คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : นัดที่ 1 นักเรียนใหม่
“ฮัลโหลว่าไงครับ” จุนพูดกับมือถือ
“จุน... จุนใช่มั้ย อย่าเพิ่งวางสายนะ นี่น้ำตาลเอง จุนเป็นอะไรโกรธน้ำตาลรึเปล่า ทำไมช่วงนี้ทำตัวห่างๆจัง.. ถ้าตาลทำอะไรผิดตาลขอโทษนะ กลับมาเหมือนเดิมได้มั้ย” เสียงในสายรัวคำพูดใส่จนเขาไม่ทันตั้งตัว
“อ่อ...ตาลเหรอ ตอนนี้จุนอยู่ข้างนอกยังไม่ค่อยว่างคุย ไว้เราค่อยคุยกันวันหลังได้มั้ย” จุนบอกพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาหกโมงครึ่งยามเช้า
“ก็ได้... แต่ จุนไม่ได้โกรธอะไรตาลใช่มั้ย – จุนทำอะไรอยู่หรอ อยู่ที่โรงเรียนรึเปล่า งั้นเดี๋ยวตาลไปหานะ”
“อ่อๆ... ก็ใช่ อยู่ที่โรงเรียน แต่อย่ามาเลย เช้านี้จุนมีนัดกับเพื่อน ไว้วันหลังละกัน” จุนบอกปัดๆ เบียดตัวผ่านกลุ่มคนเพื่อลงจากรถเมล์อันแออัด เมื่อลงมาถึงป้าย เขาชำเลืองมองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง
“เพื่อน... เพื่อนผู้ชายหรือผู้หญิง” เธอถามเสียงเขียว
“ผู้ชายจ่ะผู้ชาย” จุนรีบบอก
“จริงนะ”
“จริงสิ จุนจะโกหกตาลทำไม – ตาล จุนขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวต้องขึ้นมอไซต์แล้ว คุยไปนั่งไปเดี๋ยวตกมอไซต์ตาย แค่นี้นะ” เขากดวางสายทันที
จุนถอนหายใจ เขากวาดสายตามองไปทั่วป้ายรถเมล์ หวังลึกๆว่าวันนี้คงไม่เจอ....
“จุน! จุน... ทางนี้ๆ” เสียงใสๆที่เขาไม่อยากได้ยินดังขึ้นในกลุ่มคน จุนชำเลืองหางตาไปมองให้แน่ใจว่าถูกตัวรึเปล่า... ไม่ผิดแน่ ยัยแก้มจอมจุ่นมาดักรอเขาที่ป้ายรถเมล์อีกแล้ว จุนแกล้งทำเป็นไม่เห็น ยกกระเป๋าขึ้นบังหน้าก่อนจะอาศัยความชุลมุนมุดหนีไป
พอหลุดพ้นจากป้ายรถเมล์มาได้ก็ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง ทำไมเราถึงซวยอย่างนี้ว้า จุนคิดขณะเร่งฝีเท้าไปยังที่ขึ้นมอไซต์ ไม่ทันไรมือถือเขาก็ดังอีกครั้ง น้ำตาลอีกแล้ว...
“ฮัลโหล...” จุนคราง
“จุน ตอนนี้ตาลอยู่ที่หน้าโรงเรียน เดี๋ยวตาลแวะไปหานะ มีของจะให้” น้ำเสียงเธอดูมีชีวิตชีวา...
“อา... อย่าเลย จุนรีบมากๆ รีบสุดๆเลยจ่ะตาลจ๋า อีกอย่างจุนเกรงใจตาลด้วย อย่าเลยมาน้า” จุนพยายามรักษาน้ำใจที่สุดเท่าที่มีได้
เสียงในสายเงียบไปพักใหญ่
“น้ำตาล... เป็นอะไรเปล่า” จุนถาม กลัวว่าจะทำเธอเสียใจ
“จุนเป็นอะไรไป ทำไมจุนแปลกๆไป ไม่เหมือนเมื่อก่อน” เธอพูดเสียงค่อย เขาเดาว่าเธอคงจะร้องไห้
จุนกุมขมับ เขาไม่น่ามาคบกับเธอตั้งแต่แรกเลย
หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเตาะแตะๆตามหลังมา ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าใคร
“จุน... แหม ไม่ต้องมาหนีแก้มเลย แก้มเห็นนะว่าจุนลงจากรถเมล์มา -- ”
“อ้าวแก้ม” จุนร้องเสียงดัง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อยู่แถวนี้ด้วยหรอ ทำไมจุนไม่เห็นเลยละ”
“ไม่ต้องมาโกหก แก้มรู้นะว่าจุนไม่อยากจะเจอแก้ม” เธอขมุบขมิบปากน้อยใจ
โถ่ยัยบ้าเอ้ย ก็รู้ว่าไม่อยากเจอแล้วยังจะมาหาอีก เขาคิด
“จุน...” เสียงในโทรศัพท์ร้องเรียก “เมื่อกี้เสียงผู้หญิงใช่มั้ย จุนอยู่กับผู้หญิงคนอื่นใช่มั้ย” น้ำตาลถามเสียงสั่น
พอดีกับที่สายตาของแก้มจับอยู่ที่มือถือเขา
“คุยกับใครอยู่ในสาย แอบไปมีกิ๊กอีกแล้วใช่มั้ย – เอามานี่นะ” เธอคว้ามือถือไปจากมือเขา ดวงตาลุกโตเมื่อเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ
“นี่เธอ!” แก้มตวาดใส่คนในสาย “เลิกยุ่งกับแฟนฉันได้แล้ว เขาไม่สนใจเธอหรอก เพราะเขามีฉันคนเดียวในหัวใจ จริงมั้ยจุน!” แก้มหันมาถามเขา
จุนเกาหัว ไม่รู้จะเอายังไง
“เอามือถือจุนคืนมาเถอะแก้ม ทำแบบนี้มันไม่ช่วยให้....”
“ได้ยินเขาพูดแล้วใช่มั้ยห๊ะ จุนบอกว่าเขารักฉันคนเดียว เลิกยุ่งสะทีเถอะ!” เธอกระแทกปิดฝาเครื่องจนแทบจะแยกเป็นสองส่วน และเหวี่ยงมือถือของเขาไปกลางถนน จุนเฝ้ามองวินาทีที่มือถือแสนรักตกกระทบพื้น... มันยังอยู่ดี คงจะมีแค่รอยถลอกเล็กๆน้อยๆ วินาทีถัดมารถเมล์หนักห้าตันวิ่งทับ ส่งเศษเครื่องในกระเจิงเต็มพื้น
ถ้านี่เป็นการตายของสุนัขข้างถนนที่เซ่อซ่าวิ่งไปให้รถทับ เขาคงจะยืนไว้อาลัยให้มันสักนาทีสองนาที... แต่นั้นมันมือถือที่รักของเขาเชียวนะ!
