ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #3 : บทแรก เมืองลึกลับแห่งจิตวิญญาณและภัยที่มาเยือน (แก้ไข 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


        บทแรก  เมืองลึกลับแห่งจิตวิญญาณและภัยที่มาเยือน                   

    "อืม..."

    เสียงครางของมหิทธิอย่างคนที่นอนตื่นเช้าดังขึ้นในความมืดของดวงตาที่ปิดสนิท  แล้วอยู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆของน้ำตกที่หลั่งลงมาพร้อมกับเสียงไหลของน้ำอันชุ่มฉ่ำ  มันเป็นเสียงเดียวที่มหิทธิได้ยินในตอนนี้  เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและกระพริบตาเหมือนนิทรามาแสนนาน  เขามองเห็นพื้นเพดานสีเทาอ่อนวาวแสงจรัสดุจทำจากแก้วแวววาวสวยงาม  เด็กหนุ่มมองไปที่ข้างเตียง  เด็กหนุ่มก็ไม่พบพ่อของตนเองผิดกับที่เป็นอยู่ทุกวัน  แต่กลับพบกับโต๊ะสีเดียวกับเพดานที่ดูแวววับราวกับผลึกสีเทานิล  วินาทีต่อมา  เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปดูข้างขวาด้วยความคิดว่าเขาอยู่ในบ้านของใครสักคน  ก็พบตู้ขนาดใหญ่สูงถึงศีรษะสีน้ำตาลไหม้ดุจมันถูกเผาไหม้  เขาจึงรู้ว่า  ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาเพราะที่นี่ผิดกับบ้านของเขาโดยสิ้นเชิง!!

    เด็กหนุ่มลุกพรวดด้วยความตกใจสุดขีดเพราะคิดว่าตนเองถูกลักพาตัว  ก็ต้องร้องโอ๊ยดังลั่นด้วยความเจ็บปวดที่แขนทั้งสองข้างและหน้าอก  ก่อนที่จะพบว่าตามร่างกายมีผ้าพันแผลพันทั่วร่างกายเหมือนตัวเองบาดเจ็บสาหัส  ตั้งแต่หน้าอกถึงเอวและแขนทั้งสองข้าง  ผ้าพันแผลสีแดงจางๆเหมือนผ้าเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนโต๊ะสีเทาวาวนั้น  น้ำเลือดสีแดงนั้นหยดลงมาถึงพื้นและแห้งกรัง  นั่นแปลว่าจะต้องมีคนดูแลเขาและคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลกับเขาอยู่นานพอดู   นอกจากนี้  การที่เด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียงและหลับไปด้วยแบบนี้  นั่นแสดงว่าเขาจะต้องถูกพามาที่นี่ด้วยฝีมือของนางพยาบาลที่ดูแลเขา 

    (แต่เรื่องนี้มันเรื่องอะไรกันแน่…)  มหิทธิคิดอย่างงุนงงเอามากๆเหมือนถูกหายตัวโดยนักมายากล  (เราต้องอยู่ที่ห้องพัก  เราต้องไปที่โรงเรียนของเรามิใช่หรือ  แล้วทำไมเราถึงอยู่ในบ้านคนอื่นแบบนี้และยังบาดเจ็บมากพอดูแบบนี้อีกด้วย  แล้วยังเรื่องบาดแผลต่างๆนี่อีก  ไม่ใช่  นี่ไม่ใช่เรื่องจริง)  

    เขายกแขนขึ้นมาเพื่อหยิกแก้มของตนเอง  ก่อนที่เขาจะต้องร้องโอ๊ยลั่นอีกรอบเพราะมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างแรงจากผ้าพันแผลจนซึมเป็นด่างดวงสีแดงจางๆ  นั่นทำให้มหิทธิรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในความฝันอย่างแน่นอนที่สุด  แต่เด็กหนุ่มก็ต้องพบกับความผิดปกติบางอย่างอันไม่น่าเป็นไปได้บนข้อมือและมืออันเรียวบางทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม

    มือของเขาแทนที่จะเป็นสีคล้ำและยาวเรียวอย่างที่เคยเป็นอยู่ทุกวัน  กลับเป็นมือนุ่มสีขาวละเอียดดุจหยวกกล้วยแต่กลับมีบาดแผลเป็นที่ลากยาวไปมาตามมือจนถึงข้อศอกดุจมือคู่นี้ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน  เขาค่อยๆยกแขนขึ้นโดยไม่ให้ไปกระทบกับแผล(และเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องร้องลั่นอีกรอบ)และจับใบหน้าของตนเบาๆด้วยความสงสัย  ก็พบว่าเป็นใบหน้าเรียวยาวสวยและไม่ผอมซูบ  แต่กลับมีน้ำมีนวลเหมือนผ่านการแช่น้ำนมมา  แทนที่จะเป็นใบหน้าผอมซูบแต่คล้ำอย่างที่เคยเป็นอยู่ทุกวัน

