คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ (แก้ไขคำพูดและคำบรรยายบางจุด) (ทุกหน้าจะถูกแก้ไขแบบนี้งับ)
บทนำ
“วันนี้ฉันขอเข้าพบเธอเพราะฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ
เพียงนิดเดียวเท่านั้น”
เสียงอาจารย์คนหนึ่งพูดกับเด็กหนุ่มดังขึ้นในห้องสีขาวรูปลูกบาศก์ขนาดเท่าอพาร์ทเมนต์ ห้องขนาดเล็กนี้มีตู้กระจกสีเทาที่ทำจากหินอ่อนซึ่งมีแฟ้มสีต่างๆเรียงรายกันอยู่เป็นชื่อๆเรียงตามอักษรภาษาไทย เก้าอี้ที่อาจารย์นั่งเป็นเก้าอี้นวมสีขาวสะอาดที่สามารถหมุนได้รอบตัว ตอนนี้เขากำลังมองดูด้านนอกหน้าต่างด้านหน้าร่างของเด็กหนุ่ม แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ดวงตาสีดำสว่างตาในแว่นตากรอบพลาสติกสีเดียวกับดวงตาหมุนมามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจดี ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กุมมือแน่นและมีเหงื่อซึมออกมาจากมือสีคล้ำอย่างอึดอัดใจ
เด็กหนุ่มมีผมสีน้ำตาลตัดรองทรงสูงโดยไว้ผมตรงด้านข้างใบหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลอมดำราวกับต้นไม้ที่ถูกแดดเผาดูสั่นคลอนด้วยความกลัวปนระแวง ดวงหน้าสีน้ำตาลอ่อนเพราะโดนแดดดูขมวดมุ่น เขาสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวสะอาดที่มีรอยเปื้อนรองเท้าตรงหน้าท้อง กางเกงแสลกสีดำสนิทที่เปรอะเปื้อนจากการต่อสู้และรองเท้าผ้าใบสีดำสนิทดูเข้าชุดกัน
แน่นอน หลังจากเหตุการณ์ชกต่อยกันของวัยรุ่น โดยมีเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่การที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะแค่มันด่าเขาว่า “ปัญญาอ่อน” ก่อนที่จะเข้าไปรุมทำร้ายเขาอย่างเมามัน สุดท้ายเขาจึงโมโห ทำร้ายด้วยการต่อยพวกมันไปสองสามครั้ง
ก็เท่านั้น
“มีอะไรหรือครับ อาจารย์
ถึงเรียกผมมาที่นี่ ถ้าจะลงโทษผมก็ลงโทษผมเถอะ ผมไม่สนใจหรอก” เด็กหนุ่มพูดด้วยความกล้าๆกลัวๆแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกโกรธ ก็คนที่คุยกับเขาใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ เขาเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ในโรงเรียนเอกชนนะ แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย แค่ต่อยพวกมันไปสองถึงสามทีด้วยความโกรธเท่านั้น
และเขาถูกเรียกมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่
“คือฉันเพิ่งเคยเห็นเธอครั้งแรก ช่วยเล่าประวัติของเธอให้ฉันฟังจะได้ไหม เพราะเราคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ฉันจะได้ทำความคุ้นเคยกับเธอไงล่ะ”
เด็กหนุ่มมองดูอาจารย์อย่างงุนงงปนไม่เข้าใจในความรู้สึกของคนตรงหน้าเพราะอาจารย์ใหญ่ส่งรอยยิ้มพลิ้วระริกในแววตามาให้กับเขา เขาคิดว่าอาจารย์เป็นมิตรกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว เขาไม่ใช่คนที่จะตวาดเมื่อเห็นนักเรียนทำผิดหรือลงโทษอย่าสาสมโดยไม่ลงมือถามก่อน แต่เป็นคนที่พร้อมจะฟังเด็กนักเรียนและพร้อมเสมอที่จะให้นักเรียนกล่าวคำขอโทษกับคนที่กระทำผิดด้วย ครูคนนี้เป็นมิตรกว่าที่คิดเอาไว้อีกแฮะ
