ตอนที่ 12 : Cola
นกสีฟ้า
AMURO x OC
------------------------------------------------------
Cola
My x tastes like Pepsi Cola
My eyes are wide like cherry pies
I got sweet taste for men who’re older
It’s always been so it’s no surprise
“คลิปที่อัดมีอะไรสำคัญหรือไงครับถึงต้องไปขโมยคืนมา ?”
“แหะ… ก็มีนะคะพี่ชาย” ไอรีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อตามประสาเด็กๆ ก่อนที่เธอจะพูดความจริงกึ่งเท็จออกไป “แต่หนูไม่ได้ขโมยมันมานะคะ หนูก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่หาคลิปไม่เจอ ไม่ว่าหายังไงก็ไม่เจอเลยคิดว่าคุณน่าจะเห็นแล้วซะอีก…”
มันคือเรื่องจริงที่เธอไม่ใช่คนขโมยคลิปนั้นไปและจริงว่าคลิปนั้นมีอะไรสำคัญ แต่เรื่องที่ไม่จริงคือเธอรู้อยู่แก่ใจว่าคลิปนั้นมันอยู่ที่เอฟบีไอทำให้เธอไม่ได้ขโมยมันมา ซ้ำยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องขโมยคืนมาตราบเท่าที่ข้อมูลในคลิปมันจะไม่ไปส่งถึงสันติบาล
ซึ่งตรงจุดนี้ไอรีนไม่สามารถบอกให้เรย์รับรู้ได้เพราะเกรงว่าคนที่เกลียดเอฟบีไอคนนี้จะทำบางสิ่งซึ่งเหนือกว่าความคาดหมาย
ทว่าแผนการจับรัมของเธอนั้นสำคัญมากและต้องการใช้คนที่มีฝีมือค่อนข้างมากแต่ไม่เน้นเยอะแบบที่พวกตำรวจชอบทำดังนั้นจึงไม่อาจให้เรย์กันไม่ให้เอฟบีไอมาเกี่ยวข้องได้
เธอต้องการได้คนของรัฐบาลหลายๆ ประเทศมาช่วย
“…” ดวงตาสีฟ้าซีดของเรย์มองสบกับเธอราวกับจะบอกให้พูดความจริงออกมาให้หมด
ไอรีนมองสบตาตอบไม่คิดเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาอีก เพราะรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการลองใจเท่านั้น ในที่สุดชายหนุ่มผมบลอนก็ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินหันหลังให้เธอโดยไม่เอ่ยวาจาใด ทำเอาเด็กหญิงใจหายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้จนเผลอวิ่งไปจับมือเขาเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวก่อน!”
เรย์หันมา ท่าทางแปลกใจ
ไม่ใช่แค่เขาที่ชะงักนิ่งไป เพราะเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรไปไอรีนก็พลันหยุดชะงักไปเช่นกัน เธอเผลอไป นั่นเพราะเรย์ไม่เคยหันหลังให้ไอรีน แต่นั่นไม่ใช่กับคริสตี้
คริสตี้ที่เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นใคร…
มือที่จับอีกฝ่ายไว้ถูกปล่อยออก ไอรีนนำมันมาจับกันไว้ทางด้านหลังของตัวเองเพื่อซ่อนความประหม่าและเสียใจ สมองยังคงครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่ทำให้ถูกโกรธ จริงอยู่ว่าถ้าคนขโมยคลิปนั่นมาเป็นเธอจริง เธอผิดและมันน่าโกรธ ทว่าเรย์ที่แอบอัดคลิปตัวเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าหากเธอไหวตัวทันจะต้องมาเอาไปแน่นอน ดังนั้นเขาไม่มีทางแสดงอาการหัวเสียออกมาได้ขนาดนี้แน่ๆ