    (นี่มันอะไรกัน)  มหิทธิคิดอีก  (เราเปลี่ยนแปลงตัวเองในชั่วข้ามคืนหรือ  ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน  แล้วตอนนี้เราอยู่ในส่วนไหนของพื้นทวีป  ไม่สิ  ของโลกที่เราอยู่กันแน่)  

    แต่ก่อนที่จะตอบคำถามอีกหลายร้อยข้อที่กำลังจะระเบิดออกมาในหัว  ประตูสีเขียวอ่อนที่ลูกบิดเป็นผลึกสีนิลก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา  เด็กหนุ่มมองดูร่างๆหนึ่งที่เดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยความประหลาดใจจนเบิกตากว้างเพื่อที่จะมองเห็นให้ชัดๆ

    หญิงสาวใบหน้าสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา  เสียงดังก๊อกๆของรองเท้าบัลเล่ต์ดังก้องไปทั่วบริเวณ  เธอมีใบหน้าเรียวยาวสวยงามราวกับเทพวีนัสที่เขาเคยอ่านในหนังสือเทพกรีก  ผมสีขาวละเอียดราวกับหิมะนั้นยาวสลวยถึงเอวบาง  ดวงตาสีเขียวมรกตที่มองดูเขาด้วยความประหลาดใจนั้นดูมีเมตตากรุณาอย่างมากผิดกับดวงตาสีน้ำตาลไหม้ของพ่อที่ดูดุดัน  ผิวกายสีเขียวราวกับสลักออกมาจากมรกตดูแปลกประหลาดเป็นที่สุด  เธอสวมชุดแซกสีขาวที่สั้นเพียงแค่ต้นขา  และรองเท้าบัลเล่ต์ที่ไม่ใช่วัสดุธรรมดาแต่ประดิษฐ์จากใบไม้  แต่ปลายเท้านั้น(ที่ส่งเสียงก๊อกๆอยู่ตลอดเวลา)  นั้นทำจากไม้แหลมยาวถึงปลายเท้า

    "อ้าว  เจ้าตื่นแล้วหรือนี่"  หญิงสาวถามเสียงนุ่มราวกับเส้นใยไหม "เจ้านอนสลบไปสามวันเต็มๆเลยนะ"

    มหิทธิค่อยๆยันกายลุกขึ้นอย่างระมัดระวังพร้อมกับมองไปรอบๆด้วยความพิศวง  ก็พบว่าที่นี่เป็นบ้านพักขนาดใหญ่ที่มีเพียงห้องเดียว  แต่รูปทรงของบ้านที่ดูผิดส่วนอย่างแปลกประหลาดแต่ก็มีความวิจิตรอยู่ในตัว  ผนังของที่นี่ดูเหมือนล่องหนจนสามารถมองเห็นคนที่เดินขวักไขว่ไปมาที่ด้านนอก  บางรูปของตัวบ้านนั้นก็เหมือนปรากฏให้สายตานั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจนจนเห็นมุมอันแวววาวและมีค่ามากของผลึกที่ทำตัวบ้านนี้  แต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าผนังนั้นดูเรียบลื่นราวกับกระจกเงาและวาวระยับจนมองเห็นรูปร่างของเขาได้ทุกส่วนสัด  แต่บางทีมันก็ขรุขระจนสามารถมองเห็นได้หลายร่าง

    และมหิทธิก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อมองเห็นรูปร่างของตนเองอย่งชัดเจน

    ใบหน้าของเขา...ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากใบหน้าซูบตอบและคล้ำยาวเป็นใบหน้าเรียวยาวและขาวราวกับหญิงสาวสวย  ร่างเพรียวบางแต่ดูสมส่วนที่เปลือยท่อนบนนั้นเป็นสีขาวราวหยวกกล้วยและมีกล้ามเนื้อหน้าท้องและหน้าอก  ส่วนแขนทั้งสองข้างนั้นก็มีกล้ามเนื้อขึ้นมาเช่นกัน  แม้แต่ดวงตาของเด็กหนุ่มวัยสิบหกก็เป็นสีเขียวอ่อนราวกับมรกตและดวงตานั้นเหมือนกับวัยผู้ใหญ่ไม่มีผิดเลยแฮะมหิทธิคิด  ส่วนผมสีน้ำตาลนุ่มละเอียดของมหิทธินั่นอีกเล่า  มันก็ยาวถึงติ่งหูและสะบัดไปมาตามสายลมอ่อนของหน้าต่างผลึกที่หัวเตียง

    "เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมกันแน่ครับ"  ชายหนุ่มรูปร่างเหมือนเทพถามอย่างงุนงง  เขาอยากถามคำถามนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขามาที่นี่แล้ว  และยังมีคำถามอีกมากมายหลากหลายคำถามที่เธอต้องตอบ

    "อ๋อ  เจ้าถูกเสือสามตาทำร้าย  ตอนที่เจ้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน  เลือดของเจ้าออกมากเลยรู้ไหม  แต่ไม่ต้องเป็นห่วง  ข้ารักษาให้อย่างหยาบๆแล้วละ"  เด็กสาวนัยน์ตาสีมรกตเอ่ยอย่างไม่ประหลาดใจ  ดูเหมือนว่าเธอจะรู้เหตุการณ์นี้อยู่แล้ว

    แวบ!!

    เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาได้ยินเพียงเสี้ยววินาที  แต่เขายังได้ยินเสียงเสือขนาดใหญ่คำรามและเสียงดาบแทงลงผิวเนื้อหยาบมันของตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากๆ  เสียงนั้นช่างชัดเจนราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินมาไม่นานนี้เอง

    "เจ้าเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ"  หญิงสาวถามเมื่อเด็กหนุ่มมีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่บริเวณทั้งที่ศีรษะและบาดแผล

    "ผมไม่เป็นไรหรอกครับ  ขอบคุณมากนะที่ช่วยผมให้พ้นจากความตาย  ตอนนี้ผมต้องกลับบ้านแล้วครับ"  มหิทธิตอบพลางลุกขึ้นเพื่อที่จะออกเดินไปแต่ก็พบว่าอาการของแผลยังไม่บรรเทาเลยแม้เพียงนิดเดียว  เลือดสีแดงไหลซึมอย่างแรงจากแขนพร้อมกับที่ความแสบจากแผลจนเขาต้องร้องโอ๊ยลั่น!!

    "เจ้าอย่าเพิ่งลุกนะ"  หญิงสาวลึกลับเอ่ยเตือนอย่างตระหนกพร้อมกับยกแขนห้าม  "กรงเล็บของเสือสามตาแหลมกว่ากรงเล็บเสือทั่วไปมาก  อย่างน้อยก็จากที่เราเห็นจากบาดแผลของเธอ  อย่างน้อยก็ต้องพักฟื้นเป็นเวลาครึ่งวัน  หรือไม่ก็เอาเอาเอาใบพอกแผลมารักษาให้กับเจ้า…"

    เดี๋ยวข้าจะเอาใบพอกแผลมาทารักษาให้  แต่เจ้าต้องอยู่นิ่งๆนะ  เพื่อไม่ให้แผลเปิดอย่างแรง  เข้าใจไหม  หญิงสาวถามพลางส่งสายตาแกมขู่มาให้  ซึ่งมหิทธิก็ทำตามอย่างรวดเร็วเพราะบาดเจ็บ

    "ครับ"  มหิทธิในคราบของคนอื่นครางพลางนอนลงบนเตียงขนาดใหญ่นั้นและหลับตาเพื่อพักผ่อน  หญิงสาวยิ้มอย่างใจดีก่อนที่จะเดินเยื้องกรายออกไปจากตัวบ้านขนาดใหญ่นั้น

    ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงประตูปิดลงดังปัง  เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง - โดยไม่ให้กระทบแผล -  พลางคิด  คิดว่าตนเองจู่ๆเข้ามาในนี้ได้อย่างไร  โดยที่มีหญิงสาวหน้าตาเหมือนเทพเข้ามาด้วย  เขายังนึกไม่ออกเพราะตอนนี้เขาปวดตุ้บๆตรงบริเวณแผลเหลือเกินเหมือนกับมันปวดไปทั้งร่าง  ตอนนี้เขารู้เพียงว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้วสิ  แต่บางอย่างที่ด้านหลังของชายหนุ่มวัยสิบเก้า(ภายในเป็นวิญญาณของเด็กอายุสิบหก)สาดแสงอาทิตย์แปลกประหลาดออกมา  ทำให้เขาต้องจ้องมองดู 

    สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหน้าต่างด้านหลังของหัวเตียงนอนที่สะท้อนแสงอาทิตย์สีประหลาด  มันคือสีชมพูสว่างแน่ๆในสายตาของเขา  มหิทธิคิด  ชายหนุ่มจึงหันไปมองแลละชะโงกหน้าออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกอย่างไม่รอช้าเพื่อที่จะดูว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่  และพบกับรูปร่างของอะไรบางอย่างที่ตนเองอาจจะต้องอ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ

    ชายหนุ่มรู้สึกมหัศจรรย์อยู่แล้วกับการที่มีคนอยู่มากมายบนโลกใบนี้  และยังมีสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่ทำให้ตนเองถึงกับอึ้งว่ามันสร้างขึ้นมาได้อย่างไรแต่ที่นี่พระเจ้านี่มันอะไรกันแน่นี่!!