“ทีนี้จะได้ไม่มีเวลาไปคุยกับคนอื่นสะที ฮึ!” แก้มกอดอกและจ้องมองมือถืออย่างไม่แยแส
จุนหันควับกลับหลังและเดินงุดๆ ยกมือโบกเรียกมอไซต์ เขาหายใจเข้าออกพรืดพราด พยายามระงับอารมณ์โกรธไว้
“จะไปไหน! มือถือพังแล้วยังจะกล้าหนีแก้มอีกหรอ” สาวเจ้าอารมณ์จอมตื้อตะโกนไล่หลังเขา
จุนไม่เข้าใจที่แก้มพูดสักนิด เขากระโดดขึ้นซ่อนท้ายพี่วินมอไซต์และรถก็แล่นปรื้ดอออกไปอย่างรวดเร็ว
อยู่ไหนกันนะ... ห้องของม.5 ห้อง 2 หญิงสาวร่างเล็กเดินไปตามระเบียงทางเดิน สายตาคอยสอดส่องมองหาป้ายที่เขียนว่า ‘ม.5/2’ เธอเดินผ่านห้องแล้วห้องเล่า ตึกแล้วตึกเล่า แต่ไม่เจอห้องล่องหนนี่เสียที
“เหนื่อยแล้วนะ!” เธอตะโกนกับตัวเอง
ตอนนี้เธออยู่ระหว่างระเบียงทางเดินเชื่อมระหว่างโรงอาหารกับอาคารเรียน เธออยากไปกินข้าวแล้ว แต่ก็อยากหาห้องเรียนให้เจอก่อนเหมือนกัน เธอเลยเดินหมุนไปหมุนมาบนระเบียง ไม่รู้ว่าจะกินหรือจะหาก่อนดี
นักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินก้มหน้าก้มตรงมาหาเธอ ผมสีดำสยายลงมาปรกหน้า ย่างก้าวเลื่อนลอยราวกับไร้ชีวิต ถ้าไม่มีใครหลบเธอและเธอจะต้องเดินชนกันอย่างแน่นอน แต่หญิงคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหลีกหรือหลบแม้แต่น้อย เธอจึงต้องเป็นฝ่ายเลี่ยงทางให้... ร่าง ‘ไร้วิญญาณ’ ลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเธอเต้นระส่ำ ดึงกระเป๋าเป้เข้ามากอดแน่นในอก เธอนึกดีใจที่หน้าอกของเธอค่อนข้างเล็ก ทำให้โอบรัดกระเป๋าได้สุดแขน... แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เธอถอยไปชนหลังชนฝาผนัง ร่างอันซึมเศร้าเคลื่อนผ่านหน้าเธออย่างช้าๆ...ช้าๆ
“นี่เธอ” หญิงสาวผู้หวาดกลัวร้องเรียก ร่างๆนั้นเคลื่อนไปอีกสองสามก้าวจึงหยุด หญิงสาวผงะถอยหลัง แต่ลืมไปว่าเธอติดกำแพงอยู่แล้ว “เธอใช่...ผีรึเปล่า” เธอถามพลางดึงกระเป๋าขึ้นปิดหน้า
ร่างนั้นเบือนหน้ากลับมาหา และเริ่มตรงมาทางเธอ ดวงตาสีขาวแล้บออกมาจากม่านผมดกดำที่ปรกหน้า หญิงสาวหลับตาปี๋กรีดร้องด้วยความกลัว
“ออกไปนะ! ไปให้พ้น! ฉันกลัวแล้ว... ฮือออ” เธอคร่ำครวญ
“เป็นอะไรของเธอ..” ร่างนั้นพูด น้ำเสียงก็ฟังดูเป็นมิตรดี
หญิงสาวขี้กลัวค่อยๆลดกระเป๋าลง นักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักทีเดียว ใบหน้าขาวซีดที่ซ่อนอยู่หลังผมดำดกชวนให้นึกถึงผีในหนังสยองขวัญสไตล์ตะวันออก อย่างเรื่อง เดอะริง หรือ ผีช่องแอร์ แต่จะดูๆไปเธอก็น่ารักน่าชังใช้ได้ทีเดียว เสียก็แต่ดวงตาที่ช้ำบวม.. ดูคล้ายๆว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่
“เสียมารยาท.. มาทักกันมาเป็นผีได้ยังไง” ‘ผี’สาวพูด ใช้สองมือรวบแสกผมไปด้านหลัง
“คะ..ขอโทษนะ ก็ฉันกลัวนิ”
“...ไม่เป็นไรหรอก ฉันทำตัวน่ากลัวเองต่างหาก เดินเอาผมปรกหน้าและร้องไห้แบบนี้ ใครๆก็คงคิดว่าเป็นผี ยิ่งผิวฉันซีดยังกับกระดาษอีก.... จริงๆแล้วฉันมันไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยต่างหาก... ใช่สิ เขาถึงได้ทิ้งฉันไป... ใช่สิ เขาคงเจอคนที่ดีกว่าฉัน” ผีสาวรำพึงรำพันก่อนจะปล่อยโฮจนน้ำตาท่วมหน้า และทิ้งตัวซบลงบนอกเล็กๆของเธอ
“ทำไมสุดท้ายชีวิตฉันต้องลงเอยแบบนี้ทุกทีเลยนะ... ทำไม...ทำไม”
ผู้ถูกซบสะดุ้งเมื่อใดยินคำว่า ลงเอย มันเป็นชื่อเล่นของเธอ แต่คนอื่นมักจะเรียกเธอว่า ‘เอย’ มากกว่า
“เธอว่างมั้ย” หญิงสาวเจ้าน้ำตาถามเมื่อเงยหน้าขึ้น มีน้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม
“ว่าง.. ก็ว่างอยู่” เอย ลังเล
“ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว—นะ ขอร้องละ”
‘ลงเอย’ว่าความเห็นใจและสายสัมพันธ์แบบผู้หญิงๆทำให้ทั้งคู่ตกลงไปทานข้าวด้วยกัน คุยกันไปคุยกันไปจนรู้ว่าเธอคนนี้ชื่อ น้ำตาล อยู่ห้อง 5/10 พึ่งถูกแฟนบอกเลิกไปเมื่อไม่กี้นาทีก่อน ซ้ำยังโดนแฟนใหม่ของแฟนตะโกนด่าในโทรศัพท์อีกต่างหาก
“อย่างน้อยก็อยากจะเลิกกันให้มันสวยงามกว่านี้” น้ำตาลบอก
มันมีเลิกกันแบบสวยงามด้วยหรอ เอยคิดในใจแต่ไม่พูดออกไป
