คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1. ลึกสู่สนธยา
เมื่อเธอจากไปความรู้สึกบางอย่างก็พลันเกิดขึ้นในจิตใจทันที มันไม่ใช่ความเสียใจ มันเป็นเสมือนประหนึ่งว่าแสงสว่างบางอย่างได้แทงและฝังลึกลงไปในห้วงแห่งความคิด ทะลุเนื้อหนังแห่งจิตวิญญาน แต่ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกนั้นผมเคยสัมผัสมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งซึ่งผมก็ยังไม่อาจจะเข้าใจได้
ในห้วงความคิดนั้นผมได้มองเห็นลำธารที่สงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันหนาทึบ ภายใต้บรรยากาศที่สงบและวังเวง แสงสลั่วส่องลงมากระทบกับผืนน้ำสะท้อนไปที่ลำต้นและใบของเหล่าพฤกษาที่ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่โดยรอบ ช่วยให้มองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบๆขึ้นมาได้ จากบรรยากาศที่ค่อนข้างมืดครื้ม หมอกลอยระเรี่ยอยู่บนผิวน้ำและผืนดินทั่วบริเวณ แล้วมันก็ค่อยๆเลือนหายไปจากจิตใจของผม
สถานที่ที่ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดเพียงชั่วขณะนั้นคือที่ใด หรือว่ามันเคยอยู่ในความทรงจำของผมและได้ลืมมันไปแล้ว แต่ผมคงไม่ลืมอะไรง่ายๆเช่นนั้นหรอก เพราะในชีวิตยังไม่เคยไปในสถานที่ๆคล้ายเคียงกับที่นั้นมาก่อนเลย มันอาจเป็นเพียงจินตนาการจากหนังหรือนิยายที่จดจำเอามาเพ้อเจ้อจนจินตนาการถึงสถานที่แห่งนั้นขึ้นมาเองก็เป็นได้
แต่ทว่ามันมีความรู้สึกประหนึ่งเหมือนผมสามารถหายใจรับเอาความชุ่มชื้นจากที่แห่งนั้นได้ด้วย
"ใช่"
ผมยังสัมผัสได้ถึงความหนาวยะเยือกที่มากระทบร่างกายจนตัวสั่นระริก ความเงียบวังเวงที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงไหวพริ้วของใบไม้ ความละเอียดละมุนของแสงที่สาดส่องลงมากระทบกับสายหมอกก่อนที่จะทะลุลงไปสู่ผิวน้ำ
ถ้าหากเป็นเพียงจินตนาการที่ผมสร้างขึ้น ก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเสมือนจริงได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ยังไม่เคยสัมผัสกับสถานที่นั้นมาก่อน เราย่อมจินตนาการถึงกองไฟและกลิ่นฉุนจากกลุ่มควันอันคละคลุ้งได้เพราะเราเคยสัมผัสพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อนแล้ว
ผมพยายามเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา พอแค่นี้ก่อนละกันสำหรับการขบคิดทั้งหลายอันรังแต่จะทำให้หมกหมุ่นและสับสน เสียงพัดลมจากท้ายเตียงดังลอดโสตประสาทมาเป็นเสียงแรก แสงไฟนิออนบนหัวเตียงคืออีกอย่างที่ช่วยดึงสติกลับคืนมา
