้มน้อยกับเรียวปากบางที่ยิ้มออกมาด้วย เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าอาจารย์สุรสีห์เป็นคนสวยจนนักเรียนชายต่างติดหนึบเพื่อเห็นเธอแค่เพียงเสี้ยววินาที ดวงตาสีดำสุกใสเหมือนตัวด้วงมองดูมหิทธิอย่างเป็นห่วง ปากเรียวบางนั้นยิ้มใส่ตามหิทธิด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เธอเป็นอย่างไรบ้าง มหิทธิ”
“ผมสบายดีครับ แต่ผมเริ่มมีร่างกายอ่อนแอไปหน่อย ก็เท่านั้นเอง” มหิทธิตอบสีหน้ายิ้มๆด้วยการบอกทางอ้อมว่า อาจารย์ไปสอนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก
“ถ้าอย่างนั้นก็
ครูไปนะ” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงยินดีเล็กน้อยกับเจ้าตัวก่อนที่จะโบกมือน้อยๆลาทั้งคู่และเดินออกไป
หลังจากที่มหิทธิล้างหน้าที่อ่างล้างหน้านอกห้องส้วมที่อาจารย์ใช้ เขาจึงเดินออกมาจากห้อง โดยมีทิวาพูดอย่างใกล้ชิดว่า
“นายยังดูซีดๆอยู่เลยนะ หวังว่านายคงจะไม่เป็นอะไรมากนัก”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ต่อจากนี้ ฉันจะดูแลรักษาสุขภาพให้ดีๆเลย จะได้ไม่ป่วยไปมากกว่านี้” มหิทธิให้คำมั่นกับตนเอง ก่อนที่จะสะลึมสะลือเดินโซเซออกไป ทิวาเดินตามพร้อมกับยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดูให้กับมหิทธิ
อาคารโภชนาอาหารนั้นมีคนแน่นและเดินขวักไขว่ไปมาเหมือนหนูยักษ์ที่ไม่มีที่เดินในท่อโสโครก ทุกคนต่างรีบร้อนที่จะรับประทานอาหารเพื่อที่จะเดินออกไปทำธุระส่วนตัวให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องเปิดศึกกับการเรียนในคาบบ่าย เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองหาที่นั่งที่เต็มไปด้วยนักเรียนที่ทานอาหารกันอยู่ เด็กหนุ่มเลือกที่จะเอาก๋วยเตี๋ยวกับลูกชิ้นร้อนๆเพื่อให้หายง่วงเหงาหาวนอน แต่ทิวากลับไม่ทานอาหาร และสั่งขนมปังกับนมสดปั่น เพื่อให้ทานเสร็จเร็วๆ
“นายรู้สึกอย่างไรบ้าง ตอนนี้น่ะ” ทิวาถามพลางมองดูมหิทธิที่ตามปกติจะผิวคล้ำเพราะเกรียมแดด แต่ตอนนี้กลับซีดจนไม่เป็นสีเดิมอีกแล้ว
“ฉันสบายดีมากขึ้นแล้วละ และจะสบายดีขึ้นกว่านี้ถ้านายไม่หยุดทำท่าเป็นห่วงมากจนฉันเหมือนลูกแหง่แบบนี้” เด็กหนุ่มผิวคล้ำพูดขึ้นพลางดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
“ฉันอาจจะไม่เป็นห่วง” ทิวาพูดขึ้น “แต่คนอื่นอาจจะเป็นห่วงนายก็ได้
อย่างคนที่นายกำลังจะเห็นเมื่อเข้าไปข้างในห้องสมุด”
“นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะเข้าไปในห้องสมุดน่ะ” มหิทธิพูดขึ้นอย่างทึ่งจัด “ฉันยังไม่ได้บอกนายสักคำ แล้วทำไมนายถึงได้
”
“ความคิดมักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้บนอากาศและสีหน้าเสมอ
” ทิวาพูดขึ้นพลางกัดขนมปังออกจากแผ่น “อา
เนื้อร้อนๆแบบนี้สิ ถึงจะเป็นขนมปังปิ้งของจริง”
“อา
