ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *ห้วงสนธยา ณ.สุดขอบจักรวาล*

    ลำดับตอนที่ #2 : 2. มิตรภาพแห่งเทอโร

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 52


                     เสียงนกร้องเจื่อยแจ่วอย่างไพเราะและตื่นตัวดังแว่วมา ทำให้ผมรู้สึกตัว ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงนอนยังคงรู้สึกงัวเงียและมึนงง กับทุกอย่างอยู่ คราบน้ำตาเกาะอยู่รอบดวงตา 

                      นั่งตั้งสติสักพัก และได้ลมจากเจ้าพัดลมปลายเตียงเป่ามาปะทะที่ใบหน้าวูบวาบ จึงทำให้ผมรับรู้ได้ว่านี่คือความจริง ห้วงแห่งมนุษย์ที่ต้องประสบพบเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่มิอาจล่วงรู้และกำหนดได้   

                       ภาพของหลายๆเรื่องราวค่อยๆปรากฏขึ้นในความคิดมันดูสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้น 

                  "
    ย่า" 

                        ใช่ 
    เราฝันถึงย่า 

                        ผมรู้สึกมีความสุขมากจากความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนทำให้ลืมความเสียใจไปได้โดยสิ้นเชิง แต่ยังไงผมก็ยังคงคิดถึงเธอผู้นั้นอยู่เช่นเดิมภาพเธอยังคงสถิตย์อยู่ในห้วงลึกอันฝังแน่นในจิตใจ
     
                  "ดาว" ผมยังคิดถึงเธอเสมอ

                    
                         
    เอาหล่ะ 
      ยังมีภารกิจมากมายที่รอเราอยู่ ถอดชุดนอนคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วตรงรี่ไปที่ห้องน้ำทันที เปิดก๊อกน้ำในอ่างล้างหน้า เสียง ซู่...........ของน้ำยิ่งตอกย่ำให้รู้สึกถึงความซ่ำซากจำเจของทุกๆวันที่ผ่านมาเสมือนดั่งหนังม้วนเก่าที่ถูกเปิดขึ้นซ่ำแล้วซ่ำเล่า

                     
                         ผมก้มแปรงฟันในขณะที่ความคิดต่างๆในจิตใจโลดแล่นจนดูสับสนและวุ่นวาย  การแปรงฟันแทบจะไม่ต้องใช้สมาธิเลยสักนิดอาศัยเพียงความเคยชินที่ต้องทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเท่านั้นเอง    

                         แสงสีส้มนวลตาซึ่งส่องสว่างอยู่ในห้องน้ำนี้ช่างคล้ายบรรยากาศในความฝันเมื่อคืนเสียจริง  

                         เมื่อเงยขึ้นมองกระจกจึงเห็นหน้าของตนที่ดูยุ่งเหยิงปากเปรอะฟูมไปด้วยฟองของยาสีฟัน   ไอ้เจ้านี่อ่ะผมเจอะกะมันอยู่ทุกวัน แหละ

                     
                         ในฉับพลัน

                         ภาพสะท้อนเบื้องหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนไป  ผมตั้งสติและเพ่งมองมัน นี่ผมอาจจะยังตื่นไม่เต็มที่ก็เป็นได้  

                        
    ภาพสะท้อนเบื้องหน้าค่อยๆเปลี่ยนจากใบหน้าของตนเองไปเป็นภาพของชายคนหนึ่งซึ่งจ้องมองมาที่ผมอย่างเย็นชาไร้ความรู้สึก  ปากขมุบขมิบคล้ายพยายามกล่าวอะไรสักอย่าง   ซึ่งไม่อาจเข้าใจได้เพราะเสียงนั้นสั่นเครือและเบา จนไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาใดแต่ที่แน่ๆมันช่างฟังดูแปลกๆและวังเวงพิลึก

                     
                          โอ้ไม่
      
                         ผมคงเบลอจนเพ้อเจ้อไปอีกแล้วซิ   ก้มล้างหน้าจนใบหน้าเปียกโชก หลับตาและสะบัดหน้าเพื่อหวังไล่ภาพหลอนเบื้องหน้าให้หายไป

                     
                  "เฮ้อ..เพ้อเจ้ออะไรอีกหนอเรา" พึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย

                
                         เมื่อคิดว่าตัวเองคงมีสติขึ้นบ้างแล้ว จึงกลับไปเพ่งมองที่กระจกอีกครั้ง อะไรๆคงจะกระจ่างชัดขึ้นแล้ว

                          แต่ 

                         เมื่อจับจ้องไปที่กระจกอย่างมีสติสัมปชัญญะเต็มที่แล้ว  ใบหน้าอันซีดเผือกสายตาที่เย็นยะเยือกของชายผู้นั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่เช่นเดิม 

                          เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นทั่วใบหน้า 

                  "
    เอาล่ะ

                          พยายามเรียกสติให้กลับคืนมาอีกครั้งนึงก่อนที่จะชะโงกเข้าไปจนปลายจมูกติดกับผิวกระจกมันวาว
     

                             แต่

                
    ใบหน้าอันไม่รู้สึกรู้สานั้นยังคงนิ่งมองผมอยู่โดยมิได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด 

                           ค่อยๆผละออกมาเหงื่อผุดจนใบหน้าเปียกโชก     หันหลังควับเพื่อจะโกยแนบออกจากห้องน้ำ 

                           ฉับพลัน 


                           บทเพลงอันเศร้าสร้อยที่ถูกขับขานขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก ทุ้ม นุ่ม ลึก
     แสนไพเราะ ก็ดังแว่วมา มิติของเสียงนั้นครอบครุมแบ่งระดับได้อย่างงดงาม จนมิสามารถแยกได้ว่าบทเพลงนั้นดังมาจากทิศใด   เสียงขับกล่อมของบทเพลงนั้นค่อยๆผ่อนคลายความกลัวในจิตใจให้หายไป   

                            หยุดชะงักและหันกลับไปมองที่ภาพสะท้อน   สีหน้าของชายคนเดิมเริ่มเปลี่ยนจากความเย็นชาปราศจากความรู้สึกใดๆกลับกลายเป็นวิตกกังวลอมทุกข์จนเห็นได้ชัด

                  
                       "
    อ้างว้าง.....กับการเดินทาง....ที่เงียบเหงา

                                      สายลมแห่งความโศกเศร้า   พัดมากระทบกับดวงตา

                                      จึงกระตุ้นก่อกำเนิดหยาดน้ำตาไหลอาบเรือนร่าง

                                      ฉันจึงยอมแพ้ต่อโชคชะตา

                                      เหนื่อยล้ากับการเดินทางไปสู่กาลเวลา

                                      ไม่มีสิ่งใดจีรังให้ตามหาตลอดไป

                                       ฉันจึงยอมแพ้    ยอมแพ้กับทุกสิ่ง ยอมแพ้กับทุกอย่าง

                                      เพราะมันไม่จริงเลย......ย    เลย....ย    ฮืม....ม.......ม....."