เมื่อครู่ราวกับว่าภายในห้องนี้มืดสนิทอยู่ทั่งๆที่โคมไฟบนหัวเตียงนั้นสว่างอยู่ตลอดเวลา ผมคงเหนื่อยล้าจากการเดินทางมากไปจนทำให้เผลอไร้สติและเพ้อเจ้อไป
โอ้ ใช่ก่อนหน้าที่ความคิดเพ้อเจ้อดังกล่าวจะมาปรากฏ ผมกำลังคิดถึงเธออยู่
แฟน...ไม่รู้ว่าเหมาะหรือเปล่าถ้าผมจะบังอาจเรียกเธออย่างนั้น เพราะบางทีเธออาจคงไม่ได้คิดกับผมเช่นนั้นก็ได้ งั้นเอาเป็นว่าเธอคือเพื่อนที่แสนดีคนหนึ่งละกัน
“ดาว” นั่นคือชื่อของเธอ เธอคือดาวดวงใหญ่ภายในห้วง จิตวาล อันวิจิตรงดงามของผม ผิวสีแทนของเธอเปรียบเสมือนความมืดมิดของจักรวาลที่ตัดกับแสงสว่างอันเจิดจ้าของกลุ่มดาวฤกษ์ทั้งมวล ทางช้างเผือกที่ดูละเอียดตา เปล่งประกายแสงระยิบระยับดุจดั่งผมอันยาวสลวยของเธอ ปากที่ชุ่มแดงระเรื่อคือเนบิวล่าใหม่ที่ยังคงเปล่งประกายแสงสีแดงอร่ามตาเจิดจ้าไปทั่วทั่งจักรวาล
“ดวงตา” ผมชอบจ้องมองดวงตาของเธอเพราะดวงตาที่สุกใสของเธอคู่นั้น เปรียบประดุจหน้าต่างแห่งห้วงจักรวาล ผมมองเห็นดวงดาวนับหมื่นนับแสนในดวงตาคู่นั้น
รู้สึกใจหายขึ้นมาทันใดเมื่อตระหนักได้ว่า จากนี้ไปคงจะไม่มีดวงตาคู่นั้นให้ผมคอยจ้องมองกระจกเงาแห่งความหวังซึ่งคอยสะท้อนความงดงามจากดวงดาวและจักรวาลแห่งจิตใจสู่ผมอีก
ดั่งตัวตนได้ร่วงดิ่งตกลงสู่หุบเหวอันมืดมิดและเวิ้งว้าง แว่วเสียงกรีดร้องจากที่ใดสักแห่งดังสะท้อนก้องอยู่ทั่วทั้งหุบเหว เสียงคำรามของปีศาจจากก้นหุบเหวดังสวนแทรกขึ้นมา กลิ่นสาบ ความอับ ความเน่าหลากหลายแห่งความสะอิดสะเอียนลอยมาตามเสียงนั้นขึ้นมา
และทันทีที่ร่างผมตกกระทบ ณ ก้นหุบเหวอันมืดมิดเบื้องล่าง เสียง “ฮือ” กรูกันเข้ามาของเหล่าปีศาจซากเดนต่างๆเพื่อมารุมทึ้งแทะกินร่างผมดังระงมอยู่ ผมพยายามชูมือขึ้นเพื่อไขว้คว้าที่พึ่งบางอย่าง
แต่... มันไม่มีอะไรเลยที่จะให้ผมคว้าไว้ได้ จึงได้แต่หวีดร้องอย่างสุดเสียงจนเลือดได้ไหลซึมและผุดขึ้นมาจากหลอดลมพร้อมกับเสียงหวีดร้องอันสิ้นหวัง
เลือดเจิ่งนองโทรมกาย เสียงฉีกแทะร่างผมของเหล่าปีศาจดังอยู่อย่างน่าสยดสยอง
และในทันใดนั้น ผมเริ่มเอะใจและแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหรือทรมานใดๆเลยสักนิด แต่ความหวาดกลัวนั่นซิ ที่พุ่งพรวดทะลุอารมณ์ต่างๆภายในจิตใจ
เมื่อทุกอย่างดูริบหรี่หมดหวังเต็มทีแล้วบางอย่างได้ช่วยทำให้ผมมีสติขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเพลงซึ่งแว่วลงมาจากเบื้องบนมันค่อยๆดังขึ้นจนชัดเจนเหมือนผู้ขับขานนั้นมากระซิบอยู่ที่ข้างหู เป็นเสียงอันวังเวงของผู้หญิง เมื่อฟังแล้วก็คล้ายต้องมนต์สะกดบางอย่าง