เนื้อก๋วยเตี๋ยวร้อนๆแบบนี้สิ ถึงจะเป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณของจริง” มหิทธิพูดพลางทำท่าสูดอากาศล้อเลียน
“นายนี่นะ” ทิวาพูดขึ้นพลางแกล้งถลึงตาด้วยความโกรธจัด “แต่คนที่เป็นห่วงนายนั่นน่ะ กำลังมาแล้วละ คนที่นายเห็นในชะตากรรมของนาย
”
“กำลังจะมาถึงแล้ว
”
ทิวาสูดอากาศเหม็นๆของกลิ่นตัวเด็กนักเรียนและกลิ่นหอมๆของเครื่องเทศในโต๊ะอาหารของเขา มหิทธิรู้สึกผิดประหลาดมากๆ ทุกๆครั้งที่เขาเห็นทิวา เขาเคยแสดงอาการการทำนายแบบถูกเผงมากี่ครั้งแล้วนะ
หลายร้อยครั้งในความทรงจำของเขา ครึ่งหนึ่งนั้นเกิดจากความบังเอิญแท้ๆ แต่อีกครึ่งหนึ่ง
เหมือนกับมีอะไรผิดประหลาดเช่นกัน
ในตัวเขา
ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้
“เอาละ เราไปที่ห้องสมุดกันสักทีเป็นไร เราจะได้หาข้อมูลของอาจารย์สุรสีห์ที่ให้หาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติวรรณคดีสมัยต่างๆนะ”
“ตกลงเลย แล้วนายจะหาอะไรกระนั้นหรือ” เสียงของมหิทธิพูดขึ้นด้วยความรู้สึกพิกลๆว่าทำไมตนเองต้องถามคำถามแบบนี้ด้วย เพราะตนเองเคยถามแบบนี้มาสามครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ และเช่นกันที่ทิวาตอบด้วยคำตอบว่า
“หาข้อมูลเกี่ยวกับปกรณัมกรีก แล้วนายล่ะ จะหาเกี่ยวกับอะไรกระนั้นหรือ” ทิวาถามด้วยความสนใจ ข้อมูลเกี่ยวกับวรรณคดีสมัยต่างๆนั้น มหิทธิมักจะรู้เกี่ยวกับข้อมูลของตำนานต่างๆมากมาย บางคนที่ต้องใช้ข้อมูลของมหิทธิบอกว่า เขาเป็น ‘พจนานุกรมวรรณคดีโบราณ’ สำหรับพวกเขา
“ไม่รู้สินะ เดี๋ยวฉันจะลองไปหาดูที่ห้องสมุดขนาดใหญ่ละกันนะ” มหิทธิตอบพลางบิดกายเหมือนหนอนด้วยความง่วงงุน เขาบิดไปมาจนดูเหมือนตัวหนอนสีน้ำตาลคล้ำที่บิดกายในฤดูร้อน
อาคารห้องสมุดใหญ่ที่มหิทธิจะไปหาข้อมูลนั้นมีตึกอยู่หนึ่งตึก แต่แบ่งออกเป็นสองห้อง ห้องแรกนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่ที่กว้างถึงหนึ่งร้อยเมตร มีชั้นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตต่างๆมากมายและเกี่ยวข้องกับปัจจุบันนี้ตรงที่เกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญของข้อมูล ส่วนห้องสมุดเล็กนั้นจะเป็นห้องที่มีคอมพิวเตอร์เล็กๆวางอยู่เต็มไปหมด เอาไว้หาข้อมูลในคอมพิวเตอร์และส่งให้กับอาจารย์เป็นหนังสืออีกทีหนึ่ง
“ได้เลย ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเลย” ทิวาพูดพลางโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ด้วยความสนิทสนม แต่ในขณะเดียวกัน ทิวาก็พยุงมหิทธิได้มากขึ้น ทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกว่าตนเองไม่มีเพื่อนอีกต่อไป
มหิทธิยิ้มอย่างเศร้าหมองให้ด้วยความผิดที่ตนเองอ่อนแอถึงเพียงนี้ ทิวายิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับมหิทธิอย่างที่เรียกกันว่า ‘มิตรภาพระหว่างเพื่อน’ ก่อนที่จะเดินโขยกเขยกไปด้วยกัน
..