เด็กหนุ่มวัยสิบหกคิดในใจ เพราะตลอดเวลาที่เขาได้เห็นอาจารย์ใหญ่คนนี้เดินไปๆมาทั่วโรงเรียนขนาดใหญ่นี้ เขามองเห็นถึงชายหนุ่มวัยสามสิบสองที่เดินอย่างสง่างามและมีความรับผิดชอบสูง แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอาจารย์คนนี้จะเข้าหานักเรียนด้วยความรู้สึกที่ดีแบบนี้ เด็กหนุ่มจึงเริ่มคลายมือที่กุมไว้แน่นและพูดแนะนำตัวอย่างกล้าขึ้นมาหน่อยว่า
“ผมชื่อมหิทธิ
มหิทธิ สิริราชา เป็นลูกชายของช่างซ่อมไฟฟ้าที่ชื่อ รัตชา สิริราชา ครับ”
“อืม
” อาจารย์ใหญ่พูดพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด แต่ดูจากการเอียงคอน้อยๆ มหิทธิก็รู้ทันทีว่าเขารู้สึกสนใจ “ฉันเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกในหมู่นักเรียน มันแปลว่าอะไรอย่างนั้นหรือ”
“แปลว่า ผู้มีฤทธิ์มากครับ” มหิทธิตอบอย่างอายๆ การที่มีคนสนใจในเรื่องของเขา(หรือกระทั่งชื่อของตนเอง)มากขนาดนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมากขึ้น
โดยที่ไม่รู้ตัว
“ฉันเคยเห็นเธอนั่งอยู่บนสนามหญ้าคนเดียว ชอบพูดคนเดียวตลอด เธอชอบนั่งอยู่ตรงนั้นหรือ แล้วเธอพูดกับใครหรือ” อาจารย์ใหญ่ถามพลางวางมือลงบนโต๊ะไม้อัดที่ทาสีขาวอ่อน
“เอ่อ
” มหิทธิอึกอักพลางรู้สึกว่าตนเองเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน อนึ่งเขาไม่อยากให้คนอื่นมาถามในเรื่องส่วนตัวของเขาแบบนี้ด้วย
“เล่ามาเถอะ ฉันไม่อยากว่าเธอเป็นพวก ‘สติเฟื่อง’ เหมือนที่เพื่อนๆของเธอเรียกหรอก” อาจารย์พูดพลางยิ้มให้ทั้งปากและตาแสดงคำตอบด้วยความจริงใจ ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่เป็นไปไม่ได้ โลกที่มีแต่จินตนาการและคนที่อยากฟังเรื่องราวของเขา เขาจึงยิ้มและพูดว่า
“ผมชอบนั่งอยู่คนเดียว นึกถึงจินตนาการของตนเองคนเดียว เพราะไม่มีใครอยากจะฟังเรื่องของผมสักเท่าใดนักหรอก” มหิทธิพูด ดวงหน้ามีสีแดงคล้ำด้วยความโกรธ “ผมชอบพูดคนเดียว หลายครั้งที่มีภาษาประหลาดๆออกมาจากปากด้วยล่ะฮะ”
“อืม
” อาจารย์ใหญ่เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างพร้อมกับมีใบหน้าขมวดมุ่นแต่ดูจากแววตาที่พลิ้วระริกก็รู้ว่าเขาสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก “เข้าใจละ อย่างน้อยเธอก็มีจิตวิญญาณและความรู้สึกเป็น ของตนเอง แทนที่จะเลือกในความคิดและเหตุผลเหมือนกับคนอื่น แต่เธออาจจะรู้สึกและคิดมากเกินไปจนกลายเป็นความเพ้อฝัน เธอต้องระวังในเรื่องนี้ให้ดีนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กับโลกอันโสมมใบนี้น่ะ”
มหิทธิไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคำเตือนอันแปลกประหลาดนั้น แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ต้องการซักถามอะไรอีก เขาก้มลงใต้โต๊ะ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มได้ยินเสียงที่อาจารย์ค้นของบางอย่างจากลิ้นชักจนกระทั่งเขาโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะและวางสิ่งของบางอย่างเอาไว้บนโต๊ะวาววับนั้น
มันคือสมุดบันทึกสีแดงเลือดหมูที่ดูเก่าเหมือนไม่ได้ใช้อยู่หลายปี มีสายคาดที่ทำจากทองเหลืองฉาบด้วยสีแดงพาดไปมาเป็นรูปกากบาทสีแดงดูวาววับและที่กลางกากบาทนั้นมีรูปดวงตาสีเหลืองสดที่มีรอยรูม่านตาสีแดงสด มันจ้องมองมหิทธิอย่างดุร้าย และที่ขอบสมุดนั้นมีรูกุญแจสีทองอร่ามติดกับบานพับสีแดงสด มันมีเอาไว้ทำไมกันนะ มหิทธิคิดอย่างสงสัย
