คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทแรก เมืองลึกลับแห่งจิตวิญญาณและภัยที่มาเยือน (แก้ไข 100%)
บทแรก เมืองลึกลับแห่งจิตวิญญาณและภัยที่มาเยือน
"อืม..."
เสียงครางของมหิทธิอย่างคนที่นอนตื่นเช้าดังขึ้นในความมืดของดวงตาที่ปิดสนิท แล้วอยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆของน้ำตกที่หลั่งลงมาพร้อมกับเสียงไหลของน้ำอันชุ่มฉ่ำ มันเป็นเสียงเดียวที่มหิทธิได้ยินในตอนนี้ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและกระพริบตาเหมือนนิทรามาแสนนาน เขามองเห็นพื้นเพดานสีเทาอ่อนวาวแสงจรัสดุจทำจากแก้วแวววาวสวยงาม เด็กหนุ่มมองไปที่ข้างเตียง เด็กหนุ่มก็ไม่พบพ่อของตนเอง
ผิดกับที่เป็นอยู่ทุกวัน แต่กลับพบกับโต๊ะสีเดียวกับเพดานที่ดูแวววับราวกับผลึกสีเทานิล วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปดูข้างขวาด้วยความคิดว่าเขาอยู่ในบ้านของใครสักคน ก็พบตู้ขนาดใหญ่สูงถึงศีรษะสีน้ำตาลไหม้ดุจมันถูกเผาไหม้ เขาจึงรู้ว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา
เพราะที่นี่ผิดกับบ้านของเขาโดยสิ้นเชิง!!
เด็กหนุ่มลุกพรวดด้วยความตกใจสุดขีดเพราะคิดว่าตนเองถูกลักพาตัว ก็ต้องร้องโอ๊ยดังลั่นด้วยความเจ็บปวดที่แขนทั้งสองข้างและหน้าอก ก่อนที่จะพบว่าตามร่างกายมีผ้าพันแผลพันทั่วร่างกายเหมือนตัวเองบาดเจ็บสาหัส ตั้งแต่หน้าอกถึงเอวและแขนทั้งสองข้าง ผ้าพันแผลสีแดงจางๆเหมือนผ้าเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนโต๊ะสีเทาวาวนั้น น้ำเลือดสีแดงนั้นหยดลงมาถึงพื้นและแห้งกรัง นั่นแปลว่าจะต้องมีคนดูแลเขาและคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลกับเขาอยู่นานพอดู นอกจากนี้ การที่เด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียงและหลับไปด้วยแบบนี้ นั่นแสดงว่าเขาจะต้องถูกพามาที่นี่
ด้วยฝีมือของนางพยาบาลที่ดูแลเขา
(แต่เรื่องนี้มันเรื่องอะไรกันแน่
) มหิทธิคิดอย่างงุนงงเอามากๆเหมือนถูกหายตัวโดยนักมายากล (เราต้องอยู่ที่ห้องพัก เราต้องไปที่โรงเรียนของเรามิใช่หรือ แล้วทำไมเราถึงอยู่ในบ้านคนอื่นแบบนี้
และยังบาดเจ็บมากพอดูแบบนี้อีกด้วย แล้วยังเรื่องบาดแผลต่างๆนี่อีก ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง)
เขายกแขนขึ้นมาเพื่อหยิกแก้มของตนเอง ก่อนที่เขาจะต้องร้องโอ๊ยลั่นอีกรอบเพราะมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างแรงจากผ้าพันแผลจนซึมเป็นด่างดวงสีแดงจางๆ นั่นทำให้มหิทธิรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในความฝันอย่างแน่นอนที่สุด แต่เด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความผิดปกติบางอย่าง
อันไม่น่าเป็นไปได้
บนข้อมือและมืออันเรียวบางทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม
มือของเขา แทนที่จะเป็นสีคล้ำและยาวเรียวอย่างที่เคยเป็นอยู่ทุกวัน กลับเป็นมือนุ่มสีขาวละเอียดดุจหยวกกล้วยแต่กลับมีบาดแผลเป็นที่ลากยาวไปมาตามมือจนถึงข้อศอก ดุจมือคู่นี้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน เขาค่อยๆยกแขนขึ้นโดยไม่ให้ไปกระทบกับแผล(และเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องร้องลั่นอีกรอบ)และจับใบหน้าของตนเบาๆด้วยความสงสัย ก็พบว่าเป็นใบหน้าเรียวยาวสวยและไม่ผอมซูบ แต่กลับมีน้ำมีนวลเหมือนผ่านการแช่น้ำนมมา แทนที่จะเป็นใบหน้าผอมซูบแต่คล้ำอย่างที่เคยเป็นอยู่ทุกวัน