ห้องสมุดขนาดใหญ่ในตอนนี้นั้นมีคนจองเก้าอี้เต็ม เพราะมีหลายคนเหมือนกันที่มาหาข้อมูลในห้องสมุดอันเงียบสงัดนี้ บางคนก็มาอ่านหนังสือเล่นๆเพื่อคลายเครียด แต่สิ่งที่ทำให้ห้องสมุดนั้นเงียบไม่ใช่เพราะกฏที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรอก แต่เป็นเพราะอาจารย์ร่างอ้วนเตี้ยตาลุกวาวเหมือนเหยี่ยวตัวอ้วนที่นั่งอยู่บนแท่นสูงเหมือนเก้าอี้ของวอลเลย์บอลชายหาด สายตาสีดำลุกวาวดูเย็นชานั้นจ้องมองมาทางเด็กนักเรียนอย่างประสงค์ร้าย หล่อนเป็นคนที่เข้มงวดในการรักษาความเงียบสงบมาก
มากเสียจนบ้าคลั่งเลยทีเดียว
“เราจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ” เสียงของมหิทธินั้นดูแหลมสูงกว่าปกติเล็กน้อยแต่ก็ดูแผ่วเบาเมื่ออาจารย์กำลังสอดส่องดูเด็กหนุ่มผิวคล้ำกร้านเป็นพิเศษ ทิวาหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาจากชั้นหนังสือสีขาวสะอาดที่ถูกทาด้วยสีกันน้ำ ทิวายัดหนังสือเล่มนั้นมาให้มหิทธิก่อนที่จะพูดว่า
“ลองดูเล่มนี้ก่อนเป็นไร”
มหิทธิ ซึ่งกำลังสะลึมสะลือเพราะความง่วงและความเงียบเหงา มองดูหนังสือที่ตนเองเห็นว่าเป็นประวัติของนักเขียนวรรณคดีสมัยโบราณของอังกฤษ เขาจึงเปิดหน้ากระดาษที่เก่าจนเหลืองขึ้นดู
“เผื่อนายจะหานักเขียนที่ถูกใจและเอาไปเขียนเป็นประวัติวรรณคดีได้” ทิวาตอบ “เดี๋ยวฉันจะไปห้องน้ำ นายอ่านเล่มนี้ไปพลางๆก่อนละกันนะ”
“ได้เลย” มหิทธิตอบเสียงง่วงเหงา เขาไม่เคยมีร่างกายที่อ่อนแอแบบนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่เขาป่วยหนักที่สุดจนถึงขั้นปอดอักเสบขั้นรุนแรง เกือบตาย!! นี่อาจจะเป็นอาการที่แย่ที่สุดก็ได้นะ
ทิวาเดินออกไปจากชั้นสีขาวทั้งชั้นที่เรียงแถวกันเป็นเส้นตรง ก่อนที่เขาจะหันเสี้ยวใบหน้าคมสันมาทางเขาด้วยความรู้สึกพิกล เหมือนกับเขากำลังถูกอ่านใจอยู่
เหมือนทุกที และทิวาก็ส่งรอยยิ้มปริศนาที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ และความไม่ประหลาดใจสักนิด ก่อนที่จะหันออกไปและเดินด้วยขากำยำทั้งสองข้าง ทิ้งให้มหิทธินั้นนั่งอย่างง่วงนอนและเริ่มเปิดหนังสือ
เพียงพริบตาที่เด็กชายกระพริบตาขึ้นมา เขาก็มองเห็นใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลลิบๆกำลังยืนหันหลังให้เขาบนโต๊ะของอาจารย์อีกคนที่มีหน้าที่ยืม-คืนหนังสือ ก่อนที่จะหันมาทางมหิทธิด้วยความรู้สึก
พริบตานั้น สมองอันขมวดมุ่นของมหิทธิก็รู้สึกว่างเปล่าดุจว่าเขานั้นกำลังหลุดเข้าสู่โลกที่ดูแปลกประหลาด เด็กหนุ่มมองเห็นด้วยนัยน์ตาสีดำสนิทว่า เด็กสาวคนนั้นเดินเข้ามาหาเขาตรงโต๊ะที่ห่างจากตัวถึงห้าสิบเมตร แต่ชั่วกะพริบตาเท่านั้น ร่างของเด็กสาวคนนั้นก็พุ่งราวกับจรวดมนุษย์มาประชิดตัวเขาเสียแล้ว
เด็กสาวคนนี้มีผมสีดำประกายทองล้อแสงแดดที่ส่องลงมาบริเวณหน้าต่าง ผมของเธอยาวสยายหยิกหยองเหมือนคนไม่ค่อยชอบหวีผม ดวงตายาวรีสีดำนั้นกำลังจ้องมองเขาด้วยประกายตาแห่งอะไรบางอย่าง
ความหวังหรือ