    เมืองๆหนึ่งที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่ในนัยน์ตาสีเขียวของชายหนุ่มวัยสิบเก้า  มันกว้างขวางและใหญ่โตเสียจนเห็นกำแพงเมืองด้านตรงข้ามสายตาของตนเองเป็นเพียงขอบของภาพจิตรกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่ยักษ์ที่มนุษย์ไม่มีทางสร้างได้โดยเด็ดขาดโดยปราศจากจินตนาการ  ภูเขาขนาดใหญ่สามลูกอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์  แต่แทนที่จะเป็นสีแดงอมม่วงเหมือนอย่างทุกครั้งที่ตนเองมองเห็น  กลับเป็นดวงอาทิตย์สีแดงและขอบดวงอาทิตย์เป็นสีขาวอมชมพูสว่างดุจเดียวกับว่ามันห่อหุ้มพลังอันแท้จริงของดวงอาทิตย์เอาไว้  มันสาดแสงจ้าราวกับไฟนีออนสีชมพูอมแดงขาว  บ้านทุกหลังแทบจะเรียกได้ว่า  จินตนาการเกินมนุษย์ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้  บ้านหลากหลายหลังที่อยู่ด้านล่างของสายตาสีมรกตนั้นดูเหมือนผลึกสีรุ้งที่สว่างท่ามกลางความมืดของอาทิตย์ยามสายัณห์  บางหลังสูงส่งจนมองเห็นฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือและเป็นสีเขียวอ่อนล้อมรอบตึกเหล่านั้นเพราะต้นไม้เลื้อยจนขึ้นไปทั่วบ้าน  บางหลังดูเหมือนกลืนไปกับสีดำที่เป็นเงาของดวงอาทิตย์แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะมันล่องหนจนไม่สามารถมองเห็นสภาพบ้านภายในได้  บ้านบางหลังดูเหมือนว่าจะลอยได้  ชายหนุ่มเบิกตามองให้ชัดๆก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความมหัศจรรย์ที่มากกว่าเดิม  ที่แบกรับบ้านทั้งหลังนั้นคือมังกรตัวใหญ่เท่าแผ่นสนามฟุตบอลหนึ่งสนาม  แต่ละตัวมีสีต่างกันเหมือนจะแสดงถึงความเก่งกาจและอำนาจที่มีอยู่  บางตัวก็เป็นสีดำสนิท  บางตัวก็เป็นสีแดงสดเหมือนเปลวไฟ  แต่มันมีใบหน้ากลมยาวเหมือนกัน  คอของมันยาวและอวบหนาถึงสิบเมตร  ลำตัวขนาดใหญ่ของมันนั่นเองที่รองรับบ้านทั้งหลังไว้  ปีกของมันกินพื้นที่กว้างใหญ่บนท้องฟ้าและมันกำลังกระพือปีกอย่างช้าๆอย่างไม่ให้บ้านทั้งหลังนั้นร่วงลงไป  มังกรเหล่านี้คำรามอยู่ตลอดเวลาในยามอาทิตย์สายัณห์ราวกับว่ามันหมดเวลาล่าเหยื่อของมันแล้ว คนมีปีกหลากหลายคนที่โผล่ออกมาจากบ้านและร่อนลงบนพื้นเพื่อเดินเข้ามาในเมืองด้านล่าง  แต่มีสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมองดูเหมือนกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชายหนุ่มนัยน์ตาสีมรกตนั้น

    หอนาฬิกาสีขาวที่ทำจากหินอ่อนอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม  มันเป็นหอนาฬิกาที่สูงกว่ามังกรที่รองรับบ้านหลังนี้ไว้เสียอีก  มันสูงจนยอดที่แหลมยาวนั้นทะลุขึ้นไปจนถึงท้องฟ้าสีเทาอ่อนที่มีหมอกควัน  มันถูกสลักเสลาอย่างสวยงามราวกับเป็นจิตรกรรมของชาวตะวันตก  แต่นาฬิกาที่อยู่บนยอดสุดนั้นเป็นเข็มเดียวและเป็นเข็มที่เรืองแสงสีแดงในความมืด  และมีอักขระแปลกๆที่เขารู้สึกคุ้นเคย  ราวกับ...เคยเขียน...ภาษา...นี้มาแล้ว!!

    ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีรู้สึกแปลกพิกลราวกับว่าตนเองนั้นเคยเห็นอักขระแบบนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง  แต่เขาพยายามนึกแต่นึกเท่าใดก็นึกไม่ออกเสียทีเหมือนกับว่าสมองส่วนหนึ่งของตนเองนั้นถูกลบไปแบบไม่มีทางคืนความคิดได้  แต่ชายหนุ่มจำได้ว่าเขาเคยพูดภาษานี้มาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง  แต่จากที่ไหนกันล่ะ

    เขาคงจะนึกออกเมื่อเสียงของหญิงสาวที่คุ้นเคยลอยมาจากที่ไกลแสนไกล

    "เอ้า  นี่  ใบพอกแผล  อย่างน้อย...อ้าว  ไหนบอกว่าเจ้าจะพักผ่อนไง"  เสียงหญิงสาวร้องอย่างประหลาดใจเมื่อชายหนุ่มจ้องมองเมืองอย่างอัศจรรย์ใจแกมงุนงงเหมือนกับถูกพามาในดินแดนมหัศจรรย์ของอลิซอย่างไรอย่างนั้น

