ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ (แก้ไขคำพูดและคำบรรยายบางจุด) (ทุกหน้าจะถูกแก้ไขแบบนี้งับ)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 51


    บทนำ

    วันนี้ฉันขอเข้าพบเธอเพราะฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ…เพียงนิดเดียวเท่านั้น

    เสียงอาจารย์คนหนึ่งพูดกับเด็กหนุ่มดังขึ้นในห้องสีขาวรูปลูกบาศก์ขนาดเท่าอพาร์ทเมนต์  ห้องขนาดเล็กนี้มีตู้กระจกสีเทาที่ทำจากหินอ่อนซึ่งมีแฟ้มสีต่างๆเรียงรายกันอยู่เป็นชื่อๆเรียงตามอักษรภาษาไทย  เก้าอี้ที่อาจารย์นั่งเป็นเก้าอี้นวมสีขาวสะอาดที่สามารถหมุนได้รอบตัว  ตอนนี้เขากำลังมองดูด้านนอกหน้าต่างด้านหน้าร่างของเด็กหนุ่ม  แต่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น  ดวงตาสีดำสว่างตาในแว่นตากรอบพลาสติกสีเดียวกับดวงตาหมุนมามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างใจดี  ตรงกันข้ามกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กุมมือแน่นและมีเหงื่อซึมออกมาจากมือสีคล้ำอย่างอึดอัดใจ

    เด็กหนุ่มมีผมสีน้ำตาลตัดรองทรงสูงโดยไว้ผมตรงด้านข้างใบหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลอมดำราวกับต้นไม้ที่ถูกแดดเผาดูสั่นคลอนด้วยความกลัวปนระแวง  ดวงหน้าสีน้ำตาลอ่อนเพราะโดนแดดดูขมวดมุ่น  เขาสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวสะอาดที่มีรอยเปื้อนรองเท้าตรงหน้าท้อง  กางเกงแสลกสีดำสนิทที่เปรอะเปื้อนจากการต่อสู้และรองเท้าผ้าใบสีดำสนิทดูเข้าชุดกัน

    แน่นอน  หลังจากเหตุการณ์ชกต่อยกันของวัยรุ่น  โดยมีเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย  แต่การที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะแค่มันด่าเขาว่า  ปัญญาอ่อน  ก่อนที่จะเข้าไปรุมทำร้ายเขาอย่างเมามัน  สุดท้ายเขาจึงโมโห  ทำร้ายด้วยการต่อยพวกมันไปสองสามครั้งก็เท่านั้น

    มีอะไรหรือครับ  อาจารย์ถึงเรียกผมมาที่นี่  ถ้าจะลงโทษผมก็ลงโทษผมเถอะ  ผมไม่สนใจหรอก  เด็กหนุ่มพูดด้วยความกล้าๆกลัวๆแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกโกรธ  ก็คนที่คุยกับเขาใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ  เขาเป็นถึงอาจารย์ใหญ่ในโรงเรียนเอกชนนะ  แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย  แค่ต่อยพวกมันไปสองถึงสามทีด้วยความโกรธเท่านั้น  และเขาถูกเรียกมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่

    คือฉันเพิ่งเคยเห็นเธอครั้งแรก  ช่วยเล่าประวัติของเธอให้ฉันฟังจะได้ไหม  เพราะเราคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน  ฉันจะได้ทำความคุ้นเคยกับเธอไงล่ะ