หรือว่าอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆหล่อนนั้นกำลังก้มลงจ้องมองทุกส่วนของเขาอย่างใจเย็นจนเด็กหนุ่มรู้สึกว่าห้วงเวลาแห่งความยาวนานนั้นเริ่มล่าถอยกลับไป เขานั้นสามารถหายใจแรงๆได้อีกครั้ง เด็กสาวผู้นั้นยิ้มพลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนชั้นหนังสือที่สูงแค่เข่าของเขา
“หวัดดี มหิทธิ สิริราชา” เสียงเด็กสาวผู้นั้นพูดขึ้น มันเป็นเสียงที่ก้องกังวานและเต็มไปด้วยพลังแห่งความสดใสอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่สำหรับมหิทธิ เสียงนั้นกลับมีความเจ็บปวดแฝงอยู่เอาไว้ส่วนหนึ่งเสียมากกว่า
“คุณรู้ชื่อผมได้อย่างไร” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่เด็กสาววัยสูงกว่าเขานั่งไขว่ห้างเปลี่ยนท่าทาง
“เธอเป็นผู้ครอบครองสมุดบันทึกเล่มสีแดง เธอจึงเป็นความหวังชิ้นแรกในความมืดมิดของพวกเรา” เสียงนั้นก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆให้กับเขา
“ฉันชื่อ แคทเธอรีน มายะ เป็นเด็กสาวที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ หวังว่าเราคงจะรู้จักและเป็นเพื่อนกันได้นะ” เด็กสาวยิ้มน้อยๆ ทำให้มหิทธิยิ้มน้อยๆออกมาอย่างผิดปกติ เหมือนเขาไม่เคยยิ้มแบบนี้มานานมากแล้ว
“ฉันชื่อมหิทธิ อย่างที่เธอก็รู้ดีอยู่แล้ว มายะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยสำเนียงอังกฤษ ซึ่งมันเป็นสำเนียงที่มายะพูด
ดูแปร่งๆอย่างพิกลเหมือนคนต่างชาติ
“แล้วเธอย้ายมาจากที่ไหนกันล่ะ” แต่ยังไม่ทันที่จะตอบ เสียงคุ้นๆเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเหมือนแนะนำรุ่นพี่รุ่นน้องให้รู้จัก
“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่โตมาจากอังกฤษของพี่สาวที่เป็นคนญี่ปุ่นน่ะ” ทิวาพูดขึ้น “เขามีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น ส่วนแม่เป็นคนอังกฤษ เขาก็เลยออกเสียงได้ทั้งสองภาษา แต่ก็ออกจะแปร่งๆอยู่สักหน่อยนะ”
“อือฮึ” มหิทธิพูดขึ้น สายตาสีดำสนิทยังจับอยู่ที่รูปร่างของมายะอยู่ เธอสวมเสื้อสีขาวสะอาดที่ผูกเน็คไทสีดำ กระโปรงสั้นแค่ต้นขาบานพลิ้วไหวสีน้ำเงินอ่อนและรองเท้านักเรียนหญิงสีดำ ช่างดูดีกับรูปลักษณ์ที่อ่อนหวานแต่เป็นผู้ใหญ่แบบทิวาเหลือเกิน
“อึ
ฮึม
” ทิวากระแอมเตือน มหิทธิค่อยๆตรึงดวงตาของเขากลับมาหาทิวาอย่างยากเย็นก่อนที่จะพูดว่า
“แล้วนายเอาเขามาเรียนที่นี่ แล้วเขาจะเรียนไทยกับเรารู้เรื่องไหมนี่”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ทิวาตอบพลางมองดูมหิทธิที่สอดส่ายสายตามาหามายะอยู่ตลอดเวลาด้วยรอยยิ้มพลิ้วระริก “เขามาอยู่ที่นี่ได้สามปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะพูดภาษาไทยได้ไม่ชัดนัก แต่เขาเชี่ยวมากเลยละเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยอย่างมารยาทที่จะไม่ยั่วล้อคนอ่อนแออย่างนาย”
ทิวาพูดขึ้นด้วยสายตายิ้มน้อยๆอย่างกวนอารมณ์ ทำให้มหิทธิต้องถลึงตาอย่างปรามๆ
