ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โลกส่วนตัว

    ลำดับตอนที่ #11 : ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการเรียนสัตวแพทย์

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 53



    http://popopoy.exteen.com/20081002/entry

    มี...ข้อควรคำนึง ก่อนนึกอยากเรียนสัตวแพทย์ มาฝากจ้ะ

    1. คิดภาพตัวเองไว้ว่าอีก 6 ปี ข้างหน้า เราจะอยู่ที่ไหน

    • ตัวเราในชุดกาวน์สีขาว รักษาพูดเดิ้ลตัวน้อย ที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนโต๊ะตรวจ
    • ผ่าตัดลูกกระสุนออกจากสุนัขอัลเซเชี่ยน ด้วยเลือดที่เปื้อนเต็มมือในภาวะวิกฤติ
    • นอนอยู่กลางทุ่งหญ้า ใต้ท้องฟ้าสีคราม รั้้วฟาร์มกว้างสุดลูกหูลูกตา มีวัวเดินเล็มหญ้า ฝูงแกะ อยู่ลิบๆ
    • ตรวจแถวม้าทหาร ก่อนออกปฎิบัติิราชการ
    • ออกพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน ฉีดวัคซีนป้องกันโรคในสัตว์ในท้องถิ่นทำงานด้านสาธารณสุข
    • เสนอเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์
    • อยู่ในห้องแลบ ทดลอง และค้นคว้า เพื่อให้มนุษย์เข้าใจสัตว์มากขึ้น และเพื่ออยู่กับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร
    • ท่องเที่ยวไปทั่ว พบเจอสัตว์ป่าตัวเป็นๆ แบบ สารคดีพวก national geographic

    ถ้าคิดภาพอะไรแบบนี้ออกล่ะก็ มาเถอะ มาเรียนสัตวแพทย์กัน!.... ข้อหนึ่งนับว่าสำคัญที่สุดแล้ว เพราะถ้ามีปณิธานเท่ากับคุณเดินมาได้ครึ่งทางแล้วล่ะ ข้ออื่นๆ ก็คงเป็นแค่เรื่องรองๆลงไปเท่านั้น

    2. พูดคุยกับครอบครัวให้เข้าใจ

    • เพราะเป็นการเรียนที่หนัก ไม่มีเวลาพัก ไปsummer ต่างประเทศ หรือ ท่องเที่ยวกับครอบครัวมากนัก ปิดเทอมก็ต้องฝึกงาน ทำค่าย เรียนภาคฤดูร้อน ทำวิจัยก่อนจบ ข้อนี้ไม่ค่อยเท่าไรนะ อยู่ที่เราแบ่งเวลายังไงมากกว่า
    • เพราะเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตราย ถูกม้าเตะ  วัวขวิด หมากัด เป็ดไล่จิก โดนกงเล็บ แมวข่วน งูฉก ฯลฯ รวมทั้งต้องสัมผัสกับสัตว์ป่วยตลอดเวลา พิษสุนัขบ้าเอย แท้งติดต่อเอย ปากเปื่อยเท้าเปื่อย วัณโรค หิดเหา ฉี่หนู พยาธิ โน่น นี่ นั่น เยอะแยะไปหมด จะรับได้ไหมถ้าบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก
      ที่จริงก็มีการป้องกันอยู่แล้ว เช่น ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าประจำปี ใส่ชุดป้องกัน สวมถุงมือ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ แต่ความเสี่ยง หมายถึง มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดอันตรายได้อยู่นั่นเอง

