ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *ห้วงสนธยา ณ.สุดขอบจักรวาล*

    ลำดับตอนที่ #1 : 1. ลึกสู่สนธยา

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 51


            เมื่อเธอจากไปความรู้สึกบางอย่างก็พลันเกิดขึ้นในจิตใจทันที  มันไม่ใช่ความเสียใจ มันเป็นเสมือนประหนึ่งว่าแสงสว่างบางอย่างได้แทงและฝังลึกลงไปในห้วงแห่งความคิด  ทะลุเนื้อหนังแห่งจิตวิญญาน  แต่ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกนั้นผมเคยสัมผัสมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งซึ่งผมก็ยังไม่อาจจะเข้าใจได้

                      
                      ในห้วงความคิดนั้น
    ผมได้มองเห็นลำธารที่สงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันหนาทึบ  ภายใต้บรรยากาศที่สงบและวังเวง แสงสลั่วส่องลงมากระทบกับผืนน้ำสะท้อนไปที่ลำต้นและใบของเหล่าพฤกษาที่ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่โดยรอบ   ช่วยให้มองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบๆขึ้นมาได้   จากบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดครื้ม  หมอกลอยระเรี่ยอยู่บนผิวน้ำและผืนดินทั่วบริเวณ    แล้วมันก็ค่อยๆเลือนหายไปจากจิตใจของผม  
       
                        สถานที่ที่ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดเพียงชั่วขณะนั้นคือที่ใด  หรือว่ามันเคยอยู่ในความทรงจำของผมและได้ลืมมันไปแล้ว  แต่ผมคงไม่ลืมอะไรง่ายๆเช่นนั้นหรอก    เพราะในชีวิตยังไม่เคยไปในสถานที่ๆคล้ายเคียงกับที่นั้นมาก่อนเลย   มันอาจเป็นเพียงจินตนาการจากหนังหรือนิยายที่จดจำเอามาเพ้อเจ้อจนจินตนาการถึงสถานที่แห่งนั้นขึ้นมาเองก็เป็นได้   

                        แต่ทว่ามันมีความรู้สึกประหนึ่งเหมือนผมสามารถหายใจรับเอาความชุ่มชื้นจากที่แห่งนั้นได้ด้วย  
                       
                           "
    ใช่"    
                      
                        ผมยังสัมผัสได้ถึงความหนาวยะเยือกที่มากระทบร่างกายจนตัวสั่นระริก  ความเงียบวังเวงที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงไหวพริ้วของใบไม้ ความละเอียดละมุนของแสงที่สาดส่องลงมากระทบกับสายหมอกก่อนที่จะทะลุลงไปสู่ผิวน้ำ 

                        
    ถ้าหากเป็นเพียงจินตนาการที่ผมสร้างขึ้น ก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเสมือนจริงได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ยังไม่เคยสัมผัสกับสถานที่นั้นมาก่อน   เราย่อมจินตนาการถึงกองไฟและกลิ่นฉุนจากกลุ่มควันอันคละคลุ้งได้เพราะเราเคยสัมผัสพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อนแล้ว

                     
                         ผมพยายามเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา พอแค่นี้ก่อนละกันสำหรับการขบคิดทั้งหลายอันรังแต่จะทำให้หมกหมุ่นและสับสน   เสียงพัดลมจากท้ายเตียงดังลอดโสตประสาทมาเป็นเสียงแรก   แสงไฟนิออนบนหัวเตียงคืออีกอย่างที่ช่วยดึงสติกลับคืนมา   

                       เมื่อครู่ราวกับว่าภายในห้องนี้มืดสนิทอยู่ทั่งๆที่โคมไฟบนหัวเตียงนั้นสว่างอยู่ตลอดเวลา  ผมคงเหนื่อยล้าจากการเดินทางมากไปจนทำให้เผลอไร้สติและเพ้อเจ้อไป  
                       
