ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สาม ความไม่สมดุลในโลกแห่งความเป็นจริง (แก้ไขเสียนิดหนึ่งตรงที่ไม่เหมาะสม))

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


                บทที่สาม  ความไม่สมดุลในโลกแห่งความเป็นจริง

                "อ๊าก!!  เฮือก!!"

    เสียงมหิทธิร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดผสมกับเสียงลุกพรวดในความมืดดังขึ้น  เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงในความมืดจนมองเห็นตาขาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เขามองดูทั่วบริเวณที่ตอนนี้มืดมิดราวกับราตรีกาล  หน้าต่างขนาดใหญ่ปิดเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางแรงลมโหมกระหน่ำ  เสียงกระแทกดังขึ้นดังปึง...ปึง...ซ้ำแล้วซ้ำอีก  วินาทีหนึ่งที่น่าสยดสยอง  เขาคิดถึงความมืดของโลกแห่งจิตวิญญาณที่โจมตีเขาในตอนนั้น  แต่พอมหิทธิมองเห็นโต๊ะสีขาวที่วางอยู่พร้อมกับประกายแวววาวของน๊อตและซีพียู  เขาจึงเข้าใจ

    เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่คาดฝัน!!

    เสียงกรนดังสนั่นของพ่อบ่งบอกชัดว่าเขากลับมาจากโลกอันตรายนั้นแล้ว  เขาค่อยๆปาดเหงื่อกาฬที่ตอนนี้ไหลโทรมลงมาทั่วทั้งร่างกายจนเปียกไปทั่วเตียงนอน  ทั้งแขนและขานั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำป่าเหมือนถูกสาดน้ำอย่างไรอย่างนั้น  เด็กหนุ่มค่อยๆยกแขนขึ้นยันกายอย่างยากลำบากเต็มที  แต่ยิ่งยันกายขึ้น  ความเจ็บแปลบที่บริเวณแขนทั้งสองข้างยิ่งมีมากขึ้นเสียจนแทบจะลุกไม่ขึ้น  แต่ในที่สุด  เขาก็ยันตัวขึ้นมาได้สำเร็จพร้อมกับที่เขาสำรวจร่างกายของตนเองด้วยความไม่มั่นใจ

    แขนของเขามีรอยช้ำอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นเส้นยาวพลิ้วสีแดงบนข้อมือทั้งสองข้าง  แต่เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าแผลแบบนี้มาจากอะไร  เขาเริ่มตะเกียกตะกายด้วยความยากลำบากเพื่อไปเปิดพัดลมให้แรงขึ้น  และนั่งลงผึ่งลมอย่างร้อนจัดและสะบัดคอเสื้อเพื่อคลายร้อน  เขาจึงเริ่มรู้สึกโล่งมากขึ้นจนสามารถพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรากันแน่นี่"  มหิทธิถามอย่างงุนงงและเหนื่อยอ่อนพลางใช้ความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขาในช่วงนั้น  แต่ดูเหมือนสมองส่วนนั้นจะถูกตัดขาดออกไป  เขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พายุหลากสีอันรุนแรงนั้นนั่นทำร้ายเขากับอินดู  แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่าติดตามเข้ามาทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องโลกแห่งจิตวิญญาณ

    เขาเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณได้อย่างไร  ทั้งๆที่เขาไม่เคยฝันเรื่องโลกแห่งนี้เลยแม้เพียงนิด  และจู่ๆเขามาฝันถึงโลกใบนี้(โดยไม่รู้เรื่อง)ได้อย่างไร  เด็กหนุ่มคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกสักที  ในที่สุดเขาจึงเลิกทบทวนถึงความทรงจำนั้น  และเขาเริ่มคิดว่านี่คงจะเช้าแล้ว  และเขาควรจะไปโรงเรียนเสียที  เขาจึงลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็วและมองดูนาฬิกาเรืองแสงเรือนเล็กที่วางอยู่บนชั้นหนังสือชั้นบน

    ตีห้าสามสิบนาทีแล้ว!!

