ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โลกส่วนตัว

    ลำดับตอนที่ #7 : เบ็ดเตล็ดเรื่องกรรม2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 52


     กรรม คือ อะไร?   กรรม คือ การกระทำ   การกระทำนั้นมี ๒ อย่าง

    คือ......... 

    ๑.  การกระทำกรรมดี  

    ๒.  การกระทำกรรมชั่ว

    การกระทำกรรมดี   เป็นการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นกุศล

    การกระทำกรรมชั่ว   เป็นการกระทำที่เป็นบาปหรือเป็นอกุศล  

             ถ้าหากบุญกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความสุข   ความเจริญ

    รุ่งเรือง   ความสำเร็จ   ความสมหวัง   ความคล่องตัว   มีกำไร   ป่วยอยู่ก็จะ

    หายป่วย   ที่หน่ายอยู่ก็จะกลับมารัก ฯลฯ ......

             ถ้าหากบาปอกุศลส่งผลเมื่อไรเราก็จะพบกับความทุกข์   ความ

    เสื่อม   ความล้มเหลว   ความผิดหวัง   การติดขัด   ขาดทุน   ป่วยอยู่ก็จะ

    ตาย   ที่รักอยู่ก็แหนงหน่าย ฯลฯ ......

             ฉะนั้นคำว่า " กรรม " หมายถึงความดีและความไม่ดีด้วยเพราะกรรม

    คือการกระทำ   ส่วนการส่งผลของกรรมนั้น   มีทั้งกรรมหนักและกรรมเบา  

    กรรมจะส่งผลหนักหรือจะส่งผลเบานั้นขึ้นอยู่กับว่า   การประกอบกรรมหรือ

    ทำกรรมนั้นมีเจตนาทำ(ตั้งใจหรือจงใจทำ) หรือ ไม่มีเจตนาทำ(ไม่ตั้งใจ

    ทำ)   ถ้าหากเราตั้งใจทำความดีผลของความดีก็จะส่งผลมาก   ตรงกันข้าม

    ถ้าหากเราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำความดี   ผลของความดีก็จะส่งผลน้อยหรือไม่

    ส่งผลเลย   ถ้าเราตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะประกอบกรรมชั่วหรือทำความชั่ว  

    ผลของการกระทำความชั่วของเราก็จะส่งผลให้กับเรามาก   แต่ถ้าหากเราไม่

    มีเจตนาหรือไม่มีความตั้งใจที่จะทำความไม่ดีหรือความชั่ว   เราก็จะได้รับผล

    ของความชั่วหรือความไม่ดีน้อยเช่นกัน   ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความดี (บุญ

    กุศล)หรือการกระทำความไม่ดี(บาปอกุศล)ของเรามาจากการกระทำของเรา

    ได้ ๓ ทางคือ ......

    ๑.   การกระทำทางกาย

    ๒.   การกระทำทางวาจา

    ๓.   การกระทำทางใจ

     

              การกระทำทางกาย หมายถึง การใช้ร่างกายทำกรรมหรือประกอบ

    กรรมหรือลงมือทำนั่นเอง

            การกระทำทางวาจา   หมายถึง   การใช้วาจา   คำพูด   ทำกรรม

    หรือประกอบกรรม

            การกระทำทางใจ   หมายถึง   เกิดจากความนึกคิดหรือการใช้ความ

    นึกคิดทำกรรมหรือประกอบกรรม

            

             ผลของกรรมจะเกิดก็ต่อเมื่อ   การกระทำกรรมหรือประกอบกรรมนั้นๆ

    ของตัวเราและหรือคนอื่นๆ   ทำให้ตัวของเราและหรือคนอื่นเดือดร้อน   ไม่

    สบายใจและเป็นทุกข์   จุดเริ่มต้นของการประกอบกรรมหรือการทำกรรมนั้น  

    จะเริ่มจากทางใจหรือทางความนึกคิดของเราก่อน   พอคิดบ่อยๆเข้า   ก็จะ

    ส่งผลไปให้วาจาทำกรรมหรือประกอบกรรมขึ้น   พอพูดบ่อยๆเข้าทีนี้ก็ใช้กาย

    หรือร่างกายของเราทำกรรมหรือลงมือทำเลย   การประกอบกรรมโดยการ

    กระทำทางกายและทางวาจาทำให้เกิด เจ้ากรรมนายเวร   ส่วนการประกอบ

    กรรมที่ใช้หรือเกิดจากความนึกคิดของเรา   ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร   แต่จะเป็น

    วิบากรรม   กรรมที่เกิดจากหรือมีเจ้ากรรมนายเวรนั้น   เราสามารถที่จะทำ

    การแก้ไขได้   ถ้าหากบุคคลคนนั้นมีอภิญญาจิต   มีศีลที่บริสุทธิ์และมีธรรม  

    เพราะจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่ใช้ในการเจรจาหรือชี้แนะให้กับเจ้ากรรมนายเวร  

