ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ก่อนจะย้อนสู่เรื่องราว
ก่อนจะย้อนสู่เรื่องราว
ผ่านเทือกเขาเขียวชะอุ่มสลับซับซ้อนลงไป แม้ถูกโปรยด้วยม่านหมอกอันหนาทึบก็มิอาจบดบังดวงหน้างดงามดั่งเจ้าหญิงจากเมืองแห่งเทพนิยายของเธอซึ่งปรากฏเด่นอยู่ในความคิดของเขาลงไปได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแม้เนิ่นนานแต่ก็เหมือนเพิ่งผ่านพ้นมาจากเมื่อวันวาน ฝากฟ้าอาจช่วยสะท้อนความคำนึงสู่เธอ หรือเพียงเงียบหายพัดผ่านไปกับสายลมว่างเปล่า.............
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหมุนล้อรถเข็นสำหรับคนพิการเพื่อหันหน้ากลับไปสู่บ้านพัก สองมือค่อยๆหมุ่นล้อเคลื่อนช้าๆไปข้างหน้าเบื้องหลังคือหุบเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนดูคล้ายยืนอยู่บนผืนเมฆขาวนวล แสงแห่งรุ่งอรุณค่อยๆเคลือนเข้าปกคลุมมาจากซอกเขาซึ่งดวงตะวันสีส้มกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ไล่หลังเขามา นั่นคือภารกิจประจำวันของเขาที่ต้องมานั่งดูผืนป่าที่ตัดกับขอบฟ้าสีทองตอนรุ่งสางทุกวันเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดกับเธอ เจ้าหญิงผู้งดงามซึ่งเขาได้จากเธอมาแสนไกลคนละีซีกโลก แม้ขาทั้งสองหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินต่อไปแล้วแต่ด้วยภาพความทรงจำอันตราตรึงนั้นซึ่งได้ช่วยพยุงและเป็นกำลังใจให้เข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ตราบจนวันนี้
"วันนี้ท้องฟ้าสวยกว่าทุกวันนะว่าไหมลูก?" หญิงวัยกลางคนที่เดินออกมาจากบ้านเอ่ยถาม ก่อนที่จะมาช่วยเข็นรถขึ้นเนินลาดเข้าบ้าน
ชายหนุ่มหันหน้าเหงนมองผู้เป็นแม่ พร้อมรอยยิ้มบางๆ "ครับแม่ มันทำให้เธอดูสวยกว่าทุกวันเช่นกัน"
เธอแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ต้องสะบัดหน้าเบาๆเพื่อสะกัดกั้นมันเอาไว้
"ลูกจะหลบเธออยู่อย่างนี้ตลอดไปเลยเหรอ"
คำถามนั้นช่างบีบคั้นหัวใจเขาเหลือเกินจนทำให้ต้องก้มหน้าถอนหายใจเืฮือกใหญ่
"แม่ขอโทษด้วยนะ ต้น ไม่น่าถามลูกอีกเลยจ๊ะ" เธอเริ่มกังวลเมื่อเห็นท่าทีของลูกชาย
"ไม่เป็นไรหรอกครับแม่" เขารีบหันไปจับมือของแม่ทันที
"ผมอาจจะต้องเป็นทุกข์ที่ทำเช่นนี้ เธอก็เช่นกัน แต่ถ้าเธอได้มาเห็นสภาพของผมในตอนนี้เธอคงเป็นทุกข์มากกว่าหลายเท่า ผมจึงจำเป็นต้องทำอย่างนี้ครับแม่ แม่เข้าใจผมใช่ไหมครับ"
ผู้เป็นแม่ปล่อยมือจากรถเข็นเมื่อถึงโต๊ะกินข้าวและเดินมาข้างหน้าลูกชายเอามือลูบหัวที่ถูกโกนไว้เกลี้ยงและเต็มไปด้วยรอยเย็บจากการผ่าตัดเบาๆด้วยความเอ็นดู
"แม่เข้าใจจ๊ะ เพียงแต่บางครั้งแม่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าคนเราควรจะคำนึงถึงความต้องการของคนสองคนที่เข้าใจกันหรือสิ่งที่เราเพียงกังวลว่าจะเกิดขึ้นมากกว่า"
ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจโดยที่ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีกเลยระหว่างมื้อเช้าอันแสนสุขสงบ..............................
ผ่านเทือกเขาเขียวชะอุ่มสลับซับซ้อนลงไป แม้ถูกโปรยด้วยม่านหมอกอันหนาทึบก็มิอาจบดบังดวงหน้างดงามดั่งเจ้าหญิงจากเมืองแห่งเทพนิยายของเธอซึ่งปรากฏเด่นอยู่ในความคิดของเขาลงไปได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแม้เนิ่นนานแต่ก็เหมือนเพิ่งผ่านพ้นมาจากเมื่อวันวาน ฝากฟ้าอาจช่วยสะท้อนความคำนึงสู่เธอ หรือเพียงเงียบหายพัดผ่านไปกับสายลมว่างเปล่า.............