                    
                             
    ที่จริงแล้วเขาคงมิใช่ปีศาจหรือภูตผีใดๆ แต่อาจเป็นเพียงเงาสะท้อนความรู้สึกจากห้วงแห่งจิตใจอันแสนโศกอาดูรของใครบางคน    เพียงทำหน้าที่ถ่ายทอดความเงียบเหงาเศร้าสร้อยให้ปรากฏแก่บางคนซึ่งยอมรับในห้วงความรู้สึกอันแสนอาดูรนั้น   

                             น้ำตารินไหลออกจากดวงตาที่บอบช่ำของชายผู้อาดูร มันไหลรินเอ่อท้นจนท่วมและบดบังเขาให้ค่อยๆจมหายไปกับทะเลน้ำตาของตนเอง      

                             ความมืดเริ่มกลืนกินบดบังแสงสว่างสีส้มนวลให้ค่อยๆจางหายไปเส้นแสงสีต่างๆปรากฏขึ้นยืดหดสร้างมิติอันวิจิตรบรรจงแปลกตา    

                            มิติอันลี้ลับนั้นค่อยๆกลืนกินผมให้หลุดเข้าไปในห้วงสนธยาอันล่องลอย    เปรียบดั่งกับว่ากำลังล่องลอยอย่างอิสระอยู่ในห้วงอวกาศ   มิติของเส้นแสงอันพิศวงเหล่านั้นค่อยๆแจ่มชัดขึ้นจากความนวลตา    เผยรูปลักษ์ที่แท้จริงของพวกมัน ซึ่งคือบรรดากาแลคซี่ที่ล่องลอยไขว้เฉกันอยู่    

                             ดุจความฝัน ผมเอื้อมมือออกไปสัมผัสแตะต้องหมู่กาแลคซี่เบื้องหน้า  ความรู้สึกอันแสนบรรเจิดใต้อุ้งมือช่างละเอียดและงดงามดุจเพชรน้ำงามและอัญมณีล่ำค่าหลากสีสันหลายพันล้านเม็ดซึ่งล่องลอยก่อตัวอยู่อย่างวิจิตรบรรจง

                     
                            กลุ่มกาแลคซี่อันงดงามเหล่านั้นค่อยๆลอยเข้ามา   และผมสะดุดตากับกาแลคซี่หนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายดอกบัวบานช่างแสนงดงามอย่างมีแก่นลึกซึ้งต่อความคิดในบางห้วง  ความเป็นไปของพุทธแก่นแท้ซึ่งหล่อหลอมวิญญานและการกระทำมานานนับพันปี 

                            เสียงบทสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ของเหล่าพระสงฆ์สาวกดังก้องกังวาลขึ้น ในภวังค์ความคิด ผสานกับภาพกาแลคซี่เบื้องหน้าซึ่งดูคล้ายดอกบัวที่ชูเชิดอยู่อย่างบรรจงมิใช่ด้วยทรนงและหยิ่งยะโส  จากต้นกำเนิดที่แสนต้อยต่ำใต้โคลนตม  สร้างแรงพลักดันให้สัตว์มนุษย์ทุกผู้ทุกตนตระหนักได้อย่างดีว่าแม้เพียงชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำเพียงไร แต่ถ้าหล่อหลอมจิตใจตามแม่แบบของแก่นที่แท้จริงแล้ว  วิญญานและความเข้าใจในโลกก็จะทำให้ทุกตนได้เป็นประดุจดั่งดอกบัวที่ลอยเด่นอยู่เหนือผิวน้ำละจากทิฐิของผู้คน   อยู่เหนือความเป็นไปแห่งโลก

                     
                            บัดนี้ กาแลคซี่นั้นก็ได้ปรากฏชัดขึ้นจนสามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆได้แล้ว ระบบสุริยะหลายล้านระบบบรรจงลอยผ่านไปโดยนุ่มนวลตระการตา ไม่นานจึงมาหยุดที่ระบบสุริยะระบบหนึ่ง   

                            ดวงสุริยะซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางนั้นดูหม่นแสงไม่เจิดจ้าปรากฏจุดดับหลายจุดอย่างชัดเจน  มีดาวเคราะห์บริวารโคจรอยู่โดยรอบ 6 ดวง   

                             ดาวเคราะห์ทั้งหมดมีขนาดที่ใกล้เคียงกันมากหากแต่สีสันของแต่ละดวงนั้นดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จากดวงสีแดงที่อยู่ใกล้ดาวกฤษ์อันเป็นศูนย์กลางที่สุด ถัดมาคือดวงสีเขียว เหลือง ฟ้า ส้ม และน้ำเงินตามลำดับ  ผมสะดุดตากับดวงสีฟ้าเพราะดูคล้ายกับโลกของเรามาก

                     
                             ภาพเบื้องหน้าเริ่มขยายขึ้นอีก จึงรู้สึกประหนึ่งว่าผมกำลังพุ่งแหวกชั้นบรรยากาศลงไปสู่ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนั้น  บรรยากาศรอบกายเริ่มพร่ามัวให้ความรู้สึกน่าเวียนหัว  

                            ไม่นานทุกอย่างจึงเริ่มหยุด ตอนนี้ความมืดมิดของห้วงจักรวาลได้จากไปและยืนหยัดแผ่ไพศาลอยู่เบื้องหลังแล้ว   เบื้องหน้าคือทัศนียภาพของหมู่เมฆขาวละเอียดที่ลอยสลับแผ่กว้างไปจนลับตา 

                            เมื่อลอยดิ่งทะลุก้อนเมฆเหล่านั้นลงไป  จึงเผยให้เห็นผืนมหาสมุทรสีครามเบื้องล่างไม่ว่าจะมองไปทางทิศทางใดสุดลูกหูลูกตาล้วนปรากฏแต่ผืนมหาสมุทรอันกว้างไกล  

                             ผมเริ่มลอยดิ่งลงสู่ผิวน้ำที่ใสราวกระจกเงา ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเกิดขึ้นเมื่อร่างผมจมดิ่งลง  

                             ราวกับว่าผมไม่มีตัวตน 

                            สัตว์น้ำรูปร่างแปลกตาหลายชนิด ยังคงแหวกว่ายอยู่อย่างไม่ตื่นเต้นตกใจแต่อย่างไร  

                             ผมค่อยๆจมลึกลงสู่ก้นมหาสมุทรที่เริ่มมืดสลั่วเบื้องล่างบรรยากาศรอบกายปรากฏเพียงฟองอากาศจำนวนมหาศาลที่ผุดขึ้นมาและแข่งกันทะยานขึ้นสู่เบื้องบน

                     
                             บางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นอย่างเลือนลางจากก้นมหาสมุทรเมื่อพ้นกำแพงฟองอากาศจำนวนมหาศาลไปแล้ว จึงพบว่ามันคือสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ทะเลลึก    มีลักษณะเป็นทรงโดมดูแล้วผู้ที่สร้างมันขึ้นมาคงมีอารยะธรรมที่ก้าวหน้าพอสมควร    

                             รอบๆเจ้าโดมยักษ์นั้นก็ยังมีอีกหลายโดมเรียงรายอยู่โดยรอบ    

                             นี่  
    คืออารยะธรรมใต้น้ำใช่หรือไม่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรนะ

                     
                             เจ้าโดมยักษ์เบื้องล่าง ดูใหญ่โตกว่าทุกๆโดม  ระหว่างของทุกโดมถูกเชื่อมต่อไว้ด้วยท่อใสๆซึ่งยังพาดผ่านเชื่อมต่อระหว่างโดมกับภูเขาหินใต้สมุทรต่างๆด้วย   

                             มองจากภายนอกแล้วทุกโดมดูทึบทึนมาก  ปรากฏเพียงช่องขนาดใหญ่บริเวณยอดเท่านั้นและช่องเหล่านั้นแหละที่เป็นจุดกำเนิดของฟองอากาศจำนวนมหาศาลเมื่อครู่