เสียงแว่วจากธรรมชาติที่ดังคล้อยตามมาเมื่อผสานรวมกันแล้วช่างไพเราะดูน่าลึกลับ แลวิเวกวิกลจนจับใจ
“อยู่กับเราแล้วเจ้าไม่ต้องวิตก อยู่กับธรรมชาติไม่มีสิ่งใดสอดแทรกกับความจริงใจในเรา
ความวิตกของเจ้าก่อกำเนิดความกลัว ปีศาจทั้งปวงเจ้าคือเจ้าของ หากวันใดที่ความรุ่งโรจน์
นั้นอาจพุ่งและกระจายสู่ดวงตาเจ้า สู่ดวงตาเจ้า เจ้าจะสูญเสียจิตวิญญาน เจ้าจะสูญเสียความรู้สึก
แต่เจ้าอยู่กับเราแล้วเจ้าจึงไม่ต้องกลัว ความบริสุทธิ์แห่งเราคือ ธรรมชาติที่ดำรงค์อยู่โดดเดี่ยวเจ้าจะ
เข้าใจโดยแท้จริง เจ้าจะเข้าสู่อ้อมกอดเราโดยอบอุ่น และในเมื่อใดที่หมดเวลาแห่งเจ้าแล้ว
เจ้าจะไม่มีผู้ใด แต่เจ้ายังมีเราเจ้าจึงไม่ต้องกลัว ไม่ต้อง....ง กลัว....ว ใด....ใด.....ฮืม....ม.....ม”
ไม่รู้ตัวว่าน้ำตาได้ไหลคลอเอ่อท้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้รอบตัวผมไม่ได้เลวร้ายอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับมาจากบทเพลงอันเย็นยะเยือก
จากผู้ใด ผู้ใด ผมไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าแสงสีเหลืองอันอบอุ่นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้จะสะท้อนเรื่องราวที่อบอุ่นและมีความสุขต่างๆในอดีตมาปรากฏต่อเบื้องหน้าผม น้ำตายิ่งเอ่อล้นออกมาอีกยกใหญ่ เมื่อมันได้สะท้อนภาพสมัยเด็กออกมา
มันเป็นภาพซึ่งผมกำลังนอนหนุนตักย่าอยู่อย่างอบอุ่น ในขณะที่ท่านกำลังเอาผ้าซึ่งผมยังจำกลิ่นอับของหมากพลูที่ติดอยู่นั้นได้ดีคอยปัดยุงและแมลงต่างๆให้อยู่อย่างห่วงใยเอื้ออาทร
เสียงบทแหล่ธรรมะอันน่าเลื่อมใสที่ดังแว่วมาจากวิทยุรุ่นเก่าแม้ว่าจะจำยี้ห้อของมันมิได้แล้วแต่บทแหล่ที่แสนลึกซึ้งนั้นซิผมยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี
“แม่ไก่เอ่ย...ย มีลูกเจ็ดตัว...ว” บทแหล่ซึ่งกล่าวถึงชะตากรรมอันโศกรันทดของแม่ไก่กับลูกน้อยอีกเจ็ดตัวนั้นช่างสะเทือนใจผมมาก
ตอนนี้ราวกับว่าผมได้นอนหนุนตักย่าอยู่จริงๆมันช่างรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากน้ำตาไหลเอ่อล้นออกมาจนผ้าถุงสีส้มของท่านเปียกชุ่ม ผมจำดวงตาคู่นั้นของท่านได้ดวงตาซึ่งแม้จะฟ่าฟางและเหี่ยวย่นแต่มันก็ยังสะท้อนความห่วงใยออกมาอย่างเต็มเปี่ยม สายหยาดน้ำตาดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลท่านอยู่ตรงนี้แล้วเบื้องหน้าผม ผมอยากจะได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณของท่านบ้าง ย่าคอยดูแลในยามผมไม่มีผู้ใดแต่ท่านยังคอยอยู่เคียงข้าง
ก่อนที่จะรู้สึกและรับรู้คุณค่านั้นท่านก็พลันจากผมไปเสียก่อน ย่าจากไปชั่วนิรันดรก่อนที่ผมจะเข้าใจต่อความรักที่ท่านมอบให้ ท่านจากไปก่อนที่ผมจะกล้าเอ่ยปาก กล่าวบางอย่างออกมา