                        โอ้   
    ใช่ก่อนหน้าที่ความคิดเพ้อเจ้อดังกล่าวจะมาปรากฏ  ผมกำลังคิดถึงเธออยู่ 

                         แฟน...ไม่รู้ว่าเหมาะหรือเปล่าถ้าผมจะบังอาจเรียกเธออย่างนั้น  เพราะบางทีเธออาจคงไม่ได้คิดกับผมเช่นนั้นก็ได้  งั้นเอาเป็นว่าเธอคือเพื่อนที่แสนดีคนหนึ่งละกัน   

                 “
    ดาว”  นั่นคือชื่อของเธอ เธอคือดาวดวงใหญ่ภายในห้วง จิตวาล อันวิจิตรงดงามของผม   ผิวสีแทนของเธอเปรียบเสมือนความมืดมิดของจักรวาลที่ตัดกับแสงสว่างอันเจิดจ้าของกลุ่มดาวฤกษ์ทั้งมวล   ทางช้างเผือกที่ดูละเอียดตา   เปล่งประกายแสงระยิบระยับดุจดั่งผมอันยาวสลวยของเธอ   ปากที่ชุ่มแดงระเรื่อคือเนบิวล่าใหม่ที่ยังคงเปล่งประกายแสงสีแดงอร่ามตาเจิดจ้าไปทั่วทั่งจักรวาล 

                         
    ดวงตา”  ผมชอบจ้องมองดวงตาของเธอเพราะดวงตาที่สุกใสของเธอคู่นั้น เปรียบประดุจหน้าต่างแห่งห้วงจักรวาล  ผมมองเห็นดวงดาวนับหมื่นนับแสนในดวงตาคู่นั้น   

                          รู้สึกใจหายขึ้นมาทันใดเมื่อตระหนักได้ว่า  จากนี้ไปคงจะไม่มีดวงตาคู่นั้นให้ผมคอยจ้องมองกระจกเงาแห่งความหวังซึ่งคอยสะท้อนความงดงามจากดวงดาวและจักรวาลแห่งจิตใจสู่ผมอีก

                     
                           ดั่งตัวตนได้ร่วงดิ่งตกลงสู่หุบเหวอันมืดมิดและเวิ้งว้าง  แว่วเสียงกรีดร้องจากที่ใดสักแห่งดังสะท้อนก้องอยู่ทั่วทั้งหุบเหว  เสียงคำรามของปีศาจจากก้นหุบเหวดังสวนแทรกขึ้นมา กลิ่นสาบ ความอับ ความเน่าหลากหลายแห่งความสะอิดสะเอียนลอยมาตามเสียงนั้นขึ้นมา    

                            และทันทีที่ร่างผมตกกระทบ ณ ก้นหุบเหวอันมืดมิดเบื้องล่าง เสียง
    ฮือ กรูกันเข้ามาของเหล่าปีศาจซากเดนต่างๆเพื่อมารุมทึ้งแทะกินร่างผมดังระงมอยู่   ผมพยายามชูมือขึ้นเพื่อไขว้คว้าที่พึ่งบางอย่าง 

                            แต่... 
    มันไม่มีอะไรเลยที่จะให้ผมคว้าไว้ได้  จึงได้แต่หวีดร้องอย่างสุดเสียงจนเลือดได้ไหลซึมและผุดขึ้นมาจากหลอดลมพร้อมกับเสียงหวีดร้องอันสิ้นหวัง  

                           เลือดเจิ่งนองโทรมกาย  เสียงฉีกแทะร่างผมของเหล่าปีศาจดังอยู่อย่างน่าสยดสยอง  

                            และในทันใดนั้น 
     ผมเริ่มเอะใจและแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานใดๆเลยสักนิด   แต่ความหวาดกลัวนั่นซิ   ที่พุ่งพรวดทะลุอารมณ์ต่างๆภายในจิตใจ

                            
                             เมื่อทุกอย่างดูริบหรี่หมดหวังเต็มทีแล้วบางอย่างได้ช่วยทำให้ผมมีสติขึ้นมาอีกครั้ง   เสียงเพลงซึ่งแว่วลงมาจากเบื้องบนมันค่อยๆดังขึ้นจนชัดเจนเหมือนผู้ขับขานนั้นมากระซิบอยู่ที่ข้างหู เป็นเสียงอันวังเวงของผู้หญิง  เมื่อฟังแล้วก็คล้ายต้องมนต์สะกดบางอย่าง  
                      
