ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สอง หอนาฬิกาแห่งเมืองกูราเยอและนิทานแห่งปัจจุบัน (แก้ไข100%)
บทที่สอง หอนาฬิกาแห่งเมืองกูราเยอและนิทานแห่งปัจจุบันเสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงแต่ผะแผ่วด้วยเสียงอากาศพร้อมกับเสียงกรงเล็บขูดขีดพื้นชวนแสยงขนดังขึ้นตรงด้านหลังของมหิทธิ ชายหนุ่มค่อยๆหันนัยน์ตาสีเขียวมรกตมองดูร่างที่เดินเข้ามาด้วยความหวังริบหรี่ว่าเป็นเพียงคนสติแตกใส่ชุดเสือของจริงมาข่มขู่เขาเล่น
แต่ไม่มีโชคเช่นนั้นในชีวิตจริง
หัวของเสือโคร่งขนาดใหญ่สีน้ำตาลแก่เหมือนต้นไม้โผล่ออกมาจากความมืดอันหม่นหมอง มันมีดวงตาสีแดงสดสองข้างและมีดวงตาสีพิเศษสีขาวเหมือนตาน้ำข้าว มันอ้าปากขึ้นพร้อมกับอ้าคมเขี้ยวที่เรียงรายอยู่ในปากของมัน ร่างของมันโผล่ออกมาจากความมืดอันเหนียวเหนอะ ร่างกายอันใหญ่เท่ากับโคตัวโตเต็มที่และล่ำสันเหมือนเสือตัวผู้ทั่วไปกำลังเยื้องย่างมาทางนี้ ลายพาดกลอนสีเหลืองอ่อนเหมือนทองคำถูกทาเป็นลายปรากฏขึ้นที่ลำตัวอันล่ำสัน ปีกขนาดใหญ่ที่มองดูเหมือนเป็นผิวหนังที่งอกออกมานั้นกระพือไปมาด้วยความสงสัย หางของมันนั้นสะบัดไปมาด้วยความกระหายเลือดที่จับขั้วหัวใจของมันตั้งแต่ได้กลิ่นของมนุษย์ผู้บาดเจ็บแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆถอยห่างออกมาจากร่างอันใหญ่โตเท่ากับตัวเขาพร้อมกับที่เสือโคร่งนั้นก็ก้าวย่างเข้ามาด้วยความสงสัย เพียงพริบตา มหิทธิก็ติดกับของมัน เมื่อหลังของเขานั้นติดกับหอนาฬิกาขนาดใหญ่นั้น!!เสือโคร่งขนาดใหญ่ลืมตาสีขาวขึ้น เผยให้เห็นรูม่านตาสีเหลืองทอง มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าตกใจสำหรับเสือตัวโตเท่าโคตัวผู้ มันอ้าคมเขี้ยวขนาดใหญ่เท่าเขี้ยวงูแต่คมกว่าหลายเท่าพร้อมกับกัดอากาศอันว่างเปล่าเมื่อมหิทธิเอียงตัวหลบปากขนาดเท่าศีรษะของเขาอย่างหวุดหวิด มันงับได้เพียงหอนาฬิกาที่มีรอยคมเขี้ยวกัดจนจม “ว้าก!!”เขาร้องขึ้นด้วยความหวาดหวั่นเป็นที่สุด เสือสามตาค่อยๆหันมาทางมหิทธิพร้อมกับยกอุ้งเท้าขึ้นฟาดลงบนลำตัวของมหิทธิเต็มแรง!! ปึง!!ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีรู้สึกกระเทือนเหมือนถูกต้นไม้ฟาด ร่างของมหิทธิวาดเป็นเส้นตรงอย่างไม่สง่างามก่อนที่จะล้มลงกับพื้นดังตุบ เสือสามตาอ้าคมเขี้ยวขึ้นคำรามเสียงดังลั่นเหมือนไม่สบอารมณ์ที่เหยื่อไม่มีเลือดออกเสียที
จนกระทั่งมันมองดูชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาสีแดงอมเหลือง และก็พบว่าตอนนี้เหยื่อยังไม่มีอะไรอันตราย มันคำรามพลางส่ายศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์
มหิทธิค่อยๆลุกขึ้นอย่างพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดพร้อมกับพยายามจะหลบอุ้งเล็บที่วาดขึ้นตรงเหนือหัวของเขา มหิทธิวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตและมีความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เสือสามตากวาดสายตามาทางขวา ก่อนที่จะกางปีกดังพึ่บและบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็ว
โครม
มหิทธิใช้ความฉลาดจดจำทางที่ตนเองวิ่งมาที่บ้านมังกร แต่วินาทีต่อมา เขารู้สึกว่าตนเองกระเด้งออกมาจากกำแพงอะไรบางอย่างที่มีความหนานุ่มเหมือนใยผ้า เขากระเด็นลงมานั่งจุกอยู่กับพื้นพร้อมกับสอดสายตา จึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับมหิทธิอย่างรุนแรง เพราะเสียงเสือคำรามก้องปฐพีดังขึ้นที่ด้านหลังห่างจากมหิทธิไม่ถึงร้อยเมตร
กำแพงทรงครึ่งทรงกลมถูกกางขึ้นเป็นเส้นใยสีแดงยาวถึงเหนือหัวสูงขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเมตร มหิทธิร้องลั่น กับดัก
เสือสามตาค่อยๆหุบปีกลงด้วยเสียงดังก่อนที่จะเดินเยื้องย่างมาหาด้วยความกระหายเนื้อและเลือด
มหิทธิพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไปพร้อมกับใช้หมัด เตะ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เส้นใยขาดด้วยความร้อนรน เขาไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่านี้มาก่อน แต่ชายหนุ่มพบ
ด้วยนัยน์ตาสีเขียวที่สาดส่องถึงเส้นใยสีแดง
ว่าเส้นใยไม่มีทางขาดง่ายๆด้วยแรงคนแน่ๆ
เขารู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องด้วยความหวาดผวาเพราะเสือจอมกระหายเลือดกำลังวิ่งออกมาจะถึงตัวเขาอยู่แล้ว
“เจ้าหนีชะตากรรมแห่งโลกใบนี้ไม่พ้นไปได้หรอกนะ
มหิทธิ สิริราชา”มหิทธิเลิกล้มที่จะทลายกำแพงเหนียวเหนอะนี้ พร้อมกับสาดส่องหาต้นเสียงด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเสือสามตาพร้อมที่จะกินเขาเป็นมื้อค่ำแล้ว“หึ หึ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อีกประเดี๋ยว เจ้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่ โดยไม่ได้ถูกเสือกินหรอก แต่ข้าอยากจะเห็นลีลาการต่อสู้ของเจ้าก่อน
”“ผมไม่มีฝีมือการต่อสู้หรอก นอกจากเตะๆต่อยๆเท่านั้น และผมก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชะตากรรมของคุณด้วย ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!!” มหิทธิพูดกับดินฟ้าอากาศ คราวนี้แววตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าน่ะมีฝีมือการต่อสู้และขุมพลังอันมหาศาล
ที่เจ้ามิอาจปฏิเสธได้
”“ขุม
ขุมอะไรไม่ทราบ” มหิทธิพูดอย่างโมโหเดือด
เขาไม่เห็นมีเวทย์มนต์อะไรเลยสักนิด นอกจากคำพูดสบถที่ใช้กับเพื่อนๆที่ชอบว่าเขาก็เท่านั้น“เจ้ามองเห็นดาบยาวสองคมนั่นหรือไม่” เสียงของคนที่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงดังขึ้นอีก แต่คราวนี้มันคนละเสียงกับที่พูดกับชายที่พูดเมื่อกี้นี้ มหิทธิหันไปรอบๆด้วยความสงสัยว่าดาบหรือ
ดาบไหนล่ะสายตาสีเขียวมรกตนั้นมองดูทางด้านขวาของตนเอง ก็พบกับดาบสองคมยาวถึงหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตรวางอยู่อย่างสง่าบนพื้นปูน มหิทธิวิ่งไปหยิบดาบมาอย่างเชื่อฟังเต็มที่เพราะไม่อยากถูกเสือกิน แต่ดาบที่ยกขึ้นนั้นกลับหนักขึ้นเมื่อมหิทธิพยายามจะยกมันขึ้นมา