เธอเล่าว่าคบกับหนุ่มใจร้ายคนนี้มาได้สองเดือนแล้ว เขาดีกับเธอมาตลอด ไปเที่ยวไปดูหนังเขาก็จ่ายให้ คอยเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลา แต่หลังๆมานี้เขาแปลกๆไป ไม่นึกว่าจะมีคนใหม่ และพอเริ่มเล่าถึงเรื่องเก่าๆอันหอมหวานเธอก็ปล่อยมาอีกโฮ
“ฉัน... ฉันรู้ว่าเขาไม่มีทางรักฉันตลอดไปหรอก... อึก.. ฉันรู้..ว่าฉันไม่ดีพอ... อึ้ก... ฉันคิดไว้แล้วว่าวันนีต้องมาถึง... อึก.. แต่ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ ฮือ ฮืออ” เธอเล่าขณะใช้น้ำตาหยดใส่ฉามก๋วยเตี๋ยวแทนน้ำปลา
เอยมองฉามของเธอและวิตกว่าอีกไม่นานก๋วยเตี๋ยวน้ำตกสีดำคงจะจางจนใสเพราะน้ำตาของเธอเป็นแน่
เมื่ออารมณ์และน้ำตาสงบลงแล้ว น้ำตาลจึงออกปากถามว่า
“ว่าแต่ ที่เธอเรียกฉันตรงทางเดิน มีธุระอะไรรึเปล่า – หรือเพราะกลัวว่าฉันเป็นผี” น้ำตาลพยายามยิ้ม แต่ทำให้แค่ยิ้มเจื่อนๆที่ดูตลก
“อ่อ...” เอยลังเล เธอไม่รู้ว่าใช้เวลาที่เธอจะไปเซ้าซี้รึเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ มีอะไรก็บอกมาเถอะ”
เอยพยักหน้าช้าๆ
“ฉันแค่จะถามเธอว่าห้องห้าทับสองอยู่ตรงไหน แค่นั้นเองแหละ”
“เป็นเด็กใหม่หรอ” น้ำตาลถามด้วยความสงสัย
เอยผงกหัว
“งั้นเรากินข้าวเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะพาไป” น้ำตาลบอก
เธอช่างใจดีเหลือเกิน
“เป็นอะไรปิดมือถือว่ะจุน” นนท์ทักเขาในทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าห้องไป
จุนเหวี่ยงกระเป๋าสะพายให้เพื่อนรับ และทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะเรียนๆข้างนนท์ ในห้องเรียนมีเขาและนนท์อยู่ที่ท้ายห้อง และมีเพื่อนในห้องอีกกลุ่มกำลังง้วนกับการเล่น PSP อยู่ที่มุมหน้าห้อง แต่เป็นธรรมเนียมของห้องไปแล้วว่า พวกหน้าห้องจะไม่ยุ่งกับพวกหลังห้อง
“พอดีมือถือกูมันกระโดดไปให้รถเมล์เหยียบวะ” จุนตอบสบายๆ
“เอาดีๆดิ” นนท์มองหน้าเขา
“แก้มโยนมือถือกูไปกลางถนน และรถเมล์มันวิ่งมาทับ จริงๆแล้วแก้มก็ไม่ผิดหรอกวะ ผิดที่คนขับรถเมล์” จุนพูดและยิ้มกวนๆ
“ดูมึงไม่ค่อยเสียดายเลยหวะ”
“ก็เสียดายอยู่ เดี๋ยวเย็นนี้จะกลับไปเก็บซากมือถือมา เผื่อมีร้านไหนรับซ่อม” อีกครั้งที่จุนยิ้มกวนๆ
“พูดจริง” นนท์ถามเสียงสูง
“คงจะจริงเหอะ เละจนไม่เหลือซากขนาดนั้น”
ประตูห้องเหวี่ยงเปิดออก ปุ่นเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มมึนๆที่เหมือนถูกพิมพ์ติดหน้าไว้ตลอดเวลา
“ทำเลขเสร็จกันยังวะ” ปุ่นออกปากถามเขาและนนท์ วางแฟ้มลงบนโต๊ะเบาๆและนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากโต๊ะที่จุนอยู่
“ยังไม่เสร็จเลยวะ ของปุ่นเสร็จยัง – ลอกหน่อยดิ” นนท์บอก ขยับเข้ามานั่งรวมกันใกล้ๆ
ปุ่นหยิบสมุดเลขและส่งให้นนท์ ทันทีที่ได้รับของนนท์ก็จมตัวเองอยู่กับหน้ากระดาษและตัวเลข
“วันนี้ดูสดชื่นจังเลยนะจุน” ปุ่นทักเมื่อเห็นรอยยิ้มกวนๆบนใบหน้าเขา
“ปุ่นเองก็พอกันแหละ แต่ต่างกันนิดตรงที่ว่าของปุ่นเป็นสดชื่นแบบขี้ยา” จุนแซว ปล่อยหัวเราะออกมา
‘ขี้ยา’ เป็นคำที่เพื่อในกลุ่มมักจะล้อปุ่นอยู่บ่อยๆ เนื่องมาจากใบหน้าที่เหมือนกับคนติดยาของเขา และรอยยิ้มมึนๆเมาๆที่ลบไม่ออก แต่ปุ่นเป็นขี้ยาประเภท ‘ขี้ยาน่ารัก’ เพราะโดยรวมแล้วปุ่นเป็นคนดูดี ผิวขาวเนียน ดวงตานิ่งสงบสุขุม แต่แฝงด้วยอารมณ์ขันมีเสน่ห์
“เห็นเขาว่าวันนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายมาห้องเรานิ” ปุ่นเปิดประเด็น “เป็นผู้หญิง” ปุ่นเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของจุน
พอได้ยินคำว่าผู้หญิง นนท์ก็หูพึ้ง วางปากกาและหันมาร่วมแจม
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” นนท์ถามยิ้มๆ
ปุ่นมองเพื่อนทั้งสองอย่างรู้ทัน
“วันนี้มีนักเรียนใหม่จะย้ายมา เป็นผู้หญิง.... รู้สึกจะมาอยู่ห้องเราด้วยมั้ง – ฮาๆ กูเห็นหน้าพวกมึงแล้วรู้เลยว่าคิดอะไรกันอยู่ กูว่าอาจจะไม่น่ารักก็ได้ อย่าเพิ่งไปหวังกันเลยดีกว่า” ปุ่นสบตาเพื่อนทั้งสอง
“ถ้าน่ารักกูจีบจริงอะ” นนท์ประกาศตน