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูแค่สงสัยว่ามีอะไรมากกว่าคลิปหายหรือเปล่า ?” ไอรีนเอ่ยอธิบายออกมาคล้ายคำถามเมื่อพบว่าตั้งแต่ที่วิ่งเข้าไปจับมือของเรย์ไว้ตนก็ถูกมองด้วยแววตาประหลาดใจ “เพราะร้อนใจมากไปหน่อย กับเห็นท่าทางของคุณไม่ดีก็เลยเผลอวิ่งไปจับมือเอาไว้ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
สันติบาลหนุ่มถอนหายใจก่อนย่อตัวลง ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อครู่นี้ใช้อารมณ์นำเหตุผลมากไป สองมือยกขึ้นบีบบ่าของเด็กหญิงเบาๆ “ขอโทษเหมือนกัน จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่เพราะคลิปจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ไอรีนสั่นศีรษะ “แล้ว…”
“ใช่ มีบางอย่างเกิดขึ้น…”
“…”
“ลูกน้องของฉันคนที่มีคลิป โดนฆ่าตาย”
เรย์กล่าว ก่อนจะหลับตาลงคล้ายกำลังหวนคิดไปถึงข้อมูลที่ได้รับเมื่อกลางดึก “เขาโดนอะไรสักอย่างที่คล้ายกับเส้นเอ็นรัดคอ คาดว่าคนร้ายจะเข้ามาจากทางด้านหลังในจังหวะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่ที่ริมระเบียง ห้องเองก็ถูกรื้อค้น ลูกชายวัยสิบสองและภรรยาเองก็ถูกฆ่าตายเช่นกัน เหมือนว่าแรกเริ่มฆาตกรคงอยากฆ่าเขาแค่คนเดียวแต่ภรรยาและลูกชายที่ควรจะไปอยู่บ้านแม่ดันกลับมากะทันหันเพราะรถไฟฟ้าเลื่อนขบวนจนพวกเขาตกรถ ต้องกลับมาบ้าน คนร้ายเลยฆ่าเธอด้วย ฝ่ายภรรยาถูกตีด้วยของแข็งที่ท้ายทอยก่อนโยนลงมาจากตึกให้รถทับส่วนลูกชายโดนหักคอ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที”
“อะไรนะ…”
“ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ไปถึงผู้ต้องสงสัย ทั้งรอยนิ้วมือ ร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน รวมทั้งอาวุธสังหาร คิดว่าคนร้ายคงเก็บไปด้วย”
“นี่มันแปลกเกินไป ฆาตกรเป็นคนใจเย็น ต้องใจเย็นมากแน่ๆ…”
ไอรีนพึมพำ ปลายนิ้วชี้แตะริมฝีปากครุ่นคิด จากคำบอกเล่านั้นบ่งบอกถึงความโหดร้ายของฆาตกรได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่เพียงความโหดร้ายเท่านั้น การจะจัดการกับภรรยาและลูกชายของเหยื่อที่ควรจะกลับมาโดยไม่ทันตั้งตัวได้โดยไม่ทันให้อีกฝ่ายเปล่งเสียงร้องหรือดิ้นรนขัดขืนบ่งบอกถึงความใจเย็นและมีสติรอบคอบ
“และหักคอ… หมายถึงใช้มือหักคอโดยตรงน่ะเหรอ ?”
“ใช่ หักคอ แต่เธอรู้หรือเปล่าว่าคอของคนเราน่ะ ต่อให้เป็นคอของเด็กเล็กก็ใช่ว่าคิดจะหักก็หักได้ง่ายๆ ฉันสันนิษฐานว่าคนร้ายเป็นคนที่ถูกฝึกมาอย่างดี และฉลาดพอที่จะใส่ถุงมือไว้ด้วย”
ตรงจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ไอรีนสงสัยเช่นกัน
“มันไม่ใช่คดีฆาตกรรมที่ซับซ้อนอย่างห้องปิดตายหรือแสร้งทำให้เหมือนเหยื่อฆ่าตัวตาย แต่มันเป็นการเข้าไปและบุกฆ่ากันตรงๆ ตำรวจที่ตอนนี้ไปถึงบอกว่าข้าวของถูกรื้อค้นจนเละคนร้ายคงตามหาบางสิ่ง”
ไอรีนเบิกตากว้าง มีสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจเหลือเกินนั่นก็คือเป็นไปไม่ได้เลยที่เอฟบีไอจะฆ่าตำรวจญี่ปุ่นเพื่อขโมยคลิปนั้นไป แต่ที่ไม่มั่นใจก็คือคนของเธอเองต่างหาก
เธอมองสบตากับเรย์
“คุณจะไปที่เกิดเหตุหรือเปล่า ?”