(นี่มันอะไรกัน) มหิทธิคิดอีก (เราเปลี่ยนแปลงตัวเองในชั่วข้ามคืนหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน แล้วตอนนี้เราอยู่ในส่วนไหนของพื้นทวีป ไม่สิ ของโลกที่เราอยู่กันแน่)
แต่ก่อนที่จะตอบคำถามอีกหลายร้อยข้อที่กำลังจะระเบิดออกมาในหัว ประตูสีเขียวอ่อนที่ลูกบิดเป็นผลึกสีนิลก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา เด็กหนุ่มมองดูร่างๆหนึ่งที่เดินเข้ามาในบ้านหลังนี้
ด้วยความประหลาดใจจนเบิกตากว้างเพื่อที่จะมองเห็นให้ชัดๆ
หญิงสาวใบหน้าสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา เสียงดังก๊อกๆของรองเท้าบัลเล่ต์ดังก้องไปทั่วบริเวณ เธอมีใบหน้าเรียวยาวสวยงามราวกับเทพวีนัสที่เขาเคยอ่านในหนังสือเทพกรีก ผมสีขาวละเอียดราวกับหิมะนั้นยาวสลวยถึงเอวบาง ดวงตาสีเขียวมรกตที่มองดูเขาด้วยความประหลาดใจนั้นดูมีเมตตากรุณาอย่างมากผิดกับดวงตาสีน้ำตาลไหม้ของพ่อที่ดูดุดัน ผิวกายสีเขียวราวกับสลักออกมาจากมรกตดูแปลกประหลาดเป็นที่สุด เธอสวมชุดแซกสีขาวที่สั้นเพียงแค่ต้นขา และรองเท้าบัลเล่ต์ที่ไม่ใช่วัสดุธรรมดาแต่ประดิษฐ์จากใบไม้ แต่ปลายเท้านั้น(ที่ส่งเสียงก๊อกๆอยู่ตลอดเวลา) นั้นทำจากไม้แหลมยาวถึงปลายเท้า
"อ้าว เจ้าตื่นแล้วหรือนี่" หญิงสาวถามเสียงนุ่มราวกับเส้นใยไหม "เจ้านอนสลบไปสามวันเต็มๆเลยนะ"
มหิทธิค่อยๆยันกายลุกขึ้นอย่างระมัดระวังพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยความพิศวง ก็พบว่าที่นี่เป็นบ้านพักขนาดใหญ่ที่มีเพียงห้องเดียว แต่รูปทรงของบ้านที่ดูผิดส่วนอย่างแปลกประหลาดแต่ก็มีความวิจิตรอยู่ในตัว ผนังของที่นี่ดูเหมือนล่องหนจนสามารถมองเห็นคนที่เดินขวักไขว่ไปมาที่ด้านนอก บางรูปของตัวบ้านนั้นก็เหมือนปรากฏให้สายตานั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนจนเห็นมุมอันแวววาวและมีค่ามากของผลึกที่ทำตัวบ้านนี้ แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าผนังนั้นดูเรียบลื่นราวกับกระจกเงาและวาวระยับจนมองเห็นรูปร่างของเขาได้ทุกส่วนสัด แต่บางทีมันก็ขรุขระจนสามารถมองเห็นได้หลายร่าง
และมหิทธิก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นรูปร่างของตนเองอย่งชัดเจน
ใบหน้าของเขา...ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากใบหน้าซูบตอบและคล้ำยาวเป็นใบหน้าเรียวยาวและขาวราวกับหญิงสาวสวย ร่างเพรียวบางแต่ดูสมส่วนที่เปลือยท่อนบนนั้นเป็นสีขาวราวหยวกกล้วยและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องและหน้าอก ส่วนแขนทั้งสองข้างนั้นก็มีกล้ามเนื้อขึ้นมาเช่นกัน แม้แต่ดวงตาของเด็กหนุ่มวัยสิบหกก็เป็นสีเขียวอ่อนราวกับมรกต
และดวงตานั้นเหมือนกับวัยผู้ใหญ่ไม่มีผิดเลยแฮะ
มหิทธิคิด ส่วนผมสีน้ำตาลนุ่มละเอียดของมหิทธินั่นอีกเล่า มันก็ยาวถึงติ่งหูและสะบัดไปมาตามสายลมอ่อนของหน้าต่างผลึกที่หัวเตียง
"เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมกันแน่ครับ" ชายหนุ่มรูปร่างเหมือนเทพถามอย่างงุนงง เขาอยากถามคำถามนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขามาที่นี่แล้ว และยังมีคำถามอีกมากมายหลากหลายคำถามที่เธอต้องตอบ
"อ๋อ เจ้าถูกเสือสามตาทำร้าย ตอนที่เจ้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน เลือดของเจ้าออกมากเลยรู้ไหม แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารักษาให้อย่างหยาบๆแล้วละ" เด็กสาวนัยน์ตาสีมรกตเอ่ยอย่างไม่ประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้เหตุการณ์นี้
อยู่แล้ว
แวบ!!