“แล้วถ้าหน้าเหมือน เป็ด ละ” จุนท้วง
ตำนานเรื่อง ‘เป็ด’ ของคนในกลุ่มมีอยู่ว่า มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้องที่หน้าตาสุดจะทนมองชื่อว่า เป็ด เธอมีเรือนร่างใหญ่โตดุจผีเสื้อสมุทร และผิวคล้ำแบบนิกรอยแท้ ผสมผสานกับผมหยิกหยอยสไตล์เงาะป่า ทั้งหมดนี้รวมออกมาเป็นคำว่า ‘เป็ด’
นนท์พ่นล่มหายใจและทำตาโต
“เป็นมึงๆจะจีบมั้ยละ” เขาถามบ้าง
“ไม่วะ – ต่อให้สวยเป็นนางฟ้าก็ไม่จีบ ต้องดูที่จิตใจและนิสัยก่อน...” จุนกลั้นยิ้ม
“ให้มันจริงเหอะ กูรู้มึงก็เล็งๆอยู่” ปุ่นพูดอย่างรู้ทัน
แต่คราวนี้ปุ่นเดาเขาผิดจริงๆ เขาไม่คิดจะสนใจผู้หญิงคนไหนอีกแล้ว เพราะเขาเจอคนที่เขาพร้อมจะหยุดหัวใจแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เขาเบื่อและอยากสลัดคนอื่นๆทิ้งให้หมด
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงอยากจะเก็บทุกคนไว้ให้หมด อย่างน้อยก็เก็บเอาไว้เพื่อเหลือเพื่อเลือก เพื่อนๆจึงเรียกผู้หญิงที่เขาคบอยู่ว่า ‘ฮาเลมของจุน’ แต่ตั้งแต่เขาได้เจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเพรียบพร้อมและดีไปทุกอย่าง เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ากันได้กับเขา เป็นผู้หญิงแบบที่เขาเฝ้าหามาชั่วชีวิต และเธอเองก็ลึกซึ้งมากกับเขาเช่นกัน เขาจึงอยากจะหยุดทุกๆอย่าง หยุดทุกๆใจที่ให้คนอื่น เก็บไว้ให้เธอเพียงคนเดียว
“เป็นไรเหม่อวะ” นนท์เอามือสะบัดๆผ่านหน้าเรียกให้เขากลับจางภวังค์
จุนหลุบตาลง “เปล่าวะ ไม่มีอะไร”
แต่อาการของจุนทำให้เพื่อนสองคนมองตากันอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะว่ามึงไปรักใครเข้าจริงๆ” ปุ่นพูดอย่างรู้ทันของจริง
จุนหันไปมองทั้งนนท์และปุ่นสลับกันก่อนจะคลี่ยิ้มยอมแพ้
“ก็นิดหน่อยวะ พอดีไปเจอกับรุ่นน้องคนหนึ่งเข้า คบกันมาเดือนกว่าๆแล้ว รู้สึกเข้ากันดีอย่างบอกไม่ถูก” จุนอธิบาย
“โถ่ เดี๋ยวมึงก็ไปทำร้ายเขาอีก คนอย่างมึงมันรักใครเป็นที่ไหน” ปุ่นปราม
เขายักไหล่ “แล้วไงวะ ทำร้ายความรู้สึกเขาบ้างไม่เห็นเป็นไร ยังไงเขาก็รักกูอยู่ดี เขากับกูเข้ากันได้ยังกับแบตเตอเรียนกับหัวเกรียน” จุนพูดอย่างมั่นใจ
“แล้วมึงไม่คิดบ้างหรอว่าเขาจะเสียใจ... ถ้าสักวันเขาทำร้ายมึงคืนบ้างละ มึงจะรู้สึกยังไง”
“กูก็เลิกดิ จะไปทนอยู่กับคนที่คอยทำร้ายจิตใจเราทำไม... จริงมั้ย”
“นั่นแหละ มึงคิดถึงแต่ตัวเองไม่ยอมคิดถึงใจเขาบ้าง สักวันถ้าเขาเจ็บจนทนไม่ไหวเขาก็จะทิ้งมึงไปเอง”
“กูมั่นใจว่าวันนั้นจะไม่มาถึง”
ปุ่นเพียงส่ายหัวเบาๆ เรื่องพวกนี้เขาปุ่นและนนท์เคยเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นทัศนคติในการคบผู้หญิงของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ปุ่นเกลียดการทำให้ผู้หญิงเสียใจหรือเล่นตัวเพียงเพื่อให้ผู้หญิงมารักเราหัวปักหัวปำ นนท์ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้นอนกับหญิงที่หมายปอง ส่วนตัวจุนมองว่ามันเป็นเกมที่ต้องเล่นให้ชนะ
สามทัศนคตินี้ทำให้พวกเขามีแนวทางการคบ การจีบ การรักษาความรักแตกต่างกันไป
ตั้งแต่ออกจากโรงอาหารน้ำตาลก็เอาแต่ก่นด่าแฟนเก่าว่าไม่ดีอย่างโน่นอย่างนี้ ดูเหมือนว่าการได้ทำแบบนี้จะทำให้เธอสบายใจขึ้น เอยสงบฟังเงียบๆ เธอยินดีรับฟังเรื่องเหล่านี้เสมอ ที่จริงเธอชอบฟังด้วยซ้ำ เพราะว่าเธอไม่ค่อยสมหวังจะชีวิตรักมากเท่าไร แฟนสักคนก็ยังไม่เคยมีจึงไม่รู้และไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆถึงเสียใจกันนักหนาเมื่อถึงเวลาต้องเลิกกัน
กะอีแค่ผู้ชาย หาใหม่ก็ได้นิ เธอคิด ถามว่าถ้ามีหนุ่มหล่อมาจีบเธอสักคนเธอจะไปยอมคบกับเขามั้ย เธอก็ไม่รู้จะตอบตัวเองยังไงเหมือนกัน เพราะไม่เคยมีหนุ่มหล่อที่ไหนจีบเธอเลย อย่าว่าแต่หนุ่มหล่อเลยเถอะ เอาแค่ผู้ชายมาจีบยังหายากเต็มทน แต่ว่านั้นมันเมื่อก่อน ตอนนี้เธอสวยขึ้นมากแล้ว... อย่างน้อยคนอื่นๆก็บอกเธอเช่นนั้น แต่ทุกครั้งที่ส่องกระจกเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีดักนักหรอก แม้จะยอมรับว่าดูดีกว่าก่อนบ้างก็จริง แต่ดูสิจมูกมีสิวฝ้าขึ้น ขอบตาก็คล้ำๆ เตี้ยก็เตี้ย แถมยัง...นมเล็กอีกต่างหาก
ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา ไม่คิดแล้ว! เธอสลัดภาพไม่ชวนมองของตัวเองทิ้ง และกลับมาสนใจฟังคำบ่นทอของเพื่อนใหม่ต่อ
“...เขามันเป็นพวกหน้าม่อ เจอใครก็จีบดะ เห็นคนสวยเป็นไม่ได้ ชิ! ฉันละไม่น่าไปหลงกลเขาตั้งแต่แรกเลย” น้ำตาลพูดน้ำไหลไฟดับยังไม่หยุด “เอยละเคยมีแฟนมั้ย”
เอยค้างไปนานก่อนจะรู้ว่าโดนถามโดยไม่ทันตั้งตัว
“หะ... หะ ตาลว่าอะไรนะ”
“เอยเคยมีแฟนรึเปล่า”
“ไม่มี แต่ฟังตาลเล่าแล้ว เอยคงไม่อยากมีแล้วละ ดูเหมือนผู้ชายจะน่ากลัวจริงๆ” เอยยิ้ม
“มันก็ไม่หรอก... แต่ถ้าเจออย่างนายจุนเนี่ย อย่ายุ่งเชียวละ”
“จุน” เอยทวน
“อ้าว.. ฉันยังไม่ได้บอกหรอว่าแฟนฉัน – แฟนเก่าฉัน ชื่อจุน”
“บอกแล้ว บอกแล้ว ฉันลืมเองแหละ” ความจริงเธอจำไม่ได้ว่าตาลบอกรึเปล่า คงจะบอกแล้วแต่เธอไม่สนใจฟังละมั้ง
“อื้อ ถ้าเจอแบบนายจุนเนี่ย ห่างๆไว้เลย – เฮ้ย! จริงสิ!” จู่ๆเธอก็ร้องเสียงแหลม
“อะไรหรอ” เอยถามอย่างเป็นห่วงสุขภาพจิต
“เธออยู่ห้องห้าทับสองใช่มั้ย” ตาลถามเสียงดัง เธอตาโตอย่างตกตะลึง
เอยหยักหน้าเรียบๆ
“ไอ้นายจุนก็อยู่ห้องเดียวกับเธอ!”
มันคงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากสำหรับน้ำตาล แต่มันไม่ทำให้เอยรู้สึกประหลาดใจอะไรตรงไหนเลย เขาไม่เคยรู้จักคนชื่นจุนที่เธอ ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นอย่างไร รู้ก็เท่าที่ฟังมาจากน้ำตาลเนี่ยแหละ แต่เธอเชื่อว่าคนแต่ละคนย่อมมีด้านดีอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเธอคงไม่ปรามาศชายหนุ่มคนนี้ว่าเป็นคนเลวหรอก
“จริงหรอ...”
“จริงสิ! โถ่ เอยไม่น่าเลย คนสวยอย่างเธอต้องไม่หลุดพ้นสายตานายนั่นแน่ๆ เชื่อฉันมั้ยละถ้ามันเห็นเธอละก็ มันต้องจีบเธอแน่นอน” น้ำตาลพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“แหม... ไม่หรอก ชมกันเกินไป” เอยหน้าแดง ไม่ค่อยมีใครชมว่าเธอสวยนักหรอก
“เปล่านะ ฉันเปล่าชม ฉันเตือนเธอต่างหาก... ดูๆไปเธอก็ไม่ได้สวยอะไรมากมายหรอก อาจจะไม่เข้าตานายนั่นก็ได้มั้ง” น้ำตาลพาเธอเลี้ยวซ้ายตรงสุดทางเดิน
เอยฝืนยิ้มรับคำของน้ำตาล พยายามเก็บกดอารมณ์ ‘อยากตบ’ เอาไว้
ตอนนี้เธอสองคนอยู่ในทางเดินที่มืดสลัวไร้ผู้คน ที่ปลายสุดทางเดินมีห้องๆหนึ่งเปิดไฟทิ้งไว้ เห็นกลุ่มผู้ชายหน้าห้องมุงกันเล่นอะไรสักอย่าง ส่วนที่หลังห้องมีนักเรียนชายกำลังนั่งคุยกันอย่างออกอารมณ์
“ห้องนั่น” น้ำตาลชี้ไปยังห้องๆเดียวที่เปิดไฟสว่างจ้า “ห้องห้าทับสองจ่ะ ฉันส่งเธอแค่นี้นะ ไม่อยากไปให้นายนั่นเห็นหน้า”
“จ่ะ ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ขอบคุณมากๆเลย”
น้ำตาลโบกมือลาและรีบก้าวฉับๆจากไป เอยจับสายกระเป๋าเป้ขึ้นรัดแน่นและเดินตรงไปยังห้องใหม่ของเธอ
แสงแดดช่วงสายๆบังคับให้บิ๊กต้องตื่นจากที่นอน นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลา 6.50 ยังพอมีเวลาสำหรับไปโรงเรียนให้ทัน หลังจากอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินลงบันไดบ้านเพื่อมาร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อและแม่
โต๊ะไม้แบบจีนตั้งอยู่กลางห้องอาหาร เก้าอี้ห้าตัวถูกพ่อ แม่ พี่สาว นั่งไปแล้ว เหลือว่างอยู่สองตัวสำหรับเขาและพี่สาวคนรอง เขานั่งลงข้างๆพ่อ
“...และเขาก็บอกหนูว่า ‘เธอซื้อชิ้นนั้นไม่ได้ เพราะคนอื่นจองไว้’ หนูเลยเดินออกมาเลย” พี่สาวเล่าเรื่องให้แม่ฟังอย่างมีอารมณ์
“วันนี้ไม่กินนะครับ รีบไป เดี๋ยวสาย” บิ๊กบอกกับแม่และลุกจากเก้าอี้ทั้งๆที่เพิ่งนั่งลง
“อ้าว กินก่อนสิ แค่ห้านาทีสิบนาทีมันไม่สายหรอก ดีกว่าไปหิวที่โรงเรียนนะ” ผู้เป็นแม่บอกอย่างเป็นห่วง
บิ๊กสั่นหัวและเดินไปหยิบรองเท้ามาสวม
“วันนี้ไม่ได้จริงๆครับ ผมก่อนไปนะ -- พอดีผมนัดจุนกับปุ่นไว้” พูดเสร็จก็ดันประตูบ้านออกไปข้างนอก ก้าวเอื่อยๆผ่านรั้วและเดินไปตามซอย ทางไปโรงเรียนอยู่ข้างหน้า แต่เขาจำเป็นต้องแวะบางที่ก่อน