“เสี่ยงหน่อยแต่คงต้องไป ตอนนี้ให้คาซามิกันคนอื่นๆ ออกไปแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไอรีนรีบคว้ามือเขาไว้ ดวงตาฉายแววแน่วแน่
“หนูอยากไปด้วย”
“…”
“และขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ…”
แม้จะเสี่ยงที่ทำให้เขาเชื่อมโยงตัวตนของคริสตี้ไปสู่ไอรีนได้ ทว่าความจริงจังและความเจ็บใจที่ลูกน้องของตัวเองตายซึ่งสะท้อนผ่านแววตาของดีตคนรักนั้นทำให้หญิงสาวในคราบเด็กหญิงรู้สึกแย่
“หนูอยากโทรถามคนของหนูค่ะ…”
ความจริงแล้วนอกจากการที่เธอไม่ยอมใช้โทรศัพท์เรย์ติดต่อกลับไปหาเพื่อนแต่เลือกใช้โทรศัพท์สาธารณะส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ต้องการให้พวกนั้นรู้ว่าเธออยู่กับเขา
อาชีพของเธอแม้จะดำรงอยู่ภายใต้กฎหมายแต่ทว่าการฝึกกับแตกต่างออกไป มันโหดร้ายกว่าและสามารถที่จะทำทุกอย่างได้เพื่อความสงบสุขของประเทศ แน่นอนว่าที่กล่าวมานั้นมันรวมถึงการลอบสังหารผู้คนด้วย
“เธอสงสัยคนของเธอ ?”
“ไม่ใช่คนของหนูค่ะ ถ้าเป็นคนในทีมหนูพวกเขาจะไม่ฆ่าใครถ้าไม่ได้รับคำสั่ง และที่สำคัญนี่คือญี่ปุ่น จะอย่างไรเราก็ไว้หน้าตำรวจญี่ปุ่นซึ่งเป็นเจ้าถิ่นมากกว่าอยู่แล้ว ที่หนูสงสัยเป็นคนของอีกทีม พวกเราทำงานกันเป็นทีม” ไอรีนอธิบายก่อนจะเอ่ยเสริม “ไว้ระหว่างเดินทางหนูจะเล่านิทานเกี่ยวกับความโหดร้ายของการฝึกเด็กๆ ขึ้นมาเป็นนักฆ่าให้ฟังนะคะ”
“ในประเทศของพวกเรานั้นรัฐบาลได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษ โดยหน้าที่หลักของพวกเขาก็คือต่อต้านการก่อการร้ายหรือบุกชิงตัวประกัน มันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เป็นองค์กรระดับต้นๆ ที่มีชื่อเสียงแต่ใครๆก็รู้ดีว่าตัวตนของคนในองค์กรเป็นความลับ ถึงขนาดมีกฎหมายที่ใช้ปกป้องตัวตนของพวกเขา” เมื่อเข้ามานั่งในรถได้ไอรีนก็เริ่มเล่าความเป็นมาของตัวเองออกมาช้าๆ ดวงตาสีอเมทิสต์หลุบลงต่ำคล้ายกำลังตกอยู่ในความทรงจำ
เรย์เหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนให้ความใส่ใจกับท้องถนนตรงหน้าต่อ แต่ใจนั้นเริ่มคิดตามเป็นที่เรียบร้อย
องค์กรที่ห้ามเปิดเผยตัวตน ถูกกฎหมาย ติดอันดับโลก…
“หน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลในประเทศ แต่ทว่ามันไม่ใช่มีองค์กรภายใต้กฎหมายเท่านั้นที่เติบโต แต่องค์กรที่ผิดกฎหมายเองก็เริ่มเฟื่องฟูเช่นกัน แรกเริ่มผู้นำของหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษนั้นคิดว่าสามารถใช้ให้คนที่พวกเขาฝึกจัดการได้ แต่ทว่าหลายปีหลังจากนั้นเขาก็รับรู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอาศัยเพียงกฎหมายอย่างเดียวในการจัดการกับมัน ดังนั้นพวกเขาเลยคิดสร้างหน่วยพิเศษขึ้นมาอีกหน่วยหนึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ทำงานนอกกฎหมาย”
เรย์ชะงัก เหลือบมองใบหน้างดงามที่ยังคงไร้ซึ่งความรู้สึกใด ทว่าแววตากลับเปล่งประกายเย็นชา
“พวกเขาเรียกมันว่า นกสีฟ้า ใช่… มันคือหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกำจัดพวกอีกาโดยเฉพาะอย่างไรล่ะ นกสีฟ้านั้นหมายถึง ความหวัง ความสงบสุขและสันติ มันคือความหมายว่าคนในทีมนี้จะนำพาทั้งหมดนั้นกลับมาให้แก่ประชาชนและประเทศของเรา” ไอรีนเว้นวรรค หญิงสาวในคราบเด็กหญิงเหม่อมองออกไปข้างกาย ยามเช้าวันนี้บรรยากาศค่อนข้างสดใสต่างจากสภาพอารมณ์ของเธอที่กำลังหดหู่ลิบลับ
