คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สาม ความไม่สมดุลในโลกแห่งความเป็นจริง (แก้ไขเสียนิดหนึ่งตรงที่ไม่เหมาะสม))
บทที่สาม ความไม่สมดุลในโลกแห่งความเป็นจริง
"อ๊าก!! เฮือก!!"
เสียงมหิทธิร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดผสมกับเสียงลุกพรวดในความมืดดังขึ้น เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงในความมืดจนมองเห็นตาขาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขามองดูทั่วบริเวณที่ตอนนี้มืดมิดราวกับราตรีกาล หน้าต่างขนาดใหญ่ปิดเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางแรงลมโหมกระหน่ำ เสียงกระแทกดังขึ้นดังปึง...ปึง...ซ้ำแล้วซ้ำอีก วินาทีหนึ่งที่น่าสยดสยอง เขาคิดถึงความมืดของโลกแห่งจิตวิญญาณที่โจมตีเขา
ในตอนนั้น แต่พอมหิทธิมองเห็นโต๊ะสีขาวที่วางอยู่พร้อมกับประกายแวววาวของน๊อตและซีพียู เขาจึงเข้าใจ
เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่คาดฝัน!!
เสียงกรนดังสนั่นของพ่อบ่งบอกชัดว่าเขากลับมาจากโลกอันตรายนั้นแล้ว เขาค่อยๆปาดเหงื่อกาฬที่ตอนนี้ไหลโทรมลงมาทั่วทั้งร่างกายจนเปียกไปทั่วเตียงนอน ทั้งแขนและขานั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำป่าเหมือนถูกสาดน้ำอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มค่อยๆยกแขนขึ้นยันกายอย่างยากลำบากเต็มที แต่ยิ่งยันกายขึ้น ความเจ็บแปลบที่บริเวณแขนทั้งสองข้างยิ่งมีมากขึ้นเสียจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่ในที่สุด เขาก็ยันตัวขึ้นมาได้สำเร็จพร้อมกับที่เขาสำรวจร่างกายของตนเองด้วยความไม่มั่นใจ
แขนของเขามีรอยช้ำอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นเส้นยาวพลิ้วสีแดงบนข้อมือทั้งสองข้าง แต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าแผลแบบนี้มาจากอะไร เขาเริ่มตะเกียกตะกายด้วยความยากลำบากเพื่อไปเปิดพัดลมให้แรงขึ้น และนั่งลงผึ่งลมอย่างร้อนจัดและสะบัดคอเสื้อเพื่อคลายร้อน เขาจึงเริ่มรู้สึกโล่งมากขึ้นจนสามารถพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรากันแน่นี่" มหิทธิถามอย่างงุนงงและเหนื่อยอ่อนพลางใช้ความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาในช่วงนั้น แต่ดูเหมือนสมองส่วนนั้นจะถูกตัดขาดออกไป เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พายุหลากสีอันรุนแรงนั้นนั่นทำร้ายเขากับอินดู แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่าติดตามเข้ามาทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องโลกแห่งจิตวิญญาณ
เขาเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณได้อย่างไร ทั้งๆที่เขาไม่เคยฝันเรื่องโลกแห่งนี้เลยแม้เพียงนิด และจู่ๆเขามาฝันถึงโลกใบนี้(โดยไม่รู้เรื่อง)ได้อย่างไร เด็กหนุ่มคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกสักที ในที่สุดเขาจึงเลิกทบทวนถึงความทรงจำนั้น และเขาเริ่มคิดว่านี่คงจะเช้าแล้ว และเขาควรจะไปโรงเรียนเสียที เขาจึงลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็วและมองดูนาฬิกาเรืองแสงเรือนเล็กที่วางอยู่บนชั้นหนังสือชั้นบน
ตีห้าสามสิบนาทีแล้ว!!
เขาเริ่มกลับมาประสาทอีกแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ เขาเดินทางเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณภายในเวลาครึ่งค่อนวันถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แต่กลับมาอยู่ที่นี่ภายในเวลาเจ็ดชั่วโมงสามสิบนาทีเองหรือ เขาค่อยๆกลับมานั่งคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับอีกโลกหนึ่งที่รู้สึกว่าจะมีแต่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับตัวเขา
(เราหลับไป และเราก็รู้สึกว่าตนเองถูกดูด(ฉันคิดว่าตนเองไม่ได้ถูกดูดหรอก มันเหมือนกับถูกข้ามมิติไปที่โลกอื่นมากกว่า) ก่อนที่จะพบว่าตนเองนอนหลับและบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่เมืองกูราเยอ เมืองแห่งความกล้าหาญ และยังมีเอลฟ์หญิงหน้าตาประหลาดปรากฏตัวอยู่ด้วย เราเผชิญหน้ากับเสือสามตาและฆ่าสิ่งที่ร่ายไสยเวทดำได้สำเร็จ แต่ต่อจากนั้น เราก็พบว่าตนเองกลับมานอนอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
โดยปราศจากรอยขีดข่วน)
นาทีนั้นเอง พ่อส่งเสียงขลอกๆออกมาดังลั่นเหมือนกับเสลดติดคอจนมหิทธิต้องหันไปดูด้วยความตกใจ ก็พบว่าพ่อนอนครางพลางบิดกายเร่าๆพร้อมกับกุมที่หน้าท้องอันแบบบางด้วยความเจ็บปวด เด็กหนุ่มรู้สึกผิดปกติ เพราะพ่อไม่เคยเป็นอาการี่จะบอกได้เลยว่าเป็นหวัดเมื่อสองถึงสามวันก่อน แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบิดาของเขากันแน่
เด็กหนุ่มวัยสิบหกร้องพลางเขย่าตัวพ่อด้วยความเป็นห่วงว่า
"พ่อครับ อย่าเป็นอะไรนะ เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคนมาช่วยนะ"
พ่อไอพลางคำรามพลางพร้อมกับดิ้นพราดๆด้วยความเจ็บปวด กุมคอเอาไว้พร้อมกับไอขลอกๆราวกับปวดคอสุดประมาณ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำมีเส้นขีดสีเหลืองที่ตรงกลางปรากฏชัดในดวงตาของบิดา มหิทธิรู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับรู้สึกคุ้นๆกับอาการ 'ปริศนา' ของบิดา แต่เขาถอยห่างออกมาในทันทีพร้อมกับพูดว่า!!
"พ่อ!!"
พ่อค่อยๆขยับกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ มหิทธิค่อยๆมองดูด้วยจิตใจเต้นระทึก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำน่ากลัวก็หายไปแล้ว
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับพ่อ" มหิทธิถามอย่างตกใจ พ่อค่อยๆลุกขึ้นนั่งลงบนขอบเตียงพร้อมกับลูบศีรษะของมหิทธอย่างช้าๆ
"ไม่เป็นไรหรอกลูกชายของพ่อ พ่อคงเหนื่อยมากไปหน่อย ก็เลยปวดตามเนื้อตามตัวมาก พ่อคงจะต้องพักผ่อนมากๆหน่อยนะ เพราะดูเหมือนพ่อคงจะไปทำงานไม่ไหวแล้วในวันนี้"
"ครับ พ่อ" มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นจากอ้อมอกของบิดาด้วยความโล่งใจ เขาคงเพียงแค่คิดไปเองเท่านั้นเองสินะ ที่อาการของบิดานั้นเหมือนกับอาการของเสือสามตาไม่มีผิด