                              ผมลอยดิ่งสู่ช่องดังกล่าวนั้น 

                              
    เสียงครางหึ่ง....เกิดขึ้นก่อน 

                             ตามมาด้วยภาพที่หน้าประหวั่นพรั่นพรึง    

                              มันคือพัดลมระบายอากาศขนาดยักษ์  

                              โอ้ 
    ถ้าผมยังคงลอยดิ่งลงไปหามันเช่นนี้ คงโดนสับเละไม่เป็นชิ้นดีอย่างแน่นอน  

                              เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงกางแขนกางขาเพื่อแหวกว่ายหนีอย่างทุรนทุราย     

                                แต่

                              มันไม่ได้ช่วยให้ผมเบี่ยงแบนออกจากเจ้าเพชรฆาตยักษ์เบื้องล่างนั้นได้เลยแม้แต่น้อย  ทั้งยังคงจมดิ่งเข้าหามันเช่นเดิม  

                              และในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิตผมเกร็งและหลับตาปี๋  

                                โอ้ไม่...
      

                                ทุกอย่างรอบกายเงียบงันไปชั่วขณะ 

                                ค่อยๆลืมตาขึ้นบัดนี้ผมได้ผ่านทะลุเจ้าเพชรฆาตยักษ์นั้นเข้ามาภายในโดมแล้ว  

                                ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก 

                               และคิดเอะใจ

                                นี่ 
    หรือว่าผมได้ตายไปแล้ว 

                               แต่เอ๊ะ 
    แล้วเราจะตายตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะหรืออาจจะตายอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว 

                               ถ้าเป็นเช่นนั้นที่นี่จะเป็นนรกหรือสวรรค์กันล่ะ    

                               ภายในนี้ดูมืดสลั่วแต่ก็ยังพอสังเกตุบรรยากาศรอบข้างได้บ้าง มันมีลักษณะเป็นกลไกยักษ์ที่ประกอบด้วยฟันเฟืองจำนวนมหาศาลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสัญญานที่บ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตใดๆเลย ปรากฏเพียงแสงไฟซึ่งกระพริบอยู่ตามจุดต่างๆทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบกายจึงดูราวกับว่ากำลังลอยอยู่เหนือแผงวงจรยักษ์

                     
                               ผมยังคงร่วงดิ่งลงสู่เบื้องล่างและผ่านเหล่าฟันเฟืองยักษ์นั้นลงมาแสงขมุกขมัวสาดส่องแทรกขึ้นมาตามช่องว่างให้รู้สึกถึงความเป็นไปเบื้องล่างมีการดำเนินของบางอย่าง 

                               หรืออาจแม้กระทั่ง  
    มีอารยะธรรมซึ่งผมยังไม่อาจรับรู้และเข้าใจได้

                     
                               แต่อีกเพียงไม่นานทุกอย่างก็คงจะกระจ่างชัดขึ้น จะได้รู้กันเสียทีว่านี่คือนรกหรือสวรรค์กันแน่   

                               แสงสว่างที่สาดส่องขึ้นมาทำให้เห็นแผ่นกระจกขนาดมหึมาที่เรียงรายก่อตัวเป็นหลังคาขนาดกว้างใหญ่มโหฬาร มีความเคลื่อนไหวภายใต้พื้นหลังคากระจก  แต่มันดูขมุกขมัวพร่าเลือน จากความหนาของแผ่นกระจกเหล่านั้น

                     
                              สายตาดิ่งทะลุแผ่นกระจกเหล่านั้นลงมาเป็นอย่างแรก ตามด้วยร่างกาย 

                              หรืออาจเป็นเพียงวิญญานซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจ 

                              ทะลุผ่านพ้นลงมาจนเป็นอิสระ  

                               อิสระ
        

                              เพราะตั้งแต่จมดิ่งลงมาสู่ก้นบึ้งของห้วงมหาสมุทรอันแผ่ไพศาลนี้แล้ว ผมยังไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งเช่นนี้มาก่อนเลย     

                              ภาพเบื้องหน้าได้ไขปมปัญหาทุกเรื่องราว ที่นี่ไม่ใช่นรกหรือสวรรค์ทั้งนั้นหากแต่คืออารยะธรรมที่ซ่อนเร้นอยุ่ภายใต้ห้วงมหาสมุทรอันลึกลับ แม้อารยะธรรมดูจะแตกต่างจากโลกเรามากแต่รูปร่างของพวกเขานั้นดูไม่แตกต่างจากพวกเราเลยสักนิด การแต่งกายที่ค่อนข้างรัดรูปกระฉับกระเฉงทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะกระโดดลงน้ำได้ทุกเมื่อ  ทั้งๆที่ภายในนี้ปราศจากน้ำและมีบรรยากาศคล้ายคลึงกับบนพื้นผิวโลกของเราไม่มีผิด

                     
                              ในขณะที่ความคิดยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะสิ้นสุดลง   ก็รู้สึกว่าฝ่าเท้าได้แนบสัมผัสกับพื้นผิวของโลกต่างอารยะธรรมนี้แล้ว  

                               ผมเหงนหน้ามองขึ้นเบื้องบนด้วยความฉงน  แสงจ้าที่สาดส่องลงมาเพื่อมอบแสงสว่างแก่ผืนพิภพนี้ได้บดบังทุกสิ่งบนนั้นจนหมดสิ้น  มันดูกลับกลายเป็นท้องฟ้าอันโล่งแจ้งมองไม่เห็นขอบหรือผนังที่ครอบคลุมพิภพจำลองนี้อยู่ได้เลย จากหมู่กระจกยักษ์ที่เรียงรายรายแผ่ไพศาลเหล่านั้นคงอยู่สูงขึ้นไปมิใช่น้อย    

                              หันมองสำรวจไปรอบบริเวณภูมิประเทศใกล้ตัวและที่ห่างไกลลิบลับออกไปสุดลูกหูลูกตา  สิ่งก่อสร้างทรงเตี้ยดูแปลกตามากมายปรากฏขึ้นกระจัดจายอยู่ทั่วไปซึ่งทำให้ดูไม่แออัด  ถนนหนทางดูธรรมดาและเรียบง่าย 

                              แต่คงยังมีอีกหลายสิ่งแน่ๆที่อาจจะไม่ธรรมดาสำหรับผม  ก้มลงมองพื้นที่ตนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า ลองกระโดดเพื่อทดสอบความแข็งแรงของมัน    พื้นนั้นแข็งและแน่นแต่ดูไม่เหมือนคอนกรีตสักเท่าไหร่ กลับให้ความรู้สึกเหมือนแผ่นไม้ที่ไร้สวดลายมากกว่า  ซึ่งปรากฏร่องรอยของการถูกเสียดสีกระทบกระเทือนอยู่ตลอดทาง 

                              หรือผมกำลังยืนอยู่บนถนน 

                              ใช่  
    มันดูคล้าย   

                              ฉับพลัน   เบื้องหน้าก็ปรากฏยานพาหนะแปลกตาลำใหญ่ขนาดประมาณรถสิบล้อ  แล่นตะบึงมาทางผมอย่างรวดเร็ว  

                              ขณะที่กำลังจะกระโดดหลบก็กลับหยุดชะงักเมื่อในสมองแวบความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ 

