ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่เก้า ปะทะมอร์เตย์เงา ความสว่างเริ่มตอบโต้ (ใส่คำแปลเวทลงไปแล้วนะครับ)
บทที่เก้า ปะทะมอร์เตย์เงา ความสว่างเริ่มตอบโต้
“หา!! ว่าอะไรนะ” โกกัสที่มองดูการเพิ่มพลังของมหิทธิร้องขึ้นด้วยความพรั่นพรึงผสมกับความตกใจสุดขีด ร่างของมอร์เตย์ที่พวกเชากำลังสู้เพื่อให้คลายความมืดและมีพลังอันมหาศาลเกินกว่าที่จะต่อสู้ได้นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่เรียกว่า “เงา” ซึ่งจะสลายหายไปในทันทีเมื่อสัมผัสกับแสงสว่าง เช่น ดวงอาทิตย์ หรือแสงสว่างของเทพที่ประธานให้กับมนุษย์ แต่พวกมันกลับสามารถเดินไปมาท่ามกลางแสงสว่างได้
กระนั้นหรือ???
หรือว่าสิ่งที่ทำให้พวกมันสามารถดำรงอยู่ได้นั้นคือความมืดที่กำลังโอบล้อมพวกเขาทั้งหมดนี้กันแน่
“นายคงจะนึกออกแล้วละสินะ โกกัส” มหิทธิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “มอร์เตย์เงาอาศัยจังหวะที่ฝนตกนี้เดินทางไปมา และสร้างความแข็งแกร่งให้กับพวกมันโดยเฉพาะ ความมืดที่โอบล้อมพวกเราอยู่นี้เป็นฝีมือของมอร์เตย์ ตอนนี้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นมากแล้วเพราะฉันมีพลังมากขึ้น แต่พวกมันจะต้องเสียใจที่เพิ่มพลังเวทมนตร์ให้กับฉัน”
พูดจบ มหิทธิก็สะบัดข้อมือเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิดสีทองคุไฟ พร้อมกับพึมพำออกมาเป็นภาษาแสงสว่างว่า “อัคครัวร์ ฟู (เพิ่มพลังแห่งไฟ)” โกกัสรู้สึกเหมือนว่ามีแสงสีเพลิงพุ่งขึ้นมาจากตรงกลางศีรษะ และพุ่งลงมาเป็นกรงสีเหลืองทองอันสวยงาม เพียงพริบตานั้น แสงนั้นก็ฉาบตัวของทั้งคู่เอาไว้ และเพิ่มพลังทางกายให้กับพวกเขาทั้งคู่ โกกัสรู้สึกถึงความร้อนที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนรู้สึกเหมือนถูกเผาทั้งตัว ก่อนที่จะจางหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จุดอ่อนของมอร์เตย์เงาคือแสงสว่าง จะแสงอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นแสงก็แล้วกัน โกกัส ฉันเพิ่มพลังทางกายและเวทมนตร์ให้กับนายและฉันแล้ว นายรู้ว่าควรจะทำอย่างไร”
“แต่ว่า
” โกกัสทำท่าจะแย้งอะไรบางอย่าง แต่มหิทธิกลับโต้กลับอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันยังไม่มีดาบแห่งกษัตริย์ ฉันคงยังทำอะไรมอร์เตย์ไม่ได้ในตอนนี้ และเวทมนตร์ของฉันก็ไม่อาจทำร้ายมอร์เตย์เงาได้มากนัก อย่างมากก็ทำให้มันหยุดชะงักได้ชั่วคราวเท่านั้น หรือไม่ก็สร้างแผลคันให้กับมัน แต่นายจะต้องเป็นคนโจมตีมันให้ตายคามือในดาบเดียว เข้าใจไหม”
โกกัสร้องขึ้นอย่างรวดเร็วว่า
“แล้วเราจะโจมตีมันอย่างไรล่ะ มันว่องไวและแข็งแกร่งกว่ามอร์เตย์เงาเมื่อสองพันปีก่อนมากนัก เจ้าก็รู้ว่าเวทมนตร์ของข้ายังทำได้แค่สร้างแผลไหม้ให้กับมัน แล้วเราจะทำอย่างไรกันล่ะ” โกกัสถามอย่างไม่เข้าใจ
“เราไม่มีเวลาอีกแล้ว
” มหิทธิพูดขึ้นเสียงเย็น “ยิ่งความมืดแผ่ขยายออกไปจากที่นี่มากแค่ไหน กิเลสของมนุษย์จะยิ่งคุมากขึ้น และทำลายพวกเขา ในขณะเดียวกัน กิเลสของมนุษย์จะยิ่งทำให้มอร์เตย์เงาแข็งแกร่งขึ้น และยิ่งทำให้มอร์เตย์แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน นายไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”
มหิทธิพูดถูกต้องที่สุด ชายหนุ่มวัยรุ่นคิด เมื่อเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีความมืดของเมฆฝนแผ่ขยายออกไปจากบริเวณนี้ โดยมีที่นี่เป็นศูนย์กลาง ร่างของมอร์เตย์เงายิ่งตัวใหญ่มากขึ้น เส้นเลือดสีดำที่อยู่บนข้อมือและขายิ่งปูดโปนเหมือนจะทะลัก กล้ามเนื้อของมันขมวดเป็นปมและมันเงื้อง่าดาบวงพระจันทร์ออกไป ก่อนที่จะเขวี้ยงมันอย่างไร้ความปรานี โดยมีโกกัสเป็นจุดหมายแห่งการขว้างครั้งนี้
เคร้ง!!