    เขาเริ่มกลับมาประสาทอีกแล้ว  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่  เขาเดินทางเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณภายในเวลาครึ่งค่อนวันถึงเช้าวันรุ่งขึ้น  แต่กลับมาอยู่ที่นี่ภายในเวลาเจ็ดชั่วโมงสามสิบนาทีเองหรือ  เขาค่อยๆกลับมานั่งคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับอีกโลกหนึ่งที่รู้สึกว่าจะมีแต่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับตัวเขา

    (เราหลับไป  และเราก็รู้สึกว่าตนเองถูกดูด(ฉันคิดว่าตนเองไม่ได้ถูกดูดหรอก  มันเหมือนกับถูกข้ามมิติไปที่โลกอื่นมากกว่า)  ก่อนที่จะพบว่าตนเองนอนหลับและบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่เมืองกูราเยอ  เมืองแห่งความกล้าหาญ  และยังมีเอลฟ์หญิงหน้าตาประหลาดปรากฏตัวอยู่ด้วย  เราเผชิญหน้ากับเสือสามตาและฆ่าสิ่งที่ร่ายไสยเวทดำได้สำเร็จ  แต่ต่อจากนั้น  เราก็พบว่าตนเองกลับมานอนอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้วโดยปราศจากรอยขีดข่วน)

    นาทีนั้นเอง  พ่อส่งเสียงขลอกๆออกมาดังลั่นเหมือนกับเสลดติดคอจนมหิทธิต้องหันไปดูด้วยความตกใจ  ก็พบว่าพ่อนอนครางพลางบิดกายเร่าๆพร้อมกับกุมที่หน้าท้องอันแบบบางด้วยความเจ็บปวด  เด็กหนุ่มรู้สึกผิดปกติ  เพราะพ่อไม่เคยเป็นอาการี่จะบอกได้เลยว่าเป็นหวัดเมื่อสองถึงสามวันก่อน  แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบิดาของเขากันแน่เด็กหนุ่มวัยสิบหกร้องพลางเขย่าตัวพ่อด้วยความเป็นห่วงว่า

    "พ่อครับ  อย่าเป็นอะไรนะ  เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคนมาช่วยนะ"

    พ่อไอพลางคำรามพลางพร้อมกับดิ้นพราดๆด้วยความเจ็บปวด  กุมคอเอาไว้พร้อมกับไอขลอกๆราวกับปวดคอสุดประมาณ  เขาค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำมีเส้นขีดสีเหลืองที่ตรงกลางปรากฏชัดในดวงตาของบิดา  มหิทธิรู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับรู้สึกคุ้นๆกับอาการ  'ปริศนา'  ของบิดา  แต่เขาถอยห่างออกมาในทันทีพร้อมกับพูดว่า!!

    "พ่อ!!" 

    พ่อค่อยๆขยับกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ  มหิทธิค่อยๆมองดูด้วยจิตใจเต้นระทึก  แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น  ดวงตาสีแดงก่ำน่ากลัวก็หายไปแล้วเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    "เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับพ่อ"  มหิทธิถามอย่างตกใจ  พ่อค่อยๆลุกขึ้นนั่งลงบนขอบเตียงพร้อมกับลูบศีรษะของมหิทธอย่างช้าๆ

    "ไม่เป็นไรหรอกลูกชายของพ่อ  พ่อคงเหนื่อยมากไปหน่อย  ก็เลยปวดตามเนื้อตามตัวมาก  พ่อคงจะต้องพักผ่อนมากๆหน่อยนะ  เพราะดูเหมือนพ่อคงจะไปทำงานไม่ไหวแล้วในวันนี้"

              "ครับ  พ่อ"  มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นจากอ้อมอกของบิดาด้วยความโล่งใจ  เขาคงเพียงแค่คิดไปเองเท่านั้นเองสินะ  ที่อาการของบิดานั้นเหมือนกับอาการของเสือสามตาไม่มีผิด 

              แต่มหิทธิยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า  เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มลับหายไปจากใบหน้าของพ่อของตนเอง  ดวงตาของพ่อที่ลืมตาขึ้นก็กลายเป็นสีแดงก่ำอมเส้นขีดสีเหลืองที่น่ากลัวขึ้นมาในบัดดล  พ่อในร่างสัตว์อสูรอ้าปากแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับคำรามออกมาเล็กน้อยด้วยความหิวกระหาย

