ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมุดบันทึกแห่งจิตวิญญาณ มีภาค 2 เสียที หลังจากเว้นว่างไปนาน

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่แปด ปะทะมอร์เตย์(I) - ความมืดเงื้อมผงาด (ขอใส่คำแปลเวทนะครับ จะได้รู้ภาษา)

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 51


    บทที่แปด ปะทะมอร์เตย์(I) – ความมืดเงื้อมผงาด
    หัวของม้าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นต่อสายตา มันเป็นอาชาสีดำสนิท…ดำเมื่อมเหมือนตัวด้วงและลายบนตัวของมันนั้นไม่มีเลยสักนิด มีเพียงสีดำเท่านั้น แต่สิ่งที่ดูน่ากลัวนั้นคือขนาดเขื่องเท่ารถม้าสองคันรวมกัน แผงคอสีดำนั้นยาวรีดูสง่า หางม้ายาวของมันนั้นกรีดอากาศดังขวับเมื่อมันสะบัดหาง ดวงตาสีดำสนิทนั้นจ้องมองมหิทธิกับโกกัสอย่างดุร้าย จมูกโตของมันนั้นพ่นไอออกดังพรื่อ…เหมือนเสียงจามของยักษา
    แต่สิ่งที่ทำให้ร่างนั้นดูน่ากลัวมิใช่ม้าเพียงเท่านั้น แต่เป็นร่างของชายนักรบผู้หนึ่งที่ขี่มันมา ร่างของเขานั้นดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่ใบหน้าขาวซีดเหมือนชอล์กนั้นกำลังบิดเบี้ยวด้วยความโกรธา เขามีใบหน้าเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะอีกครึ่งนั้นซ่อนเอาไว้ในหน้ากากปีศาจที่มีเขายาวโง้งสีเงินพราย มันมองดูเหมือนหน้ากากปีศาจที่มีใบหน้ายาวรี และฟันขาวซีดนั้นกำลังแสยะยิ้มจริงๆ เพราะหน้ากากนี้ - เท่าที่มหิทธิสังเกตได้ - มีชีวิตเป็นตัวของมันเอง ร่างของมันนั้นสวมชุดนักรบญี่ปุ่นที่เป็นชุดคลุมยาวกรอมเท้าสีดำสนิท มือขาวซีดข้างขวานั้นถือดาบยาวสีดำสนิทเหมือนของโกกัส แต่รูปร่างดาบนั้นดูใหญ่และยาวกว่าดาบซามูไรปกติ ดาบนั้นมีคมเดียว และดูป้อมๆที่ตรงด้ามดาบ แต่มีความใหญ่ยาวที่ตรงปลายเหมือนความโค้งมนนั้น…
    มันดูเหมือนพระจันทร์ไม่มีผิดเลยแฮะ เด็กหนุ่มคิด
    เงียบกริบ… ไม่มีเสียงใดๆราวกับที่นี่นั้นถูกหยุดเวลา และไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกถึงการต่อสู้กับร่างอันไร้พ่ายแห่งความมืดนี้ โกกัสพึมพำเหมือนต้องการปรึกษาแผนกับมหิทธิ แต่ตอนนี้มหิทธิยังไม่มีเวทมนตร์…ก็ไม่ต่างอะไรกับคนแขนขาด้วน แต่เขาก็กระชับมือที่ด้ามดาบเพื่อเตรียมพร้อม แต่…
    ฮี้
    เสียงม้าร้องดังลั่นขึ้นเหมือนเสียงฟ้าร้อง ก่อนที่จะโผนผกขาหน้าออกมาเหมือนเตรียมโถมเข้ารบเต็มที่ มันแสยะยิ้มออกมา(ทั้งหน้ากากและใบหน้าอันขาวซีด) ก่อนที่จะยกดาบขึ้นดังเคร้งคร้าง โซ่ยาวสีดำกระทบกับพื้นดังครึ่กๆ และพุ่งตัวออกมาด้วยความเร็วพร้อมกับเหวี่ยงดาบลงมาตรงชายโครงของมหิทธิโดยไม่ทันได้ตั้งตัว…
    แต่มหิทธิก็สามารถเหวี่ยงดาบป้องกันตนเองได้ทันกาล ทั้งๆที่เขากลัวแทบตายเพราะมันพุ่งออกมาเร็วเหลือเกิน ดาบปะทะดาบกลางอากาศเสียงดังชิ้ง!! ก่อนที่โซ่สีดำจะเหวี่ยงออกมาจากด้ามดาบขนาดใหญ่เพื่อรัดมืออันผอมซูบของมหิทธิเอาไว้
    เขามีเวลาร้องได้เพียงครึ่งคำก่อนที่ตนเองจะถูกกระชากออกไปอย่างแรงและเหวี่ยงอัดตรงกำแพงเหมือนกับถูกลูกตุ้มมัดและจับเหวี่ยงอย่างซาดิสม์ เสียงอัดดังโครมเหมือนกำแพงถูกครูดด้วยแส้ ก่อนที่มหิทธิจะทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับร้องก้องด้วยความเจ็บปวด แต่โซ่ในมือของมอร์เตย์ก็กระชากขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้มหิทธิถูกเหวี่ยงกระแทกหลังดังเพล้ง!!กับกระจกสีที่หน้าโบสถ์ เด็กหนุ่มล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า พร้อมกับเลือดที่หลั่งออกมาด้านหลังดุจแผลถูกกรงเล็บกระชาก…
    ควับ!!! แต่มหิทธิหมุนตัวอย่างเร็วและตั้งตัวติดได้เหมือนกับไม่เป็นอะไร และออกไปสู่แผ่นฝนที่หนาวจัดยิ่งกว่าหิมะ…สายฝนสาดเทกระหน่ำตรงตัวเขาพร้อมกับเลือดที่สาดออกมาจนชโลมพื้นให้เป็นสีเลือด ประตูที่เผาไหม้นั้นลั่นออกดังเอี๊ยด…ก่อนที่มอร์เตย์จะพุ่งตัวออกมาและกำโซ่ขนาดยาวก่อนที่จะเหวี่ยงดังครืด และดาบนั้นก็เลื้อยและฟาดลงมาตรงกลางศีรษะ…แต่มหิทธินั้นใช้ดาบป้องกันเอาไว้ได้อีกครั้ง พร้อมกับจับตรงสันดาบและกระชากโซ่ออกไปด้วยความแรงเพื่อให้มอร์เตย์ลงจากหลังม้า…
    วูบ!!