“ชื่อเรียกฟังดูดีจังเลยนะ” เรย์ว่า
ชายหนุ่มครุ่นคิด เขาคือ ซีโร่ (Zero) ส่วนเด็กคนนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งใน นกสีฟ้า (Blue bird) ทั้งที่เป้าหมายคือสิ่งเดียวกันแต่ความหมายชื่อกลับต่างกันไม่น้อย
“อื้อ เพราะพวกเราหวังว่าทุกอย่างมันจะดีตามชื่อไงล่ะ” ไอรีนพยักหน้า เธอเองก็ค่อนข้างชอบชื่อนี้มากพอสมควร “หน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษของเราจะถูกสอนให้ต่อสู้ ถูกสอนให้ใช้อาวุธ ถูกสอนให้รู้จักการปลดอาวุธของศัตรู ถูกสอนให้โจมตีศัตรูทั้งทางน้ำและทางอากาศ ถูกสอนให้สะกดรอยและเข้าแทรกซึม ถูกสอนให้มีทักษะการเจรจาต่อรอง การกู้ระเบิด รวมไปถึงการฝึกความอดทนต่อการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่เหมือนหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษบางประเทศที่จะโดดเด่นในสภาพแวดล้อมเป็นอย่างๆ เราต้องทำได้ทุกอย่าง เป็นได้ทุกสิ่ง ทั้งนักฆ่า สายลับหรือแม้แต่จู่โจม และคนที่ทำคะแนนได้ท็อปสิบจะโดนดึงมาสอบเข้าเป็นนกสีฟ้าอีกที”
“งั้นเธอ…”
“หนูเป็นกรณีพิเศษ ถูกทาบทามจากคนที่อยู่ในนกสีฟ้านั้นโดยตรงตั้งแต่เด็ก เพราะว่าตอนที่ครอบครัวถูกรัมฆ่าคนที่เข้ามาช่วยก็คือหัวหน้านกสีฟ้า เขาถามหนูที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปว่าอยากจะแก้แค้นหรือเปล่า” ไอรีนยิ้ม “ใครจะอยากพลาดโอกาสกันล่ะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนี่นา ดังนั้นหนูเลยถูกฝึกตั้งแต่เล็กเพื่อสอบเข้าหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษให้ได้คะแนนท็อปจนถูกดึงเข้านกสีฟ้า”
ศีรษะเล็กโครงไปมา “แต่จริงๆ ที่เกริ่นให้ฟังเพราะอยากเล่าว่าทำไมถึงสงสัยว่าการตายของลูกน้องคุณจะเกี่ยวกับนกสีฟ้า”
“อ่า”
“นกสีฟ้าถูกแบ่งออกเป็นสามทีม เอ บี และซี ทีมเอนั้นจบชีวิตลงไปหมดแล้วเนื่องจากปฏิบัติภารกิจผิดพลาด ส่วนบีและซีตอนนี้ต่างฝ่ายต่างแยกกันทำงาน หนูคิดว่าการที่หนูซึ่งเป็นทีมบีมาญี่ปุ่นแบบนี้อาจไปเตะตาคนทีมซี และใช่…” น้ำเสียงของไอรีนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“หนูสงสัยว่าพวกนั้นคงเห็นลูกน้องของคุณอัดคลิปวีดีโอของหนูไว้เลยไปเอาคืนพร้อมปิดปาก ว่ากันตามตรงแม้ชื่อของพวกเราจะดูดีแค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้ถูกสอนให้ใช้วิธีขาวสะอาดสมชื่อเหมือนหน่วยปฏิบัติการพิเศษปกติหรอก”
“งั้นความสำคัญสูงสุดของภารกิจ ?”
“ก็คือการเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ถึงทีมบีและเอจะมีวิธีการทำงานตรงกันคือให้เกียรติเจ้าของประเทศและหย่อนยานเรื่องความลับได้หากต้องการความร่วมมือจากองค์กรสำคัญๆ ทว่าทีมซีนั้นเข้มงวดกว่านัก เรียกได้ว่าต่อให้ต้องฆ่าใคร เสียสละไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครว่า แต่ขอให้ภารกิจสำเร็จและไม่ส่งผลต่อประเทศของเราก็พอ”
“…” เรย์พูดไม่ออก
นี่ไม่คล้ายกับการสร้างปีศาจขึ้นมาเพื่อกำจัดปีศาจหรือไง ?