แต่มหิทธิยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มลับหายไปจากใบหน้าของพ่อของตนเอง ดวงตาของพ่อที่ลืมตาขึ้นก็กลายเป็นสีแดงก่ำอมเส้นขีดสีเหลืองที่น่ากลัวขึ้นมาในบัดดล พ่อในร่างสัตว์อสูรอ้าปากแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับคำรามออกมาเล็กน้อยด้วยความหิวกระหาย
เขาค่อยๆเข้าไปในห้องน้ำซึ่งเป็นห้องน้ำขนาดเล็กสูงเพียงแค่ศีรษะของเด็กหนุ่มเท่านั้น เด็กหนุ่มค่อยๆถอดเสื้อและมองดูรูปร่างของเขา ใบหน้าผอม ซูบตอบ ผมสีดำดูยุ่งๆ ร่างผอมราวกับลูกชิ้นและผิวคล้ำ ดูไม่เหมาะกับเด็กชายคนที่เขาเคยเป็นในโลกแห่งจิตวิญญาณเลยสักนิด เขาทำหน้าบึ้งตึงด้วยความรู้สึกโกรธตัวเอง
(ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่านี้ละก็
เขาคงจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการยกดาบขึ้นหรืออะไรด้วยซ้ำ)
ก่อนที่เขาจะปลดกางเกงและเปิดฝักบัว เพื่อปล่อยให้น้ำประปาทำความสะอาดร่างกายของตนเอง
สิบนาทีต่อมา เขาออกมาจากห้องน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นชุดเครื่องแบบเรียบร้อย เสื้อยืดแขนสั้นผ้าบางสีฟ้าอ่อน กางเกงแสลกสีดำยาวถึงข้อเข่า เด็กหนุ่มค่อยๆสวมถุงเท้าหนาสีดำก่อนที่จะพูดกับพ่อ ซึ่งตอนนี้กำลังนอนหลับ(พร้อมกับกรน)ว่า
"เดี๋ยวผมซื้อกับข้าวให้พ่อทานให้ตอนเย็นนะครับ พ่อน่ะต้องหมั่นออกกำลังกายบ้างนะครับ จะได้แข็งแรงบ้าง" มหิทธิพูดอย่างเป็นห่วงพร้อมกับก้มตัวลงมองดูพ่อที่ตอนนี้นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่พ่อกลับยกมืออย่างเหนื่อยอ่อนเพื่อบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆอย่างนึกเอ็นดูพ่อก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายที่อยู่บนโต๊ะ คว้าร่มสีดำและเดินไปเปิดประตูและปิดเสียงดังปัง!!
ทันทีที่มหิทธิเดินออกไปจากห้องแล้ว พ่อก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่แยแสอาการป่วยสักนิด นัยน์ตาสีแดงก่ำอมเหลืองสดด้วยความกระหายเลือดเบิกกว้างอย่างเด่นชัดราวกับสัตว์หิวเนื้อ ร่างนั้นค่อยๆยันกายขึ้นมาจากเตียงอย่างมนุษย์ ก่อนที่จะค้อมตัวลงเดินสี่ขาเหมือนอย่างสัตว์และสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นต่อสายตาของฟ้าดิน... พระเจ้าเป็นพยาน มันคือดวงตาสีแดงและมีเส้นขีดสีเหลืองที่อยู่ตรงช่วงท้องอันแบบบางของพ่อ และมันกำลังร่ายคาถาไสยเวทดำอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่พ่อจะต้านทานไหว ชายหนุ่มค่อยๆเดินออกไป เปิดหน้าต่างออกอย่างรวดเร็วดุจต้องการดูวิว แต่ความจริงมิใช่เช่นนั้น เพราะเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างบนพื้นถนน!! ก่อนที่จะกระโดดลงไปจากชั้นสองและพื้นถนนอย่างรวดเร็วเหมือนถูกดึงด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง เขาเอาเท้ากระแทกพื้นอย่างแรงจนเกิดรอยแยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะวิ่งออกไปด้วยเท้าทั้งสอง เสียงของบิดานั้นครางฮื่อ
ฮื่อ