แต่โกกัสกลับสามารถตั้งรับการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว โดยที่มอร์เตย์ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวเลยสักนิด ดาบวงพระจันทร์โค้งขึ้นเป็นวง ก่อนที่จะดิ่งลงมาโดยเล็งที่กลางหัว เคร้ง โกกัสเหวี่ยงดาบเข้าปะทะอีกครั้ง แต่คราวนี้ แรงดาบของมอร์เตย์เงากลับยิ่งมากกว่าเดิม มากเสียจนร่างของโกกัสถึงกับกระแทกดังอั้กกับพื้น มหิทธิร่ายคาถาอย่างรวดเร็วเพื่อช่วย แต่มอร์เตย์เงากลับกางมือขึ้นและฟาดคาถาตรึงใส่ร่างของมหิทธิอย่างรวดเร็ว
กึก!!
แต่คาถาตรึงที่ดูเหมือนเส้นเชือกแวววาวสีดำสนิทกลับหยุดเพียงแค่ปลายตาของมหิทธิพร้อมกับที่เส้นเชือกเวทมนตร์มืดกระจายหายไปเหมือนถูกความร้อนสูง มหิทธิหันไปทางที่เวทสลายคาถาพุ่งเข้ามา เด็กหนุ่มเห็นโกกัสหายใจหอบและมือข้างหนึ่งสะบัดขึ้น ในขณะที่ดาบนั้นก็ปัดการโจมตีของดาบมีชีวิตอย่างไม่ให้เข้าถึงตัว
มหิทธิหันหน้าไปมองมอร์เตย์ที่ตอนนี้กำลังร่ายเวทอยู่พอดี เขาจึงกระแทกพลังไฟออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพลังไฟจะไม่ระคายเคืองแขนของมันก็ตาม แต่ก็ทำให้ร่างของมันนั้นสั่นพอดู มอร์เตย์ต้องหยุดร่ายทันควันและสะบัดดาบติดโซ่กลับมา แต่คราวนี้ มันกลับนำม้าโผนทะยานอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คราวนี้ มันร่ายคาถาเสียงงึมงำต่ำๆเหมือนบทสวด มหิทธิได้ยินบทสวดนี้แล้วก็พึมพำคาถาอย่างรวดเร็วว่า
“แกลเซย์ โดม!! (เกราะน้ำแข็ง)”
มหิทธิพูดออกมาพร้อมๆกับที่มอร์เตย์เงาฟาดคลื่นดาบแห่งความมืดออกไป แต่คราวนี้มันกลับไม่ส่งคลื่นออกมาตรงๆ แต่กลับแทงดาบขนาดใหญ่ออกไป คลื่นดาบนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นสายที่อ้าปากกว้างเหมือนงูขนาดใหญ่สามตัวรัดรึงร่างของมหิทธิเอาไว้ ก่อนที่มอร์เตย์จะพูดคาถาอย่างเร็วและแรงว่า “เวเนมุส วิเพเร!! (พิษแห่งงูดำ)”
งูนั้นรัดรึงร่างของมหิทธิเอาไว้ก่อนที่จะขู่ฟ่อๆและหมุนตัวพุ่งตัวขึ้นไปบนฟ้าเป็นรูปทรงกระบอกพร้อมกับส่งคลื่นความมืดออกไปจากข้างในร่างสู่ข้างในโดมเหมือนเตาหลอม เผาร่างของมหิทธิที่อยู่ข้างในทั้งเป็น!! ซู่ม!! โกกัสรู้สึกถึงความร้อนแรงที่พุ่งออกมาจากข้างในตัวอสรพิษที่หมุนตัวออกไปจนหายไปข้างในดาบของมอร์เตย์เงา โกกัสรู้ทันทีว่าถ้าสัมผัสกับไฟแห่งความมืดนั้นแล้ว จะถูกเผาจากข้างในสู่ภายนอกจนไม่เหลือแม้เพียงเถ้ากระดูก!!
“มหิทธิ
” โกกัสร้องเหมือนกระซิบที่สามารถได้ยินกันไปทั่ว ชายหนุ่มวัยรุ่นสะบัดหน้าไปมองมอร์เตย์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มแย้มอย่างเย็นยะเยือก นั่นทำให้ความคั่งแค้นของโกกัสปะทุขึ้นมาจนถึงที่สุด ดุจเปลวไฟที่ลุกขึ้นอย่างรุนแรง!!
“หึ หึ แกจะทำอะไรข้าหรือ หึ หึ หึ”
โกกัสร้องลั่นด้วยความอาฆาต ก่อนที่จะพุ่งออกมาด้วยความเร็วและแรงดุจเสียง แต่มอร์เตย์เงากลับมองเห็นร่างของโกกัสได้ชัดดุจหยุดนิ่ง โกกัสพุ่งตัวไปมาก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปและฟาดดาบลงตรงกลางศีรษะของมหิทธิเต็มแรง!!
“แกจะทำอะไรข้าได้ล่ะ หือ!”