    "ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเห็นแบบนี้ในประเทศไทยหรือเมืองอื่นๆแน่  ตกลงที่นี่มันที่ไหนกันแน่ครับ"  มหิทธิร้องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิดเดียวเขาอยู่ที่ไหนกันแน่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่

    "นี่เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่าที่นี่คือที่ไหน  ทั้งๆที่เคยมาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วน่ะนะ"  หญิงสาวเจ้าของไข้ของชายหนุ่มถามอย่างตกใจสุดขีด

    "ไม่รู้ครับ"  ชายหนุ่มตอบอย่างซื่อๆ

    "ที่นี่คือเมืองกูราเยอ  เมืองแห่งความกล้าหาญที่มีชื่อ  แล้วที่เจ้าพูดถึงประเทศไทยหรือเมืองอื่นๆ  เจ้าจะบอกว่าเมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่เจ้าเคยเห็นหรือ…"

    "ใช่ครับ"  มหิทธิตอบอย่างซื่อๆและเน้นคำที่ด้านหน้าด้วยความสยดสยองว่าตนเองถูกบีบมิติเวลามาที่นี่

    "เอาล่ะ  ข้าขอถามอะไรหน่อย  ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เจ้าเคยเห็น  ถูกไหม"  หญิงสาวถามอย่างใจเย็นพลางยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มตะโกนออกมาอย่างลืมตัว

    "ใช่ครับ"  มหิทธิตอบ

    "ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า  เจ้ามาจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เผ่าของมนุษย์อาศัยอยู่กัน  อย่างนั้นละสินะ"  หญิงสาวถามอีก

    "โลกแห่งความเป็นจริง???"  มหิทธิถามอย่างตกใจมาก  เหมือนกับเวลาที่คุณกลายเป็นคนสติแตก  อารมณ์ประมาณนั้นเลย  "งั้นก็แปลว่าผมมาอยู่ที่โลกอีกแห่งหนึ่งอย่างนั้นสิ"

    เธอได้ยินคำตอบอย่างนั้นก็เริ่มพูดอย่างสงบว่า

    "เอาละ  อย่าตกใจนะ  ว่าเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร  เพราะข้าไม่รู้หรอก  ที่นี่คือโลกแห่งจิตวิญญาณ  โลกที่มนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนสร้างมันขึ้นมาไงล่ะ"

    "หา???"  ชายหนุ่มตกใจยิ่งกว่าเดิม  "โลกแห่งจิตวิญญาณโลกแห่งความเป็นจริงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่  บอกผมหน่อยสิ  ผมถูกพามาที่นี่ทำไม  ปล่อยผมกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้นะ"

    หญิงสาวเอ่ยขึ้นหนึ่งคำเพื่อสั่งให้เงียบและไม่ให้มหิทธิโวยวาย ชายหนุ่มวัยสิบเก้าเงียบเสียงลงทันทีเหมือนถูกเสกให้เป็นใบ้  หญิงสาววัยยี่สิบยกขันน้ำขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า

    "เอาเป็นว่าข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลังละกัน  เจ้าทาใบทริสเมลที่ข้าเอามาบดเป็นผงนี่เสียก่อนนะ  แล้วข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวให้ทั่วเมืองนี้เลย  เป็นไง  เจ้าจะได้ไม่ต้องโวยวายว่าตนเองอยากที่จะกลับบ้านอีก"

    หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรู้สึกหลากหลาย  ทั้งรู้สึกรังเกียจหรือไม่ก็ไม่รู้สิกลัวๆเขาด้วยอย่างพิกล

    "ตกลงครับ"  เด็กหนุ่มตอบตกลงและรับขันเหล็กของหญิงสาวมาอยู่ในมือของตนเองพลางมองดูน้ำข้างในขันนั้น  มันมองดูเหมือนผงสีเขียวที่ถูกละลายน้ำไปรอบๆจนมันนอนก้นอยู่บนก้นขันเหล็กใบนั้น

    "เอ้อ  ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของเจ้าเลย  เจ้าชื่ออะไรล่ะ"  หญิงสาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้พลางหยิบเอาผ้ากอซที่พันแผลสาหัสของเขาเอาไว้ออกมาเพื่อที่จะนำไปซัก

    "เอ่อผมชื่อ  มหิทธิ  สิริราชาครับ"  ชายหนุ่มตอบชื่อจริงของตนเองตอนที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงอย่างชัดถ้อยชัดคำ  นั่นทำให้เด็กสาวยิ้มพรายอย่างเข้าใจในตัวเขา  เธอจึงแนะนำตัวบ้าง

