คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 12
บทที่ 12
“ที่ทรงตรัสเมื่อครู่หมายความว่าอะไร”
สุรเสียงราบเรียบหากแฝงความเย็นยะเยือกรับสั่งถามนุ่มนวล เมื่อพระองค์และองค์ ‘ราชินี’ แห่งแคว้นปัทมรัฐเสด็จมาถึงพระตำหนักพยัพเมฆ ที่สร้างไว้ให้พระราชอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติประทับ
ตัวตึกเป็นหินอ่อนสีขาวเฉกเช่นตำหนักอื่นในพระราชวัง หากแต่ตำหนักพยัพเมฆนั้นจะอยู่ห่างจากตำหนักอื่นค่อนข้างมากพอสมควร เพื่อเป็นการถวายความเป็นส่วนพระองค์ให้แก่ผู้ทรงศักดิ์ที่มาประทับอยู่ ณ ที่นี้ ภายในตกแต่งด้วยพรมหนานุ่มสีแดง ที่มีลวดลายชดช้อยสีทองเป็นกิ่งไม้พลิ้วไหวบนพรมนั้น รับกับเก้าอี้บุนวมและโต๊ะน้ำชาเล็กๆ ที่ตั้งไว้ให้ผู้ที่มาประทับไว้พักผ่อนพระอิริยาบถ
หน้าต่างบานยาวจรดพื้นกรุกระจกใส จึงส่องแสงสว่างในยามกลางวันได้ทั่วห้องขนาดกลาง เมื่อแสงตกระทบกับโคมแก้วเจียระไนที่แขวนอยู่บนเพดานสูง ก็บังเกิดเป็นสีรุ้งพราวระยับไปทั่วทั้งห้อง
“กระหม่อมขอถามอีกครั้งว่าเมื่อครู่นี้ที่ทรงรับสั่งว่าจะขออภิเษกกับน้องชายกระหม่อมจริงหรือพะยะค่ะ”
คราวนี้สุรเสียงเหมือนจะเริ่มขาดความอดทน เพราะจิตรางคทาทรงได้กลิ่นควันกรุ่นอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ พักตร์งามจึงหันกลับมาทอดพระเนตรองค์ยุพราชที่เสด็จมา ‘ส่ง’ พระองค์ถึงตำหนัก
“ทำไมล่ะ ก็จริงอย่างที่ฝ่าบาทว่า หากเราต้องเสียน้องไปให้ท่าน เราคงเหงาแย่ แต่หากเราได้อภิเษกกับองค์จิตรดิลก อย่างน้อยๆ ก็ยังคงมีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ หรือไม่จริง”
“ทรงคิดอภิเษกกับน้องชายกระหม่อมจริง?”
“เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกฝ่าบาท”
“จิตราคทา อย่าบอกนะว่าทรงเกิดจิตปฏิพัทธ์ชายเล็ก...” สุรเสียงทุ้มเข้มข้นขึ้นตามแรงพระอารมณ์ที่ไม่ทรงคิดจะเก็บ
“จะรักได้อย่างไรล่ะ เราเพิ่งเห็นพักตร์องค์จิตรดิลกเมื่อครู่ก่อนนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปรัก!”
“แล้วเหตุใดพระองค์จึงต้อง ‘แลก’ ถึงขนาดนี้” คราวนี้หัตถ์แข็งแกร่งขององค์ยุพราชคว้าต้นพระพาหาบอบบางทั้งสองข้างให้เข้ามาใกล้ “เหตุใดจึงทรงทำองค์ไร้พระทัยนัก!”
จิตรางคทาทอดพระเนตรไปรอบห้อง ก่อนที่จะทรงพบว่าเหลือพระองค์และวรองค์สูงอยู่ตามลำพัง
“อย่าทรงมองหาใครช่วยเลย เมื่อครู่กระหม่อมสั่งให้ออกไปให้พ้นจากบริเวณตำหนักนี้ให้หมดเอง”
“ทรงทำเช่นนี้ไม่ได้!” วรองค์บางระหงเริ่มดิ้นรนให้หลุดจากหัตถ์แข็งนั้น “ปล่อยเรา!”
“ทรงเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน ถึงกล้าขอผู้ชายแต่งงานทั้งๆ ที่เจอหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียว”
ประโยคกล่าวหานั้นทำให้เนตรงามวาวโรจน์อย่างกริ้วเต็มที่
“ต่อให้เราเป็นผู้หญิงอย่างไร ก็คงไม่ต้องให้คนที่จะมาเป็น ‘น้องเขย’ ของเรามาสนใจหรอก!”
“ทรงมีพระทัยรึเปล่า! ไม่คิดหรือว่าน้องชายกระหม่อมเขาไม่ได้อยากอภิเษกกับพระองค์สักน้อย” องค์หัสดายุวราชกระแทกเสียง หน้ากากแห่งความเรียบเฉยถูกกะเทาะออกด้วยสถานภาพ ‘น้องเขย’ ที่อีกฝ่ายยื่นให้เมื่อครู่ ดวงเนตรสีรัตติกาลวาววับขึ้นอย่างมาดร้าย สีพระพักตร์เหี้ยมเกรียมจนวรองค์บางเริ่มหวาดหวั่น
ทว่าถึงแม้จะหวาดกับท่าทีที่เปลี่ยนไปขององค์ยุพราช จิตรางคทาก็ยังคงรักษาสีพระพักตร์เรียบเฉยไร้พระอารมณ์ได้อย่างดี
“แล้วทรงรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่อยากอภิเษกกับเรา ตัวของเขาเองก็ยังไม่เดือดร้อนเลย”
“แต่กระหม่อมไม่ยอมให้อภิเษกกับเขาแน่!”
คำประกาศกร้าวของหัสดายุวราชทำให้เนตรงามเบิกกว้างด้วยความตระหนกและไม่เชื่อกรรณองค์เอง ก่อนที่จะทรงดิ้นรนรุนแรงขึ้นเพื่อให้พ้นจากอ้อมพระกรที่คอยหลอกหลอนพระทัยอยู่เกือบสิบวัน
“ปล่อยเรา! ท่านมีสิทธิอะไรที่จะไม่ให้เราอภิเษก! ท่าน...”
“สิทธิของกระหม่อมเองอย่างไรเล่า กระหม่อมมีสิทธิในพระองค์นับตั้งแต่วินาทีที่กระหม่อมดวลดาบชนะอินทยุทธ์แล้ว ตามกฎการดวลดาบที่ว่าผู้ชนะจะได้รางวัลในการเดิมพันเป็นสมบัติของตัวเอง!!!”
พักตร์งามแดงซ่านขึ้นทันควันเมื่อระลึกถึงรับสั่งของอีกฝ่ายในครานั้น...
...จิตราของข้า...
“แต่เราไม่ใช่คนแคว้นนี้ ดังนั้นเราก็ไม่ต้องถูกผูกมัดด้วยประเพณีของแคว้นนี้!”
“แต่ตอนนี้ทรงยืนอยู่บนแผ่นดินแห่งแคว้นศัสสวัตินี่พะยะค่ะ” บางทีอาจจะเป็นเพราะสุรเสียงของพระองค์ที่บ่งบอกถึงความหวาดระแวง วรองค์สูงที่ค่อยๆ โน้มเอาวรองค์บางเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงสรวลน้อยๆ อย่างเห็นขันแกมเยาะ
จิตรางคทารับรู้ถึงความรู้สึกยามที่ลมหายพระทัยอุ่นๆ ของวรองค์สูงที่ลามเลียอยู่ใกล้ๆ พระกรรณ ทำเอาพระโลมา[1]ทั่วพระวรกายลุกเกรียว ทว่าไม่กล้าผินพักตร์ไปเผชิญหน้ากันตรงๆ เพราะขณะนี้พักตร์คร้ามคมนั้นโน้มลงมาใกล้จนน่าใจหาย...
“ทรงเป็นของกระหม่อมแต่เพียงผู้เดียว...’จิตรา’...”
เนตรงามเบิกกว้างด้วยความตกพระทัยที่อีกฝ่ายเรียกชื่อปลอมๆ ของพระองค์ด้วยสีพระพักตร์มาดหมาย ทรงรีบร้องห้ามทันควันเมื่อนาสิกโด่งแตะแต้มปรางนวลเนียน...