บิ๊กเดินไปจนถึงสี่แยกและเลี้ยวขวาเข้าไปในตรอกเก่าๆ เศษขยะกองเกลื่อนกลาดเต็มพื้น กำแพงถูกพ่นด้วยสีสเปรย์แต่จางไปหมดแล้วด้วยคราบฝุ่นหนาเตอะ แมวดำตัวหนึ่งกระโจนออกจากถังขยะและมุมลงไปในรอยพุพังระหว่างตึก บิ๊กไม่ได้สนใจหรือสะดุ้งกับมันแม่แต่น้อย เขายังคงย่างก้าวทุกจังหวะอย่าแน่นิ่ง
เมื่อเดินมาจนสุดตรอกเขาก็หยุดและดูนาฬิกา ได้เวลาแล้ว
ชายในชุดสูทสีเทาดำโผล่มาจากมุมมืดๆ ร่างใหญ่หนาและน่าเกรงขามนั่นก้าวเข้ามาหา
บิ๊กยังยืนนิ่งอยู่
ชายคนนั้นหยุดลงข้างหน้าบิ๊กและเปิดกระเป๋าเอกสารออก หยิบแฟ้มสีแดงเลือดออกมาสามอัน บิ๊กรับไปโดยไม่เปิดดู
“งานนี้สำคัญมาก จะส่งผลไปถึงงานชิ้นหน้าด้วย” ชายในสูทสีดำพูด น้ำเสียงเข้มราวกับคำราม
บิ๊กไม่พูดตอบโต้ ชายคนนั้นก็เช่นกัน เขารอจนชายในชุดสูทกลับเข้าไปในมุมมืดๆและหายลับไปจากสายตา เมื่อเหลือเขาเพียงคนเดียว เขาจึงเดินออกจากตรอกซอมซ่อนี่ มีแฟ้มทั้งสามอยู่ในอ้อมแขน
เขาจำเป็นต้องเอาแฟ้มนี้ไปส่งก่อนไปโรงเรียน ยิ่งชายในสูทบอกว่างานสำคัญเขายิ่งจะพลาดไม่ได้ ถึงจะต้องยอมไปโรงเรียนสายก็ไม่เป็นไร
บิ๊กเคยสงสัยมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าชายในสูทดำคนนั้นเขาโผล่มาจากมุมมืดๆได้อย่างไร แต่การปรากฏกายแบบนี้ชวนให้นึกถึงเรื่อยเดอะแมทริกซ์ ที่พวกตัวร้ายใส่แว่นในสูทดำมักโผล่มาจากที่ต่างๆโดยไม่ทันตั้งตัว และมอบความตายให้กับคนอื่นๆ
งานที่เขาทำก็คล้ายๆกัน เพียงแต่เขาเป็นคนรับส่งสาร ส่วนหน้าที่มอบความตายจะเป็นของคนอื่น.... คนที่ได้รับแฟ้มแดงต่อจากเขา ตั้งแต่ทำงานมาเขาไม่เคยเห็นหน้าคลาตากับผู้ที่รับงานต่อจากเขา ไม่เห็นกระทั่งหน้าคนที่จ้างวานเขา ฉันมีหน้าที่ส่งสาร ไม่ใช่สอดรู้สอดเห็น เขาบอกกับตัวเอง
ส่วนใหญ่ ‘บอส’ มักจะจ้างคนแค่สามคน และเท่าที่อยู่ในวงการนี้มา สามคนนั้นไม่เคยทำงานพลาดสักครั้ง บอสจึงยกให้พวกนั้นเป็น ‘มือหนึ่งทั้งสาม’ เมื่อถึงงานสำคัญๆจะให้พวกนี้ทำเสมอ ส่วนเขาแค่นำแฟ้มแดงไปส่งตามที่ต่างๆที่นัดแนะกันไว้
‘นักฆ่าขี้ยา’ เป็นฉายาของคนๆหนึ่งในสามคนนี้ บอสบอกว่าคนนี้เป็นนักฆ่ามือฉมัง ใช้ปืนได้ทุกประเภทตั้งแต่ปืนเล็กไปจนถึงปืนใหญ่ยุคสุโขทัย เป็นคนที่สุขุมเยือกเย็น รอบคอบและอำมหิตแต่ไม่พิศวาส ลงมือทำงานอย่างเรียบง่ายแต่เรียบร้อย วิธีที่ถนัดคือการ ฆ่า บิ๊กเคยถามบอสผ่านทางจดหมายว่าทำไมนักฆ่าเก่งกาญขนาดนี้ถึงมีฉายาว่า นักฆ่าขี้ยา บอสตอบกลับมาเป็นข้อความสั้นๆว่า “ก็หน้าตามันให้”
‘จอมโจรปากหมา’ อีกหนึ่งฉายาของผู้รับใช้บอสที่ยอดเยี่ยม คนนี้ว่ากันว่าเป็นนักโจรกรรมฝีเท้าไว ถนัดนักเรื่องการย่องเบาและฉวยเล็กฉวยน้อย นอกจากนี้การปีนป่ายไต่กำแพงแสดงโลดโพนก็ไม่แพ้ใคร บอสมักเรียกใช้ในงานที่ต้องการ ‘ขโมยเงียบ’ แต่บอสบอกว่าไม่ค่อยจะถูกชะตามันเท่าไร เพราะมันปากหมาแถมยังกวนตีนเข้าขั้น แต่นอกจากข้อเสียนี้มันก็เป็นโจรอารมณ์ดีอัธยาศัยเป็นเลิศและเรียกใช้งานง่าย
‘เซียนเกย์’ สุดยอดฉายาอันฉาวโฉ่งของนักต้มตุ๋นมือทองแห่งยุคปัจจุบัน มีคดีคนถูกตุ๋นกว่าสิบคดีแล้วแต่ก็ยังตามจับมันไม่ได้ ที่มาขอฉายาสุดยอดนี้ก็เนื่องมาจาก ทุกคนที่มันลงมือล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น และที่สำคัญเหยื่อของมันถูกเล่นประตูหลังจนไม่เหลือ บอสบอกกับเขาเหมือนกันว่ากลัวๆไอ้คนนี้อยู่ ว่าถ้าสักวันมันเกิดผิดใจขึ้นมาบอสจะแย่... ประโยชน์ของมันในองกรค์คือใช้ในการแทรกซึม มันปลอมตัวเป็นโน่นเป็นนี้ สวมบทบาทได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ
ทั้งสามคนนี้ไม่เคยถูกเรียกใช้พร้อมกันมาก่อน เพราะภารกิจๆหนึ่งใช้แค่คนเดียวก็เหลือกำลัง คราวนี้บอสคงเจออะไรดีๆเข้าเป็นแน่
บิ๊กครุ่นคิดขณะเดินออกจากซอย บ้านเขาไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไรนักเดินสักสิบนาทีก็ถึง แต่วันนี้เห็นทีต้องแวะไปส่งแฟ้มแดงอีกไกลเลย พวกปุ่น นนท์ จุน จะว่ายังไงนะถ้าเขาไปสาย พวกนั้นจะเช็คชื่อแทนเขารึเปล่าหนอ...