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาได้ยินเพียงเสี้ยววินาที แต่เขายังได้ยินเสียงเสือขนาดใหญ่คำรามและเสียงดาบแทงลงผิวเนื้อหยาบมันของตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากๆ เสียงนั้นช่างชัดเจนราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินมาไม่นานนี้เอง
"เจ้าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ" หญิงสาวถามเมื่อเด็กหนุ่มมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่บริเวณทั้งที่ศีรษะและบาดแผล
"ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมากนะที่ช่วยผมให้พ้นจากความตาย ตอนนี้ผมต้องกลับบ้านแล้วครับ" มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นเพื่อที่จะออกเดินไปแต่ก็พบว่าอาการของแผลยังไม่บรรเทาเลยแม้เพียงนิดเดียว เลือดสีแดงไหลซึมอย่างแรงจากแขนพร้อมกับที่ความแสบจากแผลจนเขาต้องร้องโอ๊ยลั่น!!
"เจ้าอย่าเพิ่งลุกนะ" หญิงสาวลึกลับเอ่ยเตือนอย่างตระหนกพร้อมกับยกแขนห้าม "กรงเล็บของเสือสามตาแหลมกว่ากรงเล็บเสือทั่วไปมาก อย่างน้อยก็จากที่เราเห็นจากบาดแผลของเธอ อย่างน้อยก็ต้องพักฟื้นเป็นเวลาครึ่งวัน หรือไม่ก็เอา
เอา
เอาใบพอกแผลมารักษาให้กับเจ้า
"
“เดี๋ยวข้าจะเอาใบพอกแผลมาทารักษาให้ แต่เจ้าต้องอยู่นิ่งๆนะ เพื่อไม่ให้แผลเปิดอย่างแรง เข้าใจไหม” หญิงสาวถามพลางส่งสายตาแกมขู่มาให้ ซึ่งมหิทธิก็ทำตามอย่างรวดเร็วเพราะบาดเจ็บ
"ครับ" มหิทธิในคราบของคนอื่นครางพลางนอนลงบนเตียงขนาดใหญ่นั้นและหลับตาเพื่อพักผ่อน หญิงสาวยิ้มอย่างใจดีก่อนที่จะเดินเยื้องกรายออกไปจากตัวบ้านขนาดใหญ่นั้น
ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงประตูปิดลงดังปัง เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง - โดยไม่ให้กระทบแผล - พลางคิด คิดว่าตนเองจู่ๆเข้ามาในนี้ได้อย่างไร โดยที่มีหญิงสาวหน้าตาเหมือนเทพเข้ามาด้วย เขายังนึกไม่ออกเพราะตอนนี้เขาปวดตุ้บๆตรงบริเวณแผลเหลือเกิน
เหมือนกับมันปวดไปทั้งร่าง ตอนนี้เขารู้เพียงว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้วสิ แต่บางอย่างที่ด้านหลังของชายหนุ่มวัยสิบเก้า(ภายในเป็นวิญญาณของเด็กอายุสิบหก)สาดแสงอาทิตย์แปลกประหลาดออกมา ทำให้เขาต้องจ้องมองดู
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าต่างด้านหลังของหัวเตียงนอนที่สะท้อนแสงอาทิตย์สีประหลาด มันคือสีชมพูสว่างแน่ๆในสายตาของเขา มหิทธิคิด ชายหนุ่มจึงหันไปมองแลละชะโงกหน้าออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกอย่างไม่รอช้า
เพื่อที่จะดูว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่ และพบกับรูปร่างของอะไรบางอย่างที่ตนเองอาจจะต้องอ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
ชายหนุ่มรู้สึกมหัศจรรย์อยู่แล้วกับการที่มีคนอยู่มากมายบนโลกใบนี้ และยังมีสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่ทำให้ตนเองถึงกับอึ้งว่ามันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร
แต่ที่นี่
พระเจ้า
นี่มันอะไรกันแน่นี่!!