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหมุนล้อรถเข็นสำหรับคนพิการเพื่อหันหน้ากลับไปสู่บ้านพัก สองมือค่อยๆหมุ่นล้อเคลื่อนช้าๆไปข้างหน้าเบื้องหลังคือหุบเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนดูคล้ายยืนอยู่บนผืนเมฆขาวนวล แสงแห่งรุ่งอรุณค่อยๆเคลือนเข้าปกคลุมมาจากซอกเขาซึ่งดวงตะวันสีส้มกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า ไล่หลังเขามา นั่นคือภารกิจประจำวันของเขาที่ต้องมานั่งดูผืนป่าที่ตัดกับขอบฟ้าสีทองตอนรุ่งสางทุกวันเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วรู้สึกเหมือนได้ใกล้ชิดกับเธอ เจ้าหญิงผู้งดงามซึ่งเขาได้จากเธอมาแสนไกลคนละีซีกโลก แม้ขาทั้งสองหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินต่อไปแล้วแต่ด้วยภาพความทรงจำอันตราตรึงนั้นซึ่งได้ช่วยพยุงและเป็นกำลังใจให้เข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ตราบจนวันนี้
"วันนี้ท้องฟ้าสวยกว่าทุกวันนะว่าไหมลูก?" หญิงวัยกลางคนที่เดินออกมาจากบ้านเอ่ยถาม ก่อนที่จะมาช่วยเข็นรถขึ้นเนินลาดเข้าบ้าน
ชายหนุ่มหันหน้าเหงนมองผู้เป็นแม่ พร้อมรอยยิ้มบางๆ "ครับแม่ มันทำให้เธอดูสวยกว่าทุกวันเช่นกัน"
เธอแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ต้องสะบัดหน้าเบาๆเพื่อสะกัดกั้นมันเอาไว้
"ลูกจะหลบเธออยู่อย่างนี้ตลอดไปเลยเหรอ"
คำถามนั้นช่างบีบคั้นหัวใจเขาเหลือเกินจนทำให้ต้องก้มหน้าถอนหายใจเืฮือกใหญ่
"แม่ขอโทษด้วยนะ ต้น ไม่น่าถามลูกอีกเลยจ๊ะ" เธอเริ่มกังวลเมื่อเห็นท่าทีของลูกชาย
"ไม่เป็นไรหรอกครับแม่" เขารีบหันไปจับมือของแม่ทันที
"ผมอาจจะต้องเป็นทุกข์ที่ทำเช่นนี้ เธอก็เช่นกัน แต่ถ้าเธอได้มาเห็นสภาพของผมในตอนนี้เธอคงเป็นทุกข์มากกว่าหลายเท่า ผมจึงจำเป็นต้องทำอย่างนี้ครับแม่ แม่เข้าใจผมใช่ไหมครับ"
ผู้เป็นแม่ปล่อยมือจากรถเข็นเมื่อถึงโต๊ะกินข้าวและเดินมาข้างหน้าลูกชายเอามือลูบหัวที่ถูกโกนไว้เกลี้ยงและเต็มไปด้วยรอยเย็บจากการผ่าตัดเบาๆด้วยความเอ็นดู
"แม่เข้าใจจ๊ะ เพียงแต่บางครั้งแม่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าคนเราควรจะคำนึงถึงความต้องการของคนสองคนที่เข้าใจกันหรือสิ่งที่เราเพียงกังวลว่าจะเกิดขึ้นมากกว่า"
ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจโดยที่ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีกเลยระหว่างมื้อเช้าอันแสนสุขสงบ..............................
นายแพทย์วัยกลางคนคว้ากระเป๋าเครื่องมือแล้วรีบก้าวลงจากรถอย่างรีบเร่งเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือที่สะท้อนแดดยามเช้าจนแยงตายังไม่ทันเห็นเข็มของมันเสียงนุ้มอันคุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน
"อ้าวดูสภาพแกซิ ตาเมธ เหมือนอดนอนมาสักปีนึงเลย"
"โหพี่ผมตื่นสายมีนัดประชุมสาธารณสุขอำเภอตอน 9 โมงด้วยเนี้ย ถึงต้องรีบมาดูเจ้าต้นมันแต่เช้า"
เขาถอดรองเท้าระเกะระกะแล้วก้าวเข้าไปหาหลานชาย ที่นั่งยิ้มให้เข้าอยู่บนรถเข็นคู่กาย
"ว่าไง ไอ้เสือ ปกติดีนะเมื่อคืน" เขาเอ่ยทักทายหลานชาย
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ
"วันนี้ อาดูยับเยิน กว่าผมอีกนะครับ"
"ฮ่า ฮ่า ไอ้ตัวแสบ มาบั่นทอนความมั่นใจของน้าลงไปอีกนะแก"
เขาคว้าหูฟังการเต้นของหัวใจมาสวมมันเข้าหูแล้วแนบปลายไปที่อกของหลานชาย
"อืมวันนี้หัวใจหัวใจแกเต้นเป็นจังหวะ สกา เลย"
เมธหันไปที่พี่สาว "ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ อาการต้นเขาดีขึ้นเรื่อยๆ"
เธอพยักหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
นายแพทย์เงยขึ้นมองนาฬากาติดพนังเรือนใหญ่เหนือตู้โชว์
"ผมไปก่อนละพี่ เดี๋ยวไม่ทัน"
หันไป จับบ่าหลานชายเบาๆ
"น้าไปก่อนต้น เย็นนี้อยากกินอะไรเปล่า"
"ไม่เป็นไรครับ" ชายหนุ่มตอบและมองตามหลังน้าชายที่กำลังรีบเดินออกที่หน้าประตู แม่เขาเดินไปส่งและหยุดคุยบางอย่างกันขั่วครู่ที่หน้าประตู
"ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแน่นะ" เธอถามอย่างกังวล
เมธก้มหน้าใส่รองเท้าพยายามรักษาท่าทีเพราะรู้ว่าหลานชายกำลังมองอยู่ห่างๆ
"มันก็เรื่องเดิมๆแหละครับ ผมจะลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติม"
"ขอบใจมากนะตาเมธ"
เขาพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนรถ
เธอมองตามรถคันนั้นแล่นลงไปตามเนินเขาจนลับหายไปอย่างมีความหวัง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น