                               เราเป็นแค่วิญญานนี่จะกลัวอะไร ไอ้ยานมู่ทู่นั้นคงทำอะไรเราไม่ได้หรอก 

                              เช่นนั้นจึงหันไปเผชิญหน้ากับยานเจ้ากรรมลำนั้น อย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ  

                               มือสองข้างประกบกันและยื่นออกไปหาเจ้ายานลำนั้น ดูคล้ายโคบาลปืนไวในหนังคาวบอยไม่มีผิด   

                                ปัง   
    ปัง   ปัง   ผมเปล่งเลียนเสียงปืนและทำปากจู๋เป่าควันจากปลายกระบอกปืนซึ่งคือปลายนิ้วชี้ของตนเอง   

                                เจ้ายานลำนั้นส่งเสียงเอี๊ยด....แสบแก้วหูคล้ายส่งคลื่นบางอย่างออกมามันหยุดกึก  ลงก่อนที่จะชนผม  

                                ตาเริ่มพร่ารอบกายดูเลือนลาง  นี่ 
    ผมกำลังจะหมดสติหรือ  

                                ไม่  
     พยายามฝืนตัวเอง เบิกตาโพลง ผมแข็งแรงพอจะมาเป็นลมล้มพับง่ายๆอย่างนี้ไม่ได้

                     
                                ครื้ก...ก.......ก   แคร๊ก...ก.......ก   กึก
    !    

                     
                                การเบรคอย่างกระทันหันของมันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนกึกจากการเสียดสี  กลิ่นนั้นแทงเข้ามาในจมูกช่วยเรียกให้สติผมกลับคืนมาภาพรอบกายเริ่มชัดเจนขึ้น

                     
                                ยานพาหนะลำใหญ่จอดสงบนิ่งไร้พิษสงอยู่เบื้องหน้า แต่ภายในนั้นมิได้ดูสงบดั่งเช่นภายนอกเลย

                     
                                 กึก....ก กึก....ก
    !

                     
                                เสียงเอะอะวุ่นวายจากภายในดังลอดออกมา

                    
                                  
    แอ็ด....ด.....ด
    !       

                                ช่องหนึ่งจากด้านบนของมันเปิดขึ้น มนุษย์ คนหนึ่งโพล่ออกมาในทันที เขาจ้องมองผมอย่างเคียดแค้น เต็มไปด้วยโทสะราวกับจะลงมาฆ่าผมให้ตายคามือซะทีเดียว    ดูเป็นการเบิกฤกษ์ที่ไม่ค่อยดีเอาเสียเลยสำหรับการที่ได้พบกับมนุษย์คนแรกของที่นี่   

                                 แต่

                                 เขามองเห็นผมด้วยเหรอนี่
    หรืออาจแค่เพียงบังเอิญมองมาทางนี้เท่านั้น

               
                       "
    อยากตาย! ก็อย่าทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนซิว่ะ"   

                                 เขาตะคอกเสียงดัง พลางชี้มาที่ผม ถ้ากล่าวกันตามภาษาชาวบ้านแล้วล่ะก็ เขากำลังชี้หน้าด่าผมอยู่นั้นเอง   

                                  ตะ..แต่
      

                                  เขามองเห็นผมจริงๆเหรอเนี้ย  หันหลังควับเพื่อมองหาว่ามีใครอีกหรือเปล่า 

                                   ไม่มี  
      งั้นคนที่เขากำลังชี้หน้าด่าอยู่ก็คงเป็นผมจริงๆล่ะซิ

                     
                         "ไอ้! ปัญญาอ่อน แกนั่นแหละไม่ต้องไปมองหาใครหรอก   ไอ้....ไอ้....

                                   เขาพยายามหาคำบางคำมาเปรียบเปรยกับตัวผมอยู่

                     
                         "ไอ้..หน้าดูน!" 

                                   เออยังไงก็ยังฟังดูไม่เลวร้ายมากนัก  ว่าแต่ตัวดูนนี่มันหน้าตาเป็นยังไงนะ

                     
                                   ภาษาที่เขาพูดนั้นดูแล้วไม่ใช่ภาษาใดๆในโลกของเราเลย แต่แปลกที่ผมเข้าใจมัน  ขนาดภาษาอังกฤษที่ผ่านหูผ่านตามาเป็นสิบปีถึงตอนนี้ก็ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เลย  แต่กับภาษาแปลกถิ่นที่เพิ่งเคยจะได้ยินนี่กลับเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

                     
                       "ขะ...ขอ  โทษ..จริงๆ..ครับ  คะ..คือผมคิดว่า เอ่อ..ผมก็ยัง งงๆ  คือ..คิดว่าคุณมองไม่เห็นผม คะ...คือ ผมอาจเป็นพียงวิญญาน"  

                                   ผมกล่าว สะลำสะลัก หน้าเสีย  เพื่อจะอธิบายให้เขาเข้าใจ ก็ถ้าเป็นผมคงจะโกรธไม่น้อยเหมือนกันถ้าขับรถอยู่ดีๆแล้วมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มายืนขวางทางอยู่แถมยังทำท่าทางบ้าๆบอๆใส่อีกตะหาก

                     
                       "เฮ้อ..สงสัยจะบ้าจริงๆนั่นแหละ บ่นอะไรไม่รู้เรื่องเลย

                                   อีกคนที่เพิ่งโพล่มาได้ยินผมพอดี พึมพำ กับคนแรก ดูเขาภูมิฐานกว่า แววตาลุ่มลึกมิได้แสดงอารมณ์โกรธเคืองออกมาแต่อย่างใด

                                   "ส่งกระแส! เรียกหน่วยรักษาจิตมาจัดการเถอะเราไม่มีเวลามาสนใจกับคนบ้าพวกนี้หรอก"

               
                                  ชายผู้นั้นสั่งการ ดูแล้วเขาคงมีตำแหน่งที่สูงกว่าชายคนแรก เพราะชายอีกคนนั้นรีบมุดกลับเข้าไปปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

                     
                       "เอ่อ....ผมไม่ได้บ้านะครับ ท่าน...น ทั้งยังปกติทุกอย่าง และขออภัยเป็นอย่างยิ่งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ

                                  ผมรีบฉวยโอกาสขอโทษอีกครั้ง และพยายามพูดขึ้นโดยชัดถ้อยชัดคำ
    เพราะไอ้เจ้าหน่วยรักษาจิตที่เขากำลังเรียกมานั้นก็ไม่รู้ว่าจะมาจัดการกับผมอีท่าไหนล่ะซิ

                     
                                 เขาส่ายหน้าถอดใจ ถอนหายใจเฮือกใหญ่

                    
                                 
    "เฮ้อ....จะทำยังไงกับแกดีนะ" 

                        
                                 
    อะไรกัน
     

                                 นี่เขายังฟังผมไม่เข้าใจอีกเหรอเนี้ย   

                                 ทำไมล่ะ
        ผมก็ได้กล่าวไปโดยชัดเจนแล้วนี่ ผมนิ่งเงียบชั่วขณะเมื่อเหตุการณ์ดูริบหรี่และหมดหวัง   

                                 เขาพลุบหายเข้าไปข้างใน  หมวกเหล็กคล้ายลูกกอล์ฟที่เขาสวมใส่อยู่ลับหายไปเป็นสิ่งสุดท้าย  ก่อนที่ประตูวงรีจะค่อยๆปิดลง    

                                    ตึก..
    !