“ขึ้น
ขึ้นสิ” มหิทธิพูดขึ้นพลางยกดาบขึ้นด้วยสองมืออันบอบบาง แต่ร่างกายของมหิทธิในตอนนั้นถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่า แต่กลับไม่สามารถยกดาบขึ้นได้อย่างง่ายดาย เขาใช้แรงที่หลังยกดาบขึ้นอีกครั้ง แต่ดาบกลับยกไม่ขึ้นเลยสักนิด...บุรุษลึกลับผู้หนึ่งที่กำลังมองดูเหตุการณ์นั้นผ่านการหลับตา หรือที่เรียกง่ายๆว่า ตาทิพย์ เขาเพ่งสมาธิไปเรื่อยๆด้วยความกังขาเต็มที่ แต่ยิ่งมองดูเหตุการณ์ที่มหิทธิยกดาบ เขายิ่งสมเพชคนๆนี้มากขึ้น
“นี่น่ะหรือ ผู้ที่ถูกเลือก คนอ่อนแอพรรค์นี้น่ะหรือ” ชายผู้นี้คิดอย่างหยามเหยียด “ไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าเผ่ามนุษย์ผู้ดูแลโลกแห่งความเป็นจริงคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยกสมุดบันทึกล้ำค่าให้กับเด็กอ่อนแอเวรตะไลคนนี้ ในยามวิกฤตเช่นนี้”ชายผู้นั้นกำลังจะลืมตาขึ้น แต่อยู่ๆร่างของชายผู้นั้นกลับแข็งทื่อ ขยับไม่ได้เลยแม้เพียงนิดเดียว เขารู้สึกว่าร่างนั้นสั่นๆด้วยประจุพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่พลุ่งพล่านออกมาจากใต้อาณาเขตของเขา ชายผู้นั้นค่อยๆหลับตาด้วยความสะพรึงกลัว และจึงพบว่า
“แย่ละสิ เสือนั่น
กำลังจะเข้ามาถึงตัวของเด็กผู้นั้นอยู่แล้ว แล้วมันยังติดคำสาปมอร์ธที่ร้ายกาจที่สุดอีกด้วย แปลว่ามันเข้าถึงเมืองของเราแล้วหรือ“แต่ถ้าเขายกดาบไม่ขึ้น ก็ช่างมันปะไรเล่า เรายังมีผู้คนที่ต้องการทดสอบดาบนั้นอีกเยอะแยะมากมาย”มหิทธิซึ่งพยายามยกดาบขึ้นด้วยท่วงท่าที่ไม่สง่า ขางอลงเพื่อรับน้ำหนักแรง แขนยืดขึ้นเพื่อส่งแรง แต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด
แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ไขสันหลังร้องขึ้นมาอย่างหวาดผวา ด้วยประสาทสัมผัสที่หก มหิทธิหันกลับไปด้วยความสงสัย
เสือสามตาค่อยๆเยื้องย่างก้าวเข้ามาหาเขาด้วยจิตสังหารและความกระหาย มหิทธิพยายามยกดาบขึ้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด
“แฮ่ แฮ่ ทำไมยกดาบไม่ขึ้นล่ะนี่
” มหิทธิพูดขึ้นด้วยความโมโหเดือด แต่เขาเริ่มพยายามทำจิตใจให้สงบเพื่อไม่ให้เสือสามตามองเห็นถึงความกลัวที่เกาะกุมจิตใจเขาอยู่
แต่เพียงพริบตาที่ชายหนุ่มตั้งสมาธิเพื่อให้ใจเย็นและสงบ ดาบยาวสีเงินนั้นพลันเบาลงอย่างน่าเหลือเชื่อพร้อมกับที่ค่อยๆแปรรูปร่างอย่างน่าตกใจ
“โอ้ออออออ”มหิทธิยกดาบขึ้นด้วยสมาธิ ตอนนี้มหิทธิรู้แล้วว่า ความไม่ถนัดที่สุดของเขา คือความใจเย็นอันเล็กน้อยนั้น ทำให้เขายกดาบขึ้นได้สำเร็จ!! ก่อนที่จะยกปลายดาบขึ้นตั้งฉากกับพื้นด้วยความเบาอันน่าเหลือเชื่อ
พร้อมกับที่ดาบนั้นเปลี่ยนรูปร่างจนเสร็จสมบูรณ์ด้วยความคิดของตัวเขาในขณะนั้นว่าต้องการเอาตัวรอด
ดาบนั้นค่อยๆใหญ่ขึ้นจนเกินรอบมือทั้งสองข้าง พร้อมกับที่ใบดาบสองคมนั้นหนาและยาวขึ้นจนดูเหมือนดาบที่ทหารม้าใช้ กั่นดาบนั้นเริ่มเปลี่ยนรูปร่างจากรูปกั่นธรรมดาเป็นกั่นรูปปีกนกสีแดง
“นั่นมัน
ดาบเล่มแรก
ของท่านผู้นั้นนี่นะ” เสียงของชายผู้นั้นแหบแผ่วลงด้วยความเหลือเชื่อที่ไม่อาจละสายตาทิพย์ไปได้
ดาบเปลี่ยนแปรรูปร่างจนสมบูรณ์พร้อมกับที่เสือสามตาพุ่งเข้ามาและอ้าปากพร้อมที่จะกัดคอของชายผู้นั้น
เฟี้ยว!!ดาบขนาดใหญ่นั้นถูกเหวี่ยงตัวขึ้นด้วยความรุนแรงเสียจนแทบจะเกิดรอยแยกของพื้นปูน เสือนั้นพุ่งถอยห่างออกไปในทันทีพร้อมกับจ้องเขม็งมาทางดาบอันใหญ่โตนั้น
“เจ้ามีชื่อให้กับดาบที่เจ้าเพิ่งยกขึ้นหรือไม่” เสียงอันแผ่วลึกและน่าเกรงขามดังขึ้นที่แห่งเดียวกับเสียงของชายทั้งสองนั้น“คอนซอนตรา (สมาธิ)”มหิทธิพูดขึ้นพร้อมกับชูดาบขึ้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งมีสมาธิ ทั้งอยากที่จะปกป้องคนอื่นที่อยู่ที่นี่ ให้รอดพ้นจากเสือขนาดใหญ่นี้
“เสือขนาดใหญ่นี้ถูกคำสาปของมอร์ธตัวที่อ่อนแอที่สุด แทบจะไม่เรียกว่าเป็นความมืดอันน่าหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็สร้างปัญหาให้กับเรา ร่างของมันนั้นสามารถแพร่เชื้อออกไปจากที่นี่ เพียงแค่ได้ยินคาถามืดที่พวกมันปลดปล่อยออกมา
”“ผมไม่สนหรอกนะว่าใครจะเป็นใคร หรือตัวอะไรที่จะทำร้ายผม แต่ถ้ามันต้องการทำร้ายผู้อื่นแบบนี้ละก็
”ดวงตาสีเขียวของมหิทธิวาวโรจน์ด้วยความเข้มแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“ผมคงจะต้องทำร้ายมัน เพื่อส่งมันกลับไปสู่จุดเดิม
”ชายผู้นั้นรู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งที่ปลดปล่อยออกมาเป็นอะไรบางอย่างที่ออกมาจากร่างของมหิทธิ เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆเพื่อให้รอดพ้นจากเวทย์มนต์ที่ทำร้ายตนเองพร้อมกับมองดูบนฟากฟ้าไกล“ข้าหวังว่าเจ้าคงจะทำได้สำเร็จนะ มหิทธิ สิริราชา”เสียงนั้นกลับแก่ชราอย่างน่าเหลือเชื่อ!!มหิทธิค่อยๆยกดาบขึ้นอย่างแผ่วเบาาพร้อมกับนึกถึงการเรียนดาบที่ตนเองเคยเรียนมาก่อนเมื่อสมัยเด็กๆ มหิทธิค่อยๆยกดาบขึ้นเฉียงออกไปทางขวาเพื่อสะดวกในการโจมตีจุดตาย ก่อนที่จะพุ่งออกไปตวัดดาบลงตรงคอของเสือสามตา
คอมนิเกยะ มารากัสสะ อาวิการอาระ มารัวการะสิ มาเรกัสระ
เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งที่ฟังดูแล้วคล้ายบทสวดดังขึ้นด้วยเสียงแผ่ว มหิทธิรู้สึกปวดหัวจี๊ดอย่างรุนแรงพร้อมกับที่ดาบค่อยๆหนักขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะเขาไม่ได้ใช้สมาธิในการยก เขาขาดในจุดนี้อย่างมาก จึงเริ่มยืนนิ่งและเสือนั้นได้โอกาสฟาดอุ้งมือขนาดใหญ่ใส่ร่างของเขา
เคร้ง!!แต่ดาบขนาดใหญ่นั้นกลับปัดป้องออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกับที่อะไรบางอย่างนั้นท่องคาถาเสียงแผ่วเพื่อให้มหิทธิหลุดจากมนตรากักขัง มหิทธิหันไปมองดูด้านข้างของลำตัวอันล่ำสัน ก็พบกับดวงตาขนาดใหญ่ที่มีสีแดงสดและรอยขีดสีเหลืองอมดำ มันจ้องมองดูมหิทธิอย่างแปลกใจที่เขาไม่ตกอยู่ใต้มนตรากักขังนี้