เพียงแค่มันสะบัดมือออกไปเท่านั้น โกกัสกลับหยุดนิ่งและรู้สึกว่าแขนและขาถูกรัดด้วยเส้นเชือกสีดำที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วจากในมือของมัน โกกัสขยับตัวไปไหนไม่ได้และถูกตรึงอยู่ในท่ากระโดดฟัน มอร์เตย์พึมพำคาถาหนึ่งออกมา “ฮิวเตอร์ (กระแทก)” ร่างของโกกัสถูกผลักออกไปและกระแทกกับผนังโบสถ์จนเกิดรอยบุบขนาดใหญ่ โกกัสกระอักเลือดออกมาจากปาก
มอร์เตย์เงาพึมพำออกมา และคาถาไฟลูกเล็กแต่มีปริมาณมากเท่าฝนดาวตกก็กระแทกร่างของโกกัสซ้อนๆกันหลายๆทีจนเกิดรอยแผลไหม้ที่มีเลือดไหลออกมา โกกัสร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและลงไปทรุดกองกับพื้นพร้อมกับอ้าปากด้วยความเจ็บ
“รู้อะไรไหม ทหารรับจ้างแห่งเอลฟ์” เสียงของมอร์เตย์เงาช่างเย้ยหยันยิ่งนัก “ว่าข้าน่ะเป็นแค่เงาของท่านจ้าวแห่งความมืด แต่ข้าก็มีพลังพอที่จะขยี้แสงสว่างได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ข้าพลิกฝ่ามือเท่านั้นเอง” โกกัสพูดอย่างย่ามใจ “และข้าก็จะฆ่าเจ้า แต่เจ้าจะต้องทรมานด้วยพลังของข้า เพื่อความมืดจะได้เจริญเติบโตและพวกเรา
” มันพูดพลางเงื้อดาบขึ้น ความตายกำลังจะพรากลมหายใจของโกกัสออกไปอย่างรวดเร็ว มันกำลังร่ายคาถาออกมา ไฟสีดำสนิทแห่งความมืดแผ่กระจายไปทั่วดาบและเมื่อมันฟันลงมา เขาจะต้องตาย
“จะได้กลับมามีชีวิตอย่างสมบูรณ์และแข็งแรงอีกครั้ง
”
“แต่ฉันว่าไม่หรอกมั้ง” เสียงอันนุ่มนวลเสียงหนึ่งพูดขึ้น มอร์เตย์สะบัดหน้าหันไปมอง ในขณะที่โกกัสซึ่งรู้สึกเหนื่อยล้าและเจ็บปวดหันหน้าไปมอง แต่ก่อนที่จะหันไปมองได้เต็มตา ร่างนั้นก็สะบัดแขนด้วยความเร็ว และร่ายคาถาออกมาเสียงรัว ร่างของโกกัสและความรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทีนั้นค่อยๆจางหายไปดุจถูกดูด
มันจางหายไป
เรื่อยๆ
จนกระทั่งมันนั้นหายไปในที่สุด โกกัสรู้สึกว่าตนเองนั้นหายจากบาดแผลอย่างน่าอัศจรรย์
ชายหนุ่มวัยรุ่นจึงรู้ทันทีว่าร่างนั้นมีสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มถือดาบที่รู้สึกคุ้นเคย ในขณะที่อีกคนเป็นเด็กสาวที่สะบัดแขนเมื่อกี้นี้
“มหิทธิ
” โกกัสร้องลั่น “มายะ
” คราวนี้ เสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่มั่นใจมากนัก
พูดจบ มอร์เตย์ก็สะบัดนิ้วเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และกรงขังสี่เหลี่ยมปลายแหลมสีดำปรากฏขึ้นเหนือหัวและครอบร่างของมายะกับมหิทธิเอาไว้ แต่มายะกลับยิ้มรับและพึมพำคาถา มหิทธิที่รู้สึกตื่นตะลึงกับเรื่องที่มายะพูดถึงทันที
เมื่อเธอหายจากการตรึงด้วยเวทของมูริเย่ห์ ด้วยฝีมือของเขา
“ว่าอะไรนะ” มหิทธิร้องลั่นในทันทีที่มายะออกมาจากเวทกาลเวลานั้นแล้ว และกำลังวิ่งไปที่สนามรบ “หมายความว่า
เธอเป็นชนเผ่า
เอ่อ
อะไรนะ
”
“ชนเผ่าดวงจันทร์จ้ะ” เด็กสาวตอบ “พวกเราเป็นชนเผ่าที่ถูกส่งมาเพื่อปกป้องเธอ และออกค้นหาความทรงจำและดาบแห่งกษัตริย์เล่มนั้นด้วย”
มหิทธิไม่นึกว่าจะต้องได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้ ตอนที่เขาถูกเผาไล่จากภายในสู่ภายนอก เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเขาร่ายเวทเกราะน้ำแข็งเอาไว้และสลายไฟออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาต้องอยู่นิ่งๆเฉยๆเป็นระยะเวลานาน เพราะเปลวไฟแห่งความมืดพุ่งขึ้นสูงและแผดเผารอบเกราะโดมน้ำแข็ง เด็กหนุ่มจึงอดทน และเมื่อเวทนั้นค่อยๆจางไปแล้ว เขาจึงรู้สึกว่า สู้กับมอร์เตย์เงาคนเดียวคงไม่ดีแน่ จึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากมายะซึ่งถูกตรึงเอาไว้ได้ แต่เขากลับได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเช่นนี้
“แล้ว
เธอเป็นอะไรกับมอร์เตย์กันแน่
” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
“อ้อ
นี่แปลว่าโกกัสเล่าเรื่องเกี่ยวกับฉันทั้งหมดแล้วใช่ไหม” มายะถามอย่างประหลาดใจปนกับน้ำเสียงที่โกรธกริ้วเล็กน้อย มหิทธิรู้สึกชักกลัวๆกับความโกรธของมายะเสียแล้วสิ เขาจึงรีบพูดขึ้นอย่างแน่ใจว่า
“ไม่ได้เล่าทั้งหมดหรอก”
คราวนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามายะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ใบหน้าของเธอซีดจางลง และดวงตาสีดำอมฟ้านั้นดูเหมือนจะร้องไห้ออกมา มหิทธิรู้สึกว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า มายะมองดูก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลย ว่าโลกแห่งจิตวิญญาณนั้นมีอะไรบ้าง” มายะพูดอย่างเคร่งขรึม “นั่นโกกัสนี่นะ”
ลูโน การ์เด (รักษาบาดแผล)!!