เมืองๆหนึ่งที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่ในนัยน์ตาสีเขียวของชายหนุ่มวัยสิบเก้า มันกว้างขวางและใหญ่โตเสียจนเห็นกำแพงเมืองด้านตรงข้ามสายตาของตนเองเป็นเพียงขอบของภาพจิตรกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่ยักษ์ที่มนุษย์ไม่มีทางสร้างได้โดยเด็ดขาดโดยปราศจากจินตนาการ ภูเขาขนาดใหญ่สามลูกอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์ แต่แทนที่จะเป็นสีแดงอมม่วงเหมือนอย่างทุกครั้งที่ตนเองมองเห็น กลับเป็นดวงอาทิตย์สีแดงและขอบดวงอาทิตย์เป็นสีขาวอมชมพูสว่างดุจเดียวกับว่ามันห่อหุ้มพลังอันแท้จริงของดวงอาทิตย์เอาไว้ มันสาดแสงจ้าราวกับไฟนีออนสีชมพูอมแดงขาว บ้านทุกหลังแทบจะเรียกได้ว่า จินตนาการเกินมนุษย์ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ บ้านหลากหลายหลังที่อยู่ด้านล่างของสายตาสีมรกตนั้นดูเหมือนผลึกสีรุ้งที่สว่างท่ามกลางความมืดของอาทิตย์ยามสายัณห์ บางหลังสูงส่งจนมองเห็นฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือและเป็นสีเขียวอ่อนล้อมรอบตึกเหล่านั้นเพราะต้นไม้เลื้อยจนขึ้นไปทั่วบ้าน บางหลังดูเหมือนกลืนไปกับสีดำที่เป็นเงาของดวงอาทิตย์แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะมันล่องหนจนไม่สามารถมองเห็นสภาพบ้านภายในได้ บ้านบางหลังดูเหมือนว่าจะลอยได้ ชายหนุ่มเบิกตามองให้ชัดๆก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความมหัศจรรย์ที่มากกว่าเดิม ที่แบกรับบ้านทั้งหลังนั้นคือมังกรตัวใหญ่เท่าแผ่นสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม แต่ละตัวมีสีต่างกันเหมือนจะแสดงถึงความเก่งกาจและอำนาจที่มีอยู่ บางตัวก็เป็นสีดำสนิท บางตัวก็เป็นสีแดงสดเหมือนเปลวไฟ แต่มันมีใบหน้ากลมยาวเหมือนกัน คอของมันยาวและอวบหนาถึงสิบเมตร ลำตัวขนาดใหญ่ของมันนั่นเองที่รองรับบ้านทั้งหลังไว้ ปีกของมันกินพื้นที่กว้างใหญ่บนท้องฟ้าและมันกำลังกระพือปีกอย่างช้าๆอย่างไม่ให้บ้านทั้งหลังนั้นร่วงลงไป มังกรเหล่านี้คำรามอยู่ตลอดเวลาในยามอาทิตย์สายัณห์ราวกับว่ามันหมดเวลาล่าเหยื่อของมันแล้ว คนมีปีกหลากหลายคนที่โผล่ออกมาจากบ้านและร่อนลงบนพื้นเพื่อเดินเข้ามาในเมืองด้านล่าง แต่มีสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมองดู
เหมือนกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชายหนุ่มนัยน์ตาสีมรกตนั้น
หอนาฬิกาสีขาวที่ทำจากหินอ่อนอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม มันเป็นหอนาฬิกาที่สูงกว่ามังกรที่รองรับบ้านหลังนี้ไว้เสียอีก มันสูงจนยอดที่แหลมยาวนั้นทะลุขึ้นไปจนถึงท้องฟ้าสีเทาอ่อนที่มีหมอกควัน มันถูกสลักเสลาอย่างสวยงามราวกับเป็นจิตรกรรมของชาวตะวันตก แต่นาฬิกาที่อยู่บนยอดสุดนั้นเป็นเข็มเดียวและเป็นเข็มที่เรืองแสงสีแดงในความมืด และมีอักขระแปลกๆที่เขารู้สึกคุ้นเคย ราวกับ...เคยเขียน...ภาษา...นี้มาแล้ว!!
ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีรู้สึกแปลกพิกลราวกับว่าตนเองนั้นเคยเห็นอักขระแบบนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เขาพยายามนึก
แต่นึกเท่าใดก็นึกไม่ออกเสียที
เหมือนกับว่าสมองส่วนหนึ่งของตนเองนั้นถูกลบไปแบบไม่มีทางคืนความคิดได้ แต่ชายหนุ่มจำได้ว่าเขาเคยพูดภาษานี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง แต่จากที่ไหนกันล่ะ
เขาคงจะนึกออกเมื่อเสียงของหญิงสาวที่คุ้นเคยลอยมาจากที่ไกลแสนไกล
"เอ้า นี่ ใบพอกแผล อย่างน้อย...อ้าว ไหนบอกว่าเจ้าจะพักผ่อนไง" เสียงหญิงสาวร้องอย่างประหลาดใจเมื่อชายหนุ่มจ้องมองเมืองอย่างอัศจรรย์ใจแกมงุนงง
เหมือนกับถูกพามาในดินแดนมหัศจรรย์ของอลิซอย่างไรอย่างนั้น
"ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเห็นแบบนี้ในประเทศไทยหรือเมืองอื่นๆแน่ ตกลงที่นี่มันที่ไหนกันแน่ครับ" มหิทธิร้องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิดเดียว
เขาอยู่ที่ไหนกันแน่
เขาอยู่ที่ไหนกันแน่
"นี่เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งๆที่เคยมาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วน่ะนะ" หญิงสาวเจ้าของไข้ของชายหนุ่มถามอย่างตกใจสุดขีด
"ไม่รู้ครับ" ชายหนุ่มตอบอย่างซื่อๆ
"ที่นี่คือเมืองกูราเยอ เมืองแห่งความกล้าหาญที่มีชื่อ แล้วที่เจ้าพูดถึงประเทศไทยหรือเมืองอื่นๆ เจ้าจะบอกว่าเมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่เจ้าเคยเห็นหรือ
"
"ใช่ครับ" มหิทธิตอบอย่างซื่อๆและเน้นคำที่ด้านหน้าด้วยความสยดสยองว่าตนเองถูกบีบมิติเวลามาที่นี่
"เอาล่ะ ข้าขอถามอะไรหน่อย ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เจ้าเคยเห็น ถูกไหม" หญิงสาวถามอย่างใจเย็นพลางยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มตะโกนออกมาอย่างลืมตัว
"ใช่ครับ" มหิทธิตอบ
"ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า เจ้ามาจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เผ่าของมนุษย์อาศัยอยู่กัน อย่างนั้นละสินะ" หญิงสาวถามอีก
"โลกแห่งความเป็นจริง???" มหิทธิถามอย่างตกใจมาก เหมือนกับเวลาที่คุณกลายเป็นคนสติแตก อารมณ์ประมาณนั้นเลย "งั้นก็แปลว่าผมมาอยู่ที่โลกอีกแห่งหนึ่งอย่างนั้นสิ"
เธอได้ยินคำตอบอย่างนั้นก็เริ่มพูดอย่างสงบว่า
"เอาละ อย่าตกใจนะ ว่าเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เพราะข้าไม่รู้หรอก ที่นี่คือโลกแห่งจิตวิญญาณ โลกที่มนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนสร้างมันขึ้นมาไงล่ะ"
"หา???" ชายหนุ่มตกใจยิ่งกว่าเดิม "โลกแห่งจิตวิญญาณ
โลกแห่งความเป็นจริง
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ บอกผมหน่อยสิ ผมถูกพามาที่นี่ทำไม ปล่อยผมกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้นะ"
หญิงสาวเอ่ยขึ้นหนึ่งคำเพื่อสั่งให้เงียบและไม่ให้มหิทธิโวยวาย ชายหนุ่มวัยสิบเก้าเงียบเสียงลงทันทีเหมือนถูกเสกให้เป็นใบ้ หญิงสาววัยยี่สิบยกขันน้ำขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า
"เอาเป็นว่าข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลังละกัน เจ้าทาใบทริสเมลที่ข้าเอามาบดเป็นผงนี่เสียก่อนนะ แล้วข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวให้ทั่วเมืองนี้เลย เป็นไง เจ้าจะได้ไม่ต้องโวยวายว่าตนเองอยากที่จะกลับบ้านอีก"