    "หึหึ  ข้าชื่อ  อินดู  วิริสกัส  เป็นนางพยาบาลประจำไข้ของเจ้า"  หญิงสาวตอบพลางหัวเราะเบาๆอย่างขบขันที่มหิทธิทำหน้าเอ๋อเหรอไป  ก่อนที่เธอจะออกไปข้างนอกในทันที  ทิ้งให้มหิทธินั่งทาแขนที่มีบาดแผลคมเขี้ยวของสัตว์และลำตัวที่ถูกสัตว์ข่วนกัดจนเหวอะหวะ  และเขาก็นอนลงบนเตียงก่อนที่จะหลับไปด้วยพิษของแผลและฤทธิ์ของยาทริสเมล

    เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลากลางคืน  สาเหตุที่เขารู้ก็เพราะตอนที่ชายหนุ่มตื่นขึ้นมานั้น  ท้องฟ้านั้นได้เปลี่ยนสีเป็นสีดำทั้งท้องฟ้าเหมือนกับท้องฟ้าถูกห่มด้วยผ้าหนาดำ  เขารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแผลฉกรรจ์ของเขาหายไปหมดสิ้นแล้ว แต่กลับมีแผลเป็นใหม่ที่ยาวเรียวที่มากกว่าเดิมแทนที่และทับแทยงเส้นแผลเก่า  มันเป็นบาดแผลกรงเล็บที่เสือขนาดเท่าวัวตัวโตเต็มที่ทำร้าย  เด็กหนุ่มสวมเสื้อที่เป็นเสื้อคลุมเดินทางเก่าขาดสีขาวที่ดูเหมือนได้ถูกใช้มานานแล้ว  ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น  และชายหนุ่มที่สวมเสื้อเรียบร้อยแล้วเดินออกมาเปิดประตูให้อินดูที่ยังสวมชุดเก่าอยู่  แต่กลับเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าผ้าสีดำที่มีพื้นรองเท้าหนาเพราะต้องรับมือกับแผ่นหินที่ปูพื้น

    "เอาละ  เจ้าพร้อมที่จะเที่ยวเมืองแล้วหรือยัง"  เสียงอินดูถามที่นอกประตูสีเขียวมรกต  มหิทธิมองดูแสงสลัวๆที่มือข้างขวาของอินดูพร้อมกับเห็นว่าเธอถือเทียนเล่มเล็กสีทองเอาไว้  เขาตอบอย่างไม่ให้เสียเวลาว่า

    "พร้อมแล้วครับ"  มหิทธิตอบพลางยิ้ม

    "เร็วเข้า  ออกมาข้างนอกสิ"  อินดูร้องพลางเลื่อนประตูให้เขาออกมา  ชายหนุ่มกลั้นยิ้มไว้ด้วยความขบขันอะไรบางอย่างก่อนที่จะเดินออกมาจากบ้านชั้นเดียวที่มีลักษณะประหลาดนั้น

    เท้าของชายหนุ่มสัมผัสได้ทันทีถึงสนามหญ้าที่มีหญ้านุ่มผิดปกติอยู่บนพื้นสีเขียวอ่อน  เขาเห็นดวงจันทร์สีนวลแต่สิ่งที่ผิดปกติจากโลกแห่งความเป็นจริงอีกอย่างก็คือ  ดวงจันทร์ดวงนี้มีลักษณะเรียบ  ไม่ขรุขระผิดกับโลกแห่งความเป็นจริง  นอกจากนี้  มันยังส่องแสงรอบนอกสว่างบ้าง  มืดบ้าง  ทำให้มันดูเหมือนแสงนีออนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า  เขารู้สึกได้ถึงแรงยั่วที่จะสัมผัสมัน  ชายหนุ่มจึงก้าวออกไปเพื่อที่จะลูบไล้แสงนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเหยียบอากาศธาตุอันว่างเปล่า  ชายหนุ่มร้องเหวอลั่นพลางชักเท้ากลับอย่างเร็ว  แล้วเขาจึงมองดูพื้นเบื้องล่างที่ว่างเปล่า  แต่สิ่งที่กระพือปีกอยู่นั้นทำให้มหิทธิจึงรู้ความจริงที่ต้องอ้าปากค้างพร้อมกับเบิกตากว้างอีกคำรบหนึ่ง  บ้านหลังนี้ถูกตั้งอยู่บนศีรษะของมังกรขนาดใหญ่ยักษ์สีเขียวอ่อน  ศีรษะของมันใหญ่ขนาดไหนน่ะหรือ  ก็มันกว้างขนาดเท่าเท้าของชายหนุ่มรวมกันถึงสิบก้าวเลยทีเดียว  ตั้งแต่ศีรษะอันใหญ่ยักษ์จรดปลายหางของมันดูเหมือนตึกที่เรียวยาวราวสิบถึงร้อยเมตร  ศีรษะที่รับบ้านหลังนี้มีเพียงตาสีแดงสดราวทับทิมแวววาว  แต่ส่วนที่เหลือของศีรษะนั้นปกคลุมด้วยขนเส้นเล็กสีเขียวอ่อน  ปีกที่ประกอบด้วยขนสีเขียวของมันกินพื้นที่กว้างใหญ่บนท้องฟ้าและมันกำลังกระพือปีกอย่างไม่เหนื่อยล้าจากการทำงาน  แต่หางของมันไม่ใช่หางธรรมดา  แต่เป็นหางที่มีหัวนกอินทรีสีเขียวอ่อน  มันปกคลุมด้วยขนนกสีเขียวหนานุ่ม  ตาที่คมของมันมองดูเขาอย่างท้าทาย