“กุญแจอยู่ตรงนี้” เขาพูดเสียงเบาพลางหยิบกุญแจสีเดียวกับรูกุญแจที่อยู่ด้านในกระเป๋ากางเกง “นี่คือสมุดบันทึก
ที่อาจจะ
เอ่อ
พิเศษหน่อย
ฉันได้รับมาจากยิปซีคนหนึ่งตอนที่กำลังเดินทางไกลจากคาบสมุทรหนึ่งสู่อีกซีกโลกในการเดินทางของฉัน เขาบอกว่าต้องให้กับคนที่มีจิตวิญญาณที่เข้ากับสมุดบันทึก ฉันเลยตัดสินใจให้เธอ เพราะเธออาจจะเป็นคนที่สามารถเข้ากับสมุดบันทึกก็ได้”
“ผมไม่เอาของๆอาจารย์หรอกครับ ขอบคุณมาก” เด็กหนุ่มร้องอย่างเกรงใจพลางจะผลักหนังสือคืนกลับ แต่อาจารย์กลับยัดหนังสือมาให้มหิทธิ ก่อนที่จะพูด
พลางยิ้มอย่างเป็นปริศนาว่า
“รับไป ฉันอยากให้เธอรับไว้ มันจำเป็นสำหรับเธอมากกว่า” อาจารย์ใหญ่พูด
“???” มหิทธิมีสีหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจ เขามีความจำเป็นอะไรกับสมุดบันทึกกันแน่ แล้วอาจารย์คนนี้เป็นใครกันแน่
แต่เขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้พร้อมกับหยิบสมุดบันทึกออกมาอยู่ในอุ้งมือของเขา หนังสือเล่มนี้หนักเหมือนกันแฮะ เด็กหนุ่มคิด
“ขอบคุณมากครับ
ที่วางใจมอบสมบัติโบราณนี้ให้กับผม” แล้วเด็กหนุ่มวัยสิบหกก็หยิบหนังสือเล่มหนาใส่ในกระเป๋า ก่อนที่จะไหว้สวัสดีอาจารย์และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“มหิทธิ สิริราชา” อาจารย์พูดจากมุมมืดอย่างเป็นปริศนาพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักที่เปิดอยู่แล้ว
สิ่งนั้นคือลูกแก้วลูกกลมดิกลูกเล็กเท่าฝ่ามือสีขาวขุ่น ชายหนุ่มวัยสามสิบสองถอดแว่นตาสีดำสนิทออกไป เพียงชั่วเขาขยับแว่นออกไปจากใบหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มก็มองเห็นถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั้งที่ดวงตาของอาจารย์ และลูกแก้วขนาดเล็กนั้น
ดวงตาของอาจารย์ใหญ่ค่อยๆเปลี่ยนจากสีดำสนิทอย่างช้าๆเป็นสีแดงเพลิงที่มีเกลียววารีสีน้ำเงินน้ำทะเลปรากฏขึ้นรอบรูม่านตา และเพียงพริบตาที่ลูกแก้วนั้นมองเห็นดวงตาสีประหลาดนั้น ลูกแก้วก็เกิดปฏิกิริยา เปลี่ยนสีเป็นสีขาวสว่างจ้าที่สาดส่องใบหน้าขาวซีดของอาจารย์
“อย่างน้อยเธอก็น่าจะช่วยโลกใบเล็กที่ตายด้านนี้ได้
และช่วยเหลือโลกทั้งสองของพวกเราได้บ้างนะ
มหิทธิ”
เด็กหนุ่มเดินออกจากโรงเรียนในเวลาเลิกพร้อมกับที่ดวงอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่เริ่มตกลงมาที่ทิศตะวันตก ทำให้อาคารหลังเล็กที่ทำจากกระจกสีดำส่องดวงอาทิตย์เข้าใบหน้าของมหิทธิ แต่เขากลับมีสีหน้าชื่นมื่นผิดกับตอนที่เข้าไปหาอาจารย์ ตอนนั้นเขามีหน้าซีดอย่างกับไก่ต้มแน่ะ เด็กหนุ่มวัยสิบหกคิด นอกจากเขาจะไม่ต้องตอบคำถามแย่ๆแล้ว เขายังได้เพื่อนใหม่ นั่นคือ สมุดบันทึกอีกด้วย
วันนี้ท่าทางจะเป็นวันที่ดีกว่าที่คิดแฮะ มหิทธิคิดพลางก้าวเดินออกไปสู่ถนนขนาดใหญ่ที่ไปสู่บ้านพักของตนเอง
เด็กหนุ่มเดินมาถึงหอพักที่เป็นห้องขนาดใหญ่เท่าลูกบาศก์สีขาวซีด เขานั่งลงบนเตียงสีขาวลายส้มเหมือนลายหมากรุกพร้อมกับวางกระเป๋าลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มร่างสูงผอมคิดว่าน่าจะทำการบ้านได้แล้ว เขาเปิดกระเป๋าและเทข้าวของออกมา มีหนังสือเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ปากกา ดินสอ หรืออะไรต่อมิอะไรที่เป็นของจุกจิก