“เจ้านาย รีบฟันดวงตานั่นสิ ข้าอยากได้พลังมืดนั้นมาเป็นอาหารของตนเอง ถึงมันจะไม่อร่อยก็ตามทีเถอะ”“ดะ
ดาบพูดได้” มหิทธิร้องลั่นพร้อมกับที่เสือสามตานั้นหันมาอ้าปากกัดเขา ชายหนุ่มจึงยกดาบขึ้นปัดป้องคมเขี้ยวนั้น และเขาก็ถอยกลับไปตั้งหลักในทันที“ เอาเป็นว่าดิฉันจะเล่าเรื่องของตนเองทีหลัง ตอนนี้รีบหาวิธีอะไรก็ได้ที่จะฟันดวงตานั้นให้ขาดเป็นสองซีก นี่เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดความมืดออกมาจากร่างของเสือตัวนั้นได้”“ดะ
ได้ๆ ตกลง” มหิทธิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมกับที่เสือสามตานั้นจ้องมองมาทางมหิทธิ พร้อมกับพุ่งเข้ามาหาและตะปบร่างของเขา มหิทธิจึงสามารถเห็นช่องว่างของมันได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งหลบกรงเล็บ ก่อนที่จะวาดดาบขึ้นตรงสีข้าง และ
ฉัวะ!!ดาบขนาดใหญ่นั้นฟันลงมาตรงบริเวณรอยต่อของบาดแผลที่เกิดจากดวงตานั้น ดวงตานั้นขาดออกเป็นสองซีกด้วยความคมของดาบแห่งสมาธิ มันค่อยๆหดย่นยู่เข้าไปข้างในร่างของเสือ ก่อนที่จะพุ่งออกมาจากร่างของเสือขนาดใหญ่ และมันก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะล้มลง สลบไป
มหิทธิทรุดลงไปนอนกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกว่าตนเองใช้สมาธิบังคับดาบที่ตนเองไม่ต้องการเสียจนร่างกายนั้นแทบจะรับไม่ไหว เหมือนกับในการ์ตูนที่เมื่อใช้ดาบใหม่ๆ พระเอกต้องหมดแรงข้าวต้มทุกที มหิทธิหัวเราะกับมุขฝืดๆของตนเอง ก่อนที่เสียงๆหนึ่งจะดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่มีพลังอำนาจอยู่ในมือข้างขวาของเขา
“ท่านปลดผนึกความกลัวขั้นแรกของท่านได้แล้ว แต่ในตอนนี้ท่านยังบังคับดาบไม่ได้ดังใจนัก สาเหตุอาจจะเป็นเพราะร่างของท่านนั้นไม่ใช่ร่างหยาบของท่านเองก็ได้” เสียงผู้หญิงพูดขึ้นด้วยเสียงหวาน“แล้วตัวฉันมาจากที่ไหนกันแน่” มหิทธิถามอย่างสงสัยในร่างกายของตนเอง“วิญญาณของท่านอยู่ในฝันในโลกแห่งความเป็นจริง ในขณะเดียวกัน ท่านก็อาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณที่มีเพียงจินตนาการของมนุษย์และความสุขสบายในทางเวทย์มนต์ของพวกเราด้วย
”“แปลว่าฉันกำลังฝันไป
กระนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
“เปล่าเลย ท่านก็เป็นท่าน มหิทธิ สิริราชา คนนี้คนเดียวอยู่ในโลก แต่ร่างที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้เป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่รอดพ้นวิกฤติของชนเผ่าเอลฟ์ที่หนีออกมาจากที่นั้นได้”“เรากำลังอยู่ในสภาวะของสงครามนะคะ ท่านมหิทธิ โลกแห่งความเป็นจริงต้องสู้กับมนุษย์มากขึ้นฉันใด โลกแห่งจิตวิญญาณก็ต้องสู้กับความชั่วที่หลั่งไหลออกมาจากโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นฉันนั้น คนเรามิอาจหนีออกจากสภาวะสงครามได้เลยสักนิด ไม่สงครามภายนอกที่เราต้องสู้ ก็ต้องสู้กับความในใจของตัวของเราเอง อย่างที่ท่านสู้กับความหวาดกลัวเพื่อยกดาบคอนซอนตราเล่มนี้ขึ้นอย่างไรล่ะคะ”“ฉันเข้าใจดีน่า ว่าตอนนี้เรากำลังต่อสู้อยู่กับอะไรน่ะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางหัวร่ออย่างไม่ตลกขบขันเลยสักนิด“ดิฉันคงต้องขอตัวลาจากท่าน เพื่อไปสู่ด้านในจิตใจของท่าน เพื่อให้ท่านสามารถยกสมาธิเป็นที่ตั้งในการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
”“เดี๋ยวก่อน!!” มหิทธิร้องขึ้นพลางกุมดาบที่กำลังจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตานั้น “ฉันยังไม่รู้ว่าจะยกดาบขึ้นอย่างไรเลย”เธอเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง แต่ดูจากความเงียบนั้นแล้ว มหิทธิคิดว่าเธอกำลังยิ้มพรายให้กับการจากลา
ที่ต้องเจอกันได้อีกอย่างแน่นอน
“ท่านก็เรียนรู้จากการยกดาบนี้ขึ้นแล้วนี่คะ
”มหิทธิรู้สึกได้ถึงคำสอนอันละเอียดอ่อนของดาบเล่มนั้น ก่อนที่มันจะสลายหายไปเป็นเถ้าธุลีลง และสายลมก็พามันหายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เสียงต่อมาที่ได้ยินนอกจากคำสอนอันกึกก้องของดาบคอนซอนตรานั้นคือ เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่วิ่งเข้ามาหาเขา มหิทธิที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่การใช้ดาบขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สมาธิในการบังคับ ทำให้เขาแทบจะหมดแรงข้าวต้มในทันที มหิทธิล้มลงกับพื้น และหลับไปในทันที
“มหิทธิ
”“มหิทธิ
”เสียงของหญิงสาวที่เขาต้องการที่สุดร้องขึ้นอย่างผะแผ่วพร้อมกับที่ร่างของเขาถูกเขย่าอย่างแผ่วเบาด้วยมือทั้งสองข้าง มหิทธิค่อยๆลืมเปลือกตาขึ้น ก็พบกับอินดูนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่าพร้อมกับผ้าเช็ดตัวที่เช็ดตัวเขาอย่างแผ่วเบา มหิทธิค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงและมองดูรอบๆด้วยความพิศวง“ที่นี่
”“บ้านฉันเองละ” อินดูพูดขึ้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอปาดเหงื่อออกจากหน้าผากก่อนที่จะพูดอย่างสงสัยว่า“เธอเป็นอะไรเหรอ เห็นว่าเธอเหนื่อยอ่อนจนเกินไป” อินดูพูดอย่างสงสัย “แล้วที่ฉันเห็นเธอนอนอยู่กับเสือสามตานั่นเป็นเพราะอะไรหรือ”มหิทธิค่อยๆเล่าเรื่องเกี่ยวกับเสือสามตาและการต่อสู้
และเสียงที่อยู่ในอาณาเขตหอนาฬิกานั้น เมื่อเล่าจบ อินดูก็มีสีหน้ารู้สึกผิดในทันที เธอเศร้าไปและเอ่ยขึ้นว่า“มอร์ธ คือ ความมืดในจิตใจของมนุษย์ที่เหล่ามนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงสร้างขึ้นมาจากความมืดหม่นในจิตใจ เราต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอดสองพันปีที่พ้นผ่านมา นับตั้งแต่ยุคมืด
ในโลกแห่งความเป็นจริง”“สองพันปีก่อน
คงเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มมองไม่เห็นจินตนาการแล้ว ฉันเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอตัว ช่วงนั้นเป็นช่วงยุคมืด ไม่มีศาสนาเป็นของตนเองสินะ”"ใช่" หญิงสาวตอบ "แต่โลกทั้งสองนี้ในสมัยก่อนสองพันปีนั้น ยังทับซ้อนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนต่างมีความสุขกับจินตนาการที่ตนเองมีอยู่ และวิ่งไปมาอย่างมีความสุขพร้อมกับจินตนาการของตนเองที่ไม่มีวันสิ้นสุด""แต่อยู่มาวันหนึ่ง เหล่ามอร์ธเริ่มแทรกซึมออกมาอย่างช้าๆจากจุดใดจุดหนึ่งในโลกแห่งจิตวิญญาณและโลกแห่งความเป็นจริง มันเริ่มจากจุดเพียงจุดเดียวราวกับจุดในกระดาษ แต่ต่อมาก็ขยายกว้างมากขึ้นจนมันสามารถแทรกซึมสู่ความคิดของคนอื่นและแปรเปลี่ยนไปเป็นความชั่วในจิตใจของพวกเขา พวกมอร์ธฆ่าคนและเอาจิตใต้สำนึกของมนุษย์ไปจนหมดสิ้น พวกมันยังฝังตัวเป็นกาฝากในสัตว์และเริ่มโจมตี เข่นฆ่าพวกมนุษย์ พวกมอร์ธกัดกินความคิดของสัตว์ไปทีละนิดๆ ขณะเดียวกัน มันก็แพร่อาคมใส่ในสมองของพวกสัตว์จนพวกมันบ้าคลั่งและเข่นฆ่ามนุษย์เพื่อครองโลก”“เราต้องระวังไม่ให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำสอง และเพื่อให้โลกทั้งสองสงบลงดังเดิม นี่เป็นหน้าที่ของหอนาฬิกาแห่งกูราเยอนี้
”“หอนาฬิกานั่นน่ะเหรอ” มหิทธิถามพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปทางหอนาฬิกา “รู้ไหมว่าเพราะหอนาฬิกาและคนที่อาศัยอยู่ข้างในนั้น ฉันเกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว เกือบถูกเสือกิน รู้ไว้เสียด้วย”“มีคนอยู่ที่นั่นอย่างนั้นหรือ” อินดูถามพลางยืนขึ้น “น่าแปลกนะ ที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงเขตอาคมขนาดกว้างถึงร้อยกิโลเมตร เพื่อไม่ให้เหล่ามอร์ธเข้ามายุ่มย่ามกับเหล่ามนุษย์และชนเผ่าประหลาดในโลกแห่งนี้“หอนาฬิกาแห่งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของ ‘ท่านผู้นั้น’ ในสมัยก่อน ท่านสร้างหอนาฬิกาแห่งกูราเยอเพื่อต่อต้านเหล่ามอร์ธโดยเฉพาะ โดยการกางเขตอาคมเวทย์มนต์ภายในโลกแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ และใช้เขตขนาดใหญ่สร้างมันขึ้นมา“แต่ที่นี่ถูกมอร์ธบุกเข้ามา ทั้งๆที่ที่นี่เป็นศูนย์กลาง หมายความว่าอย่างไรกันแน่
หรือว่านี่อาจจะเป็นลางร้ายของโลกใบนี้กันแน่นะ” อินดูพูดเบาๆอย่างครุ่นคิดพลางเดินไปมา“มันจะเป็นอย่างไร เรายังไม่รู้” มหิทธิพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “แต่ที่แน่ๆเราปราบมอร์ธลงได้แล้ว หวังว่าคงจะไม่มีสัตว์ประหลาดที่ไหนทำร้ายชาวเมืองได้อีก”“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นนะ” อินดูพูดอีกแต่เสียงครืนๆของอะไรบางอย่างดังขึ้นด้านนอกบ้าน พร้อมกับเสียงหอนาฬิกาดังแต๊ง
แต๊ง ทั้งสองวิ่งไปดูที่นอกหน้าต่างด้วยความตื่นตระหนก ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นจากท้องฟ้า มันคือสายฟ้าที่พุ่งออกมาจากศูนย์กลาง ลามเข้าไปในท้องฟ้าจนเกิดเมฆสีเทาหม่นกินอาณาเขตทั่วเมืองกูราเยอ มันเป็นกระแสไฟฟ้าหลากสีที่ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด บ้างก็เป็นสีแดงสดราวกับเลือดที่ผ่าลงมา บ้างก็เป็นสีเขียวราวยาพิษ บ้างก็เป็นสีดำสนิทดุจสายแสงดำ กระแสไฟฟ้าเหล่าเริ่มกระจายออกไปไกลจากตัวเมือง ขณะเดียวกัน เมฆก็เริ่มกระจายออกไปจากตัวเมืองมากขึ้นๆ จนกระทั่งครอบคลุมทั่วทั้งโลกแห่งจิตวิญญาณ วินาทีนั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันชวนขนลุกของมันอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็นเสียงจากนรก แน่นอน ทุกคนในโลกแห่งจิตวิญญาณก็ได้ยินเสียงอันน่าขนลุกของมันเช่นกัน เสียงนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์คล้ายค้างคาวแต่ก็มีเสียงคล้ายเสียงบดเสียดดังครึ่กๆของเครื่องจักรตามมาด้วย ทั้งหมดเป็นเสียงจากบนฟ้า และเมฆนั้นก็มืดลงๆจนทำให้มหิทธิแทบมองไม่เห็นอะไรเลย จนกระทั่งครืน!!เสียงนั้นเงียบแผ่วไป แทนที่ด้วยความมืดมิดดุจรัตติกาลเข้ามาหาพวกเขา เหมือนกับสัญญาณว่าฝนกำลังจะตก แต่มันผิดปกติ เพราะความกลัวจับขั้วหัวใจของมหิทธิและอินดูอย่างรุนแรง พวกเขายังได้ยินเสียงหอนาฬิกาดังอยู่ เธอจำได้ว่ามันตีดังเป็นครั้งแรกเมื่อวันเริ่มต้นสงครามอันไม่มีที่สิ้นสุด และตอนนี้
ตอนนี้
มันก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือนี่!!ครืน...เสียงนั้นหยุดลง แทนที่ด้วยเสียงเหมือนพายุขนาดใหญ่กำลังพัดผ่าน เสียงวิ้วๆของมันดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันใกล้ขึ้นๆ จนในที่สุด เสียงนั้นก็อยู่ตรงหน้าของเขาโครม!!-กร๊อบ"อ๊าก!!" เสียงมหิทธิร้องลั่นปานจะขาดใจตายดังขึ้นในหูของเขาและต่อจากนั้น สติของเขาก็ดับหายไปอีกครั้ง
บทที่สอง หอนาฬิกาแห่งเมืองกูราเยอและนิทานแห่งปัจจุบัน
เสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงแต่ผะแผ่วด้วยเสียงอากาศพร้อมกับเสียงกรงเล็บขูดขีดพื้นชวนแสยงขนดังขึ้นตรงด้านหลังของมหิทธิ ชายหนุ่มค่อยๆหันนัยน์ตาสีเขียวมรกตมองดูร่างที่เดินเข้ามาด้วยความหวังริบหรี่ว่าเป็นเพียงคนสติแตกใส่ชุดเสือของจริงมาข่มขู่เขาเล่น
แต่ไม่มีโชคเช่นนั้นในชีวิตจริง
หัวของเสือโคร่งขนาดใหญ่สีน้ำตาลแก่เหมือนต้นไม้โผล่ออกมาจากความมืดอันหม่นหมอง มันมีดวงตาสีแดงสดสองข้างและมีดวงตาสีพิเศษสีขาวเหมือนตาน้ำข้าว มันอ้าปากขึ้นพร้อมกับอ้าคมเขี้ยวที่เรียงรายอยู่ในปากของมัน ร่างของมันโผล่ออกมาจากความมืดอันเหนียวเหนอะ ร่างกายอันใหญ่เท่ากับโคตัวโตเต็มที่และล่ำสันเหมือนเสือตัวผู้ทั่วไปกำลังเยื้องย่างมาทางนี้ ลายพาดกลอนสีเหลืองอ่อนเหมือนทองคำถูกทาเป็นลายปรากฏขึ้นที่ลำตัวอันล่ำสัน ปีกขนาดใหญ่ที่มองดูเหมือนเป็นผิวหนังที่งอกออกมานั้นกระพือไปมาด้วยความสงสัย หางของมันนั้นสะบัดไปมาด้วยความกระหายเลือดที่จับขั้วหัวใจของมันตั้งแต่ได้กลิ่นของมนุษย์ผู้บาดเจ็บแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆถอยห่างออกมาจากร่างอันใหญ่โตเท่ากับตัวเขาพร้อมกับที่เสือโคร่งนั้นก็ก้าวย่างเข้ามาด้วยความสงสัย เพียงพริบตา มหิทธิก็ติดกับของมัน เมื่อหลังของเขานั้นติดกับหอนาฬิกาขนาดใหญ่นั้น!!