               
                                 ยานเบื้องหน้าดูคล้ายรถหุ้มเกราะของทหาร แต่ไม่แน่ใจว่ามันใช้การขับเคลื่อนเช่นไร  ผมยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ข้างหน้ามัน และเริ่มรู้สึกหายใจติดขัด จากบรรยากาศที่เริ่มเย็นยะเยือกลง ด้วยสัญชาติญานจึงเอาแขนทั้งสองโอบกอดร่างกายเพื่อสร้างความอบอุ่น  

                                 แต่เอ๊ะ  
     ทำไมนิ้วมือถึงได้สัมผัสถึงเนื้อหนังอันละเอียดอุ่นแทนที่จะเป็นผิววัสดุสังเคราะห์ของเสื้อผ้า  ก้มมองดูเรือนร่างของตนเอง

                    
                                   
    "เฮ้ย! ตายล่ะหว่า  เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงเนี้ย

                                  ผมแหกปากอุทานกับตัวเองเมื่อพบว่าตอนนี้ร่างกายผมนั้นเปลือยล่อนจ้อนอยู่   

                                  มือทั้งสองเลื่อนลงไปกุมไว้ที่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว คนที่นี่เขาจะแบ่งเพศกันยังไงนะ

                     
                       "โอ้ยตายแน่!" 

                                  หากเป็นความฝันก็อยากจะตื่นมันเสียตอนนี้เลย ให้ตายเถอะ

                     
                                  เสียงยานพาหนะอีกลำซึ่งเล็กกว่าลำแรกแล่นทะยานเข้ามาทางด้านซ้ายมันโปร่งใสจนผมสามารถมองเห็นความเป็นไปภายในนั้นได้  ผู้ที่บังคับยานอยู่ด้านหน้าดูคล้ายกำลังใช้อุปกรณ์ฟิตเนสต่างๆอยู่มากกว่าเพราะจากท่าทางที่ทั้งเหยียบทั้งดึงเส้นสายอุปกรณ์นั่น คงเป็นกุสโลบายของวิศวะกรผู้ออกแบบที่ทำให้เราได้ออกกำลังกายไปพร้อมๆกับการบังคับยานดังกล่าว อีกสองคนข้างหลังดูวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อมาจัดการกับ ผม

                          
                                   ทันทีที่ยานลำนั้นมาจอดประชิดอยู่เบื้องหน้าผมยานคู่อริลำแรกนั้นก็ติดเครื่อง  และถอยหลังตั้งหลักก่อนที่จะเดินหน้าเบี่ยงหลบร่างกายอันแข็งทื่อของผมไปอย่างชำนาญ  มันแล่นทะยานจากไปด้วยความเร็วจนลับหายไปท่ามกลางพิภพอันแปลกตาและซ่อนเร้น

                      
                                     คลืนนนนนนน.........
         

              
                                     แอ็ด......ด....!    

                                   เสียงประตูทางด้านหลังของยานที่เพิ่งมาเยือนเปิดออก  เจ้าหน้าที่สองคนค่อยๆเดินมาหาผมด้วยท่าทีระแวดระวัง  พวกเขาอาจกลัวผมอาละวาดขึ้นมาก็ได้เพราะในสายตาของพวกเขาแล้วผมก็คงเป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น  
     
                                   จากชุดรัดรูปสีฟ้าอ่อน มีตราสัญลักษ์คล้ายรูปเปลือกหอยตรงบริเวณอกซ้ายเผยให้เห็นทรวดทรง ของพวกเขาอย่างมิปิดบัง  

                                    และ

                       
    หนึ่งในนั้นเป็น 

                                    ผู้หญิง
      

                                    ผมงุ้มตัวลงด้วยความเขินอาย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะคราวนี้เวรกรรมแท้ๆ   

                                   อีกคนที่เป็นผู้ชายชูอุปกรณ์บางอย่างขึ้นมาทางผมเหมือนกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง

                     
                                   อือ..อือ...อ...  

                                   อุปกรณ์นั้นส่งเสียงครางขึ้นอย่างไม่ประติดประต่อจากการประมวลผล

                     
                        "ดูทุกอย่างหมือนจะมีปัญหา  ร่างกายเขาไม่ปกติ  เอ!ดูนี่ซิ ไม่น่าเชื่อ!" 

                                  เขาอุทานขึ้นพร้อมยื่นอุปกรณ์นั้นไปให้เธอดู

                    
                                    
    "การเรียงตัวของกล้ามเนื้อดูหนาแน่น น่าแปลกมาก

                                เขากล่าวต่อด้วยสีหน้าสงสัย    

                                โอ้โห
     
     มาหาว่าเราไม่ปกติเหรอ ผมน่ะปกติดีทุกอย่างครับ คุณหมอ แต่ไอ้เครื่องมือซังกะบ๋วยของคุณน่ะซิที่ไม่ปกติอ่ะ

                     
                               สีหน้าของฝ่ายหญิงก็ดูแปลกใจมากเช่นกัน   เธอเหลือบมองผมแวบนึง   มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกเขินมากขึ้น  

                               แหม่คงจะไม่เคยเห็นใครมีหุ่นอันแสนสุดเทห์อย่างนี้มาก่อนซิท่า    

                               ก่อนที่
    เธอจะยื่นห่อบางอย่างให้เขา

                     
                    "ฉันว่าเราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อนดีกว่า เดี๋ยวเขาจะหนาวตายไปเสียก่อน"  

                              เธอแนะนำพร้อมเหลือบมองผมอีกครั้ง ทั้งยังแอบอมยิ้มเล็กๆ   ห่อนั้นมีขนาดพอๆกับสมุดทั่วไป  

                              เขาเดินประชิดใกล้เข้ามาเบื้องหน้า

                     
                    "เราจะช่วยคุณนะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่คุณต้องค่อยๆยืดตัวขึ้นนะ"  

                              เขาแนะนำอย่างเป็นมิตร ผมยังคงนิ่งและทำตามที่เขาแนะนำ ส่วนมือทั้งสองยังคงกุมอยู่ที่เบื้องล่างอย่างหวงแหนเช่นเดิม    เขาแสดงท่าทีพอใจและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดูน่าไว้วางใจ

                     
                     "คือ...คุณต้องกางแขนออกด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะติดและคุณคงขยับตัวลำบาก

                               ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวหรอก 

                                แต่   
     จะให้เอามือออกน่ะเหรอไม่มีทางซะหรอกของๆใครของใครก็หวงนะ ผมเหลือบมองเธอแวบนึงก่อนที่จะรีบก้มหลบสายตาด้วยความอาย

                     
                     "ยูว....เธอหันหลังไปก่อน แปปนึง

                                เขาคงอ่านท่าทีผมออก จึงหันไปบอกเธอ   

                                  ยูว

     
                               นั่นคงเป็นชื่อของเธอซินะ   

                                เขาหันกลับมาที่ผม อมยิ้มนิดๆและแนะนำผมต่อ

                     
                      "คุณต้อง.........." 

                     
                               ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวต่อ ผมก็กางแขนออกทันที นี่ผมไม่ได้โง่บ้าและไม่ใช่เด็กๆแล้ว ถึงจะต้องให้เขามาพร่ำบอกอะไรซ่ำๆซากๆ

                     
                                เขาคงเข้าใจผม จึงเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นโดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร  เเละยื่นห่อนั้นมาแปะที่หน้าอกผม

                    
                                  
    "อย่าขยับนะครับ"  

                                 เขากำชับ

                     
                                 ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและจะเกิดอะไรขึ้นจากเจ้าห่อประหลาดนั่น แต่ทางที่ดีควรทำตามคำแนะนำของเขาดีที่สุดในช่วงเวลานี้ 

                                ช่วงเวลาที่แย่สุดๆสำหรับผม

                    
                                 
    ฟลุบ...ฟู่..ฟู่....หมับ...หมับ....หมับ   หมับ หมับ
    !