    เขาค่อยๆเข้าไปในห้องน้ำซึ่งเป็นห้องน้ำขนาดเล็กสูงเพียงแค่ศีรษะของเด็กหนุ่มเท่านั้น  เด็กหนุ่มค่อยๆถอดเสื้อและมองดูรูปร่างของเขา  ใบหน้าผอม  ซูบตอบ  ผมสีดำดูยุ่งๆ  ร่างผอมราวกับลูกชิ้นและผิวคล้ำ  ดูไม่เหมาะกับเด็กชายคนที่เขาเคยเป็นในโลกแห่งจิตวิญญาณเลยสักนิด  เขาทำหน้าบึ้งตึงด้วยความรู้สึกโกรธตัวเอง

    (ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่านี้ละก็เขาคงจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการยกดาบขึ้นหรืออะไรด้วยซ้ำ)

    ก่อนที่เขาจะปลดกางเกงและเปิดฝักบัว  เพื่อปล่อยให้น้ำประปาทำความสะอาดร่างกายของตนเอง

    สิบนาทีต่อมา  เขาออกมาจากห้องน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นชุดเครื่องแบบเรียบร้อย  เสื้อยืดแขนสั้นผ้าบางสีฟ้าอ่อน  กางเกงแสลกสีดำยาวถึงข้อเข่า  เด็กหนุ่มค่อยๆสวมถุงเท้าหนาสีดำก่อนที่จะพูดกับพ่อ ซึ่งตอนนี้กำลังนอนหลับ(พร้อมกับกรน)ว่า

    "เดี๋ยวผมซื้อกับข้าวให้พ่อทานให้ตอนเย็นนะครับ  พ่อน่ะต้องหมั่นออกกำลังกายบ้างนะครับ  จะได้แข็งแรงบ้าง"  มหิทธิพูดอย่างเป็นห่วงพร้อมกับก้มตัวลงมองดูพ่อที่ตอนนี้นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน  แต่พ่อกลับยกมืออย่างเหนื่อยอ่อนเพื่อบอกว่า  ไม่ต้องเป็นห่วง  เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆอย่างนึกเอ็นดูพ่อก่อนที่จะคว้ากระเป๋าสะพายที่อยู่บนโต๊ะ  คว้าร่มสีดำและเดินไปเปิดประตูและปิดเสียงดังปัง!!

    ทันทีที่มหิทธิเดินออกไปจากห้องแล้ว  พ่อก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่แยแสอาการป่วยสักนิด  นัยน์ตาสีแดงก่ำอมเหลืองสดด้วยความกระหายเลือดเบิกกว้างอย่างเด่นชัดราวกับสัตว์หิวเนื้อ  ร่างนั้นค่อยๆยันกายขึ้นมาจากเตียงอย่างมนุษย์  ก่อนที่จะค้อมตัวลงเดินสี่ขาเหมือนอย่างสัตว์และสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นต่อสายตาของฟ้าดิน...  พระเจ้าเป็นพยาน  มันคือดวงตาสีแดงและมีเส้นขีดสีเหลืองที่อยู่ตรงช่วงท้องอันแบบบางของพ่อ  และมันกำลังร่ายคาถาไสยเวทดำอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่พ่อจะต้านทานไหว  ชายหนุ่มค่อยๆเดินออกไป  เปิดหน้าต่างออกอย่างรวดเร็วดุจต้องการดูวิว  แต่ความจริงมิใช่เช่นนั้น  เพราะเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างบนพื้นถนน!!  ก่อนที่จะกระโดดลงไปจากชั้นสองและพื้นถนนอย่างรวดเร็วเหมือนถูกดึงด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง  เขาเอาเท้ากระแทกพื้นอย่างแรงจนเกิดรอยแยกขึ้นเล็กน้อย  ก่อนที่จะวิ่งออกไปด้วยเท้าทั้งสอง  เสียงของบิดานั้นครางฮื่อฮื่ออย่างกระหาย  ดูราวกับเขานั้นหิวกระหายเกินกว่าจะต้านทานฤทธิ์อำนาจของมอร์ธไหว