จนเมื่อสมุดบันทึกตกลงมาดังตุ้บพร้อมกับหล่นคว่ำลงมาบนเตียงนุ่ม เขามองดูอยู่สักพักด้วยความรู้สึกประหลาดก่อนที่จะดูให้ชัดเจนว่า บันทึกนี้มีอะไรพิเศษที่ทำให้อาจารย์ถึงกับยกให้เขา
เขาล้วงเอากุญแจสีทองเหลืองออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าและใส่ในรูกุญแจ ก่อนที่จะบิดรูกุญแจไขทันที - แกร๊ก - กุญแจถูกปลดออกและเด้งออกที่ท้ายสมุด มหิทธิค่อยๆขยับบานพับ ก่อนที่จะเปิดสมุด
เสียงฟ้าผ่าครืนครั่นเกิดขึ้นในหูทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม เป็นเสียงครืนครั่นเบาๆ แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความดังสนั่นของมัน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆนอกจากเสียงจิ๊บๆของนกที่กลับมาจากล่าเหยื่อเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงหันกลับมาที่สมุดที่ตอนนี้กำลังกางขึ้นมาดุจมันพร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มคนนี้บันทึกแล้ว มันเป็นหน้าสมุดที่ไม่มีเส้นบรรทัดเลย มีเพียงหน้ากระดาษสีขาวเก่าๆเหมือนไม่ได้ใช้มานานเท่านั้น เด็กหนุ่มยื่นมือและลูบไล้สมุดโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่
เหมือนเขานั้น
ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไร
เกิดเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ฟังดูทรมานสาหัสดังขึ้นพร้อมกับเสียงสัตว์อสูรคำรามดังลั่น มันเป็นเสียงที่น่าขนลุกและน่าสยดสยองเป็นที่สุดปานเสียงภูตผีนรกกำลังยื้อแย่งออกมาจากขุม มหิทธิชักมือออกอย่างหวาดกลัวสุดขีด และเสียงนั้นก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่มันอะไรกัน มหิทธิคิด จู่ๆจะมีเสียงกรีดร้องออกมาจากสมุดบันทึกได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก นี่มันก็แค่สมุดบันทึกเท่านั้น เขาแค่คิดไปเองน่า
เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจวางสมุดบันทึกลงบนโต๊ะอย่างแสยงขนราวกับมันจะทำร้าย และหันไปสนใจสมุดการบ้าน
ที่ตอนนี้กำลังวางอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม เขานั่งลงบนโต๊ะและเริ่มทำการบ้านสุดสัปดาห์ที่จะถึงในทันที และตลอดเวลาที่เขาทำการบ้าน เด็กหนุ่มมองสมุดอย่างไม่ไว้ใจอยู่ตลอดเวลาดุจว่ามันจะทำร้ายเข้าใส่อย่างนั้นแหละ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา การบ้านก็ถูกเขียนจนเสร็จ หน้าสมุดการบ้านที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยเรียงความคณิตศาสตร์ กับรายงานสองสามหน้าเรื่อง "ตรีโกณมิติ"
เขานั่งอยู่บนโต๊ะและหยิบสมุดบันทึกออกมาและเปิดมันอย่างช้าๆราวกับว่าฟ้าผ่าจะฟาดใส่เขาอย่างนั้นแหละ แต่คราวนี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสนิท
เขาเห็นเพียงหน้ากระดาษสีขาวเก่าๆเท่านั้น เขาเปิดไปที่หน้าแรก และหยิบปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน ก่อนที่จะเขียนว่า
"ฉันคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนเลย แต่อย่างน้อยฉันก็ได้พบคนที่จะพูดได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ฉันคิดว่าฉันได้นายจากคำอธิษฐานนั้น"
เขานิ่งคิดนิดหนึ่งเหมือนพยายามใช้ความคิด ก่อนที่จะเขียนต่ออย่างไม่รอช้าว่า
"อย่างน้อยตอนนี้พ่อก็น่าจะมาแล้ว พ่อน่าจะรู้เรื่องนายนะ"