    แต่ร่างชายบนหลังม้านั้นดูจะมีพละกำลังมากเหลือเกิน เพียงแค่กระดิกโซ่ด้วยข้อมือเบาๆเท่านั้น แรงของมันก็กระชากร่างของมหิทธิให้ลอยสูงขึ้น มหิทธิร้องลั่นด้วยความกลัวพร้อมกับที่มหิทธิร่วงลงมาตรงตัวของมันพอดี เขาจึงฟันดาบตรงลงมาดังวืดเพื่อฟันศีรษะตรงให้ขาด
    แต่มันหลบได้เพียงแค่เอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่มหิทธิจะกระแทกกับพื้นด้วยความรวดเร็วดังอั้ก เขารู้สึกว่าร่างของชายผู้นี้ถือว่าแข็งแกร่งกว่าเขาเกือบจะสิบเท่า อาจจะเป็นเพราะว่าที่อินดูพูดก็ได้ละกระมัง
    “ความมืด…กำลังแผ่คลุมเข้ามาจากจุดๆหนึ่งเหมือนจุดหมึกของกระดาษ”
    และจุดหมึกนั้นอาจจะเป็นมอร์เตย์นี้ก็ได้
    โกกัสวิ่งออกมาจากประตูโบสถ์ที่พังอย่างไม่มีชิ้นดี ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงหวั่นเกรงว่า
    “เอาอย่างไรดีล่ะ มหิทธิ”
    ไม่มีเสียงตอบ พร้อมกับที่มอร์เตย์ชูดาบขึ้นด้วยเสียงเกร๊งกร๊างของโซ่อันหนักหน่วง มันฟาดคมดาบลงมาชี้คล้ายกับท้าทายให้มหิทธิมาสู้กับมันตัวต่อตัว แต่เขาจะไม่หลงกลมันโดยเด็ดขาด เพราะเขาไม่มีทางสู้มอร์เตย์ตรงๆได้ พลังความชั่วร้ายนั้นก่อกำเนิดขึ้นจากจุดนี้ และเขาในตอนนี้นั้นไม่ใช่นักดาบในโลกแห่งจิตวิญญาณ แต่เป็นเด็กหนุ่มในโลกแห่งความเป็นจริง…ที่ยังไม่มีเวทมนตร์ไว้ต่อกรกับมันเลยแม้เพียงกระบวนท่าเดียว
    “นายหลอกล่อมันไหวไหม” มหิทธิถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะแรงระเบิดจากเวทมนตร์ของมอร์เตย์ทำให้พละกำลังของโกกัสนั้นถดถอยลงไป สังเกตได้จากความเหนื่อยล้าจนชายหนุ่มผิวขาวต้องใช้ดาบเรียวยาวยันพื้นเพื่อยืนขึ้น…
    “ตอนนี้นายคงยังใช้เวทมนตร์ไม่ได้ นายยังไม่ตื่นขึ้นจากกิเลส อาจจะเป็นเพราะความทรงจำของนายยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องอาศัยตัวต่ออีกสองถึงสามอันเท่านั้น…”
    “หมายถึง…ส่วนประกอบของดาบและความทรงจำนั่นน่ะหรือ” มหิทธิถามอย่างไม่แน่ใจนัก
    “ใช่…” โกกัสตอบอย่างเหนื่อยล้า สายฝนอันหนาวยะเยือกทำให้ร่างของโกกัสที่เหนื่อยอ่อนอยู่แล้ว กลับยิ่งต้องใช้พลังมากขึ้น “นายคงต้องหลอกล่อ ส่วนฉันจะใช้จังหวะที่มันหันหลังให้ จัดการฟันให้ตายในดาบเดียว”
    “น่าแปลกนะ นายมีเวทมนตร์เหมือนกับ…ท่านมูริเย่ห์หรือ” มหิทธิถามอย่างไม่เข้าใจ
    “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตอบหรอก” โกกัสพูดขึ้น “แต่ที่แน่ๆฉันมีพลังได้ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระตุ้น และทำลายพลังคำสาปของฉันได้ แต่ – ดูสิ มันกำลังแบมือทำสัญลักษณ์แน่ๆ”
    “สัญลักษณ์…สัญลักษณ์อะ…เหวอ!!”