มายะพึมพำคาถาออกมาและสะบัดนิ้วเป็นรูปวงรีสีเหลืองสวย โกกัสร้องลั่นด้วยความปีติเมื่อพบว่าแผลไหม้ของตนเองถูกรักษาและแผลไหม้เหล่านั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
พริบตาต่อมา กรงขังสี่เหลี่ยมปลายแหลมสีดำปรากฏขึ้นเหนือหัวและหล่นลงมากระแทกกับพื้น ขังร่างของทั้งคู่เอาไว้ มหิทธิตวัดดาบขึ้นหมายฟันกรงพวกนี้ แต่มายะห้ามเอาไว้และพึมพำว่า
“เดี๋ยวฉันจัดการกับมันเอง” มายะตอบอย่างไม่ยี่หระ มหิทธิมองอย่างงงๆว่าจะจัดการกับมันอย่างไร แต่มายะกลับสั่งให้เงียบและพึมพำคาถาอีกครั้งพร้อมกับประกบมือเป็นรูปแนวนอน แสงสีเหลือนวลปรากฏขึ้นตรงฝ่ามือทั้งสองข้าง ก่อนที่มายะจะกางมือนั้นขึ้นและร่ายออกมาว่า “ลูโน ทอมเบอร์ เออง รูน (ปลดพันธนาการ)!!” แสงสีเหลืองเข้าครอบคลุมร่างของกรงเอาไว้ ท่าทางกรงนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยเวทมนตร์ กรงจึงถูกสลายอย่างง่ายดายด้วยเวทมนตร์นั้น
“เธอจะมาที่นี่ทำไม” โกกัสร้องขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เธอมาที่นี่ก็เท่ากับตายเปล่า เพราะมันรู้จุดอ่อนของเธอทุกอย่างนะ
”
“ถูกต้อง!!” มอร์เตย์เงาพูดขึ้นอย่างไร้ความเมตตา ก่อนที่มันจะฟาดดาบเปล่าๆออกไปอย่างรวดเร็วตรงที่ศีรษะของมายะ แต่ดาบของมหิทธิกลับตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว
“อย่าลืมซี่ ว่ามีฉันคอยปิดจุดอ่อนของมายะอยู่น่ะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างแสนกล ก่อนที่เขาจะร่ายเวทอีกครั้ง และคาถาไฟอันรุนแรงพลุ่งออกมาจากฝ่ามือ มอร์เตย์ถูกกระแทกออกไป แต่กลับไม่ตกหลังม้าและมันกลับวิ่งออกไปรับ ก่อนที่มอร์เตย์จะกระแทกอัดดาบออกไปอย่างรุนแรง พุ่งตรงใส่มายะเหมือนหอก แต่มหิทธิกลับรับเอาไว้อย่างไม่ต้องเหนื่อยแรงอย่างแต่ก่อน เพราะดาบของมอร์เตย์เริ่มอ่อนแรงลงทุกที
“แก!!!” มอร์เตย์ร้องลั่น โกกัสพุ่งออกไปขนาบข้างมหิทธิอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มรู้สึกผิดปกติ เพราะความร้อนของแขนนั้นรุนแรงขึ้น เมื่อได้อยู่ใกล้กับร่างของโกกัส
มหิทธิเลิกแขนข้างขวาขึ้นด้วยความงุนงง ก่อนที่จะพบว่าแขนของมหิทธินั้นมีบาดแผลที่ดูเหมือนไฟลน แต่คราวนี้มันกลับแดงฉานมากขึ้น ดุจว่าเลือดนั้นชโลมเข้าไปในบาดแผล โกกัสมองดูด้วยความฉงน ก่อนที่จะเลิกแขนขึ้นเช่นกัน แต่เป็นแขนข้างซ้าย และคราวนี้ เขารู้สึกร้อนมากขึ้น
จนเหมือนว่าแขนถูกลนไฟ และแขนนั้นก็แดงฉานมากขึ้นเรื่อยๆ
“โกกัส นายรู้สึกไหมว่าแขนของเราทั้งคู่ถูกตอบสนองตามความมืดที่พลุ่งพล่านนี้น่ะ” มหิทธิพูดขึ้นอย่างรีบเร่ง โกกัสพูดว่า
“จริงด้วย ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ยิ่งความมืดแผ่ซ่านมากขึ้นเท่าใด พลังของแผลจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นี่มันอะไรกันแน่”
“พวกแกอย่ามัวเสียเวลากับข้า ข้าจะเผาผลาญพวกเจ้าเสียเดี๋ยวนี้” มอร์เตย์เงาร้องด้วยความโกรธจัด ก่อนที่จะชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ลูกพลังสีดำสนิทพลุ่งขึ้นมาจากนิ้วและมันชี้ออกไป พลังแห่งความมืดกระแทกร่างของทั้งสามเข้าเต็มแรง
- พีระมิด โดม!! (เกราะพิรามิด) มหิทธิร้องลั่นพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปเช่นกัน แต่ปรากฏร่างของพีระมิดสีแดงเลเซอร์และเข้าครอบคลุมร่างของทั้งสามเอาไว้ พลังนั้นเข้ากระแทกอย่างแรง แต่มันกลับสลายไปเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่ขาดพลัง เมื่อมันจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“มหิทธิ