เด็กหนุ่มปิดสมุด ผนึกกุญแจสีทองอย่างรวดเร็วก่อนที่เสียงก๊อก ก๊อก จะดังขึ้น เด็กหนุ่มเปิดประตูอย่างคุ้นเคยเพราะเขารู้ดีว่าใครเป็นคนเคาะประตู
"ไงลูก" ชายหนุ่มวัยกลางคนที่สวมเสื้อแขนยาวสีเทาสกปรกดุจมันเปรอะเปื้อนด้วน้ำมันหล่อลื่นกับกางเกงสีเดียวกันก้าวเข้ามาในบ้าน เขาหิ้วถุงสีดำที่เต็มไปด้วยข้าวของที่เกี่ยวกับอิเลคทรอนิกส์เต็มมือ "พ่อว่าน่าจะมีคนมาช่วยพ่อนะ"
"แน่นอนครับ" เด็กหนุ่มพูดและหยิบถุงในมือขวาของพ่อเข้ามาและเดินไปปิดประตูเมื่อพ่อเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว
"โอเค พ่ออยากทำงานเลย และพ่ออยากฟังเรื่องที่ลูกเล่าทั้งหมดเลยด้วย" พ่อพูดพลางยิ้มอย่างร่าเริง
"พ่อครับ...ผมเจอเรื่องแปลกประหลาดมาด้วยละ ในวันนี้น่ะ" มหิทธิพูด
"ว่าไปสิ ลูก" พ่อพูดพลางยิ้มอย่างอยากจะฟัง
เขาเล่าเรื่องที่ถูกเชิญโดยอาจารย์ใหญ่ให้มาคุย และมอบสมุดบันทึกโบราณแก่เขา เขาจึงมานั่งดูรายละเอียดของสมุด และพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกประหลาดข้างในสมุด เมื่อพ่อฟังเรื่องของเขาจบแล้ว พ่อก็ดูมีสีหน้าขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด แต่ในขณะเดียวกัน สีหน้าของชายหนุ่มวัยสี่สิบสองกลับดูเรียบเฉยเหมือน
เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
"เฮ้อ" พ่อครางอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนที่จะพูดว่า "ลูกน่าจะเข้านอนเสีย วันนี้ลูกคงเหนื่อยมากจนเห็นภาพหลอน" พ่อพูดเสียงเย็นชา
"แต่ว่า..." เด็กหนุ่มร้อง และมองดูนาฬิกา นี่มันเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น
"เดี๋ยวนี้" พ่อพูด เสียงของพ่อดูดุอย่างที่ไม่เคยเป็น
และเด็กชายรู้สึก
รู้สึกเหมือนว่ามีเสียงคำรามในแบบที่บิดาไม่เคยทำ
ปรากฏขึ้นในน้ำเสียงด้วย
"ครับ..." มหิทธิตอบอย่างเศร้าๆก่อนที่จะเดินไปแปรงฟันและนอน โดยที่ยังสงสัยว่าพ่อเป็นอะไรกันแน่ในวันนี้ พ่อไม่เคยพูดจาขัดกับเขา และไม่มีทีท่าว่าจะโกรธในสิ่งที่เขาพูดมาก่อนเลย แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็หลับไปโดยไม่รับรู้อะไรอีก
โดยที่มหิทธิไม่รู้ตัวเลยว่า ได้เกิดความไม่สมดุลบางอย่างขึ้นแล้วบนโลกใบนี้และโลกอีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งเหนือจินตนาการ
เกินกว่าที่ใครจะคาดฝันถึง
ดวงตาสีแดงสดราวกับเลือดและมีรูม่านตาสีเหลืองสดราวกับสัตว์ร้ายมองมาทางพ่อราวกับต้องการเลือดสดๆ จนกระทั่งตาของมันเลื่อนกลับไปในความมืด จนในที่สุด มันก็หายวับไปจากสายตา
ในความมืด พ่อของมหิทธิกำลังนอนกรนดังสนั่น พ่อดูเหมือนจะเหนื่อยจริงๆ แต่ทันใดนั้น...
แกร๊ก!!
เสียงสมุดบันทึกสีแดงที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีเปิดผลัวะออกมาโดยที่ไม่มีใครแตะต้อง
และไม่มีใครเข้าใกล้เลยสักนิด แต่ดูเหมือนว่ามีอำนาจบางอย่างมาเปิดสมุด วินาทีหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้น - พรึ่บๆๆๆๆ กระดาษสีขาวก็เปิดออกอย่างแรงราวกับมีลมพัดผ่านทั้งๆที่นอกหน้าต่างก็ไม่มีลม ก่อนที่อักขระสีน้ำทะเลจะปรากฏขึ้น มันเป็นอักขระประหลาดตวัดปลายเขียนเอาไว้ว่า
"ขอต้อนรับสู่ประตูแห่งโลกแห่งจิตวิญญาณ"
ทันทีทันใดนั้น จิตของมหิทธิก็หายไปจากบริเวณนั้นทันทีเหมือนถูกถอดสลัก
ความคิดเห็น