“เอาเป็นว่านายคุยกันได้ตามสบายละกันนะ ก่อนที่จะหมดคาบพักนี่เสียก่อน เอ้อ แล้วเขาอยู่ในชั้นเดียวกับเรา แต่เก่งกว่าเราหลายขุม เขาเรียนอยู่ในห้องคิง” มหิทธิถึงกับเบิกตากว้างอย่างอิจฉา “ถ้าอย่างนั้นเธอก็เก่งที่สุดในหมู่เพื่อนของฉันเลยล่ะสิ”
“อาจจะอย่างนั้น” มายะตอบพลางก้มหน้าลงตรงด้านหน้าของมหิทธิที่พิงชั้นหนังสือเพื่อหยิบของที่ตนเองต้องการ เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า มายะสวมสร้อยรูปจันทร์เสี้ยวสีเงินเอาไว้ที่คอ ก่อนที่จะมองผ่านสร้อยและเห็นหน้าอกก้อนเบ้อเริ่มแกว่งอย่างเสียวไส้อยู่ตรงหน้า คงจะไซส์น้องๆแตงโมได้ละกระมัง มหิทธิคิดพลางหน้าแดงมากขึ้นจนเกือบจะเหมือนลูกแอปเปิลสีแดงไปแล้ว มายะหันกลับมาและพูดเป็นเชิงถามว่า
“มีอะไรหรือ”
เด็กหนุ่มวัยกระเตาะรีบพูดเพื่อไม่ให้หล่อนสังเกตว่าเขาจ้องดูหน้าอกมายะตาไม่กะพริบว่า
“เปล่าหรอก แค่เห็นว่าสร้อยเส้นนี้มันสวยดีนะ เธอได้มาจากที่ไหนหรือ”
มายะยิ้มน้อยๆก่อนที่จะพูดด้วยความรู้สึกแปลกๆ
เหมือนกับเป็นครั้งแรกที่มีคนถามแบบนี้ว่า
“ฉันได้มาจากยิปซีคนหนึ่งที่เขาบอกว่า คนที่ถามเรื่องสร้อยนี่จะเป็นเนื้อคู่ของฉัน” เด็กสาวตอบอย่างยินดีพลางมองดูมหิทธิด้วยแววตาพลิ้วระริก ก่อนที่จะละสายตาจากเขาไปและเริ่มเปิดหนังสือปกสีน้ำเงินอย่างบรรจงและเริ่มพึมพำพร้อมกับจรดนิ้วมือเรียวบางลงบนเนื้อกระดาษนั้น ก่อนที่เธอจะหลับตานิดหนึ่งและเริ่มอ่านหนังสือเหมือนกับพยายามดื่มด่ำทุกตัวอักษรมากมายที่มีอยู่ จนกระทั่งเธอเปิดหนังสือไปที่หน้าสอง เสียงกระดิ่งสีขาวสะอาดก็ดังขึ้นที่เหนือศีรษะที่อาจารย์ร่างอ้วนเตี้ยเป็นคนสั่น บ่งบอกถึงว่า ห้องสมุดปิดแล้ว กรุณาเอาหนังสือกลับเข้าชั้นให้ถูกต้องด้วย
มายะดูเหมือนกับคนที่หลุดจากภวังค์ไม่มีผิด เมื่อเธอสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนถูกไฟจี้และลืมตาสีดำสนิทขึ้นเหมือนกับดื่มด่ำมาพอแล้ว ก่อนที่จะวางหนังสือปกน้ำเงินเก่าเอาไว้และเดินออกไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับมหิทธิอีกเลย
เขามองดูร่างที่เดินออกไปอย่างพลิ้วไหวเหมือนกับไม่รู้ว่าควรที่จะพูดอะไรดี ก่อนที่จะกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งที่เป็นชั้นเตี้ยๆสีดำ ก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือที่มายะหยิบทิ้งเอาไว้
แต่เพียงพริบตาที่มหิทธิแตะหนังสือ อะไรบางอย่างที่อยู่ในปกด้านในก็เริ่มมีความร้อนพุ่งผ่านจนร้อนจี๋ มหิทธิร้องลั่นและขว้างออกไปด้วยความหวาดผวา หนังสือเล่มนั้นหล่นดังตุ้บบนพื้นและนั่งนิ่งเงียบ ราวกับว่าทุกอย่างสงบลง
“นี่มันอะไรกันนี่” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจพลางมองดูหนังสือปกน้ำเงินเล่มนั้นด้วยความรู้สึกพิกล เหมือนกับว่ามีตัวประหลาดในสมุดกัดเขาจนแขนเหวอะ ไม่รู้สึกต่างกันเลยสักนิดเดียว ก่อนที่มหิทธิจะมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้านในหนังสือแล้ว เขาจึงเดินไปหยิบด้านนอกปกอย่างแหยงๆและเปิดหนังสืออย่างช้าๆ