    มอร์เตย์เริ่มลงมือในจังหวะที่พวกเขาคุยกัน มันชูนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นมาพร้อมกับวาดเป็นสัญลักษณ์รูปเส้นขนานสีเงิน พริบตาต่อมา ร่างของมหิทธิกับโกกัสก็ถูกเหวี่ยงออกไปเหมือนถูกยักษ์ดีด มันโผนทะยานก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วเหมือนเงามืดและดาบขนาดใหญ่ก็เหวี่ยงฟันลงบนตัวของมหิทธิทั้งๆที่ตัวยังลอยอยู่ และไม่มีโอกาสตอบโต้อะไรทั้งสิ้น
    “ฉันไม่ยอมให้แกทำอะไรลูกชายแห่งกษัตริย์ได้หรอก!!”
    ลูกไฟสีม่วงอ่อนพลุ่งออกมาจากนิ้วที่ทำสัญลักษณ์ห้าเหลี่ยมคุสีม่วงสว่างของโกกัสและกระแทกลงบนมืออันเรียวบางและซีดของมอร์เตย์ ทำให้มีดดาบนั้นหลุดออกจากมือไป แต่มันกลับจับโซ่อันยาวเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะร่ายเวทด้วยการย้อนคำของโกกัสและอ้าปากด้านซ้ายขึ้น ไฟสีแดงพุ่งเต้นระริกออกมาจากปากอันมีเขี้ยวเล็บของมอร์เตย์ ก่อนที่จะพุ่งเข้าอัดบนลำตัวของโกกัสเข้าเต็มแรง จนร่างของชายผิวขาวผ่องต้องไถลครูดเพื่อตั้งรับการโจมตีนั้น
    โกกัสเอ่ยคาถาหนึ่งขึ้นมา “เอรามัวร์ (ต้นไม้แห่งความมืด)” พร้อมกับวาดสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีขาวก่อนที่คาถาอะไรบางอย่างจะอยู่ที่ใต้เท้าของมอร์เตย์ มันเป็นแสงสี่เหลี่ยมสีขาวที่ถูกร่ายลงบนพื้น และมีแสงกากบาททับเข้าไปด้านในราวกับการเล็ง และต้นไม้เลื้อยขนาดใหญ่ก็เลื้อยออกมาจากแสงนั้นเหมือนประตูมิติ และเข้ารัดลงบนลำตัวของมอร์เตย์อย่างลำบาก เพราะพลังไฟสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากลำตัวของมันนั้นกำลังออกฤทธิ์อย่างช้าๆแต่ทันใจ และเผาต้นไม้ที่รัดตรึงร่างของมันออกไป…
    แต่มหิทธินั้นตั้งหลักจากเวทแรงโน้มถ่วงได้แล้ว และเขากำลังขืนตัวเพื่อโจมตี แต่เขากลับเอ่ยคำๆหนึ่ง “มัวร์!! (ความมืด)” ก่อนที่ม้าสีดำสนิทจะถูกเสกเกราะสีดำสนิทรูปทรงกลมเหมือนฟองขึ้นมา มหิทธิซึ่งกำลังคิดที่จะโจมตีที่หัวของม้านั้นต้องหยุดชะงัก พอดีกับที่โกกัสใช้นิ้วสองนิ้วทำสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกสีน้ำเงินขนาดกว้างเท่าหน้าต่างห้องสีน้ำเงินฟ้า พร้อมกับร่ายคาถาว่า “แกลเซย์!! (น้ำแข็ง)” แท่งน้ำแข็งแท่งใหญ่เท่าเสาเข็มโผล่ออกมาจากตรงกลางดาวห้าแฉกนั้น ก่อนที่จะกระแทกดังเปรี้ยงตรงเกราะอกของมันเต็มๆ เกิดแสงสีดำขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่แท่งน้ำแข็งจะสลายไปด้วยไฟสีดำที่แผ่พลุ่งออกมาจากใต้เท้าของมอร์เตย์…
    มหิทธิหยุดพุ่งตัวออกไปดุจรู้ตัว ก่อนที่จะเขยิบไปที่ด้านข้างเพื่อสนับสนุนโกกัส มอร์เตย์ยกนิ้วซีดขาวขึ้น ก่อนที่จะกระดิกไปด้านข้างนิดหนึ่งเหมือนกับพูดว่า “มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก!!”
    พูดจบ มอร์เตย์ยกดาบสีดำสนิทขึ้นเหมือนกับมันพร้อมที่จะโจมตี ก่อนที่เขาจะจับโซ่สีดำให้เหมือนกับเป็นดาบติดโซ่ และมันก็เหวี่ยงดาบออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ… มหิทธิรู้สึกเหมือนกับถูกความร้อนสูงฟาดสะพายแล่งลงมาจนเขากรีดร้องไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าแสงสีเงินผ่านเขาไป และปลายดาบสีดำก็จรดลงมาที่ปลายขาม้าของเขา…
    อ้า!!!