    ส่วนทางด้านของมหิทธิที่ตอนนี้กำลังมองดูพื้นของทางเข้าหอพักที่ตอนนี้เปียกปอนไปด้วยฝน ที่ตอนนี้ใกล้จะสงบลง  เขากางร่มสีดำสนิทออกด้วยความเร็วก่อนที่จะเดินออกไปด้วยความรู้สึกแย่พิกลที่ต้องมาเดินในสภาพเช่นนี้  ฝนเทจักๆลงมาตรงบริเวณหลังสีคล้ำของมหิทธิและพื้นลาดยางจนพื้นกลายเป็นน้ำแอ่งขัง  มหิทธิค่อยๆเดินไปตามถนนขนาดใหญ่ด้วยความคิดหลายๆอย่างที่ผสมปนเปกัน  แต่จู่ ๆเขารู้สึกร้อนตรงบริเวณเนื้อเหล็กขึ้นมา  มหิทธิสลัดร่มอย่างรวดเร็วเพราะร้อนลวกมืออย่างรุนแรง  เขามองดูมันและพบว่ามันละลายลงไปต่อหน้าต่อตาของเขา  มันละลายราวกับถูกไฟเผาจนกลายเป็นเนื้อเหล็กเหลวๆสีเงินเข้ม  รวมทั้งใบร่มที่ตอนนี้เหลวจนไม่เหลือรูปเดิมของร่ม  เขาจึงยกแขนขึ้นเพื่อแตะฝน  และก็พบว่ามีความไม่สมดุลบางอย่างขึ้นบนประเทศไทยนี้

    ฝนที่ควรจะเป็นสีใส  เพราะอากาศเย็นผสมกับไอน้ำจนเกิดฝนสีใสร่วงลงมาจากท้องฟ้า  แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น  เพราะมันกลับเป็นสีดำวาวราวเหล็กไหลที่ถูกตีจนเป็นสีดำ  มันค่อยๆตกอย่างช้าๆและฝนนี่เองที่ละลายเหล็กบริเวณนี้ไปเกือบหมด  ทั้งเศษเหล็กที่กองอยู่ของอาคารก่อสร้าง  ทั้งสายไฟฟ้า  ทั้งสายเหล็กของร่มในขณะนี้  เขาหุบร่มก่อนที่จะวิ่งอย่างสุดแรงเกิดไปที่โรงเรียนเพราะอาจจะถูกฝนกรดละลายเอาได้

    มหิทธิวิ่งผ่านฝนที่ละลายได้แม้แต่เนื้อเหล็กไปพร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกที่บริเวณไขสันหลัง  แต่เขาก็ต้องหยุดพร้อมกับยกมือขึ้นและแตะฝนอีกครั้งด้วยความแปลกใจปนงุนงง

    ฝนที่ทำอันตรายแก่เหล็กและโลกใบนี้เมื่อครู่  กลับไม่ทำอันตรายอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียวราวกับว่านี่เป็นฝนธรรมดาที่เย็นสำหรับเขาอย่างไรอย่างนั้น

    เด็กหนุ่มวัยสิบหกนั้นจ้องมองสายฝนสีดำเหมือนขี้เถ้าที่ตกลงมาพร้อมกับคิ้วที่มุ่นอย่างงุนงง  วันนี้มันเป็นวันอะไรกันแน่นะเรื่องฝนสีดำสนิทนี่และเรื่องที่เขาฝันในวันเดียวกันกับที่ฝนตกลงมา  และเรื่องอาการป่วยของบิดาอีกนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  มหิทธิเดินไปตามทางด้วยความรู้สึกปนเป  ทั้งแปลกประหลาด  ทั้งสยองขวัญ  จนกระทั่งตัวของเขาเองมาถึงหน้าโรงเรียนที่นักเรียนที่เดินมาไม่ถึงประตูกับคนที่ออกันหน้าโรงเรียนนั้นมองดูฝนพร้อมกับชี้ไม้ชี้มืออย่างตื่นเต้น