เสือโคร่งขนาดใหญ่ลืมตาสีขาวขึ้น เผยให้เห็นรูม่านตาสีเหลืองทอง มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าตกใจสำหรับเสือตัวโตเท่าโคตัวผู้ มันอ้าคมเขี้ยวขนาดใหญ่เท่าเขี้ยวงูแต่คมกว่าหลายเท่าพร้อมกับกัดอากาศอันว่างเปล่าเมื่อมหิทธิเอียงตัวหลบปากขนาดเท่าศีรษะของเขาอย่างหวุดหวิด มันงับได้เพียงหอนาฬิกาที่มีรอยคมเขี้ยวกัดจนจม
“ว้าก!!”
เขาร้องขึ้นด้วยความหวาดหวั่นเป็นที่สุด เสือสามตาค่อยๆหันมาทางมหิทธิพร้อมกับยกอุ้งเท้าขึ้นฟาดลงบนลำตัวของมหิทธิเต็มแรง!!
ปึง!!
ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีรู้สึกกระเทือนเหมือนถูกต้นไม้ฟาด ร่างของมหิทธิวาดเป็นเส้นตรงอย่างไม่สง่างามก่อนที่จะล้มลงกับพื้นดังตุบ เสือสามตาอ้าคมเขี้ยวขึ้นคำรามเสียงดังลั่นเหมือนไม่สบอารมณ์ที่เหยื่อไม่มีเลือดออกเสียที
จนกระทั่งมันมองดูชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาสีแดงอมเหลือง และก็พบว่าตอนนี้เหยื่อยังไม่มีอะไรอันตราย มันคำรามพลางส่ายศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์
มหิทธิค่อยๆลุกขึ้นอย่างพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดพร้อมกับพยายามจะหลบอุ้งเล็บที่วาดขึ้นตรงเหนือหัวของเขา มหิทธิวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตและมีความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เสือสามตากวาดสายตามาทางขวา ก่อนที่จะกางปีกดังพึ่บและบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็ว
โครม
มหิทธิใช้ความฉลาดจดจำทางที่ตนเองวิ่งมาที่บ้านมังกร แต่วินาทีต่อมา เขารู้สึกว่าตนเองกระเด้งออกมาจากกำแพงอะไรบางอย่างที่มีความหนานุ่มเหมือนใยผ้า เขากระเด็นลงมานั่งจุกอยู่กับพื้นพร้อมกับสอดสายตา จึงมองเห็นอะไรบางอย่างที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับมหิทธิอย่างรุนแรง เพราะเสียงเสือคำรามก้องปฐพีดังขึ้นที่ด้านหลังห่างจากมหิทธิไม่ถึงร้อยเมตร
กำแพงทรงครึ่งทรงกลมถูกกางขึ้นเป็นเส้นใยสีแดงยาวถึงเหนือหัวสูงขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเมตร
มหิทธิร้องลั่น กับดัก
เสือสามตาค่อยๆหุบปีกลงด้วยเสียงดังก่อนที่จะเดินเยื้องย่างมาหาด้วยความกระหายเนื้อและเลือด
มหิทธิพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไปพร้อมกับใช้หมัด เตะ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เส้นใยขาดด้วยความร้อนรน เขาไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่านี้มาก่อน แต่ชายหนุ่มพบ
ด้วยนัยน์ตาสีเขียวที่สาดส่องถึงเส้นใยสีแดง
ว่าเส้นใยไม่มีทางขาดง่ายๆด้วยแรงคนแน่ๆ
เขารู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องด้วยความหวาดผวาเพราะเสือจอมกระหายเลือดกำลังวิ่งออกมาจะถึงตัวเขาอยู่แล้ว
“เจ้าหนีชะตากรรมแห่งโลกใบนี้ไม่พ้นไปได้หรอกนะ
มหิทธิ สิริราชา”
มหิทธิเลิกล้มที่จะทลายกำแพงเหนียวเหนอะนี้ พร้อมกับสาดส่องหาต้นเสียงด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเสือสามตาพร้อมที่จะกินเขาเป็นมื้อค่ำแล้ว
“หึ หึ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อีกประเดี๋ยว เจ้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่ โดยไม่ได้ถูกเสือกินหรอก แต่ข้าอยากจะเห็นลีลาการต่อสู้ของเจ้าก่อน
”
“ผมไม่มีฝีมือการต่อสู้หรอก นอกจากเตะๆต่อยๆเท่านั้น และผมก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชะตากรรมของคุณด้วย ปล่อยผมไปเดี๋ยวนี้นะ!!” มหิทธิพูดกับดินฟ้าอากาศ คราวนี้แววตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัด
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าน่ะมีฝีมือการต่อสู้และขุมพลังอันมหาศาล
ที่เจ้ามิอาจปฏิเสธได้
”
“ขุม
ขุมอะไรไม่ทราบ” มหิทธิพูดอย่างโมโหเดือด
เขาไม่เห็นมีเวทย์มนต์อะไรเลยสักนิด นอกจากคำพูดสบถที่ใช้กับเพื่อนๆที่ชอบว่าเขาก็เท่านั้น
“เจ้ามองเห็นดาบยาวสองคมนั่นหรือไม่” เสียงของคนที่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงดังขึ้นอีก แต่คราวนี้มันคนละเสียงกับที่พูดกับชายที่พูดเมื่อกี้นี้ มหิทธิหันไปรอบๆด้วยความสงสัยว่าดาบหรือ
ดาบไหนล่ะ
สายตาสีเขียวมรกตนั้นมองดูทางด้านขวาของตนเอง ก็พบกับดาบสองคมยาวถึงหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตรวางอยู่อย่างสง่าบนพื้นปูน มหิทธิวิ่งไปหยิบดาบมาอย่างเชื่อฟังเต็มที่เพราะไม่อยากถูกเสือกิน แต่ดาบที่ยกขึ้นนั้นกลับหนักขึ้นเมื่อมหิทธิพยายามจะยกมันขึ้นมา
“ขึ้น
ขึ้นสิ” มหิทธิพูดขึ้นพลางยกดาบขึ้นด้วยสองมืออันบอบบาง แต่ร่างกายของมหิทธิในตอนนั้นถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่า แต่กลับไม่สามารถยกดาบขึ้นได้อย่างง่ายดาย เขาใช้แรงที่หลังยกดาบขึ้นอีกครั้ง แต่ดาบกลับยกไม่ขึ้นเลยสักนิด...