ครั้นมองตรงมายังไอรีน ใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กหญิงนั้นเหมือนจะดูน่ากลัวขึ้นมานิดหน่อย เรย์สงสัยขึ้นมา ณ วินาทีนั้นเองว่าหากเด็กคนนี้อยู่ในร่างจริง วันนั้นที่ตรอกปัวโรต์ต่อให้เขาไม่ออมมือให้เพราะเห็นว่าเจ้าตัวบาดเจ็บ แต่เขาจะยังมีชีวิตหรือเปล่า ?
“เหรอ แล้วไง มาหาได้ไหม อื้อ…” เด็กหญิงที่กำลังคุยโทรศัพท์หันมามองเขา ก่อนจะเอ่ยตอบปลายสาย “นี่เบอร์คนที่ฉันอยู่ด้วย ไม่ต้องโทรกลับมา และฉันจะไม่ใช้เบอร์นี้ไปอีก นายอยู่แถวไหน… โอเค เดี๋ยวส่งที่อยู่ไปให้ คงต้องเร่งวันส่งหนังสือให้มาเร็วขึ้นหน่อยและขอโทรศัพท์ด้วย”
“ไม่ใช่ ไม่ เราจะร่วมมือกับตำรวจความมั่นคง.. ไม่ ไม่เป็นไร ก็นี่ประเทศญี่ปุ่นนี่นา” น้ำเสียงของคริสตี้ฉายแววเคร่งเครียด ก่อนที่เด็กหญิงจะหันกลับมา ชั่ววินาทีนั้นดวงตาสีม่วงราวกับตาปลอมและดวงตาสีซีดของเรย์มองสบกันชั่วคราว
ชายหนุ่มเดาว่าทางนั้นเองคงไม่พอใจที่เด็กหญิงให้ตำรวจความมั่นคงเข้าไปร่วมในแผนการจับกุมและขัดขวางรัมแน่ๆ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เฉกเช่นที่เขาไม่ชอบอากาอิ นอกจากเหตุผลว่าอีกฝ่ายฆ่าเพื่อนของตัวเองแล้วยังมีเหตุผลหลักๆ คือเจ้าตัวเป็นเอฟบีไป
และไม่ควรอยู่ในญี่ปุ่น แต่กลับเข้ามาขัดขวางงานของเจ้าหน้าที่ ที่นี่จนวุ่นวายไปหมด
ต่อให้มีเหตุผลว่าต้องจับตัวผู้ก่อการร้ายก็เถอะ
แต่นี่มันไม่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว
“เราต้องให้เกียรติเจ้าหน้าที่ในประเทศเขา ทุกคนมีระบบการทำงานที่ต่างกันออกไป”
เพราะฉะนั้นในตอนที่ได้ยินคริสตี้เอ่ยคำนี้ออกมาในอกของชายหนุ่มจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแวบหนึ่ง ริมฝีปากคลี่แย้มรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้ก็เถอะ
เด็กหญิงหันมา “เป็นบ้าเหรอคะ”
และประโยคนั้นพูดกับเขาแน่ๆ
เรย์อยากโกรธ แต่กลับพบว่าโกรธไม่ลงเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเด็กที่เอาแต่ปากร้าย ทำตัวร้ายกาจขึ้นสีแดงจางเหมือนกำลังเขิน ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดงึมงำกับคนปลายสายต่อ
“เปล่า ด่าคนขับรถไม่ใช่นาย…”
รอไม่นาน เสียงพูดคุยโทรศัพท์ก็เงียบลงไป เมื่อเหลือบดูก็เห็นคริสตี้กำลังลบประวัติการโทรออกด้วยท่าทีคล่องแคล่ว
“แล้วเธอจะไปเอาของวันไหน ?”