    มหิทธิรู้สึกว่าความร้อนนั้นแผ่ซ่านอยู่ในตัวเหมือนก๊าซพิษที่อัดตัวในเส้นเลือด ทำให้เลือดสีแดงนั้นเดือดปุดๆเหมือนความร้อนแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว!! ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแผ่ซ่านจากแผลและค่อยๆลามออกไปอย่างช้าๆดุจพิษ มหิทธิกรีดร้องลั่นและทรุดตัวลงไปดิ้นทุรนทุรายดุจไม่อาจฝืน แผลสีดำขนาดใหญ่กว่าแผลฟันทั่วไปและมีพิษร้าย คือ ความมืดที่แผ่ซ่านออกมาและค่อยๆลามออกไป เขาจะกลายเป็นปีศาจที่น่ากลัวและกลายเป็นทาสรับใช้ของมอร์ธไปตลอดกาล…
    “มหิทธิ…มหิทธิ…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
    เสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หัวของเขา – ที่ความร้อนค่อยๆแผ่ซ่านเข้าไปในสมองจนจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว… มหิทธิค่อยๆหลับตาลงเตรียมใจว่าตนเองจะต้องกลายเป็นมอร์ธแน่แล้ว…
    “ฮา ฮา ฮา… จุดอ่อนของเจ้าคือเจ้าถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าพวกเรา และยอมศิโรราบกับความชั่วร้ายของตนเอง เจ้าจะไม่มีทางเอาชนะความชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเจ้าได้แม้เพียงนิดเดียว…ดุจว่าเจ้าจะต้องตาย!!! และกลายสภาพมาเป็นมือขวาของข้านั่นเอง!! ก๊าก ฮา ฮา ฮา ก๊าก ฮา ฮา ฮา…”
    มหิทธิสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเสียงของใครเป็นเสียงของใคร ดุจว่าความชั่วร้ายกำลังต่อสู้กับความดีอย่างไม่ลดละ เหมือนมวยปล้ำคู่หนึ่งที่มีคนแพ้ ก็ต้องมีคนชนะ…”
    “เจ้าได้ยินข้าหรือเปล่า…มหิทธิ…”
    ดวงตาสีฟ้าสดดูน่าพิศวงปรากฏขึ้นตรงหน้าของมหิทธิ และโครงหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ในดวงใจของเขา…เปรียบเสมือนมันอยู่ที่นี่มานานแสนนาน และถึงเวลาที่เขาจะต้องรับรู้เกี่ยวกับอะไรบางอย่างแล้ว…
    สติของมหิทธิดับวูบ แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว…เสียงสุดท้ายที่ตนเองจะได้ยินคือเสียงคำรามอย่างกำชัยของเขา…ผู้เป็นจ้าวแห่งความมืดนี้…
    ………………………………
    มหิทธิรู้สึกว่าวัตถุบางอย่างแนบแก้มของตนเอง มันเย็นเยียบเสียจนหนาวเข้าไปถึงแก่น มหิทธิค่อยๆลืมตาขึ้น
    เด็กหนุ่มพบว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ในห้องขนาดใหญ่เท่าห้องแฟลตห้องหนึ่ง…เขารู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่เย็นเยียบนั้นคือน้ำสีดำสนิทที่ดูเหมือนน้ำเน่า สายน้ำอันน่าขยะแขยงนี้อยู่ในครึ่งซีกทางด้านขวามือของเขา มหิทธิต้องสูดกลิ่นอันเน่าเหม็นฉุนจนต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้อย่างยากลำบาก เขารู้สึกเหมือนจมน้ำเพราะเด็กหนุ่มสูดอากาศหายใจไม่ออกเลยสักนิด… ร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนแปรไปจากเดิมมากโขทีเดียว ครึ่งหนึ่งที่อยู่ในน้ำสีดำสนิทนั้นมีผิวหนังสีดำสนิท ทั้งแขนของเขานั้นเป็นสีดำเหมือนถ่านและมีรัศมีสีเงินจางๆโผล่ออกมาจากท่อนแขนเป็นวง เสื้อผ้าจากเดิมที่เป็นเสื้อสีน้ำเงินอ่อนและกางเกงสีดำนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อแขนยาวมีเกราะแขนยาวถึงศอกสีเทาอ่อน กางเกงขายาวสีเงินที่มีวงแหวนแสงสีเหลืองสด และเท้าเปล่า… เด็กหนุ่มไม่สามารถเคลื่อนไหวใดๆได้เลย ได้เพียงแค่กลอกตาด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนที่ตนเองจะมองเห็นกระจกเงาสีเงินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มหิทธิพยายามเอ่ยคำถาม แต่ปากของเขาไม่สามารถพูดได้ ได้แต่ทำเสียงอือๆอาๆ ก่อนที่จะพบอะไรบางอย่างในกระจกเงา ที่ทำให้มหิทธิต้องร้อง…อือออออออออ…ลั่นห้อง โดยที่ปากเหมือนถูกล๊อกไว้
    ใบหน้าของเขานั้นเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เส้นผมสีดำนั้นเป็นสีดำอมเงินวาวแสงน่าจับตา แต่สิ่งที่ดูน่ากลัวนั้นเป็นดวงตา ดวงตาสีดำสนิทนั้นไม่มีแววของความเป็นมนุษย์เลย มีเพียงสีดำที่มีสีเงินอ่อนๆหมุนวนดุจควัน และมีรูม่านตาสีแดงเหมือนทับทิมเม็ดกลมคอยจ้องดูอย่างโหดร้าย จมูกนั้นแทบจะแบนราบไปกับใบหน้าอันกลมของเขา และปากนั้นไม่มีริมฝีปากเลย กลับเป็นเส้นขีดขวางเหมือนรอยเย็บแผลเท่านั้น
    ยิ่งเมื่อเขามองดูที่มือข้างขวาของตนเองด้วยแล้ว กลับต้องร้องอือออออออออออออออออออ…อย่างหมดความหวัง เพราะดาบเรียวยาวสีดำนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นดาบเรียวยาวสีดำที่มีความมันวาวกว่าเดิม แต่สิ่งที่ดูน่ากลัวก็คือตัวงูสี่ตัวที่พันรัดรึงรอบกั่นดาบจนเหมือนกับมันนั้นกลายเป็นกังหัน มันอ้าปากขึ้นและแยกเขี้ยวอย่างชั่วร้าย…
    บุ๋ง!!