อย่างกระหาย ดูราวกับเขานั้นหิวกระหายเกินกว่าจะต้านทานฤทธิ์อำนาจของมอร์ธไหว
ส่วนทางด้านของมหิทธิที่ตอนนี้กำลังมองดูพื้นของทางเข้าหอพักที่ตอนนี้เปียกปอนไปด้วยฝน ที่ตอนนี้ใกล้จะสงบลง เขากางร่มสีดำสนิทออกด้วยความเร็วก่อนที่จะเดินออกไปด้วยความรู้สึกแย่พิกลที่ต้องมาเดินในสภาพเช่นนี้ ฝนเทจักๆลงมาตรงบริเวณหลังสีคล้ำของมหิทธิและพื้นลาดยางจนพื้นกลายเป็นน้ำแอ่งขัง มหิทธิค่อยๆเดินไปตามถนนขนาดใหญ่ด้วยความคิดหลายๆอย่างที่ผสมปนเปกัน แต่จู่ ๆเขารู้สึกร้อนตรงบริเวณเนื้อเหล็กขึ้นมา มหิทธิสลัดร่มอย่างรวดเร็วเพราะร้อนลวกมืออย่างรุนแรง เขามองดูมันและพบว่ามันละลายลงไปต่อหน้าต่อตาของเขา มันละลายราวกับถูกไฟเผาจนกลายเป็นเนื้อเหล็กเหลวๆสีเงินเข้ม รวมทั้งใบร่มที่ตอนนี้เหลวจนไม่เหลือรูปเดิมของร่ม เขาจึงยกแขนขึ้นเพื่อแตะฝน และก็พบว่ามีความไม่สมดุลบางอย่างขึ้น
บนประเทศไทยนี้
ฝนที่ควรจะเป็นสีใส เพราะอากาศเย็นผสมกับไอน้ำจนเกิดฝนสีใสร่วงลงมาจากท้องฟ้า แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมันกลับเป็นสีดำวาวราวเหล็กไหลที่ถูกตีจนเป็นสีดำ มันค่อยๆตกอย่างช้าๆและฝนนี่เองที่ละลายเหล็กบริเวณนี้ไปเกือบหมด ทั้งเศษเหล็กที่กองอยู่ของอาคารก่อสร้าง ทั้งสายไฟฟ้า ทั้งสายเหล็กของร่มในขณะนี้ เขาหุบร่มก่อนที่จะวิ่งอย่างสุดแรงเกิดไปที่โรงเรียนเพราะอาจจะถูกฝนกรดละลายเอาได้
มหิทธิวิ่งผ่านฝนที่ละลายได้แม้แต่เนื้อเหล็กไปพร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกที่บริเวณไขสันหลัง แต่เขาก็ต้องหยุดพร้อมกับยกมือขึ้นและแตะฝนอีกครั้งด้วยความแปลกใจปนงุนงง
ฝนที่ทำอันตรายแก่เหล็กและโลกใบนี้เมื่อครู่ กลับไม่ทำอันตรายอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ราวกับว่านี่เป็นฝนธรรมดาที่เย็นสำหรับเขาอย่างไรอย่างนั้น
เด็กหนุ่มวัยสิบหกนั้นจ้องมองสายฝนสีดำเหมือนขี้เถ้าที่ตกลงมาพร้อมกับคิ้วที่มุ่นอย่างงุนงง วันนี้มันเป็นวันอะไรกันแน่นะ
เรื่องฝนสีดำสนิทนี่
และเรื่องที่เขาฝันในวันเดียวกันกับที่ฝนตกลงมา และเรื่องอาการป่วยของบิดาอีก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มหิทธิเดินไปตามทางด้วยความรู้สึกปนเป ทั้งแปลกประหลาด ทั้งสยองขวัญ จนกระทั่งตัวของเขาเองมาถึงหน้าโรงเรียนที่นักเรียนที่เดินมาไม่ถึงประตูกับคนที่ออกันหน้าโรงเรียนนั้นมองดูฝนพร้อมกับชี้ไม้ชี้มืออย่างตื่นเต้น
"เกิดอะไรกันขึ้นนี่" เสียงนุ่มเย็นดุจเสียงเครื่องปรับอากาศดังขึ้น มหิทธิหันไปดูต้นเสียง ก็พบกับเด็กหนุ่มวัยสิบหกผู้หนึ่งที่กางร่มที่ดูบุบๆบี้ๆอย่างแปลกๆที่เขาเอาร่มมากาง ผมสีดำสนิทวาวแสงดูสะดุดตา ดวงตาสีดำสุกสว่างด้วยความรู้สึกสุขและใบหน้าขาวผ่องนั้น ทำให้มหิทธิจำได้ทันที