    "เกิดอะไรกันขึ้นนี่"  เสียงนุ่มเย็นดุจเสียงเครื่องปรับอากาศดังขึ้น  มหิทธิหันไปดูต้นเสียง  ก็พบกับเด็กหนุ่มวัยสิบหกผู้หนึ่งที่กางร่มที่ดูบุบๆบี้ๆอย่างแปลกๆที่เขาเอาร่มมากาง  ผมสีดำสนิทวาวแสงดูสะดุดตา  ดวงตาสีดำสุกสว่างด้วยความรู้สึกสุขและใบหน้าขาวผ่องนั้น  ทำให้มหิทธิจำได้ทันที

    เด็กหนุ่มผู้นี้ชื่อทิวา  จันทร์กาล  เป็นเด็กหนุ่มผู้ที่เป็นเพื่อนกับเขามานานตั้งแต่สมัยมัธยมต้น  มหิทธิชอบที่จะเล่นกับเขา  และคุยปรึกษากับเขาในเรื่องต่างๆมากมาย  ผิดกับเพื่อนๆของมหิทธิคนอื่นๆที่มองว่าเขาเป็นคนอ่อนแอและเอ๋อๆอย่างพิกล  พวกเขาจึงตีตัวออกห่างจากมหิทธิไปอย่างไม่เสียดาย  และมหิทธิก็ไม่เสียดายเช่นกันว่าตนเองนั้นไม่มีเพื่อน  เพราะไม่มีใครจริงใจกับเขาเลยสักนิดเดียว

    "ฉันถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ  มหิทธิ"  ทิวาถามเสียงเรียบ  แต่ประกายตานั้นดูลุกวาวด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะอ่านใจเขาได้  ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมหิทธิไปแล้วว่าทิวานั้นสามารถพินิจใจในตัวเขาได้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่แต่นั่นก็อาจจะเป็นทฤษฎีของเขาเองก็ได้

    "ฉันไม่รู้หรอก"  มหิทธตอบปัดๆด้วยความรู้สึกว่าตนเองต้องปิดกั้นใจเหมือนกับตัวละครตัวหนึ่งในวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ต้องใส่แว่นตา  แต่ก็ไม่เคยเก่งเลยสักครั้งในชีวิตของเขา

    "ช่างเถอะ"  จู่ๆทิวาก็เลิกใช้สายตาแบบนั้นและยิ้มน้อยๆให้กับเขา  แววตาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆเช่นกัน  ทำให้มหิทธิรู้สึกขอบคุณสวรรค์  "เราจะไปทานอาหารเช้าร่วมกันได้หรือยัง  เพื่อนรัก"

    "เอาสิ  ฉันก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน"  มหิทธิตอบอย่างรวดเร็ว  ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับกอดคอทิวาด้วยความสนิทสนม  ทั้งๆที่มหิทธิทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครสังเกตอาการของเขามากกว่า

    ทิวามองดูอย่างแปลกใจ  ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆด้วยความขบขันและเดินไปกับเพื่อนรักด้วยกัน

              ทั้งคู่เดินมาถึงอาคารโภชนาอาหารที่มีรางขนาดใหญ่สองด้านที่ดูเหมือนบล็อคว่างต่อๆกันสำหรับให้พ่อครัวและแม่ครัวที่ต้องการค่าจ้างและอยากทำอาหารของโรงเรียนทำอาหารให้นักเรียนกินในตอนเช้าและตอนกลางวัน  บางร้านก็ทำข้าวราดแกงขายเป็นล่ำเป็นสัน  บางคนก็ถนัดทำข้าวผัดและอาหารตามสั่ง  แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้มีเด็กนักเรียนหลายคนมานั่งทานอาหาร หลายคนจับเข่าคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างไม่รู้เรื่องอะไร  ซึ่งก็ดีแล้ว  มหิทธิคิด  เพราะสู้ไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนเขาเสียยังดีกว่า  ข่าวในโทรทัศน์ก็ยิ่งแล้วใหญ่  ในโทรทัศน์ออกข่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วประเทศไทยเท่านั้น   แต่ที่อื่นๆกลับไม่มีเลยแม้สักกระเบียด  บางข่าวถึงกับอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย

    "หวังว่าข่าวคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้นะ"  มหิทธิว่าพลางตักข้าวผัดเผ็ดขึ้นมาทาน  ตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงบนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่โต๊ะหนึ่งที่วางอยู่ริมของอาคาร  ซึ่งนั่นทำให้ทิวาสามารถมองเห็นคนทำอาหารให้พวกเขากินได้  มหิทธิกำลังนั่งทานอาหารเอาๆอย่างเอาเป็นเอาตาย  แต่ทิวากลับวางอาหารลงและพูดว่า

    "ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายเกี่ยวกับสิ่งที่นายกำลังปกปิดพวกเราอยู่"  ทิวาพูดขึ้นพลางประกบมือกันอย่างครุ่นคิด  พลางมองดูมหิทธิด้วยแววตาอ่านใจอีกคำรบหนึ่ง

    มหิทธิรู้สึกดิ่งวูบ  อะไรกัน  นี่เขาอ่านใจง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ  แต่ทิวาก็ไม่ต้องการซักถามต่อ  เขาจึงพูดขึ้นว่า

    "ถ้านายไม่อยากบอก  ก็ตามใจ  ฉันคงจะเข้าไปก้าวก่ายเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของนายไม่ได้"  ทิวาพูด  "แต่ถ้านายมีอะไรจะให้ช่วยเหลือ…"

    "คนในชะตากรรมของนายจะมาให้นายปรึกษาด้วยตัวของเขาเอง…"

    มหิทธิกลืนน้ำลายดังเอื้อกด้วยความรู้สึกผิดปกติ  เหมือนกับว่าถ้อยคำของทิวาทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นในใจ  เสียงหัวใจของมหิทธิเต้นตุบๆอย่างรุนแรง  พร้อมกับที่เหงื่อกาฬไหลพรากๆออกมาจากขมับดุจช้างตกมัน

    "ท่าทางนายคงจะต้องไปเป็นหมอดูเลยนะ  เพื่อน"  มหิทธิหัวเราะหึหึพลางตักข้าวด้วยความรู้สึกแปลกๆ  ก่อนที่จะทานข้าวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ……………………………………

      โลกแห่งจิตวิญญาณ

    เมืองกูราเยอที่ถูก  'มรสุมขนาดใหญ่'  ทำลายจนไม่เหลือแม้เพียงโครงสร้างของเมืองอันยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษอันน่าชื่นชม

    "อะไรกันนี่"  เสียงของชายผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังขนาดเท่ากองภูเขาขยะของเมือง  เขาผู้นี้มีผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงติ่งหูสะบัดไปมาตามแรงลมดังหวิวๆที่นอกหน้าต่าง  เขามีใบหน้ายาวรีดูมีน้ำมีนวลและดวงตาสีเขียวสดนั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด  เขาสวมชุดเสื้อคลุมเดินทางสีขาวสะอาดพร้อมกับที่แขนบางๆข้างซ้ายนั้นถือดาบเรียวยาวถึงหนึ่งเมตรครึ่งสีเงินอยู่ในมือ 

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่"  เสียงนั้นถามอย่างรวดเร็ว  เขาสลบไปถึงห้าวันเต็มๆด้วยความเจ็บปวดที่ถูกเสือที่ดุร้ายทำร้ายเอา  แต่วันต่อมา  เขาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นนอนทับร่างของอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนของแหลมนับล้านๆชิ้นทับเอา  เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นและพบเมืองกูราเยออันน่าภาคภูมิใจถูกทำลายอย่างรุนแรง

    "ถามหน่อย  สวรรค์  ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"  เสียงก้องกังวานนั้นดังขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำดุจต้องการถามอำนาจจากฟ้าที่ควบคุมตัวของเขาเอาไว้  ก่อนที่เสียงๆหนึ่งจะก้องกังวานต่อจากเสียงของเขา  เป็นเสียงผู้หญิงที่ดูทรงอำนาจยิ่งนักนอกจากนี้เสียงนั้นยังทำให้ตัวของชายหนุ่มดูตัวเล็กไปถนัดตา