เดินมาได้พักหนึ่งเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าลืมอะไรไป เขาเปิดดูกระเป๋าตังสำรวจเงินค่ารถ...
ทำงานเป็นแค่นายหน้ามันก็จนงี้แหละวะ เขาคิดและเลี้ยวกลับไปขอเงินแม่
บานประตูอันทำมาจากกระใสถูกดันเปิดด้วยแรงอันน้อยนิดของหญิงสาวร่างบาง หญิงชายภายในห้องมองไปยังผู้มาเยือนแปลกหน้า และหันกลับมาสบตากันเองอย่างงงๆ ใครกันเข้ามาในห้องของพวกเรา
จุนมองหน้าปุ่นและนนท์ในวินาทีที่นักเรียนใหม่เข้ามา ดูเธอตื่นๆชอบกล คงจะประหม่าละมั้งที่ถูกจ้องด้วยสายตาไม่ต้อนรับแบบนี้
“ใครวะ”
“ไม่รู้วะ”
“เพื่อนใครวะ”
“แม่ใครวะ”
เสียงซุบซิบอื้ออึงภายในห้องยิ่งทำให้เธอขวัญผวาหนักกว่าเก่า กลุ่มเด็กผู้หญิงเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของห้องด้วยการจับกลุ่มกันและมองดูเด็กใหม่รายนี้อย่างพินิจพิเคราะห์
จุนตบไหล่เพื่อนทั้งสองเป็นการขอตัว และลุกจากโต๊ะเดินตรงไปหาเธอ เขาสบตาเธอราวๆวินาทีหนึ่งได้ และนั้นทำให้เขาและเธอรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อเข้าไปใกล้ จุนทักทายด้วยรอยยิ้ม และได้รับรอยยิ้มหวาดๆกลับคืนมา
ถึงตอนนี้จุนสัมผัสได้ว่าเพื่อนทั้งห้องกำลังจดจ่ออยู่ที่เขาทั้งสอง
“เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” จุนเสนอแนะ ผลักประตูห้องและเดินนำเธอออกไป เขาเดินออกมาจนพ้นทางเดินสลัวๆ อยู่ตรงทางแยกเชื่อมอาคารพอดี ที่ตรงนี้มีคนพลุกพล่าน แต่ดีแล้ว มันจะทำให้เธอไม่รู้สึกอึดอัด
“ฉันชื่อจุน – เธอละชื่ออะไร”
“ขา...คะ... ชื่อเอยคะ” หญิงสาวตอบ สองมือจับอยู่ที่สายสะพายเป้
“เอย” จุนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“คะ” เธอหลุบตาลงเมื่อสบตากับเขา
“เพิ่งย้ายเข้ามาหรอ” จุนหลีกเลี่ยงคำว่า เด็กใหม่ เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกแปลกแยก
“ใช่ ย้ายมาวันนี้วันแรก คุณชื่อ – เธอชื่อ จุน ใช่มั้ย” เอยถาม ค่อยๆเงยมองหน้าเขา
จุนพยักหน้าและหลบตาเธอบ้าง เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นฝ่ายจ้องเธออยู่
“เอยรู้อะไรมั้ย...” จุนพูดทั้งๆที่ยังมองไปทางอื่น “เพื่อนในห้องบอกกับฉันว่า เด็กนักเรียนใหม่ดูเฉิ่มๆ ไม่น่าคบเลย โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงบอกว่าเธอเป็นยัยขี้ขลาด” จุนพยายามพูดด้วยน้ำเสียงราวกับบอกเรื่องแสนเศร้า
เธอหันมาทางเขา สีหน้าท่าทางแสดงออกถึงความกังวลใจ
“จริง...จริงหรอ” เอยถามเสียงยาน รู้เลยว่าเธอลังเลที่จะเชื่อ
จุนตะวัดตามามองเธอ “จริง ฉันไม่น่าเอาเรื่องนี้มาบอกเลย”
“ทำไมละ” คราวนี้เธอไม่หลบสายตา
“มันทำให้เอยไม่สบายใจ... ขอโทษนะ จุนเสียใจด้วย” จุนตีหน้าเศร้าอย่างสุดซึ้ง
“บ้า... ไม่เป็นไรหรอก มันผิดที่เอยเอง ขนาดคนอื่นเห็นเอยแค่แวบแรกยังว่าเอยไม่ดีเลย... เอยคงไม่ดีจริงๆ” เสียงเธอสั่นเครือ ดวงตาเธอหล่นลงมองพื้นดิน
ผู้หญิงบ้าอะไร อ่อนไหวง่ายชะมัด จุนนึกยิ้มในใจ
“เอย...” จุนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงเดียวกับตอนแรก แต่คราวนี้มีรอยยิ้มกวนๆที่มุมปาก
เอยมองเขา ดูเธองุนงงและสับสนในอะไรสักอย่าง
จุนผลิยิ้มกว้างกว่าเก่า จะกระทั่งกลายเป็นอมยิ้มชวนขัน
“นี่... อย่าบอกนะว่า..” เอยคราง “นี่จุน อย่าบอกนะ...” เธอหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ใสบริสุทธิ์ หน้าเธอแดงเป็นไข่ต้ม แดงขึ้นไปถึงหูเลยทีเดียว “โถ่... ก็นึกว่าพูดจริง มาอำกันได้”
“ใครบอกว่าอำ” จุนพูดเสียงนิ่งเรียบ ทำไม่รู้ไม่ชี้
เธอหุบหัวเราะในวินาทีนั้นเลย
คราวนี้จุนเป็นฝ่ายระเบิดหัวเราะแทน