                             เสียงแว่วจากธรรมชาติที่ดังคล้อยตามมาเมื่อผสานรวมกันแล้วช่างไพเราะดูน่าลึกลับ แลวิเวกวิกลจนจับใจ

                      
                               
    อยู่กับเราแล้วเจ้าไม่ต้องวิตก  อยู่กับธรรมชาติไม่มีสิ่งใดสอดแทรกกับความจริงใจในเรา

                                  ความวิตกของเจ้าก่อกำเนิดความกลัว  ปีศาจทั้งปวงเจ้าคือเจ้าของ  หากวันใดที่ความรุ่งโรจน์

                                 นั้นอาจพุ่งและกระจายสู่ดวงตาเจ้า  สู่ดวงตาเจ้า  เจ้าจะสูญเสียจิตวิญญาน  เจ้าจะสูญเสียความรู้สึก

                                 แต่เจ้าอยู่กับเราแล้วเจ้าจึงไม่ต้องกลัว  ความบริสุทธิ์แห่งเราคือ  ธรรมชาติที่ดำรงค์อยู่โดดเดี่ยวเจ้าจะ

                                 เข้าใจโดยแท้จริง  เจ้าจะเข้าสู่อ้อมกอดเราโดยอบอุ่น  และในเมื่อใดที่หมดเวลาแห่งเจ้าแล้ว

                                 เจ้าจะไม่มีผู้ใด  แต่เจ้ายังมีเราเจ้าจึงไม่ต้องกลัว  ไม่ต้อง....ง   กลัว....ว    ใด....ใด.....ฮืม....ม.....ม  

                     
                             ไม่รู้ตัวว่าน้ำตาได้ไหลคลอเอ่อท้นตั้งแต่เมื่อไหร่  ตอนนี้รอบตัวผมไม่ได้เลวร้ายอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับมาจากบทเพลงอันเย็นยะเยือก  

                               จากผู้ใด 
    ผู้ใด    ผมไม่รู้   รู้แต่เพียงว่าแสงสีเหลืองอันอบอุ่นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้จะสะท้อนเรื่องราวที่อบอุ่นและมีความสุขต่างๆในอดีตมาปรากฏต่อเบื้องหน้าผม  น้ำตายิ่งเอ่อล้นออกมาอีกยกใหญ่  เมื่อมันได้สะท้อนภาพสมัยเด็กออกมา   

                               มันเป็นภาพซึ่งผมกำลังนอนหนุนตักย่าอยู่อย่างอบอุ่น ในขณะที่ท่านกำลังเอาผ้าซึ่งผมยังจำกลิ่นอับของหมากพลูที่ติดอยู่นั้นได้ดีคอยปัดยุงและแมลงต่างๆให้อยู่อย่างห่วงใยเอื้ออาทร   

                               เสียงบทแหล่ธรรมะอันน่าเลื่อมใสที่ดังแว่วมาจากวิทยุรุ่นเก่าแม้ว่าจะจำยี้ห้อของมันมิได้แล้วแต่บทแหล่ที่แสนลึกซึ้งนั้นซิผมยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี

                       
                    “แม่ไก่เอ่ย...ย  มีลูกเจ็ดตัว...ว บทแหล่ซึ่งกล่าวถึงชะตากรรมอันโศกรันทดของแม่ไก่กับลูกน้อยอีกเจ็ดตัวนั้นช่างสะเทือนใจผมมาก   

                                 ตอนนี้ราวกับว่าผมได้นอนหนุนตักย่าอยู่จริงๆมันช่างรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากน้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาจนผ้าถุงสีส้มของท่านเปียกชุ่ม  ผมจำดวงตาคู่นั้นของท่านได้ดวงตาซึ่งแม้จะฟ่าฟางและเหี่ยวย่นแต่มันก็ยังสะท้อนความห่วงใยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม  สายหยาดน้ำตาดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลท่านอยู่ตรงนี้แล้วเบื้องหน้าผม  ผมอยากจะได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณของท่านบ้าง ย่าคอยดูแลในยามผมไม่มีผู้ใดแต่ท่านยังคอยอยู่เคียงข้าง 