    ไม่เช่นนั้นเจ้ากรรมนายเวรเขาจะไม่ยอมและเชื่อฟังเรา   ถ้าหากเจ้ากรรมนาย

    เวรของใครที่ยังมีชีวิตอยู่   ทุกคนต้องแก้เอง   แก้โดยทั้งคู่อโหสิกรรมให้ซึ่ง

    กันและกัน   เพื่อผลของกรรมจะไม่ได้ต่อเนื่องและก็ข้ามภพข้ามชาติต่อไป

    อีก   ถ้าเราขอหรือให้อโหสิกรรมกับเขาแล้วแต่เขาไม่ยอม   เราไม่คิดติดใจ

    อะไรแล้ว   แต่เขายังมีและคิดผูกโกรธ   อาฆาตพยาบาทอยู่คนเดียวมันก็จะ

    กลายเป็นมโนกรรมของเขาและจะเป็นวิบากกรรมติดตัวเขาคนเดียวต่อไปถ้า

    หากเขาไม่หยุดนึกคิดนั้นเสีย   กรรมทางกายและทางวาจานั้นกระทำไปแล้ว

    ยังมีคนรู้เทวดาเห็น   ส่วนกรรมทางจิตใจ   ทางความรู้สึกนึกคิดของเรานั้น  

    ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น   นอกจากตัวของเราเองเท่านั้น   ใครจะคิดดีหรือคิด

    ไม่ดีมันก็จะเก็บเอาไว้ในจิตในใจของคนๆนั้นตลอดไป   สะสมกันไปดีบ้างไม่

    ดีบ้าง   เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้างแล้วแต่อะไรจะมากกว่ากัน   ถ้าอะไรมี

    มากกว่าอันนั้นก็ส่งผลก่อนและก็ทำให้อย่างอื่นรอบข้างที่มีพลังอำนาจ

    เหมือนกันส่งผลเพิ่มเข้ามาอีก   นี่เเหละวิบากกรรม   วิบากกรรมนี้แก้ไม่ได้  

    ดังคำกล่าวในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า " ทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลอย่าง

    นั้น   ปลูกพืชชนิดไหนก็ย่อมได้ผลของพืชชนิดนั้น "  เป็นกรรมที่ทำให้เรา

    ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จบและส่งผลให้เราทั้งทุกข์และสุขคละกันอยู่

    ในทุกวันนี้   จึงเป็นเหตุที่ต้องให้มีพระพุทธเจ้า   จึงต้องมีการเรียนรู้และ

    ศึกษาธรรม   จึงต้องมีการฝึกจิตฝึกสมาธิกัน   เพื่อยกจิตให้สูงขึ้นไม่ให้ตก

    ต่ำ   ฝึกจิตมุ่งสู่การหลุดพ้น ( พระนิพพาน )   กรรมชนิดนี้ถ้าเข้าพระนิพพาน

    เมื่อไรก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมทันที   วิบากกรรมนี้ทุกคนต้องแก้เอง   ไม่มี

    ใครช่วยเราได้เลย   ไม่ต้องวิ่งเสาะแสวงหาให้คนอื่นช่วยเหลือ   ก็ตนเป็นที่

    พึ่งแห่งตนนี่แหละ   เพราะบุญกุศลบารมีต้องสร้างและทำเอาเอง   ไม่มีวาง

    ขายไม่มีแจกและไม่มีแถม   คนอื่นๆเป็นได้แค่คนที่ชี้แนะแนวทางให้เราเท่า

    นั้น   นอกจากนี้ยังมีกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ของเราอีก   เรารับมาทั้งสอง

    ฝ่ายๆละ ๒๕%   รับเมื่อเราเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา   รวมเป็น ๕๐%   ติด

    ตัวของเรามาอีก ๕๐%   รวมก็เป็น ๑๐๐%   มีทั้งส่วนที่เป็นกุศล(ดี) และ

    อกุศล(ไม่ดี)   ถ้าหากเกิดมามีส่วนที่ดีมากเราก็จะสบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร  

    แต่ถ้าหากตอนนี้เราทุกข์ยากลำบาก   ไม่สบาย   มีปัญหา   ก็แสดงว่าอกุศล

    (ไม่ดี) มันส่งผลให้กับเราแล้ว   วิธีแก้ของเราก็คือการสร้างบุญสร้างกุศล  

    สร้างความดีให้มากๆเพื่อจะได้ไปกดทับพลังที่ไม่ดี(อกุศล)ไม่ให้มันส่งผลเท่า

    นี้เองก็หมดปัญหา   แต่การกระทำตรงนี้เราต้องมีและใช้ความเพียรพยายาม

    และความอดทนมากจึงจะสำเร็จ   ไม่เหมือนกับการทำความไม่ดีหรือทำ

    ความชั่วใช้ความเพียรน้อยแต่ส่งผลมากและเร็ว   พอกรรมวิบากที่เป็นฝ่ายไม่

    ดีนี้ส่งผลเมื่อไร   อย่างอื่นที่ไม่ดีก็จะแทรกทันที เช่น   เจ้ากรรมนายเวรที่รอ

    จังหวะที่จะเล่นงานเราอยู่   มารหรือซาตานก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น   คุณไสยมนต์

    ดำ   ลมเพลมพัดก็จะเข้าแทรกได้ทันที   จิตวิญญาณต่ำก็เข้าแฝง   ที่เขา

    เรียกว่า   " ดวงตก "   พอดวงตกผีก็ซ้ำ   มารก็ขวาง   วิญญาณก็แทรก  

    ทุกข์ทั้งกายทั้งใจเลยละทีนี้  อย่าวิ่งไปหาและขอความช่วยเหลือจากใคร

    เลย  เร่งสร้างบุญบารมีกันเถอะ  จะได้หมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขกัน

    ทุกๆคนเสียที .........       

    -------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×