บุรุษลึกลับผู้หนึ่งที่กำลังมองดูเหตุการณ์นั้นผ่านการหลับตา หรือที่เรียกง่ายๆว่า ตาทิพย์ เขาเพ่งสมาธิไปเรื่อยๆด้วยความกังขาเต็มที่ แต่ยิ่งมองดูเหตุการณ์ที่มหิทธิยกดาบ เขายิ่งสมเพชคนๆนี้มากขึ้น
“นี่น่ะหรือ ผู้ที่ถูกเลือก คนอ่อนแอพรรค์นี้น่ะหรือ” ชายผู้นี้คิดอย่างหยามเหยียด “ไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าเผ่ามนุษย์ผู้ดูแลโลกแห่งความเป็นจริงคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยกสมุดบันทึกล้ำค่าให้กับเด็กอ่อนแอเวรตะไลคนนี้ ในยามวิกฤตเช่นนี้”
ชายผู้นั้นกำลังจะลืมตาขึ้น แต่อยู่ๆร่างของชายผู้นั้นกลับแข็งทื่อ ขยับไม่ได้เลยแม้เพียงนิดเดียว เขารู้สึกว่าร่างนั้นสั่นๆด้วยประจุพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่พลุ่งพล่านออกมาจากใต้อาณาเขตของเขา ชายผู้นั้นค่อยๆหลับตาด้วยความสะพรึงกลัว และจึงพบว่า
“แย่ละสิ เสือนั่น
กำลังจะเข้ามาถึงตัวของเด็กผู้นั้นอยู่แล้ว แล้วมันยังติดคำสาปมอร์ธที่ร้ายกาจที่สุดอีกด้วย แปลว่ามันเข้าถึงเมืองของเราแล้วหรือ
“แต่ถ้าเขายกดาบไม่ขึ้น ก็ช่างมันปะไรเล่า เรายังมีผู้คนที่ต้องการทดสอบดาบนั้นอีกเยอะแยะมากมาย”
มหิทธิซึ่งพยายามยกดาบขึ้นด้วยท่วงท่าที่ไม่สง่า ขางอลงเพื่อรับน้ำหนักแรง แขนยืดขึ้นเพื่อส่งแรง แต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด
แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ไขสันหลังร้องขึ้นมาอย่างหวาดผวา ด้วยประสาทสัมผัสที่หก มหิทธิหันกลับไปด้วยความสงสัย
เสือสามตาค่อยๆเยื้องย่างก้าวเข้ามาหาเขาด้วยจิตสังหารและความกระหาย มหิทธิพยายามยกดาบขึ้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด
“แฮ่ แฮ่ ทำไมยกดาบไม่ขึ้นล่ะนี่
” มหิทธิพูดขึ้นด้วยความโมโหเดือด แต่เขาเริ่มพยายามทำจิตใจให้สงบเพื่อไม่ให้เสือสามตามองเห็นถึงความกลัวที่เกาะกุมจิตใจเขาอยู่
แต่เพียงพริบตาที่ชายหนุ่มตั้งสมาธิเพื่อให้ใจเย็นและสงบ ดาบยาวสีเงินนั้นพลันเบาลงอย่างน่าเหลือเชื่อพร้อมกับที่ค่อยๆแปรรูปร่างอย่างน่าตกใจ
“โอ้ออออออ”
มหิทธิยกดาบขึ้นด้วยสมาธิ ตอนนี้มหิทธิรู้แล้วว่า ความไม่ถนัดที่สุดของเขา คือความใจเย็นอันเล็กน้อยนั้น ทำให้เขายกดาบขึ้นได้สำเร็จ!! ก่อนที่จะยกปลายดาบขึ้นตั้งฉากกับพื้นด้วยความเบาอันน่าเหลือเชื่อ
พร้อมกับที่ดาบนั้นเปลี่ยนรูปร่างจนเสร็จสมบูรณ์ด้วยความคิดของตัวเขาในขณะนั้นว่าต้องการเอาตัวรอด
ดาบนั้นค่อยๆใหญ่ขึ้นจนเกินรอบมือทั้งสองข้าง พร้อมกับที่ใบดาบสองคมนั้นหนาและยาวขึ้นจนดูเหมือนดาบที่ทหารม้าใช้ กั่นดาบนั้นเริ่มเปลี่ยนรูปร่างจากรูปกั่นธรรมดาเป็นกั่นรูปปีกนกสีแดง
“นั่นมัน
ดาบเล่มแรก
ของท่านผู้นั้นนี่นะ” เสียงของชายผู้นั้นแหบแผ่วลงด้วยความเหลือเชื่อที่ไม่อาจละสายตาทิพย์ไปได้
ดาบเปลี่ยนแปรรูปร่างจนสมบูรณ์พร้อมกับที่เสือสามตาพุ่งเข้ามาและอ้าปากพร้อมที่จะกัดคอของชายผู้นั้น
เฟี้ยว!!
ดาบขนาดใหญ่นั้นถูกเหวี่ยงตัวขึ้นด้วยความรุนแรงเสียจนแทบจะเกิดรอยแยกของพื้นปูน เสือนั้นพุ่งถอยห่างออกไปในทันทีพร้อมกับจ้องเขม็งมาทางดาบอันใหญ่โตนั้น
“เจ้ามีชื่อให้กับดาบที่เจ้าเพิ่งยกขึ้นหรือไม่” เสียงอันแผ่วลึกและน่าเกรงขามดังขึ้นที่แห่งเดียวกับเสียงของชายทั้งสองนั้น
“คอนซอนตรา (สมาธิ)”
มหิทธิพูดขึ้นพร้อมกับชูดาบขึ้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งมีสมาธิ ทั้งอยากที่จะปกป้องคนอื่นที่อยู่ที่นี่ ให้รอดพ้นจากเสือขนาดใหญ่นี้
“เสือขนาดใหญ่นี้ถูกคำสาปของมอร์ธตัวที่อ่อนแอที่สุด แทบจะไม่เรียกว่าเป็นความมืดอันน่าหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ แต่มันก็สร้างปัญหาให้กับเรา ร่างของมันนั้นสามารถแพร่เชื้อออกไปจากที่นี่ เพียงแค่ได้ยินคาถามืดที่พวกมันปลดปล่อยออกมา
”
“ผมไม่สนหรอกนะว่าใครจะเป็นใคร หรือตัวอะไรที่จะทำร้ายผม แต่ถ้ามันต้องการทำร้ายผู้อื่นแบบนี้ละก็
”
ดวงตาสีเขียวของมหิทธิวาวโรจน์ด้วยความเข้มแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“ผมคงจะต้องทำร้ายมัน เพื่อส่งมันกลับไปสู่จุดเดิม
”
ชายผู้นั้นรู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งที่ปลดปล่อยออกมาเป็นอะไรบางอย่างที่ออกมาจากร่างของมหิทธิ เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆเพื่อให้รอดพ้นจากเวทย์มนต์ที่ทำร้ายตนเองพร้อมกับมองดูบนฟากฟ้าไกล
“ข้าหวังว่าเจ้าคงจะทำได้สำเร็จนะ มหิทธิ สิริราชา”
เสียงนั้นกลับแก่ชราอย่างน่าเหลือเชื่อ!!