    "ที่นี่ถูกมอร์ธอันอ่อนแอที่สุดทำร้าย  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นมอร์ธที่อ่อนแอที่สุด  แต่พวกมันเริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น  เหมือนกับมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการแห่งความชั่วร้ายมากขึ้น  จนแทบจะรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน  พวกมันจึงแพร่ความมืดใส่พวกเรา  และทำลายหอนาฬิกาแห่งกูราเยอไปจนสิ้นด้วยความมืดของ  'บางสิ่ง'  ที่ทำร้ายพวกเราจนถึงแก่น"  เสียงนั้นตอบด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย  ทั้งกลุ้มใจและรู้สึกแข็งกร้าวเหมือนกัน

    "มันเป็นตัวอะไรกันแน่  บอกข้าที"  เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งบนฟ้า  และเช่นเดิม  เสียงนั้นยังก้องกังวานเหมือนกับทรงพลัง  แต่อ่อนแอในจิตใจ  จนกระทั่งเสียงของเทพดังขึ้นอีกครั้ง

    "มอร์ธร่างมนุษย์ที่รับใช้เทพอสูรแห่งความมืด  มอร์เตย์  มานานแสนนาน"  นางพูดด้วยเสียงก้องกังวานอีกครั้ง  "กำลังเริ่มแผนการบางอย่างที่ทำให้โลกทั้งสองของเราเชื่อมต่อกันอีกครั้ง  และคิดที่จะทำลายโลกทั้งสองทิ้งด้วยการเชื่อมมิติอันโหดร้ายนี้  เทพอสูรแห่งความมืดจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดึงความชั่วทุกสิ่งออกมาจากร่างกาย  และจะเป็นเช่นนี้ชั่วนิรันดร"

    ชายหนุ่มรู้สึกขนที่คอลุกขึ้นด้วยความคมของคำพูดอันน่ากลัวนี้  มอร์ธร่างมนุษย์จะกลับมาอีกครั้งกระนั้นหรือ  สงครามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับสองพันปีจะเกิดขึ้นอีกครั้ง  และมนุษย์ปุถุชนจะเป็นเช่นไรถ้าพวกเขาไม่ยอมหยุดยั้งแผนการของพวกมันในเร็ววันนี้

    "แล้วข้าควรจะทำเช่นไรกัน  บอกข้าที"  เสียงของชายหนุ่มนัยน์ตามรกตนั้นพูดอย่างจะโทษเทพอย่างไรอย่างนั้น  และน้ำเสียงเช่นนั้น  ทำให้เทพแห่งท้องฟ้าร้องขึ้นว่า

    "นั่นคือภารกิจของเจ้า  เจ้าเคยสลบไปนานหลายวันเมื่อพายุแห่งนี้มาที่นี่  แต่เจ้าไม่เคยสังเกตเลยหรือว่าเจ้ามีบาดแผลไฟไหม้อยู่บนแขนข้างที่ถนัดของเจ้า"

    ชายหนุ่มจ้องมองแขนข้างซ้ายที่ตนเองถือดาบด้ามสีดำนิลเอาไว้  ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่ารอยแผลไฟไหม้สีแแดงเหมือนถูกกรีดนั้นมีอยูจริงๆเสียด้วย  แต่ผิดแปลกที่รอยไหม้นี้ดูไม่เหมือนรอยไหม้ของไฟแต่มันดูเหมือรอยไหม้ของอะไรบางอย่างที่ทรงอำนาจถูกแขนของเขาจนลามออกไปมากกว่า

    "นั่นคือ  รอยแผลแห่งพลัง"

    "รอยแผลแห่งพลังอย่างนั้นหรือ"

    "มันคือรอยแผลที่  'ท่านผู้นั้น'  กรีดเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า  เจ้าคือ  คนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสดาบและสัญลักษณ์ทางเวทย์มนต์ของ  'ท่านผู้นั้น'  เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะหาสัญลักษณ์แห่งหัวใจของเขา"

    "หมายความว่าอย่างไร"  ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ

    "ดาบคอนซอนตรา  เป็นดาบเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่  'ท่านผู้นั้น'  ใช้  เพื่อต่อสู้กับเทพอสูรแห่งความมืดในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่าน  แต่ท่านยังไม่ตาย  ท่านผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว  ในครั้งนี้ท่านปรากฏตัวในรูปแบบมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริง  เจ้าจะต้องช่วยเหลือเขาในทุกรูปแบบและต้องแนะนำเขาในส่วนของเวทมนตร์ด้วย"