“หลังจากดูสภาพห้องเพื่อนของคุณค่ะ” เด็กหญิงกลับมาเอ่ยกล่าวกับเขาด้วยสรรพนามแทนตัวน่ารักน่าชังต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง “เราเลื่อนเวลา คนส่งหนังสืออยู่แถวนี้พอดี”
เรย์ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าหนังสือไม่ได้หมายความถึงหนังสือจริงๆ และดูจากท่าทางของคริสตี้ มันเห็นได้ชัดว่าคู่สนทนาของอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เด็กหญิงเองก็ระมัดระวังตัวไม่น้อยแต่ดูแล้วจะเปิดใจมากกว่า
ความจริงมันก็มีสิ่งหนึ่งที่แปลก
ทำไมเธอถึงเลือกไว้ใจเขา ทั้งๆ ที่สภาพของเธอและแววตาที่ราวกับสัตว์จนตรอกที่เจอกันในครั้งแรกมันไม่น่าทำให้เด็กหญิงเป็นคนที่มีนิสัยไว้ใจคนง่ายขนาดนี้
“ฉันต้องไปส่งมั้ย ?”
“ไม่ต้อง แต่คุณไปรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ก็ดีนะ”
“โอเค”
ชายหนุ่มขับรถไปจนถึงที่หมาย เด็กหญิงส่งโทรศัพท์คืนให้แก่เขา ก่อนดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะ เรย์เองก็ทำแบบเดียวกัน เหตุผลของเขานั้นแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงให้มีคนมาจดจำใบหน้าได้ ส่วนของเด็กหญิงนั้นคงเพราะกลัวเจอคนจากอีกทีม
“คุณฟุรุยะ” คาซามิตรงเข้ามาทักก่อนเหลือบมองคริสตี้แวบหนึ่ง
เด็กหญิงขยับตัวหลบสายตานั้นโดยอาศัยเรย์เป็นเกราะกำบัง ทำเอาผู้ช่วยตำรวจความมั่นคงหนุ่มถึงกับถอนหายใจให้แก่ความขี้ระแวงนี้ ส่วนเรย์นั้นลอบขมวดคิ้ว
จริงๆ แหละ…
คริสตี้ดูไว้ใจเขามากกว่าคนอื่น
“ทางนี้ครับคุณฟุรุยะ”
“อ่า” ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเข้าไปดูสภาพห้องเกิดเหตุ แน่นอนว่าระหว่างทางคาซามิทำตัวที่ดีสมกับเป็นผู้ช่วยของเรย์ เขาอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ได้ค่อนข้างชัดเจน แถมยังระบุข้อสันนิษฐานของตำรวจเที่เข้ามาตรวจสอบอาไว้อย่างละเอียดอีกต่างหาก
โดยไม่รอให้ใครกล่าวอะไร คริสตี้เดินไปคว้าถุงมือยางในกล่องของจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานออกมาสวมแทบจะทันที เขาได้ยินเด็กหญิงจิ้ปากคล้ายไม่พอใจที่ขนาดของมันใหญ่กว่ามือตัวเอง
“เอ่อ เดี๋ยว-”
“ไม่ต้องห้าม”
เรย์ยกมือขึ้นกันผู้ช่วยตัวเองเอาไว้ ดวงตาจ้องมองไปยังร่างเล็กๆ ของคริสตีที่เริ่มแตะจับนู่นนี่อย่างคล่องแคล่วราวกับเคยทำมันมาเป็นร้อยๆ ครั้ง “ฉันอยากดูว่าเธอจะทำอะไรได้บ้างน่ะ”
สันติบาลหนุ่มเองก็คว้าถุงมือมาสวมใส่บ้าง เขาหยิบจับดูสิ่งของที่ตนเองสงสัยโดยระมัดระวัง
สภาพห้องรก ถูกรื้อ แต่ไม่มีของหาย…
มันคือการรื้อค้นเพื่อบังหน้า
ความคิดแลนไปมาในหัว พร้อมๆ กันนั้นน้ำเสียงหวานเพียงหนึ่งเดียวในห้องก็ดังขึ้นมา มันราบเรียบและไม่ได้ดูโอ้อวด ราวกับเด็กหญิงแค่พูดข้อมูลที่ตัวเองรับรู้มาให้แก่เขาฟังเฉยๆ เท่านั้น