    เด็กหนุ่มมองดูอาจารย์อย่างงุนงงปนไม่เข้าใจในความรู้สึกของคนตรงหน้าเพราะอาจารย์ใหญ่ส่งรอยยิ้มพลิ้วระริกในแววตามาให้กับเขา  เขาคิดว่าอาจารย์เป็นมิตรกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว  เขาไม่ใช่คนที่จะตวาดเมื่อเห็นนักเรียนทำผิดหรือลงโทษอย่าสาสมโดยไม่ลงมือถามก่อน  แต่เป็นคนที่พร้อมจะฟังเด็กนักเรียนและพร้อมเสมอที่จะให้นักเรียนกล่าวคำขอโทษกับคนที่กระทำผิดด้วย  ครูคนนี้เป็นมิตรกว่าที่คิดเอาไว้อีกแฮะ  เด็กหนุ่มวัยสิบหกคิดในใจ  เพราะตลอดเวลาที่เขาได้เห็นอาจารย์ใหญ่คนนี้เดินไปๆมาทั่วโรงเรียนขนาดใหญ่นี้  เขามองเห็นถึงชายหนุ่มวัยสามสิบสองที่เดินอย่างสง่างามและมีความรับผิดชอบสูง  แต่เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอาจารย์คนนี้จะเข้าหานักเรียนด้วยความรู้สึกที่ดีแบบนี้  เด็กหนุ่มจึงเริ่มคลายมือที่กุมไว้แน่นและพูดแนะนำตัวอย่างกล้าขึ้นมาหน่อยว่า

    ผมชื่อมหิทธิมหิทธิ  สิริราชา  เป็นลูกชายของช่างซ่อมไฟฟ้าที่ชื่อ  รัตชา  สิริราชา  ครับ 

    อืม…”  อาจารย์ใหญ่พูดพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด  แต่ดูจากการเอียงคอน้อยๆ  มหิทธิก็รู้ทันทีว่าเขารู้สึกสนใจ  ฉันเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกในหมู่นักเรียน  มันแปลว่าอะไรอย่างนั้นหรือ

    แปลว่า  ผู้มีฤทธิ์มากครับ  มหิทธิตอบอย่างอายๆ  การที่มีคนสนใจในเรื่องของเขา(หรือกระทั่งชื่อของตนเอง)มากขนาดนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว

    ฉันเคยเห็นเธอนั่งอยู่บนสนามหญ้าคนเดียว  ชอบพูดคนเดียวตลอด  เธอชอบนั่งอยู่ตรงนั้นหรือ  แล้วเธอพูดกับใครหรือ  อาจารย์ใหญ่ถามพลางวางมือลงบนโต๊ะไม้อัดที่ทาสีขาวอ่อน

    เอ่อ…”   มหิทธิอึกอักพลางรู้สึกว่าตนเองเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน  อนึ่งเขาไม่อยากให้คนอื่นมาถามในเรื่องส่วนตัวของเขาแบบนี้ด้วย

    เล่ามาเถอะ  ฉันไม่อยากว่าเธอเป็นพวก  สติเฟื่อง  เหมือนที่เพื่อนๆของเธอเรียกหรอก  อาจารย์พูดพลางยิ้มให้ทั้งปากและตาแสดงคำตอบด้วยความจริงใจ  ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกที่เป็นไปไม่ได้  โลกที่มีแต่จินตนาการและคนที่อยากฟังเรื่องราวของเขา  เขาจึงยิ้มและพูดว่า

    ผมชอบนั่งอยู่คนเดียว  นึกถึงจินตนาการของตนเองคนเดียว  เพราะไม่มีใครอยากจะฟังเรื่องของผมสักเท่าใดนักหรอก  มหิทธิพูด  ดวงหน้ามีสีแดงคล้ำด้วยความโกรธ  ผมชอบพูดคนเดียว  หลายครั้งที่มีภาษาประหลาดๆออกมาจากปากด้วยล่ะฮะ

    อืม…”  อาจารย์ใหญ่เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างพร้อมกับมีใบหน้าขมวดมุ่นแต่ดูจากแววตาที่พลิ้วระริกก็รู้ว่าเขาสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก  เข้าใจละ  อย่างน้อยเธอก็มีจิตวิญญาณและความรู้สึกเป็น ของตนเอง  แทนที่จะเลือกในความคิดและเหตุผลเหมือนกับคนอื่น  แต่เธออาจจะรู้สึกและคิดมากเกินไปจนกลายเป็นความเพ้อฝัน  เธอต้องระวังในเรื่องนี้ให้ดีนะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลกอันโสมมใบนี้น่ะ

    มหิทธิไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคำเตือนอันแปลกประหลาดนั้น  แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่ต้องการซักถามอะไรอีก  เขาก้มลงใต้โต๊ะ  เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มได้ยินเสียงที่อาจารย์ค้นของบางอย่างจากลิ้นชักจนกระทั่งเขาโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะและวางสิ่งของบางอย่างเอาไว้บนโต๊ะวาววับนั้น

    มันคือสมุดบันทึกสีแดงเลือดหมูที่ดูเก่าเหมือนไม่ได้ใช้อยู่หลายปี  มีสายคาดที่ทำจากทองเหลืองฉาบด้วยสีแดงพาดไปมาเป็นรูปกากบาทสีแดงดูวาววับและที่กลางกากบาทนั้นมีรูปดวงตาสีเหลืองสดที่มีรอยรูม่านตาสีแดงสด  มันจ้องมองมหิทธิอย่างดุร้าย  และที่ขอบสมุดนั้นมีรูกุญแจสีทองอร่ามติดกับบานพับสีแดงสด  มันมีเอาไว้ทำไมกันนะ  มหิทธิคิดอย่างสงสัย

    กุญแจอยู่ตรงนี้  เขาพูดเสียงเบาพลางหยิบกุญแจสีเดียวกับรูกุญแจที่อยู่ด้านในกระเป๋ากางเกง  นี่คือสมุดบันทึกที่อาจจะเอ่อพิเศษหน่อย  ฉันได้รับมาจากยิปซีคนหนึ่งตอนที่กำลังเดินทางไกลจากคาบสมุทรหนึ่งสู่อีกซีกโลกในการเดินทางของฉัน  เขาบอกว่าต้องให้กับคนที่มีจิตวิญญาณที่เข้ากับสมุดบันทึก  ฉันเลยตัดสินใจให้เธอ  เพราะเธออาจจะเป็นคนที่สามารถเข้ากับสมุดบันทึกก็ได้

    ผมไม่เอาของๆอาจารย์หรอกครับ  ขอบคุณมาก  เด็กหนุ่มร้องอย่างเกรงใจพลางจะผลักหนังสือคืนกลับ  แต่อาจารย์กลับยัดหนังสือมาให้มหิทธิ  ก่อนที่จะพูดพลางยิ้มอย่างเป็นปริศนาว่า

    รับไป  ฉันอยากให้เธอรับไว้  มันจำเป็นสำหรับเธอมากกว่า  อาจารย์ใหญ่พูด

    “???”  มหิทธิมีสีหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจ  เขามีความจำเป็นอะไรกับสมุดบันทึกกันแน่  แล้วอาจารย์คนนี้เป็นใครกันแน่  แต่เขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้พร้อมกับหยิบสมุดบันทึกออกมาอยู่ในอุ้งมือของเขา  หนังสือเล่มนี้หนักเหมือนกันแฮะ  เด็กหนุ่มคิด
              “ขอบคุณมากครับที่วางใจมอบสมบัติโบราณนี้ให้กับผม  แล้วเด็กหนุ่มวัยสิบหกก็หยิบหนังสือเล่มหนาใส่ในกระเป๋า  ก่อนที่จะไหว้สวัสดีอาจารย์และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

    มหิทธิ  สิริราชา  อาจารย์พูดจากมุมมืดอย่างเป็นปริศนาพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักที่เปิดอยู่แล้ว

    สิ่งนั้นคือลูกแก้วลูกกลมดิกลูกเล็กเท่าฝ่ามือสีขาวขุ่น  ชายหนุ่มวัยสามสิบสองถอดแว่นตาสีดำสนิทออกไป  เพียงชั่วเขาขยับแว่นออกไปจากใบหน้าเท่านั้น  ชายหนุ่มก็มองเห็นถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั้งที่ดวงตาของอาจารย์  และลูกแก้วขนาดเล็กนั้น