               
                                ยังไม่ทันได้ตั้งตัว บางอย่างก็เกิดขึ้นกับร่างผมอย่างรวดเร็ว มันเร็วมากจนไม่ทันที่จะตกใจเสียด้วยซ่ำ 

                                ราวกับว่ามีอะไรมารัดคลุม ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
      

                                ชายผู้อารีเบื้องหน้าเริ่มมีทีท่าผ่อนคลายมากขึ้น เขาเอามือออกจากหน้าอกของผมซึ่งในมือนั้นเหลือพียงซากของห่อมหัศจรรย์ที่ดูเล็กลงกว่าเดิม
                     

                      "
    เอาหล่ะ ขั้นแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว

                                 เขากล่าวอย่างสบายๆ

                     
                                  ผมค่อยๆก้มลงมองดูเรือนร่างของตัวเอง  และพบว่าตอนนี้ผมได้อยู่ในชุดรัดรูปสีขาวไปเสียแล้ว 

                                  มันรู้สึก แต๋วๆยังไงชอบกล 

                                  แต่  
    ก็เอาเหอะดีกว่าแก้ผ้าล่อนจ้อนเหมือนเมื่อกี้ละกัน      

                                  ยูวเดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าอุปกรณ์แปลกตาอีกชนิดนึงซึ่งเธอบรรจงอุ้มมันอยู่ด้วยมือข้างซ้าย  ในขณะที่มือข้างขวากำลัง สะกิดรูปคลำเจ้าอุปกรณ์นั่นอยู่   

                                   แหม่     มีแต่เครื่องมือแปลกตาแฮะ  เมื่อกี้ก็ชุดที่สวมใส่ได้เอง อะไรจะขี้เกียจกันขนาดนี้หนอคนเรา

               
                       "
    คุณมาจากจักรวรรดิ์ไหน?" 

                                   ยูวถามขึ้นพร้อมจ้องหน้าผมแบบคาดคั้นคำตอบ 

                                   เมื่อได้จ้องมองเธอใกล้ๆผมจึงได้รู้ว่าเธอสวยมากทีเดียว ตาจมูก ปากที่ดูสมส่วนกันอย่างลงตัวงดงาม ทั้งยังเรือนผมยาวสลวยดำขลับนั้นอีกที่ยิ่งเสริมให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้น  

                                  ด้วยชุดรัดรูปนั้นจึงเผยให้เห็นเรือนร่างงามระหงส์ของเธอได้อย่างชัดเจน   

                                   ผมคงจ้องมองเธออย่างออกนอกหน้ามากเกินไป   เธอจึงหันควับเดินไปหาเขาส่งอุปกรณ์ให้ก่อนที่จะเดินหน้าบูดกลับไปที่ยาน   

                                   ผมไม่แน่ใจว่าเธอเขินอาย หรือรำคาญผมกันแน่  รู้แต่ว่ามันทำให้เธอดูน่ารักขึ้น    และถ้าหากจะให้คิดเข้าข้างตัวเองแล้วล่ะก็เธอน่าจะอายผมมากกว่าละมั้ง......

                     
                       "คุณคงทำให้เธอหงุดหงิดหน่ะ   เธอเป็นคนขี้โมโหไปหน่อย"  

                                   เขากล่าวขึ้นพร้อมขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น   

                                   แหม่   
    เจ้าทึ่มเอ่ย หงุด งง หงุดหงิดอะไรกันล่ะเสียบรรยากาศหมดเลย

                     
                        "คุณคงไม่ชอบ ถ้าผมจะถามชื่อหรืออะไรต่างๆโดยที่ยังไม่รู้จักว่าผมเป็นใครมาจากไหน  เพราะฉะนั้นผมก็คงต้องขอแนะนำตัวเองก่อนล่ะกัน" 

                                   เขากล่าวขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย

                     
                        "ผมแพทย์เชียว เป็นแพทย์รักษาจิต ประจำ กองพิทักษ์ แห่งจักรวรรดิ์" 

               
                                  จากสีหน้าของผมที่ดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวขึ้นสักเท่าไหร่  เขาจึงเสริมขึ้น

                      
                       "จักรวรรดิ์ เมสโซก้า  คือจักรวรรดิ์ที่เรายืนอยู่นี่ไง ในจักรวรรดิ์นี้ประกอบด้วย สามอาณาจักร และที่นี่ คืออาณาจักร กอนซ์"   

                                  
                                    
    นิ่ง
       ไม่มีสัญญานตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก 

                                   ที่เขาพยายามอธิบายมาต่างๆนาๆแต่นั้นไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นมาได้เลยสักนิด ซ่ำร้ายกลับยิ่ง งงเป็นไก่ตาแตกมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก    หรือจะบอกว่าผมมาจาก จักรวรรดิ์ โรมัน ดี    อย่าดีกว่าเพราะดูแล้วเขาคงไม่ฮากะมุขนี้เป็นแน่    

                                   ต้องยอมรับว่าเชียวเป็นคนที่มีความอดทนดีมาก ไม่เหมือนแม่สาวเลือดร้อนนั้นเลย เขาคงได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

                     
                       "แต่ ผมไม่ใช่คน เมสโซก้าหรอก หน้าตาถึงดูไม่เหมือนกับคนที่นี่

                                  เขายังไม่ละความพยายาม  แต่ว่าไอ้หน้าตาดูเหมือนคนที่ไหนอ่ะผมก็ดูไม่ออกหรอกพ่อคุณ  มาบอกทำไมเนี้ย หรือว่า
    !เขาอาจคิดว่าผมเป็นคนที่นี่ไปเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะดูเหมือนเป็นคนที่ไหนกันล่ะนี่

                     
                       "อันดายก้า!" 

                                   เชียวโพลงขึ้น  

                                    เวรกรรมที่ไหนอีกล่ะนั่น

                     
                        "คุณดูเหมือนคน อันดายก้า นะผมก็เกิดที่นั่น เหมือนกันถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆคุณน่าจะมาจากอาณาจักร ยูดห์  เพราะชาว ยูดห์แข็งแรงและมีลักษณะของกล้ามเนื้อที่หนาแน่นเหมือนคุณเลย  ส่วนผมเกิดที่ อันวา อยู่ติดกันนั่นแหละ ไม่น่าเชื่อเราอาจเป็นคนบ้านเดียวกัน..."