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงค่อยๆดันตัวขึ้นจากตักของย่า และบรรจงกราบไปที่แทบเท้าของท่าน เงยขึ้นพร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมาโดยไม่คลางแคลงและเขินอายอีกต่อไป
“ผมรักย่าครับ”
หยาดน้ำตาไหลท้นร่วงหยดลงอย่างมิขาดสาย ดวงตาของท่านก็เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตาจากความซาบซึ่งเช่นกัน หยาดน้ำตาของท่านค่อยๆไหลลงผ่านร่องแก้มมาปริ่มอยู่ปลายคาง ก่อนที่จะหยดร่วงโรยสู่เบื้องล่างผมรีบยื่นมือไปรองรับหยดน้ำตาหยดนั้นไว้ ค่อยๆก้มมองดูมันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างออกมา เรื่องราวต่างๆของย่าตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ผมมองเห็นสายตาอันบริสุทธิ์และแสนห่วงใยของเด็กคนนั้นยังคงเหมือนเดิม ยังเป็นสายตาของย่าซึ่งคอยเป็นแรงพลักดันและกำลังใจให้ผมเสมอมา
หลายสิ่งหลายอย่างจากเราไปในความเป็นจริง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่กับเราเสมอในความทรงจำ
ในจินตนาการที่โลดแล่น ผมยังจำทุกเรื่องราวที่ได้ประสบพบเจอและผ่านมาได้ทั้งเรื่องราวที่เลวร้ายและเรื่องราวที่แสนสุข
เมื่อเรามองกลับหลังย้อนไปในอดีต เราจะพบว่ามันช่างรวดเร็วเหลือเกินสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
แต่เมื่อเรามองออกไปเบื้องหน้าสู่อนาคต ซึ่งเรากลับพบว่ามันช่างเนิ่นนานเหลือเกินสำหรับชีวิตที่ เหลืออยู่
ความทรงจำที่ดีๆเมื่อผสานกับความมุ่งหวังที่ดีแล้ว มันก็จะก่อเกิดตัวตนแห่งการสร้างสรรค์จินตนาการที่สร้างสรรค์ ผมกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดความหวังใด
น้ำตาหยดน้อยในอุ้งมือค่อยๆแตกสลายไปจนกลายเป็นเพียงความเปียกชื้นบนฝ่ามือ
“ย่าก็รักเจ้าเช่นกัน และภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้ดูแลเจ้า หนุ่มน้อย ย่าจะไม่ยอมให้ห้วงแห่งความเลวร้ายใดๆมาทำร้ายเจ้าได้ ย่ารักเจ้า.........”
ผมเงยขึ้นเพื่อหวังจะมองไปยังต้นเสียงนั้น สองมือยังคงอุ้มน้ำตาที่ตอนนี้ได้สลายและหยดลงสู่เบื้องล่างไปแล้ว นั่นคือ
น้ำตาของย่า
ภาพเบื้องหน้าปรากฏเพียงสายตาของท่านที่กำลังจะลับหายไปท่ามกลางหมอกควันสีเหลืองจ้า จนในที่สุดมันก็กลืนกินแววตาอันอบอุ่นคู่นั้นให้ลับหายไป
แม้ภาพเบื้องหน้าจะว่างเปล่า แต่ในความทรงจำยังคงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ผมยังคงนิ่งเหม่อมองไป ณ จุดนั่นที่ๆสายตาคู่นั้นได้ลับหายไป
ความคิดเห็น