    "เอ่อ  ผมจะลงไปได้ยังไง ในเมื่อ...เอ่อ...ไม่มีปีก"  มหิทธิถามอย่างงุนงงพลางมองดูพื้นเบื้องล่างที่สูงถึงร้อยเมตรเลยทีเดียว

    "ไม่ยาก"  เด็กสาวเอ่ยพลางยิ้ม  และเธอก็หลับตาพริ้มเหมือนตั้งสมาธิอะไรบางอย่าง  ผ่านไปเพียงแค่ลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น  มังกรขนาดเท่าเรือกาเลออนก็คำรามเสียงลั่นเหมือนกับรอคำสั่งอะไรบางอย่างอยู่

    กาเรโอ  ลงจากท้องฟ้า  อย่าให้ชายผู้นี้ต้องเป็นอะไรอย่างเด็ดขาด  อินดูสั่งกับอากาศอันว่างเปล่า  มหิทธิไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องสั่งกับอากาศ  แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าทำไม  เพราะเจ้ามังกรคำรามฟึดฟัดอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆหล่นร่วงลงมาจากฟากฟ้าสู่พื้นดินเหมือนกับลิฟต์ที่พุ่งผ่าน  ทำให้มหิทธิเสียววูบเพราะแรงดิ่งที่ร่วงลงมาอย่างเร็ว

    "คุณคุณสั่งมังกรได้อย่างนั้นหรือ"  มหิทธิร้องถามแข่งกับเสียงหวีดหวิวของอากาศพลางมองดูอินดูอย่างสงสัย  เธอเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ

    จับบ้านแห่งเอลฟ์เอาไว้ให้ดีๆล่ะ  มิฉะนั้นจะตกลงไปจริงๆด้วย

    ได้เลย  ชายหนุ่มตอบพลางจับตัวบ้านที่ตอนนี้  มันยังคงตั้งนิ่งได้อย่างน่าดูชม  ทั้งๆที่ตัวของชายหนุ่มวัยสิบเก้านั้นสั่นไปทั้งตัวเพราะแรงดิ่งอันเสียววาบไม่ต่างอะไรกับการเล่นรถไฟเหาะตอนที่ดิ่งลงมา  มหิทธิอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปเสียที  จนในที่สุด

    กึก!

    เสียงเท้าขนาดใหญ่แตะพื้นอย่างแผ่วเบาดังขึ้น  ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น  พวกเขามาถึงส่วนล่างของเมืองกูราเยอ  หรืออาจจะเรียกได้อย่างง่ายๆว่า  ตัวเมืองที่แท้จริง  มันช่างมืดมนและวังเวง  แต่แสงสีทองที่ถืออยู่บนมือของอินดูทำให้เขามองเห็นทางอย่างง่ายดาย  มีเพียงเสียงประหลาดที่เป็นเหมือนเสียงขู่ฟ่อเหมือนงูอยู่ใกล้ๆ  เขามองเห็นพื้นถนนสะท้อนอยู่บนแสงจันทร์  มันคือถนนสีเขียววาวและมีเกล็ดเหมือนงูเหลือม 

    เหวอ!!”

    แต่เขาต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อพบว่ามันเคลื่อนที่ได้! 

    คิกๆ  ไม่ต้องกลัวหรอกนะ  สิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั่นคืองูกระทะ  หรืองูเหลือมกระทะ  มันไม่มีอันตรายเลย  ยกเว้นแแต่ว่ามันจะถูกกระทำก่อนน่ะนะ  เธอพูดพลางหัวเราะคิกๆ  นั่นทำให้มหิทธิหันไปทางด้านอื่นเพื่อสำรวจ