มหิทธิค่อยๆยกดาบขึ้นอย่างแผ่วเบาาพร้อมกับนึกถึงการเรียนดาบที่ตนเองเคยเรียนมาก่อนเมื่อสมัยเด็กๆ มหิทธิค่อยๆยกดาบขึ้นเฉียงออกไปทางขวาเพื่อสะดวกในการโจมตีจุดตาย ก่อนที่จะพุ่งออกไปตวัดดาบลงตรงคอของเสือสามตา
คอมนิเกยะ มารากัสสะ อาวิการอาระ มารัวการะสิ มาเรกัสระ
เสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งที่ฟังดูแล้วคล้ายบทสวดดังขึ้นด้วยเสียงแผ่ว มหิทธิรู้สึกปวดหัวจี๊ดอย่างรุนแรงพร้อมกับที่ดาบค่อยๆหนักขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะเขาไม่ได้ใช้สมาธิในการยก เขาขาดในจุดนี้อย่างมาก จึงเริ่มยืนนิ่งและเสือนั้นได้โอกาสฟาดอุ้งมือขนาดใหญ่ใส่ร่างของเขา
เคร้ง!!
แต่ดาบขนาดใหญ่นั้นกลับปัดป้องออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกับที่อะไรบางอย่างนั้นท่องคาถาเสียงแผ่วเพื่อให้มหิทธิหลุดจากมนตรากักขัง มหิทธิหันไปมองดูด้านข้างของลำตัวอันล่ำสัน ก็พบกับดวงตาขนาดใหญ่ที่มีสีแดงสดและรอยขีดสีเหลืองอมดำ มันจ้องมองดูมหิทธิอย่างแปลกใจที่เขาไม่ตกอยู่ใต้มนตรากักขังนี้
“เจ้านาย รีบฟันดวงตานั่นสิ ข้าอยากได้พลังมืดนั้นมาเป็นอาหารของตนเอง ถึงมันจะไม่อร่อยก็ตามทีเถอะ”
“ดะ
ดาบพูดได้” มหิทธิร้องลั่นพร้อมกับที่เสือสามตานั้นหันมาอ้าปากกัดเขา ชายหนุ่มจึงยกดาบขึ้นปัดป้องคมเขี้ยวนั้น และเขาก็ถอยกลับไปตั้งหลักในทันที
“ เอาเป็นว่าดิฉันจะเล่าเรื่องของตนเองทีหลัง ตอนนี้รีบหาวิธีอะไรก็ได้ที่จะฟันดวงตานั้นให้ขาดเป็นสองซีก นี่เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดความมืดออกมาจากร่างของเสือตัวนั้นได้”
“ดะ
ได้ๆ ตกลง” มหิทธิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมกับที่เสือสามตานั้นจ้องมองมาทางมหิทธิ พร้อมกับพุ่งเข้ามาหาและตะปบร่างของเขา มหิทธิจึงสามารถเห็นช่องว่างของมันได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งหลบกรงเล็บ ก่อนที่จะวาดดาบขึ้นตรงสีข้าง และ
ฉัวะ!!
ดาบขนาดใหญ่นั้นฟันลงมาตรงบริเวณรอยต่อของบาดแผลที่เกิดจากดวงตานั้น ดวงตานั้นขาดออกเป็นสองซีกด้วยความคมของดาบแห่งสมาธิ มันค่อยๆหดย่นยู่เข้าไปข้างในร่างของเสือ ก่อนที่จะพุ่งออกมาจากร่างของเสือขนาดใหญ่ และมันก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะล้มลง สลบไป
มหิทธิทรุดลงไปนอนกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกว่าตนเองใช้สมาธิบังคับดาบที่ตนเองไม่ต้องการเสียจนร่างกายนั้นแทบจะรับไม่ไหว เหมือนกับในการ์ตูนที่เมื่อใช้ดาบใหม่ๆ พระเอกต้องหมดแรงข้าวต้มทุกที มหิทธิหัวเราะกับมุขฝืดๆของตนเอง ก่อนที่เสียงๆหนึ่งจะดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่มีพลังอำนาจอยู่ในมือข้างขวาของเขา
“ท่านปลดผนึกความกลัวขั้นแรกของท่านได้แล้ว แต่ในตอนนี้ท่านยังบังคับดาบไม่ได้ดังใจนัก สาเหตุอาจจะเป็นเพราะร่างของท่านนั้นไม่ใช่ร่างหยาบของท่านเองก็ได้” เสียงผู้หญิงพูดขึ้นด้วยเสียงหวาน
“แล้วตัวฉันมาจากที่ไหนกันแน่” มหิทธิถามอย่างสงสัยในร่างกายของตนเอง
“วิญญาณของท่านอยู่ในฝันในโลกแห่งความเป็นจริง ในขณะเดียวกัน ท่านก็อาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณที่มีเพียงจินตนาการของมนุษย์และความสุขสบายในทางเวทย์มนต์ของพวกเราด้วย
”
“แปลว่าฉันกำลังฝันไป
กระนั้นหรือ” มหิทธิถามอย่างสงสัย
“เปล่าเลย ท่านก็เป็นท่าน มหิทธิ สิริราชา คนนี้คนเดียวอยู่ในโลก แต่ร่างที่ท่านใช้อยู่ในขณะนี้เป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่รอดพ้นวิกฤติของชนเผ่าเอลฟ์ที่หนีออกมาจากที่นั้นได้”
“เรากำลังอยู่ในสภาวะของสงครามนะคะ ท่านมหิทธิ โลกแห่งความเป็นจริงต้องสู้กับมนุษย์มากขึ้นฉันใด โลกแห่งจิตวิญญาณก็ต้องสู้กับความชั่วที่หลั่งไหลออกมาจากโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นฉันนั้น คนเรามิอาจหนีออกจากสภาวะสงครามได้เลยสักนิด ไม่สงครามภายนอกที่เราต้องสู้ ก็ต้องสู้กับความในใจของตัวของเราเอง อย่างที่ท่านสู้กับความหวาดกลัวเพื่อยกดาบคอนซอนตราเล่มนี้ขึ้นอย่างไรล่ะคะ”
“ฉันเข้าใจดีน่า ว่าตอนนี้เรากำลังต่อสู้อยู่กับอะไรน่ะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางหัวร่ออย่างไม่ตลกขบขันเลยสักนิด
“ดิฉันคงต้องขอตัวลาจากท่าน เพื่อไปสู่ด้านในจิตใจของท่าน เพื่อให้ท่านสามารถยกสมาธิเป็นที่ตั้งในการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
”
“เดี๋ยวก่อน!!” มหิทธิร้องขึ้นพลางกุมดาบที่กำลังจะสลายกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตานั้น “ฉันยังไม่รู้ว่าจะยกดาบขึ้นอย่างไรเลย”
เธอเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง แต่ดูจากความเงียบนั้นแล้ว มหิทธิคิดว่าเธอกำลังยิ้มพรายให้กับการจากลา
ที่ต้องเจอกันได้อีกอย่างแน่นอน
“ท่านก็เรียนรู้จากการยกดาบนี้ขึ้นแล้วนี่คะ
”
มหิทธิรู้สึกได้ถึงคำสอนอันละเอียดอ่อนของดาบเล่มนั้น ก่อนที่มันจะสลายหายไปเป็นเถ้าธุลีลง และสายลมก็พามันหายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เสียงต่อมาที่ได้ยินนอกจากคำสอนอันกึกก้องของดาบคอนซอนตรานั้นคือ เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่วิ่งเข้ามาหาเขา มหิทธิที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่การใช้ดาบขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สมาธิในการบังคับ ทำให้เขาแทบจะหมดแรงข้าวต้มในทันที มหิทธิล้มลงกับพื้น และหลับไปในทันที
“มหิทธิ
”
“มหิทธิ
”
เสียงของหญิงสาวที่เขาต้องการที่สุดร้องขึ้นอย่างผะแผ่วพร้อมกับที่ร่างของเขาถูกเขย่าอย่างแผ่วเบาด้วยมือทั้งสองข้าง มหิทธิค่อยๆลืมเปลือกตาขึ้น ก็พบกับอินดูนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่าพร้อมกับผ้าเช็ดตัวที่เช็ดตัวเขาอย่างแผ่วเบา มหิทธิค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงและมองดูรอบๆด้วยความพิศวง