นี่นาย
นายใช้เวทมนตร์ได้แล้วนี่นะ” มายะถามอย่างประหลาดใจ “ความทรงจำของนายกลับคืนมาแล้วหรือ
”
“เปล่าหรอก ฉันแค่ผลักไสกิเลสออกไปจากใจได้เท่านั้น ฉันจึงสามารถใช้เวทมนตร์
ไม่สิ น่าจะเรียกว่า พลังแห่งแสงสว่างในตัวเรา มากกว่านะ” มหิทธิตอบ
“ตอนนี้อย่ามัวเสียเวลาเลยน่า เรากำลังจะแย่อยู่แล้วนะ” โกกัสร้องขึ้น มอร์เตย์ยกแขนอันแข็งแกร่งขึ้น ก่อนที่จะกระแทกพลังแห่งไฟออกไป แต่มหิทธิกลับกางม่านอีกครั้งและไฟกระแทกกับม่านนั้นและจางหายไปอีก
“ม่านนั้นสามารถดูดซับกับพลังมืดได้ แต่มันจะอยู่ได้ไม่นานนักหรอก เมื่อมันกระหน่ำพลังออกมาอีกน่ะ เราควรรีบจู่โจมมันเสียที”
เพียงพริบตา มันกระชากดาบออกมาและฟาดกับม่านนั้นอีกครั้งจนแตกออกเหมือนกระจก และดาบนั้นก็กำลังจะกระแทกกับร่างของมหิทธิเข้าเต็มเหนี่ยว
แต่มหิทธิกลับยกแขนข้างขวาขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว และกระแทกกับดาบนั้น มหิทธิไม่รู้สึกว่าแขนนั้นถูกบาดหรือถูกแทงจนเลือดไหลเลยสักนิด แต่กลับเหมือนมีม่านอะไรบางอย่างกระแทกดาบออกไปเต็มแรง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าแขนนั้นไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว มันกลับเย็นที่แขนและรู้สึกถึงไอแห่งแสงสว่างที่บีบอัดอยู่ภายในแขนข้างขวานั้น
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น แล้วเขาก็เห็น
แขนข้างขวาของเขานั้นมีแสงสีขาวออกมาเป็นวงแหวนเหมือนกำไล แต่กำไลนี้กลับอัดแน่นไปด้วยเวทมนตร์แห่งแสงสว่าง และกำไลนั้นกลับสว่างผิดกับรอบๆอาณาบริเวณที่ตอนนี้อาบไปด้วยความมืด แสงสีขาวสว่างนั้นทำให้มอร์เตย์เงาถึงกับเบนหน้าหนี และดาบวงพระจันทร์แห่งความมืดนั้นสลายหายไปดุจทำจากธุลี
“โกกัส ร่ายคาถาเสีย เราจะใช้พลังแห่งแสงสว่างกำจัดมัน
”
“เข้าใจแล้ว” โกกัสตอบพลางพึมพำร่ายเวทแห่งแสงสว่างขึ้นมา แต่แทนที่จะมีแสงสว่างเพียงแค่ทำให้มันหัวเราะเย้ยหยัน มันกลับสว่างจ้าไปด้วยรัศมีแห่งแสงสว่าง และแขนข้างซ้ายของชายหนุ่มวัยรุ่นก็เปลี่ยนจากบาดแผลแห่งพลัง มันกำลังเปลี่ยนรูปร่างไป
เปลี่ยนไปเป็นกำไลแห่งแสง เอลฟ์ยกกำไลนั้นขึ้นต่อหน้ามอร์เตย์ ทำให้มันยิ่งกรีดร้องลั่นด้วยความโกรธจัดพร้อมกับเบนหน้าหนี มหิทธิยกกำไลแห่งแสงขึ้นมาอีก และร่ายคาถาแห่งไฟ โกกัสเริ่มร่ายคาถาแห่งไฟเช่นเดียวกัน แสงไฟปรากฏขึ้นบนมือของทั้งคู่ มหิทธิกับโกกัสรวบมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน แสงแห่งไฟเมื่อรวมเข้าด้วยกันกับแสงสว่าง ไฟนั้นกลับยิ่งพุ่งขึ้นสูงเหมือนเปลวเทียนขนาดเท่าเสา และร้อนแรงดุจเปลวไฟแห่งวันสิ้นโลก มอร์เตย์เงาคำรามลั่นด้วยความโกรธจัดและยกมือขึ้น ก่อนที่จะยิงพลังแสงแห่งความมืดออกไป แสงนั้นกลับสลายหายไปด้วยฝีมือของมหิทธิ มหิทธิกับโกกัสร่ายคาถาออกมาพร้อมกันในทันที
ฟู เดอ ลูเมียร์ (แสงเทียนแห่งไฟ)
แสงไฟแห่งแสงสว่างพุ่งขึ้นสูงและพุ่งออกไปเหมือนเสาแห่งไฟ มอร์เตย์สะบัดหน้าขึ้นไปบนฟ้าและพบว่า แสงไฟแห่งแสงสว่างนั้นกำลังฉีกม่านแห่งความมืดที่มันเป็นคนสร้างขึ้นจนเกิดรูเท่ารูในถ้ำ มหิทธิกับโกกัสร่ายคาถาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเร่งพลังแห่งแสงสว่างให้มากขึ้น มอร์เตย์กรีดเสียงลั่นพร้อมกับยิงพลังแห่งความมืดออกไปอีก แต่กลับเปล่าประโยชน์ เพราะยิ่งมันยิงออกไป แขนของมันยิ่งหายไปเหมือนฝุ่นสีดำ มันกรีดร้องลั่นและร่างของมันก็หายไป
หายไปเรื่อยๆ
มันบิดตัวเร่าๆด้วยความเจ็บปวด ปากกรีดเสียงสูงแหลมแทบขาดใจ และแล้ว