    ดวงตาของอาจารย์ใหญ่ค่อยๆเปลี่ยนจากสีดำสนิทอย่างช้าๆเป็นสีแดงเพลิงที่มีเกลียววารีสีน้ำเงินน้ำทะเลปรากฏขึ้นรอบรูม่านตา  และเพียงพริบตาที่ลูกแก้วนั้นมองเห็นดวงตาสีประหลาดนั้น  ลูกแก้วก็เกิดปฏิกิริยา  เปลี่ยนสีเป็นสีขาวสว่างจ้าที่สาดส่องใบหน้าขาวซีดของอาจารย์

    อย่างน้อยเธอก็น่าจะช่วยโลกใบเล็กที่ตายด้านนี้ได้และช่วยเหลือโลกทั้งสองของพวกเราได้บ้างนะมหิทธิ

                                           ……………………………………

    เด็กหนุ่มเดินออกจากโรงเรียนในเวลาเลิกพร้อมกับที่ดวงอาทิตย์สีแดงดวงใหญ่เริ่มตกลงมาที่ทิศตะวันตก  ทำให้อาคารหลังเล็กที่ทำจากกระจกสีดำส่องดวงอาทิตย์เข้าใบหน้าของมหิทธิ  แต่เขากลับมีสีหน้าชื่นมื่นผิดกับตอนที่เข้าไปหาอาจารย์  ตอนนั้นเขามีหน้าซีดอย่างกับไก่ต้มแน่ะ  เด็กหนุ่มวัยสิบหกคิด  นอกจากเขาจะไม่ต้องตอบคำถามแย่ๆแล้ว  เขายังได้เพื่อนใหม่  นั่นคือ  สมุดบันทึกอีกด้วย

    วันนี้ท่าทางจะเป็นวันที่ดีกว่าที่คิดแฮะ  มหิทธิคิดพลางก้าวเดินออกไปสู่ถนนขนาดใหญ่ที่ไปสู่บ้านพักของตนเอง

                                                  …………………………………………

    เด็กหนุ่มเดินมาถึงหอพักที่เป็นห้องขนาดใหญ่เท่าลูกบาศก์สีขาวซีด  เขานั่งลงบนเตียงสีขาวลายส้มเหมือนลายหมากรุกพร้อมกับวางกระเป๋าลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน  เด็กหนุ่มร่างสูงผอมคิดว่าน่าจะทำการบ้านได้แล้ว  เขาเปิดกระเป๋าและเทข้าวของออกมา  มีหนังสือเรียนและอุปกรณ์ต่างๆ  เช่น  ปากกา  ดินสอ  หรืออะไรต่อมิอะไรที่เป็นของจุกจิก

    จนเมื่อสมุดบันทึกตกลงมาดังตุ้บพร้อมกับหล่นคว่ำลงมาบนเตียงนุ่ม  เขามองดูอยู่สักพักด้วยความรู้สึกประหลาดก่อนที่จะดูให้ชัดเจนว่า  บันทึกนี้มีอะไรพิเศษที่ทำให้อาจารย์ถึงกับยกให้เขา

    เขาล้วงเอากุญแจสีทองเหลืองออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าและใส่ในรูกุญแจ  ก่อนที่จะบิดรูกุญแจไขทันที  -  แกร๊ก   -  กุญแจถูกปลดออกและเด้งออกที่ท้ายสมุด  มหิทธิค่อยๆขยับบานพับ  ก่อนที่จะเปิดสมุด

    เสียงฟ้าผ่าครืนครั่นเกิดขึ้นในหูทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม  เป็นเสียงครืนครั่นเบาๆ  แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความดังสนั่นของมัน  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น  แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆนอกจากเสียงจิ๊บๆของนกที่กลับมาจากล่าเหยื่อเท่านั้น  เด็กหนุ่มจึงหันกลับมาที่สมุดที่ตอนนี้กำลังกางขึ้นมาดุจมันพร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มคนนี้บันทึกแล้ว  มันเป็นหน้าสมุดที่ไม่มีเส้นบรรทัดเลย  มีเพียงหน้ากระดาษสีขาวเก่าๆเหมือนไม่ได้ใช้มานานเท่านั้น  เด็กหนุ่มยื่นมือและลูบไล้สมุดโดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่เหมือนเขานั้นไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไร

    เกิดเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ฟังดูทรมานสาหัสดังขึ้นพร้อมกับเสียงสัตว์อสูรคำรามดังลั่น  มันเป็นเสียงที่น่าขนลุกและน่าสยดสยองเป็นที่สุดปานเสียงภูตผีนรกกำลังยื้อแย่งออกมาจากขุม  มหิทธิชักมือออกอย่างหวาดกลัวสุดขีด  และเสียงนั้นก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    นี่มันอะไรกัน  มหิทธิคิด  จู่ๆจะมีเสียงกรีดร้องออกมาจากสมุดบันทึกได้ยังไง  เป็นไปไม่ได้หรอก  นี่มันก็แค่สมุดบันทึกเท่านั้น  เขาแค่คิดไปเองน่า 

    เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจวางสมุดบันทึกลงบนโต๊ะอย่างแสยงขนราวกับมันจะทำร้าย  และหันไปสนใจสมุดการบ้านที่ตอนนี้กำลังวางอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม  เขานั่งลงบนโต๊ะและเริ่มทำการบ้านสุดสัปดาห์ที่จะถึงในทันที  และตลอดเวลาที่เขาทำการบ้าน  เด็กหนุ่มมองสมุดอย่างไม่ไว้ใจอยู่ตลอดเวลาดุจว่ามันจะทำร้ายเข้าใส่อย่างนั้นแหละ

    หนึ่งชั่วโมงต่อมา  การบ้านก็ถูกเขียนจนเสร็จ  หน้าสมุดการบ้านที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยเรียงความคณิตศาสตร์  กับรายงานสองสามหน้าเรื่อง  "ตรีโกณมิติ"

    เขานั่งอยู่บนโต๊ะและหยิบสมุดบันทึกออกมาและเปิดมันอย่างช้าๆราวกับว่าฟ้าผ่าจะฟาดใส่เขาอย่างนั้นแหละ  แต่คราวนี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เงียบสนิท  เขาเห็นเพียงหน้ากระดาษสีขาวเก่าๆเท่านั้น  เขาเปิดไปที่หน้าแรก และหยิบปากกาลูกลื่นสีน้ำเงิน  ก่อนที่จะเขียนว่า

    "ฉันคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนเลย  แต่อย่างน้อยฉันก็ได้พบคนที่จะพูดได้ทุกเรื่อง  ทุกเวลา  ฉันคิดว่าฉันได้นายจากคำอธิษฐานนั้น"

    เขานิ่งคิดนิดหนึ่งเหมือนพยายามใช้ความคิด  ก่อนที่จะเขียนต่ออย่างไม่รอช้าว่า

    "อย่างน้อยตอนนี้พ่อก็น่าจะมาแล้ว  พ่อน่าจะรู้เรื่องนายนะ"

    เด็กหนุ่มปิดสมุด  ผนึกกุญแจสีทองอย่างรวดเร็วก่อนที่เสียงก๊อก  ก๊อก  จะดังขึ้น  เด็กหนุ่มเปิดประตูอย่างคุ้นเคยเพราะเขารู้ดีว่าใครเป็นคนเคาะประตู

    "ไงลูก"  ชายหนุ่มวัยกลางคนที่สวมเสื้อแขนยาวสีเทาสกปรกดุจมันเปรอะเปื้อนด้วน้ำมันหล่อลื่นกับกางเกงสีเดียวกันก้าวเข้ามาในบ้าน  เขาหิ้วถุงสีดำที่เต็มไปด้วยข้าวของที่เกี่ยวกับอิเลคทรอนิกส์เต็มมือ  "พ่อว่าน่าจะมีคนมาช่วยพ่อนะ"

    "แน่นอนครับ"  เด็กหนุ่มพูดและหยิบถุงในมือขวาของพ่อเข้ามาและเดินไปปิดประตูเมื่อพ่อเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว

    "โอเค  พ่ออยากทำงานเลย  และพ่ออยากฟังเรื่องที่ลูกเล่าทั้งหมดเลยด้วย"  พ่อพูดพลางยิ้มอย่างร่าเริง