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรู้สึกหลากหลาย ทั้งรู้สึกรังเกียจ
หรือไม่ก็
ไม่รู้สิ
กลัวๆเขาด้วยอย่างพิกล
"ตกลงครับ" เด็กหนุ่มตอบตกลงและรับขันเหล็กของหญิงสาวมาอยู่ในมือของตนเองพลางมองดูน้ำข้างในขันนั้น มันมองดูเหมือนผงสีเขียวที่ถูกละลายน้ำไปรอบๆจนมันนอนก้นอยู่บนก้นขันเหล็กใบนั้น
"เอ้อ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไรล่ะ" หญิงสาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้พลางหยิบเอาผ้ากอซที่พันแผลสาหัสของเขาเอาไว้ออกมาเพื่อที่จะนำไปซัก
"เอ่อ
ผมชื่อ มหิทธิ สิริราชาครับ" ชายหนุ่มตอบชื่อจริงของตนเองตอนที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงอย่างชัดถ้อยชัดคำ นั่นทำให้เด็กสาวยิ้มพรายอย่างเข้าใจในตัวเขา เธอจึงแนะนำตัวบ้าง
"หึ
หึ
ข้าชื่อ อินดู วิริสกัส เป็นนางพยาบาลประจำไข้ของเจ้า" หญิงสาวตอบพลางหัวเราะเบาๆอย่างขบขันที่มหิทธิทำหน้าเอ๋อเหรอไป ก่อนที่เธอจะออกไปข้างนอกในทันที ทิ้งให้มหิทธินั่งทาแขนที่มีบาดแผลคมเขี้ยวของสัตว์และลำตัวที่ถูกสัตว์ข่วนกัดจนเหวอะหวะ และเขาก็นอนลงบนเตียงก่อนที่จะหลับไปด้วยพิษของแผลและฤทธิ์ของยาทริสเมล
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลากลางคืน สาเหตุที่เขารู้ก็เพราะตอนที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นมานั้น ท้องฟ้านั้นได้เปลี่ยนสีเป็นสีดำทั้งท้องฟ้าเหมือนกับท้องฟ้าถูกห่มด้วยผ้าหนาดำ เขารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแผลฉกรรจ์ของเขาหายไปหมดสิ้นแล้ว แต่กลับมีแผลเป็นใหม่ที่ยาวเรียวที่มากกว่าเดิมแทนที่และทับแทยงเส้นแผลเก่า มันเป็นบาดแผลกรงเล็บที่เสือขนาดเท่าวัวตัวโตเต็มที่ทำร้าย เด็กหนุ่มสวมเสื้อที่เป็นเสื้อคลุมเดินทางเก่าขาดสีขาวที่ดูเหมือนได้ถูกใช้มานานแล้ว ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น และชายหนุ่มที่สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วเดินออกมาเปิดประตูให้อินดูที่ยังสวมชุดเก่าอยู่ แต่กลับเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าสีดำที่มีพื้นรองเท้าหนาเพราะต้องรับมือกับแผ่นหินที่ปูพื้น
"เอาละ เจ้าพร้อมที่จะเที่ยวเมืองแล้วหรือยัง" เสียงอินดูถามที่นอกประตูสีเขียวมรกต มหิทธิมองดูแสงสลัวๆที่มือข้างขวาของอินดูพร้อมกับเห็นว่าเธอถือเทียนเล่มเล็กสีทองเอาไว้ เขาตอบอย่างไม่ให้เสียเวลาว่า
"พร้อมแล้วครับ" มหิทธิตอบพลางยิ้ม
"เร็วเข้า ออกมาข้างนอกสิ" อินดูร้องพลางเลื่อนประตูให้เขาออกมา ชายหนุ่มกลั้นยิ้มไว้ด้วยความขบขันอะไรบางอย่างก่อนที่จะเดินออกมาจากบ้านชั้นเดียวที่มีลักษณะประหลาดนั้น