    แล้วเขาก็เห็นหัวงูขนาดใหญ่และแบนยาวอยู่ไกลๆจากบริเวณถนน  มันคืองูขนาดใหญ่และแบนเท่ากระทะทอดไข่เลยทีเดียว  มันมีร่างสีเขียวอมเหลืองและสะท้อนแสงจากตะเกียงที่ห้อยแขวนอยู่ที่รอบๆบริเวณถนน  แต่ถึงแม้ว่าจะมีแสงจากตะเกียง  แต่มันก็มืดมิดอยู่ดี  มันในตอนนี้เคลื่อนตัวอย่างแช่มช้าไปตามถนนที่แท้จริงซึ่งตอนนี้ปรากฏเป็นพื้นปูนสีน้ำตาลเรียบราวกับถูกรถบดถนนบดเป็นทาง  ชายหนุ่มมองดูบ้านแต่ละหลังซึ่งมีเพียงความมืดมิดในตอนแรก  แต่เมื่ออินดูส่องเทียนไปรอบๆ  เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย  บางหลังดูมืดเหมือนล่องหนหายไป  แต่บางหลังก็สว่างแวววาวรับแสงเทียนจนดูราวกับสร้างจากผลึกสีรุ้ง  บางหลังก็สร้างวาดภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามผนัง  บางภาพก็เหมือนเปลวไฟที่ร้อนแรงราวกับจะแผดเผา  บางหลังก็เป็นรูปท้องฟ้าที่เคลื่อนที่ได้จริงๆ  แต่ละบ้านดูเหมือนจะมีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในตัวของมันเอง  มหิทธิรู้สึกทึ่งแกมประหลาดใจพลางคิดว่า  ทำไมที่กรุงเทพถึงไม่มีการสร้างเมืองอันโบราณแต่มหัศจรรย์แบบนี้บ้าง  แต่อินดูดูเหมือนจะรู้อยู่นานมากแล้ว  เลยไม่ได้รู้สึกอะไรเลย  เธอเดินไปตามทางเรื่อยๆด้วยความระมัดระวังพร้อมกับหันเทียนเล่มเล็กๆไปเรื่อยๆ

    แต่ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า  มีสัตว์ชนิดหนึ่งกำลังยืนหอบหายใจเสียงแผ่วเบาราวกับไม่อยากให้เหยื่อสองคนได้ยินเสียงก้าวเดินอันหนักหน่วงบนทางเดินของมัน  ดวงตาสีแดงสามตาของมันจับจ้องเหยื่ออันโอชะอย่างอดกลั้น  ก่อนที่เงาของมันจะผลุบหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเทียนสีเหลืองทองส่องลงมาถึงตัวมัน

    อินดูเดินไปตามทางเรื่อยๆจนกระทั่งเธอนึกถึงอะไรบางอย่างได้  เธอจึงส่งเทียนเล่มเล็กนั้นให้มหิทธิเหมือนกับผลักภาระอย่างไรพิกลเลยแฮะ  ชายหนุ่มคิด

    จริงสิ  ข้าต้องไปดูแลเสือทรัวโอลแล้ว  วันนี้วันเข้าเวรดูแลคอกสัตว์ที่บาดเจ็บของข้าน่ะ  เด็กสาวร้องพลางพูดอีกว่า  เดี๋ยวเจอกันนะ  ก่อนที่เธอจะเดินหายไปบนทางเดินในยามราตรีอันมืดมน  โดยไม่ลืมที่จะวิ่งไปตามทางเก่าเพื่อที่จะเรียกมังกรบ้านมาหาเธอ

    เอายังไงดี  อยู่ตัวคนเดียวแล้วสิ  งานนี้  มหิทธิพูดพลางเกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงงปนประหลาดใจที่อินดูปล่อยเขาเช่นนี้  ชายหนุ่มวัยสิบเก้าค่อยๆเดินไปอย่างแช่มช้าในความมืด  โดยใช้แสงจันทร์และเทียนเล่มเล็กเป็นตัวนำทางสู่สิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นหอนาฬิกาสีขาวนั่น  มหิทธิคิดที่จะไปสำรวจที่นั่น

    เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วทางเดิน  จนกระทั่งเท้าของตนเองเดินมาถึงหอนาฬิกาขนาดใหญ่ที่ตนเองมองเห็นในช่วงเย็น  ยิ่งมองดูยอดหอนาฬิกามากขึ้นเท่าใด  มันก็ยิ่งรู้สึกว่าสูงและน่าเกรงขาม  ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวมรกตรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาอย่างแผ่วเบา  แต่ก็ทำให้เกิดเสียงกรอกแกรกดังขึ้นในช่องปาก  บ่งบอกถึงพลังที่ไม่มีอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงที่ดูรุนแรงมาก  มหิทธิเดินไปรอบๆหอนาฬิกาที่กว้างถึงห้าสิบเมตรและฐานนั้นทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส  เด็กหนุ่มนั้นมีแววตาอันวาวโรจน์อย่างน่าตื่นเต้นเมื่อมองเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง

    นาฬิกาสีขาวหินอ่อนที่สลักอักษรประหลาดนั้น  เริ่มส่งแสงคุกรุ่นน่าพิศวงออกมาทั้งจากหน้าปัดเรืองแสงสีขาวและหน้าปัดนั้นเริ่มส่งแสงสีชมพูออกมา

    แต่ในขณะที่มหิทธิกำลังจะแหงนหน้าขึ้นไปมองดูหน้าปัดนาฬิกาที่ตอนนี้ส่งแสงผะแผ่วออกมาแล้ว  เสียงคำรามดังฟืดๆอยู่ในหูของมหิทธิ  มันเป็นเสียงที่แผ่วเบามาก  แต่ก็ดังพอที่มหิทธิจะมองดูต้นเสียงนั้นด้วยความสงสัย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×