    3. ถามใจว่าแข็งแกร่งพอมั้ย

    • บางทีเราอาจคิดว่าสิ่งสำคัญของสัตวแพทย์คือการโอบอุ้มชีวิตสัตว์ ไว้ด้วยสองมือของเราเอง แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จริงๆแล้ว อาชีพเราเหมือนเป็นตาชั่ง
      มือข้างนึงแบกรับความรู้สึกของเจ้าของ / ผลประโยชน์ของเกษตรกร / ความปลอดภัยของชุมชน
      ในขณะที่มืออีกข้างแบกรับความเมตตา และจริยธรรมต่อสัตว์
      มีสถานการณ์หลายๆอย่างให้ต้องลำบาก ...ต้องตัดสินชีวิต ให้อยู่หรือตาย , ต้องช่วยเหลือผู้คน , ต้องคิดถึงประชาชนหมู่มาก ถ้าตัดสินใจผิดเข้าคุก ต่อให้ตัดสินใจถูกก็อาจจะรู้สึกผิดไปจนตายก็ได้
    • ต้องเผชิญกับความสกปรก เลือด มูล ซากสัตว์ เป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสพบเจอในการเรียน ถึงจบมาแล้วจะเลี่ยงได้ แต่ก็ต้องเจออยู่บ้างเหมือนกัน ขึ้นกับว่าทำงานสายไหน (แต่สายไหนก็เจอทั้งนั้นแหละเนาะ)
      เช่นเอามือล้วงเข้าไปในก้นวัว ค่อยๆโกยขี้วัวออกมา ผ่านหน้าเราเอง ก่อนจะไหลลงพื้น ...ตรงที่เป็นรองเท้า เรานั่นแหละ  บางที ขี้พุ่งปรี๊ดดดดดออกมา ยืนรับมันอยู่อย่างนั้น "เอาเล้ย...เต็มที่ ขี้เต็มตัว"
      หรือต้องลุยเข้าไปจับลูกหมูในคอกลื่นๆ ที่เต็มไปด้วยขี้หมู เหม็นๆ กลับบ้านแม่แทบจะไล่ออกนอกบ้าน เสื้อผ้าก็ต้องแยกซักกับเค้า เพราะกลิ่นมันติดสุดทนทาน
      อยู่กับกลิ่นคาวเลือดในโรงฆ่าสัตว์ ได้เห็น วัว ถูกผ่าออกเป็นสองซีก เลือดไหลลงสู่เบื้องล่างอย่างกับน้ำประปา หัวถูกตัดแยกออกมา ไส้กองไปทาง เครื่องในไปทาง แล้วเดินตรวจดูว่ามีชิ้นส่วนไหนไม่ผ่านมาตรฐานบ้าง ตอนเรียนก็ต้องไปควานหาพยาธิในนั้นออกมาส่งอาจารย์บ้าง เอาชิ้นส่วนที่เค้าไม่ใช้มาเรียนมาศึกษากัน
      ต้องผ่าซากเองบ้างล่ะ กรีดเปิดหัวใจ ผ่ากะโหลกเปิดสมองดูบ้างล่ะ โดยเฉพาะซากเก่าๆที่แช่ฟอร์มาลินเป็นอาจารย์ใหญ่ให้นักศึกษามาหลายต่อหลายรุ่น.....ใครเป็นไซนัสก็ซวยไป ใครไม่เป็นก็จะเป็นมันตอนนี้แหละ
    • โดยหน้าที่การงานแล้ว เราจะมีลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งคนเหล่านี้มักจะมีประสบการณ์มากกว่า พูดง่ายๆคือ เก๋ากว่าเรา ในขณะที่เราไม่มีทางไล่ตามความเก๋านั้นได้ทันเพราะมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ โดยระบบแล้วแม้คนที่เพิ่งเรียนจบสัตวแพทย์ออกมา ก็ได้เป็นเจ้านายคนที่ทำงานมาหลายปี ดังนั้นก็ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้ทั้งที่เป็นเด็กจบใหม่นั่นแหละ