มันก็หายไปเหมือนฝุ่นในเมรุพร้อมกับที่ม้าตัวเขื่องนั้นก็หายไปเช่นกัน ทั้งคู่ดูจะหายวับไปกับอากาศ พร้อมๆกับที่แสงสว่างนั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว มหิทธิรู้สึกสบายมากขึ้นเมื่อแสงสว่างอาบไล้ลงบนตัวของเขา พร้อมๆกับที่แสงสว่างอาบไล้ลงบนสิ่งก่อสร้างที่พังทลาย และแสงไฟแห่งแสงสว่างก็หายไปอย่างรวดเร็ว มายะยิ้มน้อยๆและพูดขึ้นว่า
“เราทำสำเร็จแล้ว
”
“ใช่” มหิทธิตอบอย่างสบายๆ เขาเสียบดาบเอาไว้กับเข็มขัดพร้อมๆกับที่โกกัสเสียบดาบเอาไว้กับฝักดาบ มหิทธิมองเห็นทั้งหมดเดินออกมาจากโบสถ์ที่ดูดีเหมือนใหม่ ทุกคนต่างมองดูสภาพของมหิทธิที่มีเหงื่อโทรมกาย พร้อมกับที่ทิวาเดินออกมาอย่างงุนงง และถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น พวกเราไม่เห็นนายออกมาข้างนอกเลย” ทิวาถามอย่างไม่เข้าใจ มหิทธิยิ้มน้อยๆอย่างรู้ดี ก่อนที่จะเดินไปสมทบกับทิวาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรา
เอ่อ
กระปรี้กระเปร่าไปหน่อย เลยออกมาซ้อมดาบกันน่ะนะ” มหิทธิตอบอย่างสบายๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นกับโกกัสว่า
“อ้าว นายจะไปไหนน่ะ” มหิทธิถามอย่างรวดเร็ว เมื่อโกกัสกำลังเดินออกไปจากโบสถ์อย่างไร้สาเหตุ
“ข้ากำลังจะกลับบ้านเสียที ข้าจะไปสู่โลกของข้าอีกครั้ง เพื่อไปเตรียมการกับสงครามแห่งความมืดที่กำลังจะมาถึง
” โกกัสตอบอย่างรวบรัด
“ท่านก็ต้องเตรียมตัวเช่นเดียวกัน มหิทธิ สิริราชา”
“แล้วนายจะกลับมาที่นี่อีกไหม ที่นี่ยินดีต้อนรับนายเสมอถ้านายต้องการ” มหิทธิพูดอย่างจริงใจ โกกัสยิ้มน้อยๆโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะหันมาและพูดขึ้นว่า
“แล้วเราจะได้เจอกันอีก
อย่างแน่นอนที่สุด” โกกัสพูด ก่อนที่จะเดินดังกึกๆ มหิทธิมองดู แต่เมื่อเขากะพริบตา โกกัสก็หายไปเสียแล้ว
เหมือนกับเขาหายตัวไปที่ไหนต่อไหนได้อย่างนั้นแหละ มหิทธิคิด
“เอาละ ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันควรจะกลับบ้านเสียที ถ้าเกิดกลับบ้านช้ากว่านี้ ฉันคงโดนพ่อด่าเปิงแน่ๆเลย” มหิทธิพูดพลางยิ้มไปทางมายะ เธอทำหน้างงๆอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยความตกใจเหมือนนึกขึ้นได้ว่า
“จริงด้วย เราต้องรีบไปแล้วละ ก่อนที่จะเที่ยงเสียก่อน” มายะร้องขึ้น ก่อนที่จะเดินออกไป โดยที่มหิทธิวิ่งตามหลังอย่างร่าเริง
ทิวามองตามอย่างงงๆก่อนที่จะวิ่งไปที่บ้านของแต่ละคน เหมือนกับว่าการต่อสู้ระหว่างความมืดกับแสงสว่างได้สิ้นสุดลงในขณะนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่า ความมืดที่กำลังแพร่กระจายอยู่นี้
เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปในโลกแห่งจิตวิญญาณที่กว้างใหญ่ไพศาล
ในทะเลกว้างใหญ่สีดำสนิทดุจหมึกและมีปลาประหลาดว่ายไปมา พวกมันต่างมีพัฒนาการจากความชั่วร้ายที่มีที่นี่เป็นศูนย์กลาง ดังนั้น พวกมันจึงเริ่มมีความดุร้ายมากขึ้นเรื่อยๆอย่างน่ากลัว มันเริ่มแยกเขี้ยวกว้างยาวไม่เท่ากันและส่งเสียงร้องความถี่สูงเหมือนปลาโลมาเผือก พวกมันต่างแหวกว่ายไปมาตามสถานที่นี้ รอเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พุ่งผ่านเข้ามา
ไม่มีใครรู้ถึงการพัฒนาการของปลาวาฬสีดำเหล่านี้ และไม่มีใครรู้ถึงสถานที่นี้เช่นกัน เพราะที่นี่ถูกปกปิดจากแสงสว่าง และปกคลุมด้วยความมืดมานานแสนนาน และนานนมเสียจนไม่มีใครรู้ถึงจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด
และพื้นที่แห่งนี้มีรูขนาดใหญ่เท่ารูโหว่ของแผ่นดินไหว มันมีลักษณะทรงกลมกว้างและมีรูมืดๆสีดำที่ลึกลงไปสุดสายตา แต่ระหว่างที่รูนั้นค่อยๆลึกลงไป จะมีเปลวเพลิงพลุ่งพล่านไปมาตามทางอยู่ตลอดเวลา เปลวไฟเหล่านั้นต่างร้อนแรงและไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ เพราะไฟเหล่านี้คือ ไฟเวทมนตร์ที่เป็นที่กักขังของอะไรบางอย่าง
ที่ถูกลงโทษเพราะทำลายเหล่ามนุษย์
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนต้องทนทรมานกับไฟ
ตลอดกาล
แต่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเปลวเพลิงเหล่านี้ว่า จอมมารแห่งความชั่วร้ายกำลังมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เพราะความชั่วร้ายของมนุษย์กำลังเพิ่มมากขึ้น
ทุกที
ทุกที
หลุมนี้มีบางอย่างกำลังกรีดเสียงร้องลั่นด้วยความทนทุกข์ทรมานและพึมพำด้วยคำพูดอย่างน่าสะพรึงกลัว มันพึมพำเสียงต่ำๆ ก่อนที่เปลวไฟแห่งเวทมนตร์นั้นจะค่อยๆพุ่งลงมาเป็นเกลียวสูงเหมือนถูกดูด และบีบอัดลงมาเป็นลูกไฟ และพุ่งลงมากระแทกลงตรงร่างของอะไรบางอย่างที่กำลังถูกล่ามโซ่แห่งแสงสว่างเอาไว้ แต่แสงเหล่านี้อ่อนกำลังลงทุกที
และมันก็พร้อมที่จะปลดโซ่อาคมได้ตลอดเวลา แต่มันยังปลดโซ่ไม่ได้ เพราะมันยังขาดอุปกรณ์สำคัญบางอย่าง
ที่ขาดเสียไม่ได้ในพิธีกรรมแห่งนรกที่ลุกโชน เพื่อที่มันจะได้ฟื้นคืนพลังแห่งความตายและความชั่วร้ายขึ้นมาอีกครั้ง
ชายปผู้นี้มีรูปร่างผอมสูง และมีผิวซีดขาวเหมือนปลาน้ำจืด ผมล้านเลี่ยนไมมีอะไรทั้งสิ้นนั้นถูกรัดรึงด้วยโซ่สีขาวสะอาดที่ดูเหมือนแสงสีนั้นจะเสื่อมลงไปด้วยกาลเวลา ร่างของมันนั้นเปลือยเปล่าและถูกรัดด้วยโซ่เช่นกัน แต่อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น พลังของโซ่ก็จะเสื่อม...และรุ่งอรุณแห่งความมืดก็จะมาถึงตามที่มันตั้งใจเสียที...
มันร้องลั่นด้วยความเกรี้ยวกราดและความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในสายเลือด ทำเอาโซ่ที่พันธนาการมันเอาไว้รอบๆร่างของมันถึงกับสั่นกราวๆและเกิดพลังงานสีแดงเพลิงที่อาบเอาไว้รอบๆตัวขึ้น ทำให้มันกรีดร้องเสียงแหลมสูงแทบขาดใจ เพราะร่างของมันนั้นถูกเผาจนเกิดรอยโซ่แดงฉานขึ้นมา
“คอยดูเถอะ
เจ้าพวกมนุษย์ สักวันหนึ่ง ข้าจะปลดพันธนาการแห่งแสงสว่างออกมา และรุ่งอรุณแห่งความมืดจะกลับคืนมาอีกครั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“มีใครอยู่ที่นี่บ้าง” เสียงของมอร์เตย์นั้นช่างกักขฬะและหยาบคายยิ่ง แต่มันกลับมีพลังเวทมนตร์สูงเกินกว่าใครจะตามทัน เมื่อมันกรีดร้องแต่ละครั้ง โซ่ที่พันธนาการมันเอาไว้ถึงได้ส่องแสงสีแดงเหมือนกับจะหายไป
ควันสีดำก่อตัวขึ้นที่ตรงหน้าแท่งแห่งการลงทัณฑ์ แล้วชายในชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งก็ก่อตัวขึ้นมาจากควันและก้าวเข้ามาหาร่างของมอร์เตย์ ร่างนั้นมีสวมชุดคลุมที่ดูใหญ่ผิดปกติ และร่างนั้นก็ดูมีน้ำมากเกินตัว เพราะร่างนั้นเดินไปมาอย่างบิดเบี้ยวแปลกๆ คือขาไปทาง แขนไปทาง ทำให้ร่างนั้นดูเหมือนผู้พิการอย่างพิกล
“โอ มาแล้วหรือ ผู้ทรยศแห่งแสงสว่าง” มอร์เตย์พูดพลางยิ้มกริ่มด้วยความยินดียิ่ง แต่รอยยิ้มของเขากลับน่าสะพรึงกลัวและขาดความสุขโดยสิ้นเชิง ยิ่งทำให้ร่างเหลวๆนั้นดูกลัวมากกว่าเดิมเสียอีก
“ข้าแต่ผู้ที่อยู่ใกล้ความมืดที่สุด...ขอต้อนรับการกลับมาสู่ดินแดนแห่งมนุษยชาติอีกครั้งครับ ท่าน” เสียงนั้นดูเหมือนหวาดผวา แต่ก็มีความกล้าอยู่ในตัวอยู่พอสมควร และเสียงนั้นมีความแหบพร่าดุจเสียงของคนแก่
“อย่าเพิ่งพูดถึงแบบนั้นเลย นี่เป็นเพียงแค่การ...เริ่มต้น!!” เสียงของมันนั้นช่างมีความย่ามใจยิ่งนักจนเกิดการสั่นสะเทือนของเปลวไฟที่พลุ่งขึ้นมาจากพื้นดินชั่วขณะหนึ่ง!