    "แต่ข้าถูกขับออกมาจากชนเผ่านั้นแล้ว  และข้าก็ถูกดูดพลังเวทมนตร์ออกไปจนหมดด้วย  ข้าจึงหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับเหล่ามอร์ธร่างมนุษย์ในครั้งนี้อย่างไรเล่า"

    "แต่เจ้ายังเหลือพลังเวทย์มนต์บทสุดท้าย  นั่นคือ  พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พลังทั้งหลายในคัมภีร์แห่งเจ้าพิภพนี้"

    "มันคืออะไรเล่า"  ชายหนุ่มถามอีกด้วยความโมโหเดือด

    "วินาทีที่เจ้าเห็นเด็กหนุ่มผู้ที่เป็นท่านผู้นั้นแล้ว  เจ้าจะพบคำตอบด้วยตัวเอง"  เสียงนั้นพูดอย่างหมดเรี่ยวแรงที่จะพูดอีกต่อไปแล้ว  เธอค่อยๆหดแสงที่ส่องลงบนร่างของชายหนุ่มคนนั้น  ก่อนที่จะหดหายไปเป็นลำแสงของดวงอาทิตย์ดวงเดิมอีกครั้ง 

    ชายหนุ่มค่อยๆมองดูรอยแผลแห่งพลังในมือซ้ายของตนเองด้วยความรู้สึกพิกลๆ  เขาน่ะหรือมีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์ปุถุชนเคยมี  และจะยังสามารถดึงพลังนั้นออกมาใช้ได้อีกหรือ

    แต่ถึงอย่างไร  เขาก็ต้องลองไปที่โลกแห่งความเป็นจริงดูสักครั้งหนึ่งก่อนที่พวกมอร์ธจะไปเยือน  และทำความเสียหายให้กับโลกมนุษย์เสียก่อน

    ชายหนุ่มจึงล้วงเอาแผ่นกระดาษที่ทำจากเปลือกไม้เวทมนตร์ออกมาจากกระเป๋าข้างขวา  และคลี่กระดาษแผ่นเก่านั้นออกไป  เขามองเห็นเป็นสัญลักษณ์รูปดวงดาวห้าดวงเรียงต่อกันเป็นรูปดาวห้าแฉกสีแดงอมดำ  เหมือนกับเอาดินและเลือดมาทาเป็นรูป  ด้านในของสัญลักษณ์นั้นมีอักขระภาษาเอลฟ์  ซึ่งมองแล้วเหมือนอักขระภาษารัสเซียที่ดูไม่รู้เรื่องอยู่ข้างในวงนั้น 

    เขาคลี่กระดาษออก  ก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างเสียงแผ่วเบา  และกระแทกกระดาษแผ่นนั้นติดพื้นเหมือนกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง

    วินาทีต่อมา  เกิดเสียงแปลบๆเหมือนไฟฟ้าสถิตดังขึ้น  เหมือนกับพลังงานที่อัดแน่นได้ถูกปลดปล่อยออกมา  นี่คือคัมภีร์ประตูมิติ  ที่มีเอลฟ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้  ถึงแม้ว่าจะไม่มีเวทมนตร์ก็ตาม  เพราะสิ่งนี้ใช้ในหมู่เอลฟ์ที่ไม่มีเวทมนตร์โดยเฉพาะ

    แสงนั้นค่อยๆวาบขึ้นมาครอบคลุมร่างของชายหนุ่มก่อนที่จะดูดร่างนั้นหายไปเหมือนบ่อโคลนสีแดง  และเขาก็จมวับไปเหมือนเขามิได้อยูตรงนั้นเลยสักนิดเดียว

    หญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นมองดูท้องฟ้าเหนือขึ้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย  ทั้งเศร้า  และให้ความหวัง

    "หวังว่าเจ้าคงจะทำได้นะ  โกกัส  อิสริยะ"  เสียงของหญิงสาวผู้นั้นดังขึ้นในความมืด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×