เด็กหนุ่มผู้นี้ชื่อทิวา จันทร์กาล เป็นเด็กหนุ่มผู้ที่เป็นเพื่อนกับเขามานานตั้งแต่สมัยมัธยมต้น มหิทธิชอบที่จะเล่นกับเขา และคุยปรึกษากับเขาในเรื่องต่างๆมากมาย ผิดกับเพื่อนๆของมหิทธิคนอื่นๆที่มองว่าเขาเป็นคนอ่อนแอและเอ๋อๆอย่างพิกล พวกเขาจึงตีตัวออกห่างจากมหิทธิไปอย่างไม่เสียดาย และมหิทธิก็ไม่เสียดายเช่นกันว่าตนเองนั้นไม่มีเพื่อน เพราะไม่มีใครจริงใจกับเขาเลยสักนิดเดียว
"ฉันถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ มหิทธิ" ทิวาถามเสียงเรียบ แต่ประกายตานั้นดูลุกวาวด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะอ่านใจเขาได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมหิทธิไปแล้วว่าทิวานั้นสามารถพินิจใจในตัวเขาได้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
แต่นั่นก็อาจจะเป็นทฤษฎีของเขาเองก็ได้
"ฉันไม่รู้หรอก" มหิทธตอบปัดๆด้วยความรู้สึกว่าตนเองต้องปิดกั้นใจเหมือนกับตัวละครตัวหนึ่งในวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ต้องใส่แว่นตา แต่ก็ไม่เคยเก่งเลยสักครั้งในชีวิตของเขา
"ช่างเถอะ" จู่ๆทิวาก็เลิกใช้สายตาแบบนั้นและยิ้มน้อยๆให้กับเขา แววตาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆเช่นกัน ทำให้มหิทธิรู้สึกขอบคุณสวรรค์ "เราจะไปทานอาหารเช้าร่วมกันได้หรือยัง เพื่อนรัก"
"เอาสิ ฉันก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน" มหิทธิตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับกอดคอทิวาด้วยความสนิทสนม ทั้งๆที่มหิทธิทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครสังเกตอาการของเขามากกว่า
ทิวามองดูอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆด้วยความขบขันและเดินไปกับเพื่อนรักด้วยกัน
ทั้งคู่เดินมาถึงอาคารโภชนาอาหารที่มีรางขนาดใหญ่สองด้านที่ดูเหมือนบล็อคว่างต่อๆกันสำหรับให้พ่อครัวและแม่ครัวที่ต้องการค่าจ้างและอยากทำอาหารของโรงเรียนทำอาหารให้นักเรียนกินในตอนเช้าและตอนกลางวัน บางร้านก็ทำข้าวราดแกงขายเป็นล่ำเป็นสัน บางคนก็ถนัดทำข้าวผัดและอาหารตามสั่ง แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้มีเด็กนักเรียนหลายคนมานั่งทานอาหาร หลายคนจับเข่าคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างไม่รู้เรื่องอะไร ซึ่งก็ดีแล้ว มหิทธิคิด เพราะสู้ไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนเขาเสียยังดีกว่า ข่าวในโทรทัศน์ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ในโทรทัศน์ออกข่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วประเทศไทยเท่านั้น แต่ที่อื่นๆกลับไม่มีเลยแม้สักกระเบียด บางข่าวถึงกับอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
"หวังว่าข่าวคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้นะ" มหิทธิว่าพลางตักข้าวผัดเผ็ดขึ้นมาทาน ตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่โต๊ะหนึ่งที่วางอยู่ริมของอาคาร ซึ่งนั่นทำให้ทิวาสามารถมองเห็นคนทำอาหารให้พวกเขากินได้ มหิทธิกำลังนั่งทานอาหารเอาๆอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทิวากลับวางอาหารลงและพูดว่า
"ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย
เกี่ยวกับสิ่งที่นายกำลังปกปิดพวกเราอยู่" ทิวาพูดขึ้นพลางประกบมือกันอย่างครุ่นคิด พลางมองดูมหิทธิด้วยแววตาอ่านใจอีกคำรบหนึ่ง
มหิทธิรู้สึกดิ่งวูบ อะไรกัน นี่เขาอ่านใจง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่ทิวาก็ไม่ต้องการซักถามต่อ เขาจึงพูดขึ้นว่า
"ถ้านายไม่อยากบอก ก็ตามใจ ฉันคงจะเข้าไปก้าวก่ายเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของนายไม่ได้" ทิวาพูด "แต่ถ้านายมีอะไรจะให้ช่วยเหลือ
"
"คนในชะตากรรมของนาย
จะมาให้นายปรึกษาด้วยตัวของเขาเอง
"
มหิทธิกลืนน้ำลายดังเอื้อกด้วยความรู้สึกผิดปกติ เหมือนกับว่าถ้อยคำของทิวาทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นในใจ เสียงหัวใจของมหิทธิเต้นตุบๆอย่างรุนแรง พร้อมกับที่เหงื่อกาฬไหลพรากๆออกมาจากขมับดุจช้างตกมัน
"ท่าทางนายคงจะต้องไปเป็นหมอดูเลยนะ เพื่อน" มหิทธิหัวเราะหึหึพลางตักข้าวด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนที่จะทานข้าวต่อไป
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ณ โลกแห่งจิตวิญญาณ
เมืองกูราเยอที่ถูก 'มรสุมขนาดใหญ่' ทำลายจนไม่เหลือแม้เพียงโครงสร้างของเมืองอันยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษอันน่าชื่นชม
"อะไรกันนี่" เสียงของชายผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังขนาดเท่ากองภูเขาขยะของเมือง เขาผู้นี้มีผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงติ่งหูสะบัดไปมาตามแรงลมดังหวิวๆที่นอกหน้าต่าง เขามีใบหน้ายาวรีดูมีน้ำมีนวลและดวงตาสีเขียวสดนั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด เขาสวมชุดเสื้อคลุมเดินทางสีขาวสะอาดพร้อมกับที่แขนบางๆข้างซ้ายนั้นถือดาบเรียวยาวถึงหนึ่งเมตรครึ่งสีเงินอยู่ในมือ
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่" เสียงนั้นถามอย่างรวดเร็ว เขาสลบไปถึงห้าวันเต็มๆด้วยความเจ็บปวดที่ถูกเสือที่ดุร้ายทำร้ายเอา แต่วันต่อมา เขาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นนอนทับร่างของอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนของแหลมนับล้านๆชิ้นทับเอา เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นและพบเมืองกูราเยออันน่าภาคภูมิใจ
ถูกทำลายอย่างรุนแรง
"ถามหน่อย สวรรค์ ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เสียงก้องกังวานนั้นดังขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำดุจต้องการถามอำนาจจากฟ้าที่ควบคุมตัวของเขาเอาไว้ ก่อนที่เสียงๆหนึ่งจะก้องกังวานต่อจากเสียงของเขา เป็นเสียงผู้หญิงที่ดูทรงอำนาจยิ่งนัก
นอกจากนี้
เสียงนั้นยังทำให้ตัวของชายหนุ่มดูตัวเล็กไปถนัดตา