    "พ่อครับ...ผมเจอเรื่องแปลกประหลาดมาด้วยละ  ในวันนี้น่ะ"  มหิทธิพูด

    "ว่าไปสิ  ลูก"  พ่อพูดพลางยิ้มอย่างอยากจะฟัง

    เขาเล่าเรื่องที่ถูกเชิญโดยอาจารย์ใหญ่ให้มาคุย  และมอบสมุดบันทึกโบราณแก่เขา  เขาจึงมานั่งดูรายละเอียดของสมุด  และพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกประหลาดข้างในสมุด  เมื่อพ่อฟังเรื่องของเขาจบแล้ว  พ่อก็ดูมีสีหน้าขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด  แต่ในขณะเดียวกัน  สีหน้าของชายหนุ่มวัยสี่สิบสองกลับดูเรียบเฉยเหมือนเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

    "เฮ้อ"  พ่อครางอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนที่จะพูดว่า  "ลูกน่าจะเข้านอนเสีย  วันนี้ลูกคงเหนื่อยมากจนเห็นภาพหลอน"  พ่อพูดเสียงเย็นชา

    "แต่ว่า..."  เด็กหนุ่มร้อง  และมองดูนาฬิกา  นี่มันเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น

    "เดี๋ยวนี้"  พ่อพูด  เสียงของพ่อดูดุอย่างที่ไม่เคยเป็นและเด็กชายรู้สึกรู้สึกเหมือนว่ามีเสียงคำรามในแบบที่บิดาไม่เคยทำปรากฏขึ้นในน้ำเสียงด้วย

    "ครับ..."  มหิทธิตอบอย่างเศร้าๆก่อนที่จะเดินไปแปรงฟันและนอน  โดยที่ยังสงสัยว่าพ่อเป็นอะไรกันแน่ในวันนี้  พ่อไม่เคยพูดจาขัดกับเขา  และไม่มีทีท่าว่าจะโกรธในสิ่งที่เขาพูดมาก่อนเลย  แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา  เขาก็หลับไปโดยไม่รับรู้อะไรอีก

    โดยที่มหิทธิไม่รู้ตัวเลยว่า  ได้เกิดความไม่สมดุลบางอย่างขึ้นแล้วบนโลกใบนี้และโลกอีกแห่งหนึ่งซึ่งเหนือจินตนาการเกินกว่าที่ใครจะคาดฝันถึง

    ดวงตาสีแดงสดราวกับเลือดและมีรูม่านตาสีเหลืองสดราวกับสัตว์ร้ายมองมาทางพ่อราวกับต้องการเลือดสดๆ  จนกระทั่งตาของมันเลื่อนกลับไปในความมืด  จนในที่สุด  มันก็หายวับไปจากสายตา

    ในความมืด พ่อของมหิทธิกำลังนอนกรนดังสนั่น พ่อดูเหมือนจะเหนื่อยจริงๆ แต่ทันใดนั้น...

    แกร๊ก!!

    เสียงสมุดบันทึกสีแดงที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีเปิดผลัวะออกมาโดยที่ไม่มีใครแตะต้องและไม่มีใครเข้าใกล้เลยสักนิด  แต่ดูเหมือนว่ามีอำนาจบางอย่างมาเปิดสมุด  วินาทีหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ทันใดนั้น -  พรึ่บๆๆๆๆ    กระดาษสีขาวก็เปิดออกอย่างแรงราวกับมีลมพัดผ่านทั้งๆที่นอกหน้าต่างก็ไม่มีลม  ก่อนที่อักขระสีน้ำทะเลจะปรากฏขึ้น  มันเป็นอักขระประหลาดตวัดปลายเขียนเอาไว้ว่า

    "ขอต้อนรับสู่ประตูแห่งโลกแห่งจิตวิญญาณ"

    ทันทีทันใดนั้น จิตของมหิทธิก็หายไปจากบริเวณนั้นทันทีเหมือนถูกถอดสลัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×