    มหิทธิเริ่มรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เมื่อพลังน้ำอันโสมมสีดำค่อยๆเคลื่อนเข้าหาเขาไปทางซ้ายดุจแพร่เชื้อ…อีกไม่นาน มันก็จะเคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆจนท่วมมิดร่างของเด็กหนุ่ม แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ความมืดคงจะกลืนกินตัวเขาไปจนมิเหลือแม้แต่ความดี… มหิทธิรู้สึกเจ็บปวดตรงผิวที่เปลี่ยนเป็นมอร์ธ มันดูเหมือนผิวนั้นถูกเข็มทิ่มแทงนับร้อยจนเจ็บแสบ แต่ในขณะเดียวกัน พลังความชั่วร้ายก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนเด็กหนุ่มเริ่มคำรามออกมาด้วยความโกรธจัดและปราโมทย์ในเวลาเดียวกัน…
    “เห็นหรือไม่ล่ะ  ถ้าเจ้าเข้าเป็นพวกของข้าเสียแต่โดยดีละก็ ข้าจะไม่ทำให้ร่างมืดของเจ้าต้องเจ็บปวดเลยแม้เพียงนิด ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นจนไม่ต้องทนทรมานกับความทุกข์เลยแม้แต่น้อย…”
    เสียงอันแผ่วเบาของชายคนที่อยู่บนหลังม้า – มอร์เตย์ – กำลังกระซิบที่หูอย่างปลอบประโลม  มหิทธิรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นจนกรีดร้องออกมา
    “เจ้าทำได้…” เสียงอันแผ่วเบานั้นพูดขึ้นอีก… “แค่เจ้ายอมรับพลังอันเปี่ยมล้นนี้เท่านั้นเอง…”
    มหิทธิเกือบๆรู้สึกว่าถ้าตนเองยอมรับพลังนี้ เขาจะไม่ต้องเจ็บปวดกับความทุกขังอันทรมานกายทรมานจิตอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น  เขาอาจจะไม่ต้องทนทุกข์กับการถูกเย้ยหยันและถูกดุด่า มหิทธิจึงหลับตาและค่อยๆซึมซับพลังนั้น
    และมันไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้วจริงๆเสียด้วย…พลังนี้…ทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งกว่าปุยนุ่นเสียอีก แต่เมื่อมหิทธิหลับตาเพียงเท่านั้น ภาพๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…
    ฉึก!!…
    เสียงกรีดร้องดังอ้า…ของชายคนหนึ่งที่ถูกแทงด้วยดาบยาวเข้าไปที่กลางอก ด้วยดาบเรียวสีดำสนิท – ภาพต่อมาคือภาพที่ผู้หญิงในร่างของเงือกสาวกัดฉีกร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งอย่างกระหาย ในขณะที่เธอนั้นนอนขาดใจตาย – ภาพต่อไป ต่อไปเรื่อยๆแสดงถึงความทนทุกข์ทรมานอันแสนสาหัส ภาพของคนที่ฆ่าแสดงความหฤหรรษ์อย่างเด่นชัด ในขณะที่คนถูกฆ่ากลับเจ็บปวดเกินกว่าที่จะรับได้ เด็กหนุ่มร้องลั่นดังอือออออออออ…พร้อมกับสะบัดหน้าไปมาด้วยความทุรน พร้อมๆกับรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้านขวาอีกครั้ง…ดุจว่าภาพเหล่านี้ต่างย้ำเตือนให้นึกถึงความสว่างอีกครั้ง…
    มหิทธิรู้สึกเจ็บปวดทั้งข้างซ้ายและข้างขวาดุจว่าความมืดกับความสว่างไม่มีทางเข้ากันได้…ไม่มีทางเลย มหิทธิพยายามอยู่นิ่งๆเพื่อทำอะไรสักอย่าง เวลานี้แหละ…สมาธิหรือการหยั่งรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุด มหิทธิยืนอยู่นิ่งๆดุจยอมแพ้ แต่ที่จริง เขากำลังใช้พลังของตนเองตัดสินความดีความชั่วอยู่ แขนข้างขวาของมหิทธิกำลังจะไม่เหลือความดีอีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะกลายเป็นความมืดอันน่าขยะแขยง…
    น่าขยะแขยง
    น่าขยะแขยง
    มหิทธิลืมตาสีน้ำตาลขึ้นทันที ดวงตาของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นสีขาวขุ่นเหมือนตาน้ำข้าว มหิทธิกำมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างพยายามยิ่งดุจว่ามือถูกตรึงด้วยตรวนทั้งสิบนิ้ว มหิทธิใช้พลังอะไรบางอย่างที่ไหลบ่านี้กำมือทั้งสองขึ้น ก่อนที่พลังมืดจะเข้าครอบคลุมมือข้างหนึ่งเพื่อให้ยอมแพ้ แต่พลังที่ตนเองเติมนั้นดูจะมีพละกำลังมหาศาลมากกว่าพลังมืดของมอร์เตย์เสียด้วยซ้ำ มหิทธิร้องอ้า…เสียงดังลั่น ดุจว่าปากนั้นถูกทำลายพันธนาการขึ้นมาก่อน และเขากำมือลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงด้ามขนาดใหญ่ของดาบสองมือที่มีความคมเป็นเลิศ…