เท้าของชายหนุ่มสัมผัสได้ทันทีถึงสนามหญ้าที่มีหญ้านุ่มผิดปกติอยู่บนพื้นสีเขียวอ่อน เขาเห็นดวงจันทร์สีนวลแต่สิ่งที่ผิดปกติจากโลกแห่งความเป็นจริงอีกอย่างก็คือ ดวงจันทร์ดวงนี้มีลักษณะเรียบ ไม่ขรุขระผิดกับโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ มันยังส่องแสงรอบนอกสว่างบ้าง มืดบ้าง ทำให้มันดูเหมือนแสงนีออนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เขารู้สึกได้ถึงแรงยั่วที่จะสัมผัสมัน ชายหนุ่มจึงก้าวออกไปเพื่อที่จะลูบไล้แสงนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเหยียบอากาศธาตุอันว่างเปล่า ชายหนุ่มร้องเหวอลั่นพลางชักเท้ากลับอย่างเร็ว แล้วเขาจึงมองดูพื้นเบื้องล่างที่ว่างเปล่า แต่สิ่งที่กระพือปีกอยู่นั้นทำให้มหิทธิจึงรู้ความจริงที่ต้องอ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้างอีกคำรบหนึ่ง บ้านหลังนี้ถูกตั้งอยู่บนศีรษะของมังกรขนาดใหญ่ยักษ์สีเขียวอ่อน ศีรษะของมันใหญ่ขนาดไหนน่ะหรือ ก็มันกว้างขนาดเท่าเท้าของชายหนุ่มรวมกันถึงสิบก้าวเลยทีเดียว ตั้งแต่ศีรษะอันใหญ่ยักษ์จรดปลายหางของมันดูเหมือนตึกที่เรียวยาวราวสิบถึงร้อยเมตร ศีรษะที่รับบ้านหลังนี้มีเพียงตาสีแดงสดราวทับทิมแวววาว แต่ส่วนที่เหลือของศีรษะนั้นปกคลุมด้วยขนเส้นเล็กสีเขียวอ่อน ปีกที่ประกอบด้วยขนสีเขียวของมันกินพื้นที่กว้างใหญ่บนท้องฟ้าและมันกำลังกระพือปีกอย่างไม่เหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่หางของมันไม่ใช่หางธรรมดา แต่เป็นหางที่มีหัวนกอินทรีสีเขียวอ่อน มันปกคลุมด้วยขนนกสีเขียวหนานุ่ม ตาที่คมของมันมองดูเขาอย่างท้าทาย
"เอ่อ ผมจะลงไปได้ยังไง ในเมื่อ...เอ่อ...ไม่มีปีก" มหิทธิถามอย่างงุนงงพลางมองดูพื้นเบื้องล่างที่สูงถึงร้อยเมตรเลยทีเดียว
"ไม่ยาก" เด็กสาวเอ่ยพลางยิ้ม และเธอก็หลับตาพริ้มเหมือนตั้งสมาธิอะไรบางอย่าง
ผ่านไปเพียงแค่ลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น มังกรขนาดเท่าเรือกาเลออนก็คำรามเสียงลั่นเหมือนกับรอคำสั่งอะไรบางอย่างอยู่
“กาเรโอ ลงจากท้องฟ้า อย่าให้ชายผู้นี้ต้องเป็นอะไรอย่างเด็ดขาด” อินดูสั่งกับอากาศอันว่างเปล่า มหิทธิไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องสั่งกับอากาศ แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าทำไม เพราะเจ้ามังกรคำรามฟึดฟัดอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆหล่นร่วงลงมาจากฟากฟ้าสู่พื้นดินเหมือนกับลิฟต์ที่พุ่งผ่าน ทำให้มหิทธิเสียววูบเพราะแรงดิ่งที่ร่วงลงมาอย่างเร็ว
"คุณ
คุณสั่งมังกรได้อย่างนั้นหรือ" มหิทธิร้องถามแข่งกับเสียงหวีดหวิวของอากาศพลางมองดูอินดูอย่างสงสัย เธอเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ
“จับบ้านแห่งเอลฟ์เอาไว้ให้ดีๆล่ะ มิฉะนั้นจะตกลงไปจริงๆด้วย”
“ได้เลย” ชายหนุ่มตอบพลางจับตัวบ้านที่ตอนนี้ มันยังคงตั้งนิ่งได้อย่างน่าดูชม ทั้งๆที่ตัวของชายหนุ่มวัยสิบเก้านั้นสั่นไปทั้งตัวเพราะแรงดิ่งอันเสียววาบ
ไม่ต่างอะไรกับการเล่นรถไฟเหาะตอนที่ดิ่งลงมา มหิทธิอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปเสียที จนในที่สุด
กึก!
เสียงเท้าขนาดใหญ่แตะพื้นอย่างแผ่วเบาดังขึ้น ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น พวกเขามาถึงส่วนล่างของเมืองกูราเยอ หรืออาจจะเรียกได้อย่างง่ายๆว่า ตัวเมืองที่แท้จริง มันช่างมืดมนและวังเวง แต่แสงสีทองที่ถืออยู่บนมือของอินดูทำให้เขามองเห็นทางอย่างง่ายดาย มีเพียงเสียงประหลาดที่เป็นเหมือนเสียงขู่ฟ่อเหมือนงูอยู่ใกล้ๆ เขามองเห็นพื้นถนนสะท้อนอยู่บนแสงจันทร์ มันคือถนนสีเขียววาวและมีเกล็ดเหมือนงูเหลือม
“เหวอ!!”
แต่เขาต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่ามันเคลื่อนที่ได้!