“แล้วเมื่อใดที่ท่านจะออกไปสู่รุ่งอรุณแห่งความมืดเสียทีล่ะขอรับ ท่าน” เสียงนั้นฟังดูเยาะเย้ยอย่างพิกลจนมอร์เตย์ต้องคำรามเล็กน้อยอย่างปรามๆ ชายผู้นั้นจึงเงียบไป มอร์เตย์พูดขึ้นอีกครั้งว่า
“อีกไม่นานนักหรอก สหายผู้ทรยศ ข้าจะกระชากพันธนาการแห่งแสงสว่างและออกไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์แห่งแสงสว่าง และข้าจะชนะเขา จนสามารถกลับมาปกครองโลกนี้อีกครั้ง ดังที่ข้าปรารถนามาตลอดเกือบสามพันปี”
“แต่ข้ายังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งขอรับ” ชายผู้เหนียวหนืดพูดขัดจังหวะ
“มีปัญหาอะไรกระนั้นหรือ สหายผู้ทรยศของข้า” มอร์เตย์ถามเสียงแผ่วเบา
“ข้าเคยได้ยินว่า อาคมแห่งแสงสว่างที่ลึกที่สุดจะพังทลายลงเมื่อได้อาคมจากคนที่ได้ชื่อว่า ผู้ใกล้ชิดอนาคต ท่านคิดว่าท่านจะหาเจอหรือเปล่าครับ”
เสียงนั้นนิ่งเงียบไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับที่มอร์เตย์จ้องมาด้วยดวงตาสีแดงอมดำสนิททั้งสองข้าง ตาทั้งคู่นั้นหรี่ลงด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนที่เขาจะคำรามและหัวเราะออกมาพร้อมๆกันจนเกิดอาการสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดินแห่งคำสาปนี้
“ใครบอกว่าข้าหาไม่เจอล่ะ ข้าน่ะหาเจอมานานมากแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวครั้งแรกในความทรงจำของเจ้านั่นแหละ”
“ท่านหมายถึงใครกันหรือ...” เสียงของชายผู้ทรยศดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มอร์เตย์จ้องมองอีกครั้งด้วยแววตาดุร้าย ก่อนที่จะพึมพำคาถาออกมาเสียงแผ่วเบา ถึงแม้ว่าอาคมแห่งแสงสว่างจะทำร้ายร่างของชายผู้อยู่ใกล้ชิดกับความมืดที่สุด แต่ก็ไม่อาจทำร้ายพลังเวทอันมหาศาลที่ถูกดูดซับได้อย่างง่ายดาย...จากความชั่วร้ายที่แผ่ขยายออกมาจากทุกสารทิศ...ในตอนนี้...
พริบตานั้น ภาพของมหิทธิก็โผล่ออกมาพร้อมกับร่างของทิวา ภาพนั้นค่อยๆเลื่อนไปๆสู่ในโรงอาหารที่อาคมแห่งมอร์ธเกิดพลังขึ้นครั้งแรกในรอบสามพันปี ก่อนที่มหิทธิจะพูดขึ้นในความทรงจำว่า
“นายนี่เป็นหมอดูได้เลยนะนี่นะ อิอิ”
ภาพของมอร์เตย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวเหนียวหนืดจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่าน”
แล้วมันก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะหายวับไปต่อหน้าต่อตาของมอร์เตย์ที่คำรามเสียงลั่นด้วยความปราโมทย์และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแห่งความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุดว่า
“คอยดูเถอะ อีกไม่นานนักหรอก ถ้าข้าสามารถสะบัดอาคมเวทแห่งแสงสว่างได้เมื่อใด ข้าจะสามารถอาบพลังงานแห่งความมืดได้อย่างเต็มที่กว่าแต่ก่อน และ...ข้าจะกลับมา...เพื่อปกครองโลกทั้งสองใบนี้ด้วยความทะเยอทะยานของข้าเอง... ก๊าก ฮา ฮา ก๊าก ฮา ฮา ฮา!!!”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น