    ดูเหมือนดาบทั้งสองมือนั้นจะทำให้พละกำลังของมหิทธิเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมหาศาล…ดุจว่ามือทั้งสองข้างกำลังถูกเติมพลังขึ้นมา มหิทธิงอแขนทั้งสองข้างเข้าหาลำตัวพร้อมกับคมดาบด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และขว้างดาบทั้งสองเล่มออกไปเต็มแรง…
    ฉึก!!
    ดาบทั้งสองเล่มนั้นแทงความมืดและความสว่างที่อยู่คนละฝั่งฟากจนมิดด้ามทั้งสองเล่ม แต่ดูเหมือนว่าดาบทั้งสองเล่มนั้นจะไม่ทำให้ความมืดและความสว่างดูหม่นหมองเลยสักนิด มีเพียงประกายของดาบสีดำในความสว่าง และดาบสีขาวในความมืด ก่อนที่ความมืดและความสว่างจะดูดกลืนดาบทั้งสองเล่มเข้าไปข้างในวุ้นเหมือนโคลนดูด มหิทธิ(ที่ตอนนี้ขยับตัวได้แล้ว) เลือกโดยไม่ลังเลที่จะดึงดาบแห่งความมืดออกมาจากความสว่าง เพราะอะไรมิอาจทราบ แต่ความมืดนั้นสามารถถูกทำลายได้ แต่ความสว่างในตัวของเขามิอาจถูกทำลายด้วยดาบเพียงเล่มเดียวได้เด็ดขาด…
    ความมืดนั้นเริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับแผ่นหนังวุ้นของมันนั้นค่อยๆลอกออกมาเหมือนหนังหัวลอก มหิทธิมองเห็นได้ว่าดาบนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งการทำลาย ดาบนั้นค่อยๆเปล่งแสงสว่างออกมาจนลอกความมืดที่เหนียวหนืดออกไป เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นเริ่มรู้สึกสบายมากขึ้นพร้อมๆกับที่เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้นไปพร้อมกัน มันเป็นเสียงร้องที่ดังแสบแก้วหูพร้อมกับบทสวดงึมงำที่ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัว แต่มันสายเกินไปแล้ว เพียงดาบแห่งแสงสว่างพุ่งเข้าปักมันเท่านั้น ความมืดภายในจิตใจก็ถูกทำลายในทันที
    จนในที่สุด ความมืดก็ไม่เหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของน้ำครำเหม็นๆ เหลือเพียงกลิ่นอ่อนๆที่หอมหวนลอยออกมา มหิทธิรู้สึกว่าความสว่างที่อยู่ด้านหลังนั้นช่างอบอุ่นเหมือนแสงแดดยามฤดูใบไม้ผลิ และความรู้สึกว่า นี่แหละ ตัวตนที่แท้จริงของเหล่ามนุษย์ก็เริ่มต้นผลิดอกออกมา มนุษย์ไม่ใช่สาเหตุแห่งสงครามมอร์ธ แต่เป็นเพราะความมืดที่มีอยู่ทุกตัวตนในจิตใจของมนุษย์มากกว่า
    “รู้แล้วละสินะ การดึงดาบของข้าน่ะ”
    เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยทำให้มหิทธิสะดุ้งตัวลอย และหันไปมาเหมือนจะถามว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหน มหิทธิหันไปที่ตรงหน้าของตนเอง ก่อนที่จะพบว่าดาบสีขาวสะอาดเล่มนั้นได้หายไปแล้ว ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งขึ้นแทน
    เธอมีผมสีน้ำตาลแดงที่มีโบผูกผมมัดเอาไว้เรียบๆ ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องมองด้วยอาการไม่ประหลาดใจ โครงหน้าของเธอนั้นซูบซีดเป็นรูปไข่ และรูปปากที่เรียวบาง ทำให้เธอนั้นแทบจะคล้ายเขาเลยทีเดียว ยกเว้นเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นเอง เธอสวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำที่มีเกราะยาวถึงแขนทั้งสองข้างสีดำ กางเกงขายาวสีน้ำเงิน และรองเท้าผ้าที่ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวสีเขียวอ่อนแบบธรรมชาติ