“คิกๆ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ สิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั่นคืองูกระทะ หรืองูเหลือมกระทะ มันไม่มีอันตรายเลย ยกเว้นแแต่ว่ามันจะถูกกระทำก่อนน่ะนะ” เธอพูดพลางหัวเราะคิกๆ นั่นทำให้มหิทธิหันไปทางด้านอื่นเพื่อสำรวจ
แล้วเขาก็เห็นหัวงูขนาดใหญ่และแบนยาวอยู่ไกลๆจากบริเวณถนน มันคืองูขนาดใหญ่และแบนเท่ากระทะทอดไข่เลยทีเดียว มันมีร่างสีเขียวอมเหลืองและสะท้อนแสงจากตะเกียงที่ห้อยแขวนอยู่ที่รอบๆบริเวณถนน แต่ถึงแม้ว่าจะมีแสงจากตะเกียง แต่มันก็มืดมิดอยู่ดี มันในตอนนี้เคลื่อนตัวอย่างแช่มช้าไปตามถนนที่แท้จริงซึ่งตอนนี้ปรากฏเป็นพื้นปูนสีน้ำตาลเรียบราวกับถูกรถบดถนนบดเป็นทาง ชายหนุ่มมองดูบ้านแต่ละหลังซึ่งมีเพียงความมืดมิดในตอนแรก แต่เมื่ออินดูส่องเทียนไปรอบๆ เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย บางหลังดูมืดเหมือนล่องหนหายไป แต่บางหลังก็สว่างแวววาวรับแสงเทียนจนดูราวกับสร้างจากผลึกสีรุ้ง บางหลังก็สร้างวาดภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามผนัง บางภาพก็เหมือนเปลวไฟที่ร้อนแรงราวกับจะแผดเผา บางหลังก็เป็นรูปท้องฟ้าที่เคลื่อนที่ได้จริงๆ แต่ละบ้านดูเหมือนจะมีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในตัวของมันเอง มหิทธิรู้สึกทึ่งแกมประหลาดใจพลางคิดว่า ทำไมที่กรุงเทพถึงไม่มีการสร้างเมืองอันโบราณแต่มหัศจรรย์แบบนี้บ้าง แต่อินดูดูเหมือนจะรู้อยู่นานมากแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เธอเดินไปตามทางเรื่อยๆด้วยความระมัดระวังพร้อมกับหันเทียนเล่มเล็กๆไปเรื่อยๆ
แต่ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า มีสัตว์ชนิดหนึ่งกำลังยืนหอบหายใจเสียงแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้เหยื่อสองคนได้ยินเสียงก้าวเดินอันหนักหน่วงบนทางเดินของมัน ดวงตาสีแดงสามตาของมันจับจ้องเหยื่ออันโอชะอย่างอดกลั้น ก่อนที่เงาของมันจะผลุบหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเทียนสีเหลืองทองส่องลงมาถึงตัวมัน
อินดูเดินไปตามทางเรื่อยๆจนกระทั่งเธอนึกถึงอะไรบางอย่างได้ เธอจึงส่งเทียนเล่มเล็กนั้นให้มหิทธิเหมือนกับผลักภาระอย่างไรพิกลเลยแฮะ ชายหนุ่มคิด
“จริงสิ ข้าต้องไปดูแลเสือทรัวโอลแล้ว วันนี้วันเข้าเวรดูแลคอกสัตว์ที่บาดเจ็บของข้าน่ะ” เด็กสาวร้องพลางพูดอีกว่า “เดี๋ยวเจอกันนะ” ก่อนที่เธอจะเดินหายไปบนทางเดินในยามราตรีอันมืดมน โดยไม่ลืมที่จะวิ่งไปตามทางเก่าเพื่อที่จะเรียกมังกรบ้านมาหาเธอ
“เอายังไงดี อยู่ตัวคนเดียวแล้วสิ งานนี้” มหิทธิพูดพลางเกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงงปนประหลาดใจที่อินดูปล่อยเขาเช่นนี้ ชายหนุ่มวัยสิบเก้าค่อยๆเดินไปอย่างแช่มช้าในความมืด โดยใช้แสงจันทร์และเทียนเล่มเล็กเป็นตัวนำทางสู่สิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นหอนาฬิกาสีขาวนั่น มหิทธิคิดที่จะไปสำรวจที่นั่น
เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วทางเดิน จนกระทั่งเท้าของตนเองเดินมาถึงหอนาฬิกาขนาดใหญ่ที่ตนเองมองเห็นในช่วงเย็น ยิ่งมองดูยอดหอนาฬิกามากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งรู้สึกว่าสูงและน่าเกรงขาม ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวมรกตรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เกิดเสียงกรอกแกรกดังขึ้นในช่องปาก บ่งบอกถึงพลังที่ไม่มีอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงที่ดูรุนแรงมาก มหิทธิเดินไปรอบๆหอนาฬิกาที่กว้างถึงห้าสิบเมตรและฐานนั้นทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส เด็กหนุ่มนั้นมีแววตาอันวาวโรจน์อย่างน่าตื่นเต้นเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
นาฬิกาสีขาวหินอ่อนที่สลักอักษรประหลาดนั้น เริ่มส่งแสงคุกรุ่นน่าพิศวงออกมาทั้งจากหน้าปัดเรืองแสงสีขาวและหน้าปัดนั้นเริ่มส่งแสงสีชมพูออกมา
แต่ในขณะที่มหิทธิกำลังจะแหงนหน้าขึ้นไปมองดูหน้าปัดนาฬิกาที่ตอนนี้ส่งแสงผะแผ่วออกมาแล้ว เสียงคำรามดังฟืดๆอยู่ในหูของมหิทธิ มันเป็นเสียงที่แผ่วเบามาก แต่ก็ดังพอที่มหิทธิจะมองดูต้นเสียงนั้น
ด้วยความสงสัย
ความคิดเห็น