“ที่นี่
”
“บ้านฉันเองละ” อินดูพูดขึ้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอปาดเหงื่อออกจากหน้าผากก่อนที่จะพูดอย่างสงสัยว่า
“เธอเป็นอะไรเหรอ เห็นว่าเธอเหนื่อยอ่อนจนเกินไป” อินดูพูดอย่างสงสัย “แล้วที่ฉันเห็นเธอนอนอยู่กับเสือสามตานั่นเป็นเพราะอะไรหรือ”
มหิทธิค่อยๆเล่าเรื่องเกี่ยวกับเสือสามตาและการต่อสู้
และเสียงที่อยู่ในอาณาเขตหอนาฬิกานั้น เมื่อเล่าจบ อินดูก็มีสีหน้ารู้สึกผิดในทันที เธอเศร้าไปและเอ่ยขึ้นว่า
“มอร์ธ คือ ความมืดในจิตใจของมนุษย์ที่เหล่ามนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงสร้างขึ้นมาจากความมืดหม่นในจิตใจ เราต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอดสองพันปีที่พ้นผ่านมา นับตั้งแต่ยุคมืด
ในโลกแห่งความเป็นจริง”
“สองพันปีก่อน
คงเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มมองไม่เห็นจินตนาการแล้ว ฉันเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอตัว ช่วงนั้นเป็นช่วงยุคมืด ไม่มีศาสนาเป็นของตนเองสินะ”
"ใช่" หญิงสาวตอบ "แต่โลกทั้งสองนี้ในสมัยก่อนสองพันปีนั้น ยังทับซ้อนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนต่างมีความสุขกับจินตนาการที่ตนเองมีอยู่ และวิ่งไปมาอย่างมีความสุขพร้อมกับจินตนาการของตนเองที่ไม่มีวันสิ้นสุด"
"แต่อยู่มาวันหนึ่ง เหล่ามอร์ธเริ่มแทรกซึมออกมาอย่างช้าๆจากจุดใดจุดหนึ่งในโลกแห่งจิตวิญญาณและโลกแห่งความเป็นจริง มันเริ่มจากจุดเพียงจุดเดียวราวกับจุดในกระดาษ แต่ต่อมาก็ขยายกว้างมากขึ้นจนมันสามารถแทรกซึมสู่ความคิดของคนอื่นและแปรเปลี่ยนไปเป็นความชั่วในจิตใจของพวกเขา พวกมอร์ธฆ่าคนและเอาจิตใต้สำนึกของมนุษย์ไปจนหมดสิ้น พวกมันยังฝังตัวเป็นกาฝากในสัตว์และเริ่มโจมตี เข่นฆ่าพวกมนุษย์ พวกมอร์ธกัดกินความคิดของสัตว์ไปทีละนิดๆ ขณะเดียวกัน มันก็แพร่อาคมใส่ในสมองของพวกสัตว์จนพวกมันบ้าคลั่งและเข่นฆ่ามนุษย์เพื่อครองโลก”
“เราต้องระวังไม่ให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำสอง และเพื่อให้โลกทั้งสองสงบลงดังเดิม นี่เป็นหน้าที่ของหอนาฬิกาแห่งกูราเยอนี้
”
“หอนาฬิกานั่นน่ะเหรอ” มหิทธิถามพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปทางหอนาฬิกา “รู้ไหมว่าเพราะหอนาฬิกาและคนที่อาศัยอยู่ข้างในนั้น ฉันเกือบที่จะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว เกือบถูกเสือกิน รู้ไว้เสียด้วย”
“มีคนอยู่ที่นั่นอย่างนั้นหรือ” อินดูถามพลางยืนขึ้น “น่าแปลกนะ ที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงเขตอาคมขนาดกว้างถึงร้อยกิโลเมตร เพื่อไม่ให้เหล่ามอร์ธเข้ามายุ่มย่ามกับเหล่ามนุษย์และชนเผ่าประหลาดในโลกแห่งนี้
“หอนาฬิกาแห่งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของ ‘ท่านผู้นั้น’ ในสมัยก่อน ท่านสร้างหอนาฬิกาแห่งกูราเยอเพื่อต่อต้านเหล่ามอร์ธโดยเฉพาะ โดยการกางเขตอาคมเวทย์มนต์ภายในโลกแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ และใช้เขตขนาดใหญ่สร้างมันขึ้นมา
“แต่ที่นี่ถูกมอร์ธบุกเข้ามา ทั้งๆที่ที่นี่เป็นศูนย์กลาง หมายความว่าอย่างไรกันแน่
หรือว่านี่อาจจะเป็นลางร้ายของโลกใบนี้กันแน่นะ” อินดูพูดเบาๆอย่างครุ่นคิดพลางเดินไปมา
“มันจะเป็นอย่างไร เรายังไม่รู้” มหิทธิพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “แต่ที่แน่ๆเราปราบมอร์ธลงได้แล้ว หวังว่าคงจะไม่มีสัตว์ประหลาดที่ไหนทำร้ายชาวเมืองได้อีก”
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นนะ” อินดูพูดอีก
แต่เสียงครืนๆของอะไรบางอย่างดังขึ้นด้านนอกบ้าน พร้อมกับเสียงหอนาฬิกาดังแต๊ง
แต๊ง ทั้งสองวิ่งไปดูที่นอกหน้าต่างด้วยความตื่นตระหนก ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นจากท้องฟ้า มันคือสายฟ้าที่พุ่งออกมาจากศูนย์กลาง ลามเข้าไปในท้องฟ้าจนเกิดเมฆสีเทาหม่นกินอาณาเขตทั่วเมืองกูราเยอ มันเป็นกระแสไฟฟ้าหลากสีที่ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด บ้างก็เป็นสีแดงสดราวกับเลือดที่ผ่าลงมา บ้างก็เป็นสีเขียวราวยาพิษ บ้างก็เป็นสีดำสนิทดุจสายแสงดำ กระแสไฟฟ้าเหล่าเริ่มกระจายออกไปไกลจากตัวเมือง ขณะเดียวกัน เมฆก็เริ่มกระจายออกไปจากตัวเมืองมากขึ้นๆ จนกระทั่งครอบคลุมทั่วทั้งโลกแห่งจิตวิญญาณ วินาทีนั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันชวนขนลุกของมันอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็นเสียงจากนรก แน่นอน ทุกคนในโลกแห่งจิตวิญญาณก็ได้ยินเสียงอันน่าขนลุกของมันเช่นกัน เสียงนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของสัตว์คล้ายค้างคาวแต่ก็มีเสียงคล้ายเสียงบดเสียดดังครึ่กๆของเครื่องจักรตามมาด้วย ทั้งหมดเป็นเสียงจากบนฟ้า และเมฆนั้นก็มืดลงๆจนทำให้มหิทธิแทบมองไม่เห็นอะไรเลย จนกระทั่ง
ครืน!!
เสียงนั้นเงียบแผ่วไป แทนที่ด้วยความมืดมิดดุจรัตติกาลเข้ามาหาพวกเขา เหมือนกับสัญญาณว่าฝนกำลังจะตก แต่มันผิดปกติ เพราะความกลัวจับขั้วหัวใจของมหิทธิและอินดูอย่างรุนแรง พวกเขายังได้ยินเสียงหอนาฬิกาดังอยู่ เธอจำได้ว่ามันตีดังเป็นครั้งแรกเมื่อวันเริ่มต้นสงครามอันไม่มีที่สิ้นสุด และตอนนี้
ตอนนี้
มันก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือนี่!!
ครืน...
เสียงนั้นหยุดลง แทนที่ด้วยเสียงเหมือนพายุขนาดใหญ่กำลังพัดผ่าน เสียงวิ้วๆของมันดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันใกล้ขึ้นๆ จนในที่สุด เสียงนั้นก็อยู่ตรงหน้าของเขา
โครม!!-กร๊อบ
"อ๊าก!!" เสียงมหิทธิร้องลั่นปานจะขาดใจตายดังขึ้นในหูของเขาและต่อจากนั้น สติของเขาก็ดับหายไปอีกครั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น