    “คุณ…คือ…คอนซอนตรา” มหิทธิร้องลั่นพลางกระโดดถอยหลังด้วยความประหลาดใจจนถึงที่สุด
    “ใช่ ข้าเองละ” หญิงสาวชื่อคอนซอนตราพูดขึ้นพลางแสยะยิ้มอย่างไม่จงใจ ทำให้เธอนั้นดูมีเลศนัยแฝงอยู่อย่างมากมาย “เธอ…ในตอนนี้สามารถเอาชนะพลังกิเลสที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจได้แล้วละนะ”
    มหิทธิมองดูอย่างไม่เข้าใจมากนัก ก่อนที่ความเข้าใจจะบังเกิดขึ้นเมื่อเขานึกถึงคำพูดของมูริเย่ห์ หรือเมอร์ลิน
    “เวทมนตร์แห่งแสงสว่างจะต้องสละกิเลสให้ได้…อย่างนั้นละสินะ” มหิทธิขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “แต่ผมเป็นมนุษย์ที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนี่นา แล้วทำไมผมถึงมีเวทมนตร์แบบมูริเย่ห์หรือโกกัสได้ล่ะ อีกอย่างหนึ่ง พลังเวทมนตร์ของมนุษย์น่าจะถูกทำลายไปนาน…ตั้งแต่…ตั้งแต่…”
    “ใช่เลยละ มันคือเวทมนตร์แห่งแสงสว่างแบบเดียวกับของโกกัส และถึงแม้ว่ามนุษย์ในตอนนี้จะถูกทำลายพลังเวทก่อนที่จะออกเดินทางมาที่นี่ก็ตามที แต่มีคนอยู่คนหนึ่งที่ถูกย้อนอดีตกลับมาที่นี่ และมีชะตากรรมเพื่อปกป้องสองโลกมานับแต่กำเนิด นั่นคือเธอ…มหิทธิ”
    อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าพลังเวทของมนุษย์จะถูกทำลายไปนานนมก็ตามที แต่พลังเวทแห่งแสงสว่างของมนุษย์ยังไม่จางหายไป เธอมีหน้าที่ๆจะดึงพลังแห่งแสงสว่างของตนเองและผู้อื่นออกมาเพื่อเป้าหมายสองสิ่ง สิ่งแรกคือ ตามหาความทรงจำของเธอ และอย่างที่สอง ออกตามหาดาบที่เธอเคยดึงออกมาให้จงได้
    สิ่งเดียวที่เราพอจะรู้ก็คือ ดาบเล่มนี้ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาเหมือนกับดาบเล่มอื่นๆ แต่เป็นดาบวิเศษที่มีอำนาจของกษัตริย์ในยุคโบราณ ซึ่งนั่นก็คือ…ตัวของข้านั่นเอง” คอนซอนตราสาธยายจนจบแล้ว มหิทธิกลับไม่รู้สึกว่าตนเองมีความเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปเลยแม้เพียงนิด แต่กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่อาจจะกลับไปที่จุดเดิมแห่งความเป็นมนุษย์ได้อีกแล้ว และเขามีหน้าที่ๆจะต้องดูแลทั้งสองโลกนี้ให้สงบสุขให้ได้…
    “หมายความว่า…ฉันไม่สามารถ…หนีพ้นจากชะตากรรมของหลานชายกษัตริย์อาเธอร์ได้สินะ” มหิทธิพูดขึ้นพลางมองดูแสงสว่างที่ตอนนี้เริ่มจ้ามากขึ้นจนอากาศนั้นร้อนดุจเตาอบ มหิทธิมองกลับมาที่คอนซอนตรา และพบว่าเธอนั้นได้หายไปแล้ว เหลือเพียงดาบยาวใหญ่ปลายแหลมสีขาวสะอาดที่มีกั่นดาบเป็นปีกสีแดงเหมือนกับปีกของนกฟีนิกซ์ ก่อนที่มหิทธิจะยิ้มและเอื้อมมืออันคล้ำซูบมาจับด้ามดาบเอาไว้ เพื่อเป็นเจ้าของของมัน…
    “ท่านยังเป็นเจ้าของของดาบแห่งแสงสว่างไปไม่ได้ดอก จนกว่ามันจะได้รับการทดสอบอันหฤโหดเพื่อขับไล่ชนเผ่ามอร์ธที่หลงเหลือในแผ่นดินแห่งนี้”
    เสียงของคอนซอนตราปรากฏขึ้นในดาบนั้น มหิทธิหน้านิ่วก่อนที่จะพูดว่า
    “แล้วเมื่อใดที่ฉันจะเป็นเจ้าของๆมันได้เล่า”
    เสียงนั้นเงียบไปเพียงพักเดียว ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงอันก้องกังวานว่า
    “คำตอบ…คือคำถามของท่านที่อยู่ในใจของท่านมาตลอดสิบเจ็ดปี”
    เสียงนั้นพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนห่างไกลอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆหายไปเหมือนกับเขากำลังเลื่อนลอยออกไป แต่มหิทธิกลับมีความรู้สึกว่าตนเองกำลังลอยออกไปอย่างมีจุดหมาย
    มันคือการล่องลอยสู่ความเป็นมนุษยชาติทั้งปวง…ที่มีความมืดสิงสู่มานานแสนนาน แต่ครานี้…ความสว่างจะเข้าสู่จิตใจของมนุษย์อีกครั้ง…
    …………………………………..