                     
                                    เชียวตอบและกล่าวออกทะเลเป็นเรื่องเป็นราวเสียยกใหญ่   ให้ตายซิเวรกรรม 

                                    เฮ้อ
    ชักจะไปกันใหญ่แล้วซินะ  

                                    เพราะฉะนั้นผมควรรีบบอกทุกอย่างแก่เขาเพื่อให้เหตุการณ์มันกระจ่างชัด ลุล่วงไปเสียที

                     
                                    ผมจ้องมองเชียวและส่ายหน้าปฏิเสธ  ดูเขาเข้าใจแม้สีหน้าค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย

                     
                        "ถ้าเขายังไม่ให้ความร่วมมือ เราก็น่าจะพาเขามาที่ยานก่อนนะแพทย์เชียว เพราะพวกเรากำลังกีดขวางช่องทางหลักอยู่นะค่ะ"   

                                   ยูวตะโกนแทรกขึ้น ก่อนที่ผมจะอ้าปากบอกทุกอย่างแก่เขา    เธอหันมาค้อนใส่  ผมอมยิ้มพร้อมส่งสายตา ไร้เดียงสา ยียวนกวนประสาทไปให้  ยูวหันหลังควับเดินจ้ำอ้าวกลับไปที่ยานตามเดิม โดยที่ไม่แยแสต่อสายตาอันยียวนของผมเลย

                     
                        "อืม...ผมว่าเราทำตามที่เธอแนะนำกันดีกว่านะ

                                   เชียวชวนและผายมือไปทียาน   สายตาเขาดูเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่  จนไม่ค่อยจะกล้าสบตากับเขาเท่าไหร่  

                                    เบื่อๆจริงๆคนรู้ทันนี่   เฮ้อ

                     
                                    ผมเดินตามเขาไปอย่างเสียมิได้ เพราะไม่ทันที่จะได้ออกความเห็นใดๆ เขาก็เดินนำไปโดยทันที   

                                    โอ้ย  
    เมื่อไหร่จะตื่นสักทีเนี้ย 

                                    พลัน  ใบหน้าของแม่ยูวคนสวยลอยแวบเข้ามาในความคิด 

                                     
    เอ้า  
    ฝันต่ออีกสักหน่อยก็ได้

                     
                                     จากภายนอกผมเห็นยูวซึ่งขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้วภายในยาน  ชายผู้ควบคุมยานลำนี้  ดูไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเลย เพราะเขากำลังสนใจอยู่กับเจ้าเครื่องอะไรบางอย่างซึ่งดูเหมือนเกมส์หรือสิ่งผ่อนคลายนั่นอยู่

                     
                                     เชียวหยุดรอผมเมื่อเดินไปถึงยานก่อน ดูเขามั่นใจมากว่ายังไงซะผมก็ต้องตามเขามาแน่ๆ 

                                     แหม่
    ถ้าพอมีที่ไปบ้างก็คงไม่เดินตามมาให้เสียฟอร์มหรอกครับ ท่าน     

                                     เมื่อเข้ามาอยู่ใกล้แล้วผมจึงมองสำรวจยานแปลกตาเบื้องหน้าโดยละเอียด จึงได้เห็นว่ามันไม่มีล้อ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามันจะขับเคลื่อนไปได้เช่นไร

                     
                                     เชียวกึ่งดันกึ่งพยุงผมให้เข้าไปภายในยาน และตามขึ้นมา ประตูค่อยๆปิดลงโดยนุ่มนวล

                     
                                         แอ๊ด.....ตึก...

                     
                                    ภายในนี้ค่อนข้างอบอุ่น  ยูวนั่งอย่างไม่สนใจอยู่ตรงข้ามผมกับเชียว  ใบหน้าของเธอทำให้อดที่จะต้องอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้   ทำให้เธอเหลือบมองทันที ผมจึงรีบละสายตาจากเธอ และแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

                     
                        "เฟร์!มัวทำอะไรอยู่ ออกเดินทางกันได้แล้ว"  

                                     เชียวหันไปกระตุ้น เฟร์ซึ่งดูมีอายุและเฉี่อยชา เขารีบละจากเจ้าเกมส์นั่นทันที และยืนขึ้นดึงสายระโยงระยางต่างๆเบื้องหน้า ขาของเขาก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างเป็นจังหวะราวกับว่ากำลังเต้นรำอยู่ ช่างดูพลิ้วและคล่องแคล่วต่างจากบุคลิกภายนอกโดยสิ้นเชิง   นี่ถ้าเขาอยู่ที่โลกมนุษย์ไมเคิล แจ็คสัน คงไม่มีโอกาสได้เกิดหรอกให้ตายเถอะ

                     
                                        ครืน....ครืน... ครืน....

                     
                                     ยานค่อยๆออกตัว ก่อนที่จะทำความเร็วขึ้นตามลำดับผมเริ่มรู้สึกมึนๆเล็กน้อย แต่ก็ดีขึ้นเมื่อยานทำความเร็วได้คงที่     

                                    ทัศนียภาพภายนอกนั้นช่างดูแปลกตามากสำหรับผม แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันคงธรรมดาและเคยชิน เฉกเช่นความเคยชินของผมต่อสังคมแห่งโลกมนุษย์ วุ่นวายสับสนและน่าเบื่อหน่ายแต่ก็ยังมิวายที่ต้องทนอยู่ไหลไปตามกระแสสังคม แก่งแย่งชิงดี

                     
                                    บรรยากาศอันสงบนิ่ง พร้อมทัศนียภาพทีเคลื่อนไปจนดูละลานตา ช่างเบียดบังจิตสำนึกจนคล้ายต้องมนต์สะกด ทำให้เคลิมเคลิ้ม ก่อนที่ห้วงภวังค์จะกลืนกินสติสัมปชัญญะให้สิ้นหายไป คำถามต่างๆอันวุ่นวายสับสนก็ได้หลั่งไหลมาอย่างบ้าคลั่งปลุกคืนสติให้ต้องมา ขบคิดอีกครั้ง

                     
                                        เราอยู่ที่ไหน

                     
                                        เราทำอะไรอยู่

                     
                                         นี่ใช่ความจริงหรือไม่

                     
                                        เรามาที่นี่ได้ยังไง

               
                                        คนเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า

                     
                                    ผมสลัดพายุคำถามเหล่านั้นออกไปอย่างหัวเสีย  เริ่มตื่นตัว  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพียงแต่เราต้องทำมันให้ดีที่สุด    

                                    ใบหน้าของย่าปรากฏขึ้นในจิตใจ แววตาของท่านดูแสนห่วงใยและให้กำลังใจแก่ผมเสมอ

                     
                                    ย่าครับ   อย่าทิ้งผมไปนะครับตอนนี้ผมช่างรู้สึกเคว้งคว้างเหลือเกิน ทั่งที่รอบกายยังมีพวกเขาเหล่านั้นอยู่แต่ก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยว  ย่าอยู่ข้างๆผมนะครับ  อย่างน้อยในความทรงจำ ผมก็ไม่เดียวดาย.....

                     
                                    เมื่อเห็นผมเริ่มปรับตัวกับบรรยากาศภายในยานนี้ได้แล้ว เชียวก็เริ่มที่จะมาสัมภาษณ์ต่อ ผมรับรู้ความพิเศษไม่ธรรมดาของเขาได้ ในอนาคตเขาต้องเป็นบุคคลอันน่าทึ่งอย่างแน่นอน

                     
                        "รู้สึกสบายขึ้นหรือเปล่าครับ"  

                                    เขาถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเคย ทั่งยังรักษาท่าทีการแสดงออกได้อย่างมั่นคง   ผมพยักหน้ารับเบาๆ

                                       เอาล่ะ    

                                     ทุกอย่างมันจะได้กระจ่างขึ้นเสียที

                     
                         "สำหรับสิ่งแรกที่จำเป็นกับเรามากในตอนนี้ คือชื่อและรหัสตระกูล ของคุณ

                                     ดูเขาเป็นการเป็นงานขึ้น  แต่ไอ้รหัสตระกูลอะไรนั่นน่ะผมไม่มีหรอก  ถ้าเดาไม่ผิดก็คงคล้ายกับนามสกุลล่ะสินะ

                     
                         "จักร..."  