“คนร้ายเป็นผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ อย่างน้อยก็ 180 ขึ้นไป เขาถูกฝึกมาอย่างดี เป้าหมายไม่ใช่การขโมยของแต่เป็นการฆ่าคน เจตนาฆ่าคน การรื้อค้นห้องเป็นเพียงการกระทำฉากหน้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเข้ามาภายในได้ด้วยกุญแจสำรองเพราะลูกบิดหน้าประตูห้องไม่มีร่องรอยการงัดแงะ ซ้ำยังมีเวลามากพอที่จะกดล็อคห้องจนภรรยาและลูกชายที่ตามมาที่หลังต้องไขกุญแจเข้ามาด้วยตัวเอง”
“เจตนาฆ่างั้นเหรอ ?” คาซามิทวน น้ำเสียงสงสัย
เรย์เองก็สงสัย ไม่ใช่เพราะว่าไม่เชื่อ เขาเองตั้งแต่ที่เข้ามาในห้องนี้ก็คิดเหมือนกันว่าเจตนาของผู้บุกรุกคือฆ่าทว่ากลับไม่รู้รายละเอียดอะไรไปมากกว่านั้น ดังนั้นจึงสงสัยว่าคริสตี้เอารูปลักษณ์ของคนร้ายมากจากไหน
ไอรีนทรุดตัวลงข้างๆ ศพลูกชายของเจ้าของห้องราวกับว่าไม่สนใจสีหน้าสงสัยและน้ำเสียงคล้ายกับรอคำอธิบายของสองหนุ่ม มันเป็นแบบนี้เสมอหากเธอได้เริ่มทำงาน แม้หญิงสาวในคราบเด็กหญิงจะไม่ได้ลงมายังสถานที่เกิดเหตุบ่อยๆ เพราะหน้าที่หลักของเธอคือการยับั้งการจราจลที่จะเกิดในประเทศ
ทว่าสมัยที่เรียนอาชญาวิทยานั้นเคยได้เป็นผู้ช่วยพิเศษของตำรวจอยู่บ้าง
ข้างๆ ศพของเขามีกระเป๋าของแม่ซึ่งมีกุญแจบ้าน ดวงตาจ้องมองใบหน้าของศพ กวาดไล่ลงมายังคอเสื้อ สภาพท่าทาง ไม่นานก็ลุกขึ้นเต็มความสูง วิ่งไปยังคอมพิวเตอร์ซึ่งหน้าจอเปิดเอาไว้อยู่
“เขาตรงเข้ามา ฆ่าลูกน้องของคุณขณะที่กำลังดูข้อมูลงานในคอมพิวเตอร์แล้วเสร้งทำเป็นรื้อค้นข้าวของ เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรหายในความเข้าใจของคนอื่นแต่ทว่าในความเข้าใจของคนที่รู้ว่าเขาข้องเกี่ยวกับงานลับจะต้องคิดไปเองอยู่แล้วว่าคนร้ายขโมยของไป ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้พุ่งเป้าไปยังคดีที่ผู้ตายยุ่งเกี่ยว”
“งั้นแปลว่าคนที่ฆ่าเขาต้องเป็นคนที่สนิทกับเขาประมาณหนึ่ง ?”
“ก็ใช่ เก่งนี่คุณคาซามิ” ไอรีนพยักหน้า ก่อนเริ่มอธิบายต่อ “หลังฆ่าผู้ตายไปคนร้ายไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อยที่ภรรยาของผู้ตายและลูกชายกลับมา เขาซ่อนตัว ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะคอม แต่เพราะตัวใหญ่เกินไป จึงต้องเอาของใต้โต๊ะคอมออกนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้างๆ โต๊ะถึงมีแฟ้มเอกสารมากมาย ข้างๆโต๊ะไม่ใช่บนโต๊ะ”
ปลายนิ้วของเด็กหญิงชี้ไปยังกองเอกสารมากมาย ที่วางอยู่ข้างโต๊ะแต่ใต้โต๊ะกลับว่างเปล่า เมื่อสองตำรวจหนุ่มมองไปรอบห้องเขาพบว่าโต๊ะทั้งหลายในห้องนี้ข้างใต้ของมันถูกวางกล่องหรือแฟ้มงานมากมายเอาไว้ราวกับว่าไม่อยากเสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์
เรื่องนี้พวกเขายังไม่ทันสังเกตแต่เธอกลับ…
“ผมเคยได้ยินมานะครับ” คาซามิขยับเข้ามาใกล้เรย์ก่อนอธิบาย “มีอาชีพหนึ่งที่แปลกๆ พวกเขาจะอธิบายลักษณะของคนร้าย บอกสภาพจิตใจ เหตุผลในการก่อคดีออกมาได้อย่างคร่าวๆ เรียกได้ว่ารู้เกี่ยวกับตัวคนร้ายทุกอย่างเพียงแค่มองจากที่เกิดเหตุแต่ไม่รู้ชื่อของคนร้าย”
“หือ ?”