"ที่นี่ถูกมอร์ธอันอ่อนแอที่สุดทำร้าย แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นมอร์ธที่อ่อนแอที่สุด แต่พวกมันเริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น เหมือนกับมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการแห่งความชั่วร้ายมากขึ้น จนแทบจะรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน พวกมันจึงแพร่ความมืดใส่พวกเรา และทำลายหอนาฬิกาแห่งกูราเยอไปจนสิ้นด้วยความมืดของ 'บางสิ่ง' ที่ทำร้ายพวกเราจนถึงแก่น" เสียงนั้นตอบด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งกลุ้มใจและรู้สึกแข็งกร้าวเหมือนกัน
"มันเป็นตัวอะไรกันแน่ บอกข้าที" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งบนฟ้า และเช่นเดิม เสียงนั้นยังก้องกังวานเหมือนกับทรงพลัง แต่อ่อนแอในจิตใจ จนกระทั่งเสียงของเทพดังขึ้นอีกครั้ง
"มอร์ธร่างมนุษย์
ที่รับใช้เทพอสูรแห่งความมืด มอร์เตย์ มานานแสนนาน" นางพูดด้วยเสียงก้องกังวานอีกครั้ง "กำลังเริ่มแผนการบางอย่างที่ทำให้โลกทั้งสองของเราเชื่อมต่อกันอีกครั้ง และคิดที่จะทำลายโลกทั้งสองทิ้งด้วยการเชื่อมมิติอันโหดร้ายนี้ เทพอสูรแห่งความมืดจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดึงความชั่วทุกสิ่งออกมาจากร่างกาย และจะเป็นเช่นนี้ชั่วนิรันดร"
ชายหนุ่มรู้สึกขนที่คอลุกขึ้นด้วยความคมของคำพูดอันน่ากลัวนี้ มอร์ธร่างมนุษย์จะกลับมาอีกครั้งกระนั้นหรือ สงครามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับสองพันปีจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และมนุษย์ปุถุชนจะเป็นเช่นไรถ้าพวกเขาไม่ยอมหยุดยั้งแผนการของพวกมันในเร็ววันนี้
"แล้วข้าควรจะทำเช่นไรกัน บอกข้าที" เสียงของชายหนุ่มนัยน์ตามรกตนั้นพูดอย่างจะโทษเทพอย่างไรอย่างนั้น และน้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้เทพแห่งท้องฟ้าร้องขึ้นว่า
"นั่นคือภารกิจของเจ้า เจ้าเคยสลบไปนานหลายวันเมื่อพายุแห่งนี้มาที่นี่ แต่เจ้าไม่เคยสังเกตเลยหรือว่าเจ้ามีบาดแผลไฟไหม้อยู่บนแขนข้างที่ถนัดของเจ้า"
ชายหนุ่มจ้องมองแขนข้างซ้ายที่ตนเองถือดาบด้ามสีดำนิลเอาไว้ ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่ารอยแผลไฟไหม้สีแแดงเหมือนถูกกรีดนั้นมีอยูจริงๆเสียด้วย แต่ผิดแปลกที่รอยไหม้นี้ดูไม่เหมือนรอยไหม้ของไฟ
แต่มันดูเหมือรอยไหม้ของอะไรบางอย่างที่ทรงอำนาจถูกแขนของเขาจนลามออกไปมากกว่า
"นั่นคือ รอยแผลแห่งพลัง"
"รอยแผลแห่งพลัง
อย่างนั้นหรือ"
"มันคือรอยแผลที่ 'ท่านผู้นั้น' กรีดเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า เจ้าคือ คนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสดาบและสัญลักษณ์ทางเวทย์มนต์ของ 'ท่านผู้นั้น' เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะหาสัญลักษณ์แห่งหัวใจของเขา"
"หมายความว่าอย่างไร" ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ
"ดาบคอนซอนตรา เป็นดาบเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่ 'ท่านผู้นั้น' ใช้ เพื่อต่อสู้กับเทพอสูรแห่งความมืดในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่าน แต่ท่านยังไม่ตาย ท่านผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว ในครั้งนี้ท่านปรากฏตัวในรูปแบบมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริง เจ้าจะต้องช่วยเหลือเขาในทุกรูปแบบและต้องแนะนำเขาในส่วนของเวทมนตร์ด้วย"
"แต่ข้าถูกขับออกมาจากชนเผ่านั้นแล้ว และข้าก็ถูกดูดพลังเวทมนตร์ออกไปจนหมดด้วย ข้าจึงหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับเหล่ามอร์ธร่างมนุษย์ในครั้งนี้อย่างไรเล่า"
"แต่เจ้ายังเหลือพลังเวทย์มนต์บทสุดท้าย นั่นคือ พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พลังทั้งหลายในคัมภีร์แห่งเจ้าพิภพนี้"
"มันคืออะไรเล่า" ชายหนุ่มถามอีกด้วยความโมโหเดือด
"วินาทีที่เจ้าเห็นเด็กหนุ่มผู้ที่เป็นท่านผู้นั้นแล้ว เจ้าจะพบคำตอบด้วยตัวเอง" เสียงนั้นพูดอย่างหมดเรี่ยวแรงที่จะพูดอีกต่อไปแล้ว เธอค่อยๆหดแสงที่ส่องลงบนร่างของชายหนุ่มคนนั้น ก่อนที่จะหดหายไปเป็นลำแสงของดวงอาทิตย์ดวงเดิมอีกครั้ง
ชายหนุ่มค่อยๆมองดูรอยแผลแห่งพลังในมือซ้ายของตนเองด้วยความรู้สึกพิกลๆ เขาน่ะหรือมีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์ปุถุชนเคยมี และจะยังสามารถดึงพลังนั้นออกมาใช้ได้อีกหรือ
แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องลองไปที่โลกแห่งความเป็นจริงดูสักครั้งหนึ่ง
ก่อนที่พวกมอร์ธจะไปเยือน และทำความเสียหายให้กับโลกมนุษย์เสียก่อน
ชายหนุ่มจึงล้วงเอาแผ่นกระดาษที่ทำจากเปลือกไม้เวทมนตร์ออกมาจากกระเป๋าข้างขวา และคลี่กระดาษแผ่นเก่านั้นออกไป เขามองเห็นเป็นสัญลักษณ์รูปดวงดาวห้าดวงเรียงต่อกันเป็นรูปดาวห้าแฉกสีแดงอมดำ เหมือนกับเอาดินและเลือดมาทาเป็นรูป ด้านในของสัญลักษณ์นั้นมีอักขระภาษาเอลฟ์ ซึ่งมองแล้วเหมือนอักขระภาษารัสเซียที่ดูไม่รู้เรื่องอยู่ข้างในวงนั้น
เขาคลี่กระดาษออก ก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างเสียงแผ่วเบา และกระแทกกระดาษแผ่นนั้นติดพื้นเหมือนกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง
วินาทีต่อมา เกิดเสียงแปลบๆเหมือนไฟฟ้าสถิตดังขึ้น เหมือนกับพลังงานที่อัดแน่นได้ถูกปลดปล่อยออกมา นี่คือคัมภีร์ประตูมิติ ที่มีเอลฟ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเวทมนตร์ก็ตาม เพราะสิ่งนี้ใช้ในหมู่เอลฟ์ที่ไม่มีเวทมนตร์โดยเฉพาะ
แสงนั้นค่อยๆวาบขึ้นมาครอบคลุมร่างของชายหนุ่มก่อนที่จะดูดร่างนั้นหายไปเหมือนบ่อโคลนสีแดง และเขาก็จมวับไปเหมือนเขามิได้อยูตรงนั้นเลยสักนิดเดียว
หญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นมองดูท้องฟ้าเหนือขึ้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเศร้า และให้ความหวัง
"หวังว่าเจ้าคงจะทำได้นะ โกกัส อิสริยะ" เสียงของหญิงสาวผู้นั้นดังขึ้นในความมืด
ความคิดเห็น