                                    ผมเน้นโดยชัดถ้อยชัดคำ เพื่อเป็นการเบิกนำทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกมา    เชียวนิ่งตั้งใจฟัง

                     
                        "จั๊ก......

                                   เขาพูดตามผมด้วยสำเนียงเปร่งๆ

                     
                                   ผมว่าผมได้พูดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำแล้วนะ  กะอีแค่ศัพท์ง่ายๆทำไมเขาถึงพูดตามได้ไม่ถูกกัน

                    
                       "ไม่ครับ    จักร....จักรภพ   ผมชื่อจักรภพ    นามสกุลแผ่ไพศาล    อยู่ที่ดาวโลก....ดาวโลก  คุณคงไม่รู้จักหรอก แต่ก็คล้ายกับที่นี่มาก"  

                                  เมื่อเห็นสีหน้า งงงวย ของเชียวผมจึงหยุดชะงัก เขาเป็นคนที่สามารถเข้าใจอะไรได้โดยง่ายมิใช่เหรอ  ยังรู้ทันผมทุกครั้งด้วย    

                                  เขาหันไปปรึกษายูวซึ่งไม่ได้นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกต่อไปแล้วในตอนนี้ดูเธอคง งง เช่นกัน

                     
                       "เขาพูดภาษาของจักรววรดิ์ไหนเธอพอรู้ไหมยูว"  

                                 เขาถามขึ้นอย่างจนปัญญา    

                                 อ้าวอะไรกันนี่          

                                 คนที่งงที่สุดก็คือผมเองนี่แหละ

                     
                      "ก็ภาษาเดียวกับพวกคุณนั่นแหละ ผมยังฟังพวกคุณรู้เรื่องเลย"  

                                 เชียวรีบหันมาฟังผมต่ออย่างตั้งใจดูเขาพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของผมเป็นอย่างมาก จากสีหน้าอันครุ่นคิดนั้น   แต่ผมก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเหมือนกัน

                     
                      "อาจเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยเผ่าใดเผ่าหนึ่ง เราคงต้องลองใช้เครื่องแปลภาษาดู เพราะในเครื่องนั้นมีข้อมูลของทุกภาษาในดาวเทอโรนี้"

               
                                  ยูวแนะนำขึ้นด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง   สลัดคราบสาวน้อยขี้โมโหไปโดยสิ้นเชิง   ทำให้ตอนนี้เขาทั้งสองกำลังเฝ้าหมกหมุ่นขบคิดอยู่กับปัญหา   

                                  ซึ่งปัญหานั้นก็คือ 

                                   ผม  
    นั่นเอง

                     
                        "แต่เขาก็ดูเหมือนจะฟังผมเข้าใจนะ  หรือว่าเขาอาจจะแกล้งทำเป็นพูดไม่รู้เรื่อง   งั้นผมจะลองคุยกับเขาดูอีกที่ละกัน"  

                                   เชียวแสดงความคิดเห็น เขาหันกลับมาที่ผมแววตาคู่นั้นดูช่างมุ่งมั่นเหลือเกิน    

                                   ดูเฟร์ไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่  เขายังตั้งหน้าตั้งตาออกสเตปท่าทางอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนือยอ่อน

                     
                        "ผมรู้ ว่าคุณฟังผมรู้เรื่อง  ผมเพียงอยากให้คุณช่วยเพื่อให้ทุกอย่างมันลุล่วงไปโดยง่าย   คุณน่าจะสื่อสารกับผมด้วยภาษากลางนะ  ภาษาเทอโรนี่  หรือภาษาอะไรก็ได้ที่ผมฟังเข้าใจอีกยี่สิบสองภาษา   เมสโซก้า  อันดายก้า   ยูโรซา  อินจินต์  สูริน     เอาล่ะ! ผมไม่อยากบังคับคุณและก็ไม่เคยที่จะบังคับใคร  แต่เท่าที่คุณได้เห็นคุณคงเข้าใจผมนะ ผมเพียงต้องทำตามหน้าที่  และหน้าที่ก็คือสิ่งที่ผมจะต้องรับผิดชอบเหนือสิ่งอื่นใด....." 

               
                                     ประโยคนั้นฟังดูกินใจ และน่าเห็นใจ   

                                     แต่     
    ผมก็ได้ให้ความร่วมมือทุกอย่างไปโดยเต็มที่แล้วนี่   ผมก็อยากจะให้มันคลี่คลายลุล่วงไปโดยเช่นกัน   แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า

                       
    นี่ผมควรทำเช่นไรดี

                    
                                     
    "ผม-ชื่อ-จัก-กะ-พบ   นาม-สะ-กุน-แผ่-ไพ-สานนนนนนนน"  

                                    ผมพยายามอีกครั้ง   แต่จากสีหน้าของพวกเขาแล้วจึงทำให้รู้ได้ทันทีว่ามันก็ยังคงไม่เกิดผลใดๆ พวกเขายังมิอาจเข้าใจ    

                                    แล้วทำไม   
     ผมถึงฟังไอ้ภาษาแปลกๆนี่รู้เรื่องล่ะ แต่มิอาจสื่อเอื้อนเอ่ยออกมาได้สักคำ  

                                   อะไร 
     กำลังเล่นตลกกับผมอยู่  จะทำเช่นใดเล่า มันก็น่าเห็นใจพวกเขาอยู่เหมือนกันแต่พวกเขาก็น่าจะเข้าใจผมบ้างซิ  

                                   โดยเฉพาะเชียวที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้โดยง่ายดาย เขาน่าจะอ่านแววตาผมออกเหมือนหลายๆครั้งที่เขาทำได้ไง

                     
                        "เขาคงพยายามเต็มที่แล้วล่ะ แต่คงพูดภาษาของเราไม่ได้จริงๆเห็นทีต้องรอให้ถึงกองพิทักษ์ก่อน แล้วค่อยใช้เครื่องแปลภาษาดูดีกว่าค่ะ"  

                                     ครั้งนี้กลับเป็นยูวสาวน้อยขี้โมโหที่เข้าใจผม มันทำให้รู้สึกชื่นชมในตัวเธอมากยิ่งขึ้น  แต่มิใช่จากหน้าตาอันสละสลวยนั้นเลย คงเป็นเพราะการที่เธอสามารถเข้าใจผมได้มากกว่า

                     
                                     เชียวพยักหน้ารับและเข้าใจ  ดูเขาเริ่มผ่อนคลายแล้วสถานการณ์อังตึงเครียดก็เริ่มผ่อนคลายลงเช่นกัน

                     
                                     เ ฮ้ออ     
     ผ่านไปได้เปราะหนึ่งแล้ว  ในหนทางเบื้องหน้ายังมีอะไรซุ่มเร้นรอเราอยู่อีกหนอ

                     
                                     ยานยังทะยานไปสู่จุดหมายเบื้องหน้า ทัศนียภาพภายนอกยังคงไหลเลื่อนไปดั่งต้องมนต์สะกดอีกคราจึงเคลิมเคลิ้มและเริ่มเข้าสู่ภวังค์ไร้สำนึก  อ่อนล้ากับการขบคิดมามากพอแล้วในห้วงนี้จึงเหมาะนักที่จะจมดิ่งไปยลกาลแห่งนิทรา  

                                      เฮ้อ......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×