“คนอะไรเชื่อคนง่ายชะมัด ฮา ฮา จุนอำเอยเล่นๆหรอกหน่า แหมใครจะไปเกลียดเอยได้ลง ก็เอยออกจา...” จุนพูดค้างไว้เท่านี้ เขาเพิ่งได้มองเธอจริงๆจังเป็นครั้งแรก เธอก็ดูโอเคดี ตัวเธอเล็กบาง สูงแค่ไหล่เขา ผมสีน้ำตาลรวบเป็นจุกไว้หลังหัว ผิวขาวธรรมชาติโดยไม่มีสารปรุงแต่ง และท่าทีบุคลิกแบบสาวร่าเริงชวนให้น่ามองไปอีกแบบ
“ออกจา อะไร” เอยต้องการคำตอบ
จุนกลั้นยิ้ม และส่ายหัว เขาก้มดูนาฬิกา
“เดี๋ยวต้องไปเข้าแถวหน้าตึกแล้ว เอากระเป๋าเข้าไปเก็บก่อนสิ เดี๋ยวจุนจะช่วยคุยกับคนในห้องให้” จุนบอกและหันหลังกลับทันที ได้ยินเสียงฝีเท้าเธอเดินตามมาไม่ห่าง
ห้านาทีต่อมาทุกคนในห้องก็รู้จักกับเอยอย่างเป็นทางการ จุนช่วยแนะนำเธอให้ทุกคนรู้จักดีละคนๆจนครบหมดในห้อง ดูแล้วเธอก็เป็นคนอัธยาศัยค่อนข้างดี เปิดใจรับเพื่อนใหม่ๆได้ไวดีเหมือนกัน นอกจากนี้เธอยังหัวเราะและยิ้มง่ายอีกต่างหาก
แต่เธอไม่ผ่านการทดสอบของเขา... เท่าที่คุยกันเมื่อครู่ เขาไม่พบอะไรในตัวเธอที่กระตุ้นให้เขาอยากรู้จักสักนิด เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆไม่ได้วิเศษวิโสน่าค้นหาตรงไหน คุณสมบัติของเธอไม่เพียงพอที่เขาจะมอง...
“แล้วเอยอยากนั่งตรงไหนดี” จุนถามขณะวุ่นวายอยู่กับเพื่อนที่รุมเร้าเข้ามาไม่ขาดสาย
เธอไล่สายตามองโต๊ะเก้าอี้ภายในห้อง
“ไม่รู้สิ ปกติเอยนั่งหน้าห้อง”
“หน้าห้องเต็มแล้ว” เพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งบอก
“งั้นกลางๆก็ได้”
“ตรงกลางกลุ่มพวกเราก็นั่งกันเต็มแล้วเหมือนกันจ่ะ ขอโทษนะ” เพื่อนหญิงบอก
“เอาแบบนี้ เอยมานั่งจุนก็ได้ ที่ข้างๆจุนว่างอยู่พอดี แต่ว่ามันอยู่หลังห้องนะ” จุนเพยิดหน้าไปยังโต๊ะริมหน้าต่างของเขา
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
“ส่งกระเป๋ามาสิ” จุนบอก “จะเอาไปเก็บให้” เขาเสริมเมื่อเห็นสีหน้าพิศวงของเธอ
เธอปลดสายสะพายและยื่นมันส่งให้เขาพร้อมพยักหน้าขอบคุณ
“มึงจะจีบหรอวะ” ไอ้นนท์ถามเขาขณะอยู่ในแถวเคารพธงชาติ
“จีบใคร” จุนมองธงชาติถูกชักขึ้นฟ้า สายลมพัดธงผ้าใบปลิวสไวงามสง่า..
“เอยไง”
“เปล่า ไม่จีบ ไม่โดนใจหว่ะ” เขาตอบตรงๆ ชำเลืองหันไปมองว่าเธอได้ยินรึเปล่า
นักเรียนชายหญิงต้องมาเข้าแถวในทุกๆเช้าของแต่ละวัน นักเรียนตั้งแต่ม.1 ถึง ม.6 จะมาเรียงรายสลับแถวชายหญิงอยู่ในลานกว้างแห่งนี้ ด้านหน้าของทุกคนคือเสาธงและเวทีดำเนินพิธีการ แถวนักเรียนหญิงอยู่ติดกับจุนและนนท์นี้เอง แต่เอยอยู่ด้านหน้าๆส่วนพวกเขาอยู่หลังๆ เธอคงไม่ได้ยินที่เขาพูด
นนท์หันมามองหน้าเขาและส่ายหัวไม่เข้าใจ
“แล้วมึงไปทำดีกับเขาทำไม”
“ก็แค่อยากทำ หรือมึงจะปล่อยให้เธอยืนแข็งทื่อแบบนั้น” จุนทำท่าล้อเลียนตอนที่เอยเข้ามาในห้องครั้งแรก
นนท์หัวเราะในลำคอ
“งั้นทำไมต้องให้เธอมานั่งข้างๆด้วย”
“ก็เอยเขาไม่มีเพื่อน ให้ไปนั่งกับคนอื่นเธอก็เกร็งตายสิ”
นนท์เลิกคิ้ว ส่งสายตาให้จุนมองไปที่หัวแถวของนักเรียนหญิง – เอยกำลังคุยป้อกับเพื่อนสาวอย่างออกรส เสียงหัวเราะคิกคักดังแข่งกับเสียงเพลงชาติได้เลยทีเดียว อาจารย์คนหนึ่งเดินมาใกล้และจุ๊ปากให้สาวๆเงียบ – พวกเธอเงียบ ดูเอยมีความสุขดีจัง
“มึงชอบเอยยอมรับเหอะ” นนท์ว่า
จุนดึงตากลับมามองเพื่อน
“กูมีแฟนแล้ว และกูรักแฟนกูมากด้วย กูไม่ยอมเสียเวลาไปมองคนอื่นหรอก”
นนท์หัวเราะ “ก็เห็นมึงพูดแบบนี้ทุกที”
จุนชักรำคาญที่จะเถียงกับมันแล้ว ปกตินนท์ไม่ใช่คนดื้อหรือรั้น แต่วันนี้มันมาแปลก ขยั้นขยอจะให้เขาชอบเอยให้ได้ เขาไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะน่าชอบตรงไหน... จุนมองไปทางเธออีกครั้ง เธอมีความสุขอยู่กับเพื่อนสาว เธอเหลือบมาเห็นพอดี เอยยิ้มกว้างให้ทั้งๆที่ยังหัวเราะกับเพื่อนๆอยู่ จุนมองเธอต่ออย่างเย็นชา เขาไม่ยิ้มตอบ และถอนสายตาจากเธอ
ความคิดเห็น