“คนพวกนี้ถูกเรียกว่านักจิตวิเคราะห์ครับ” ชายหนุ่มอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเรย์มีท่าทีสนใจ “พวกคนที่ชอบจะชี้ให้เห็นว่าอดีตมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน แต่อนาคตก็มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน ดังนั้นผลของการกระทำในอดีตจะส่งผลต่ออนาคต การกระทำทุกอย่างจะมีแรงจูงใจเสมอ เพียงแต่ในกรณีของคริสตี้เธอออกจะแปลกไปนิดหน่อย เพราะการวิเคราะห์จิตของเธอเหมือนการสืบสวน”
เรย์คลับคล้ายคลับคลาว่าจะคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ขึ้นมาบ้าง เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องของประเทศจีน ที่ญี่ปุ่นไม่ได้มีเรื่องพวกนี้มาให้เห็นได้ง่ายๆ เท่าไหร่นัก
“นายจะบอกว่าเธอเป็นนักวิเคราะห์จิตที่ถนัดวิเคราะห์สภาพจิตใจของคนร้ายงั้นสินะ ? เหมือนกับศาสตรจารย์ชื่อดังในจีนตอนนี้ ที่เป็นที่เลื่องลือไปว่าแค่พาเขาไปที่เกิดเหตุเขาก็จะบรรยายคนร้ายออกมาได้เลยแม้ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จัก รวมถึงอ่านแฟ้มประวัติ ?”
“ครับ ผมคิดว่าคริสตี้น่าจะมาจากจีน”
“อืม..” เรย์ครุ่นคิด แม้จะเห็นด้วยกับผู้ช่วยตนเอง ทว่ามันยังมีบางสิ่งที่เขารู้สึกแปลกประหลาด
“แต่ฉันจำได้ว่าศาสตราจารย์คนนั้นภายหลังถูกทั่วโลกประกาศจับในฐานะของอาชญากรตัวท็อป จะบอกว่าคริสตี้เป็นลูกศิษย์ของพวกตัวร้ายอย่างนั้นเหรอ…”
อาชญากรตีกันกับอาชญากรด้วยกันเอง ?
ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงนั้น ไม่ได้สนใจสักนิด เธอได้ยินอยู่แล้วทว่าไม่สนใจพวกเขาคาดเดาถูกแต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด ดีเสียอีกที่พวกเขาหลงทิศหลงทางในการหาตัวเธอ
ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ติดต่อกับเอฟบีไอหรือรู้จักมิยาโนะ ชิโฮะ
ก็ไม่มีทางเชื่อมโยงคริสตี้กับไอรีนได้
หญิงสาวในร่างเด็กจึงยังคงกล่าวคำพูดร่ายยาวต่อไป “คนร้ายอาศัยจังหวะตอนที่ภรรยาเข้ามาก้มดูผู้ตายฟาดของใส่หลังคอเธอและโยนเธอลงไป จงใจให้คนเห็น ใช่ มันคือความจงใจ และการแสดงออกถึงความแค้น คนร้ายต้องสนิทกับผู้ตายและมีความแค้นล้ำลึก”
“บีบคออย่างนั้นเหรอ…”
“ใช่ค่ะ คนร้ายบีบคอเด็กจวบจนเขาเริ่มทนไม่ไหว ก็เปลี่ยนมาหักคอให้ตายในทีเดียว เป็นการจงใจทรมานในขั้นต้น…” ดวงตาของไอรีนฉายแววจริงจังน่าขนลุก ริมฝีปากเอ่ยพึมพำ
“พวกคุณมีศัตรูตัวร้ายอยู่ ชัดเจนเลยว่านี่มันคือการแก้แค้น”
รสชาติของฉันเหมือนแปปซี่โคล่า
ดวงตาของฉันโตเหมือนพายเชอร์รี่
สำหรับผู้ชายที่แก่กว่าฉันมีรสชาติหวานนะ
ไม่ต้องตกใจอะไร มันเป็นอย่างนี้เสมอ
TBC.
------------------------------------------------------
โปรดอย่าถามว่าทำไมแปลไทยตอนท้ายไม่ตรงกับตอนต้น...
เพลงมันแรงค่ะ เลยต้องเบาๆ หน่อย ไม่งั้นได้ติดเรทแหงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เก่งมากน้องง