    มหิทธิรู้สึกตัวอีกครั้งในสภาพที่ตนเองกำลังนั่งชันเข่ารอความตาย พร้อมกับเสียงหัวเราะก้องกังวานของมอร์เตย์และเสียงร้องของม้าอย่างกำชัย แต่เสียงเหล่านั้นกลับเริ่มเงียบกริบลงไปเหมือนที่ปรับเสียงถูกลด…จนเงียบกริบ มหิทธิหยิบดาบข้างๆตัวของตนเองและตวัดมันออกมา ชี้ไปที่มอร์เตย์ด้วยพลังอำนาจอันเปี่ยมล้นด้วยความดีงามและความศักดิ์สิทธิ์ของธรรม
    มหิทธิลืมตาขึ้นพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่มอร์เตย์ ซึ่งทำให้มันถึงกับกระทืบกีบอันทรงพลังและร้องฮี้…ด้วยความหวาดผวา เพราะดวงตาของมหิทธิไม่ใช่ดวงตาแบบคนขี้ขลาดและไม่สามารถสู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าได้อีกแล้ว มาในตอนนี้ ดวงตาของมหิทธิเป็นสีน้ำตาลวาววับด้วยประกายแห่งการต่อสู้ และที่สำคัญ ประกายตานั้นมีชีวิตที่มอบกายถวายชีวิตให้กับ ‘แสงสว่าง’ มอร์เตย์ร้องลั่นด้วยความกลัวแต่ด้วยอาการแข็งข้อ มันกลับขืนตัวและพร้อมที่จะต่อสู้กับหลานชายจ้าวแห่งแสงสว่าง หรือลูกชายกษัตริย์แห่งจิตวิญญาณนั่นเอง…
    “เจ้า…ทำไมถึงไม่ถูกกลืนกินด้วยความมืดของข้า เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!!” มอร์เตย์คำรามลั่นด้วยความพิโรธ ก่อนที่จะอ้าปากที่มีหน้ากากขึ้น เปลวไฟสีดำอมน้ำเงินพลุ่งออกมาจากปากอีกครั้งเหมือนสายของอสรพิษและตรงเข้ารัดร่างของมหิทธิเหมือนเชือกรัด และเปลวไฟของมันก็เข้าแทรกซึมสู่ร่างประดุจหนึ่งพิษอันร้ายกาจที่แล่นสู่เส้นเลือดโดยตรง…
    “เซคูเออร์ เคิร์ส (แก้คำสาป)”
    มหิทธิท่องคาถาพยางค์หนึ่งออกมาโดยที่เป็นภาษาที่ตนเองรู้จักดีที่สุด…โดยที่ตนเองคิดว่ามันน่าจะเกิดผลอะไรสักอย่าง แสงสีขาวปรากฏขึ้นที่รอยแยกระหว่างตรวนเพลิงแห่งความมืด ก่อนที่มหิทธิจะกระทืบเท้า ขดม้วนพลังนั้นหดเล็กลง และจางหายไป…
    “แก!!!!!!” มอร์เตย์คำรามลั่นด้วยความโกรธโดยไม่ยั้งคิด โดยหารู้ไม่ว่าเวทมนตร์ของมหิทธินั้นเหนือกว่าตน มันยกนิ้วข้างขวาขึ้น และวาดมันเป็นรูปสวัสดิกะ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รูปสวัสดิกะสีดำปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า ก่อนที่มอร์เตย์จะร่ายคาถาด้วยภาษาไทยว่า
    “ข้าแต่เทพแห่งความมืดอันศักดิ์สิทธิ์…ขอให้รูปสวัสดิกะอันเต็มเปี่ยมไปด้วยการหักหลังและการฆาตกรรม…จงผลาญมันให้สิ้น!!!”
    แต่ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น…รูปสวัสดิกะเริ่มเปลี่ยนไป…จากสีดำสนิทเริ่มสว่างขึ้นเป็นสีขาว…สีขาวผ่องเหมือนทรายสะอาด มหิทธิพึมพำสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ตั้งแต่เกิด…ภาษาประหลาดอันเกิดมาจากความคิดของตนเอง…กำลังถ่ายทอดออกมาจากปากของตนเองอย่างช้าๆ…มหิทธิพึมพำอย่างช้าๆ รูปสวัสดิกะเริ่มเปล่งประกายมากขึ้น…มากขึ้น…จนในที่สุด…มันก็จางหายไป โดยที่ประกายสว่างนั้นค่อยๆม้วนลงมาที่ดาบและจางหายไป เปลี่ยนเป็นเงาแสงสว่างสีขาวที่คุโชนขึ้นมาไล่ไปตามปลายดาบขึ้นมาแทน
    “เวทมนตร์อะไรกันนี่…” มอร์เตย์ร้องลั่นพร้อมกับคำรามดังอสูรพิโรธ…
    มหิทธิลืมตาขึ้น พร้อมกับพึมพำว่า
    “ถึงเวลาเอาคืนของฉันแล้วละ มอร์เตย์เงา”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×