    4. จำเป็นต้องหารายได้เพื่อส่งเสียครอบครัวรึเปล่า

    • อย่างแรกเลยตอนเรียน จะมีค่าใช้จ่ายในการศึกษาสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์แพทย์ ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ นอกเหนือจากค่าเทอมที่ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน ต้องประเมินดูว่า เราจ่ายไหวมั้ย แต่ก็มีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอยู่ และมีทุนเรียนดี เรียนฟรี ให้เป็นทางเลือก อันนี้ต้องสรรหาไขว่คว้ากันเองนะคะ
    • เพราะว่าเรียนหนัก ฝึกงานเยอะ เริ่มฝึกงานตั้งแต่ปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นปีสอง ดังนั้นถ้าจะเจียดเวลาไปทำงานพิเศษ อาจจะลำบากหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลยนะ เพื่อนที่ทำงานไปเรียนไปก็มี ส่วนใหญ่จะขาดเรียนบ่อย ทำให้ตามไม่ทัน ก็อาศัยพึ่งพาเพื่อนที่มุเรียนอย่างเดียวกันไป
    • เมื่อจบมาทำงานแล้ว ขณะนี้เงินเดือนเริ่มแรกของสัตวแพทย์
      อกชนอยู่ที่ประมาณ 15000-18000 บาท อาจมีสูงต่ำได้กว่านี้
      ส่วนเงินเดือนราชการก็ประมาณ หนึ่งหมื่น นิดๆ (จำไม่ได้ว่าอีกกี่ร้อย)
      ชั่วโมงทำงานถ้าไม่ได้รับราชการแล้ว ส่วนใหญ่มากกว่าวันละ 10 ชั่วโมง "ไม่มีโอที" ทำงาน สัปดาห์ละ 5-6 วันและมักจะไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ลองถามตัวเองว่าคุ้มมั้ยกับความเสี่ยง กับงานหนักขนาดนี้ จะค้ำจุนครอบครัวได้หรือเปล่า
    • ด้วยนโยบายการศึกษาต่อเนื่อง จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับ เป็นสมาชิกชมรมนู่นนี่ ค่าใช้จ่ายเพื่อไปอบรม-สัมมนา เราอาจเลี่ยงได้โดยทำข้อสอบกับสมาคมก็จริง แต่ถ้าไปประชุมวิชาการซะบ้างก็จะได้อัพเดทความรู้ใหม่ๆตลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ค่อนข้างแพง เดือนละหลายพันทีเดียว (อย่างที่บอกว่าเลือกได้)

    5. เราแค่รักสัตว์หรืออยากรักษาสัตว์

    • มีสาขาวิชาใกล้เคียงกันกับสัตวแพทยศาสตร์เยอะแยะ ได้แก่ สัตวบาล / สัตวรักษณ์ / สัตววิทยา / ประมง / วนศาสตร์ / เทคนิคการสัตวแพทย์ ฯลฯ ลองศึกษาดูหลักสูตรให้แน่ใจ ก่อน เพราะสัตวแพทย์นั้นค่อนข้างจับฉ่ายเรียนสัตว์หลากหลายประเภท แต่ที่โดดเด่นก็คือการรักษาโรค ถ้าเราไม่ได้อยากรักษาโรค แค่อยากใกล้ชิด ดูแล หรือ สนใจเฉพาะด้าน ก็มีทางเลือกอื่นๆอีก เรียนจบออกมาก็ภาคภูมิใจเหมือนกัน และได้มีประสบการณ์ที่เรียนสัตวแพทย์ไม่ได้เจอก็มี
    จบแล้วมีแค่ห้าข้อ เพราะนึกออกแค่นี้ ไม่ได้เขียนขึ้นมาให้เข้าใจว่าสัตวแพทย์เรียนยังไง แต่หวังว่าจะช่วยให้ใครที่นึกอยากเลือกสัตวแพทย์ เข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเราพร้อมมั้ยที่จะเปลี่ยนจากเด็กมอหก เป็นสัตวแพทย์ในอีก หกปีข้างหน้า
    สุดท้ายนี้ ขอให้มีความสุขกับทุกหนทางที่เลือกเดินนะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×