                                 ก่อนที่จะรู้สึกและรับรู้คุณค่านั้นท่านก็พลันจากผมไปเสียก่อน ย่าจากไปชั่วนิรันดรก่อนที่ผมจะเข้าใจต่อความรักที่ท่านมอบให้ ท่านจากไปก่อนที่ผมจะกล้าเอ่ยปาก กล่าวบางอย่างออกมา

     
                     
     เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงค่อยๆดันตัวขึ้นจากตักของย่า และบรรจงกราบไปที่แทบเท้าของท่าน  เงยขึ้นพร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมาโดยไม่คลางแคลงและเขินอายอีกต่อไป

                                                                            
                       “ผมรักย่าครับ    

                     
                                  หยาดน้ำตาไหลท้นร่วงหยดลงอย่างมิขาดสาย   ดวงตาของท่านก็เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตาจากความซาบซึ่งเช่นกัน หยาดน้ำตาของท่านค่อยๆไหลลงผ่านร่องแก้มมาปริ่มอยู่ปลายคาง  ก่อนที่จะหยดร่วงโรยสู่เบื้องล่างผมรีบยื่นมือไปรองรับหยดน้ำตาหยดนั้นไว้ ค่อยๆก้มมองดูมันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างออกมา เรื่องราวต่างๆของย่าตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน  ผมมองเห็นสายตาอันบริสุทธิ์และแสนห่วงใยของเด็กคนนั้นยังคงเหมือนเดิม ยังเป็นสายตาของย่าซึ่งคอยเป็นแรงพลักดันและกำลังใจให้ผมเสมอมา

                     
                                  หลายสิ่งหลายอย่างจากเราไปในความเป็นจริง  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่กับเราเสมอในความทรงจำ

    ในจินตนาการที่โลดแล่น ผมยังจำทุกเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอและผ่านมาได้ทั้งเรื่องราวที่เลวร้ายและเรื่องราวที่แสนสุข

                     
                                เมื่อเรามองกลับหลังย้อนไปในอดีต เราจะพบว่ามันช่างรวดเร็วเหลือเกินสำหรับชีวิตที่ผ่านมา

                                แต่เมื่อเรามองออกไปเบื้องหน้าสู่อนาคต ซึ่งเรากลับพบว่ามันช่างเนิ่นนานเหลือเกินสำหรับชีวิตที่  เหลืออยู่

                     
                               ความทรงจำที่ดีๆเมื่อผสานกับความมุ่งหวังที่ดีแล้ว มันก็จะก่อเกิดตัวตนแห่งการสร้างสรรค์จินตนาการที่สร้างสรรค์ ผมกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดความหวังใด   
              
                               น้ำตาหยดน้อยในอุ้งมือค่อยๆแตกสลายไปจนกลายเป็นเพียงความเปียกชื้นบนฝ่ามือ

                     
                     “ย่าก็รักเจ้าเช่นกัน และภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้ดูแลเจ้า  หนุ่มน้อย  ย่าจะไม่ยอมให้ห้วงแห่งความเลวร้ายใดๆมาทำร้ายเจ้าได้   ย่ารักเจ้า.........

                     
                               ผมเงยขึ้นเพื่อหวังจะมองไปยังต้นเสียงนั้น  สองมือยังคงอุ้มน้ำตาที่ตอนนี้ได้สลายและหยดลงสู่เบื้องล่างไปแล้ว นั่นคือ   

                              น้ำตาของย่า   

                              ภาพเบื้องหน้าปรากฏเพียงสายตาของท่านที่กำลังจะลับหายไปท่ามกลางหมอกควันสีเหลืองจ้า จนในที่สุดมันก็กลืนกินแววตาอันอบอุ่นคู่นั้นให้ลับหายไป   

                             แม้ภาพเบื้องหน้าจะว่างเปล่า แต่ในความทรงจำยังคงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์   ผมยังคงนิ่งเหม่อมองไป ณ จุดนั่นที่ๆสายตาคู่นั้นได้ลับหายไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×