ด้านในปกนั้นเคยเป็นกระดาษหนาว่างเปล่าเก่าเขรอะสีน้ำตาลและเคยมีรอยไหม้เป็นด่างดวงเล็กน้อย บ่งบอกถึงอายุอันเก่าแก่ของหนังสือ เพราะห้องสมุดแห่งนี้เคยมีไฟไหม้มาก่อน และหนังสือเล่มนี้คงจะเป็นเล่มหนึ่งในนั้น
แต่ตอนนี้ จำนวนรอยไหม้สีน้ำตาลนั้นได้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีเพียงแค่ตรงมุมสีน้ำตาล แต่ตอนนี้ ตรงกลางของหน้ากระดาษนั้นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาลแล้ว แต่มันดูเหมือนจงใจมากกว่าที่จะเกิดโดยธรรมชาติ เขาจึงเริ่มอ่านข้อความนั้น ข้อความเป็นภาษาที่ตนเองเคยเห็นบนหน้าปัดหอนาฬิกาแห่งกูราเยอ เด็กชายจึงอ่านได้ว่า
หนังสือและข้อความรหัสเหล่านี้เป็นสมบัติของกษัตริย์อาเธอร์และลูกชาย
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดเริ่มงุนงงกับข้อความนี้มาก แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานกษัตริย์อาเธอร์มาก่อน เขาถือว่ากษัตริย์อาเธอร์เคยเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถสูงมากในการสงครามและการปกครองประเทศ เขาเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงเดินไปที่โต๊ะสูงเพื่อขอยืมหนังสือเล่มนี้
“ขอโทษนะครับ” มหิทธิพูดพลางวางหนังสือเล่มเก่าเอาไว้ที่ตรงหน้าอาจารย์ร่างอ้วนนั้น “ไม่ทราบว่าผมจะขอยืมหนังสือเล่มนี้ได้ไหมครับ”
อาจารย์ที่นั่งอยู่บนโต๊ะสูงหันมามองเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดด้วยดวงตาสีดำแวววาวเอาเรื่อง หล่อนถามเสียงแหบต่ำเหมือนกบว่า
“จะเอาไปทำอะไรกันหรือ”
“ผมกะจะยืมไปทำการบ้านหน่อยครับ” มหิทธิตอบพลางยิ้มให้ดูจริงใจที่สุด “ผมต้องไปทำเรื่องตำนานต่างๆครับผม”
อาจารย์มองดูมหิทธิผ่านแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมมุมมนสีดำ ทำให้ดวงตาของเจ้าหล่อนนั้นยิ่งดุกว่าเดิมเสียอีก เด็กหนุ่มพยายามอย่างมากที่จะไม่กะพริบตาหรือทำอะไรมีพิรุธ เขาสั่งให้จ้อง
จ้องต่อไป ในที่สุด
“ได้เลย เดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนเอาใบยืมมาให้เธอละกันนะ”
“ครับ” มหิทธิตอบพลางยิ้มน้อยๆอย่างจริงใจ ก่อนที่อาจารย์จะลงจากเก้าอี้และเดินไปสั่งนักเรียนให้เอาใบยืมมาให้เขา
หลังจากที่ตราประทับการยืม-คืนหนังสือเอาไว้เรียบร้อยและทำข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากอากาศเย็นสบายของห้องสมุด สู่ความร้อนจัดจนสามารถเผาไข่ให้กลายเป็นจุลของแสงแดดยามบ่ายแทน เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองจะยืมหนังสือเล่มนี้มาเพื่ออะไรกันแน่ แต่ว่ามันน่าจะมีประโยชน์ในการเขียนรายงานนะ
เด็กชายคิดพลางยิ้มน้อยๆก่อนที่จะเดินออกไปสู่ห้องเรียนในคาบถัดไป
หลังจากคาบแรกในตอนบ่ายนั้นผ่านไป โชคดีนักที่คบต่อไป คาบภาษาไทยสองคาบ นั้นไม่มีครูสอน และไม่มีใครมาสอนแทนเลย แต่อาจารย์สั่งให้ทำเรียงความเกี่ยวกับโลกสาธารณะ แต่ทุกคนต่างเลือกที่จะไปทำที่บ้านมากกว่า เด็กหนุ่มจึงเริ่มที่จะอ่านเรื่องปริศนาที่มายะทิ้งเอาไว้เป็นเบาะแสของอะไรบางอย่างที่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เธอน่าจะเป็นคนร่ายตัวเขียนนั้นเอาไว้ด้วยอะไรบางอย่าง เขาจึงเริ่มหยิบหนังสือออกมาและเริ่มเปิดกางหน้าแรกที่เป็นปกใน(จริงๆ)ของมันเอาไว้
เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม
เขาจึงเปิดหนังสืออย่างช้าๆและเริ่มอ่านมันอย่างไม่รีบร้อนมากนัก
โดยส่วนใหญ่นั้น เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์นั้นไม่มีอะไรในส่วนที่เขาไม่รู้มากนัก เพราะกษัตริย์อาเธอร์เป็นตำนานโบราณที่เขารู้มาเยอะพอตัว แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือข้อความในสองหน้าของบทแรก(บทย่อ)ในหน้าที่สามถึงสี่ว่า
หลังจากที่กษัตริย์อาเธอร์เสียชีวิต เขาได้ทิ้งดาบเอกซ์คาริเบอร์ที่กลายเป็นตำนานเอาไว้ โดยเสียบมันเอาไว้ในทั่งที่ตนเองเคยดึงดาบออกมาแล้วในดินแดนแห่งความห่างไกล นั่นคือ บนเกาะหน้าคนของเกาะอังกฤษ แต่หลายปีต่อมา ลูกชายของกษัตริย์อาเธอร์ซึ่งเป็นสายเลือดแท้ๆได้ดึงดาบเอกซ์คาริเบอร์ออกมาและหายสาปสูญไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายตัวไปอยู่ในส่วนไหนของโลก และไม่มีใครรับรู้เกี่ยวกับข้อความปริศนาที่อยู่บนทั่งที่เขียนเอาไว้ว่า
เมื่อความมืดผงาดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ข้าจะกลับมาอีกครั้งในร่างของคนอื่น
พริบตานั้น เขารู้สึกว่าความทรงจำอะไรบางอย่างกระแทกศีรษะเขาอย่างแรงจนเลือดสีแดงไหลราดออกมา ภาพของชายผู้หนึ่งที่มีร่างกายกำยำดึงดาบออกมาจากทั่งสีเงินวาวและเริ่มเขียนตัวอักษรด้วยของแหลมยาว ก่อนที่จะร่ายคาถาด้วยเสียงดัง ซึ่งมันก้องอยู่ในหัวว่า
ข้าขอเปิดประตูมิติสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ!!
ปึง!!
“อ๊า!!”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกปวดหัวจี๊ดอย่างแรงจนแทบจะได้ยินเสียงเนื้อสมองปริแตกออกด้วยแรงมหาศาล เขาเริ่มนอนกลิ้งลงไปกองกับพื้นและดิ้นพราดๆ ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งถึงขีดสุด ได้ยินเสียงใครบางคนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน แต่กลับเป็นเสียงของคนอีกผู้หนึ่งซึ่งตอนนี้นอนดิ้นอยู่ในตัวเขา
เด็กหนุ่มดิ้นไปมาบนกระจก เขาจึงมองเห็นร่างอีกร่างหนึ่งซึ่งทับซ้อนกันกับเขาอย่างแนบแน่นด้วยพันธนาการแห่งโลกอีกแห่งหนึ่ง
เขามีร่างสีทองแดงอ่อนๆเหมือนโดนแดดเผาร่าง เขามีผมสีขาวอ่อนดุจสาหร่ายที่ปลิวไสวไปมา ดวงตาสีแดงที่ทับซ้อนกับดวงตาของเขานั้นแสดงถึงความเจ็บปวดถึงที่สุด และใบหน้าเรียวบางนั้นบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกว่าสมองของเขากำลังจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว!!
พริบตาต่อมา ภาพอีกภาพหนึ่งนั้นก็เข้าปะทะกับสมองของเด็กหนุ่มจนร้องลั่นด้วยความเจ็บ
ภาพของตนเอง
ตนเองกำลังดึงดาบออกมาจากความหวาดผวาในโลกแห่งจิตวิญญาณ!!
“ม่าย!!!!!”
แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย นอกจากเสียงของใครคนหนึ่งที่ร้องขึ้นว่า
“มหิทธิ
มหิทธิ”
ความคิดเห็น