“รับสั่งออกมาได้ ทรงเป็นว่าที่น้องเขยเรานะ...มะ...อุ๊บ!”
สุรเสียงหวานเงียบหายทันควันเมื่อองค์หัสดายุวราชทรงเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงเสี้ยววินาทีทรงโอบอังสาบอบบางขององค์ราชินีแห่งปัทมรัฐด้วยหัตถ์เพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างทรงเชยคางมนนั้นให้เชิดขึ้น ก่อนจะก้มลงดูดกลืนสุรเสียงหวานนั้นด้วยริมโอษฐ์ขององค์เอง...
...สัมผัสอบอุ่นที่แนบลงมารวดเร็วนั้นรุกไล่เอาพระสติของวรองค์บางให้หลุดลอยอย่างรวดเร็ว ไม่ทรงขัดขืนแต่อย่างใด หากทรงนิ่งเหมือนตกตะลึงกับเหตุการณ์จนมิได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากนิ่งงันอย่างเดียว...
หัสดายุวราชแนบริมโอษฐ์หยักงามทาบทับกลีบโอษฐ์สีหวานแนบแน่น ปิดกั้นทุกๆ เสียงให้กลับกลืนหายลงไปในศอระหง ทรงขบเม้มกลีบโอษฐ์บางระเรื่อยสลับกับดูดดึงแผ่วเบา จนริมโอษฐ์งามแดงก่ำ หากเจ้าของกลีบโอษฐ์แสนหวานก็หุบแน่นไม่ยอมให้ชิวหาอุ่นที่เพียรลากไล้เข้ารุกรานภายใน
จิตรางคทามิรู้องค์ว่าทรงหลับพระเนตรลงคราใด หากพระสติที่หลุดหายก็กลับมาครึ่งๆ กลางๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงทุ้มพร่านิดๆ อ้อนวอนอ่อนหวาน...
“จิตราของพี่...เผยอโอษฐ์ขึ้นหน่อยได้ไหม...”
เปลือกเนตรอ่อนบางกระพริบเปิดขึ้นน้อยๆ อย่างงุนงง ก่อนจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อทรงรับรู้ชัดถนัดเนตร...ว่าพักตร์หล่อเหลาราวรูปสลักกำลังอยู่แนบชิด มิหนำซ้ำริมโอษฐ์หวานนี้ก็ถูกตราประทับด้วยริมโอษฐ์ของอีกฝ่าย...
“อย่า...ยะ!” สุรเสียงหวานที่อ่อนระโหยถูกดูดกลืนอีกครั้ง หัสดายุวราชทรงดูดดึงริมโอษฐ์ล่างรวดเร็วก่อนที่วรองค์บางจะทันหุบเม้มแน่น ปฏิกิริยาดิ้นรนที่คืนกลับมาอีกครั้งเมื่อครู่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ แม้แต่พระหัตถ์ที่ยกขึ้นเตรียมเล่นงานวรองค์สูงที่ทรงยืนแนบชิด โอบวรองค์แบบบางแนบพระกายหนาแลแข็งแกร่งก็ตกลงเมื่อจิตรางคทาทรงรับรู้ถึงกระแสร้อนวาบสายหนึ่งที่แล่นไปทั่วพระวรกายอย่างรวดเร็วเมื่อปลายชิวหาเล็กนุ่มของพระองค์ถูกชิวหาใหญ่กว่า ชำนาญกว่าแตะหยอกเย้า พร้อมควานหาความหวานละมุนจากโพรงโอษฐ์นุ่มอย่างมิรู้เบื่อ
วรองค์บางสั่นระริก ไร้เรี่ยวแรงที่จะประคององค์เสียจนต้องปล่อยให้วรองค์แกร่งโอบกอดแนบแน่น หัตถ์หนาอุ่นร้อนขององค์หัสดายุวราชลากผ่านหลังนวลเนียน ก่อนจะกอบกุมหลังพระศอ เพื่อบังคับแหงนเงยพักตร์หวานให้รับรสจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า ความรู้สึกประหลาดล้ำ ทั้งหวามหวาน หวิวแผ่วแล่นปราดไปทั่วพระวรกายแบบบาง บังคับองค์ให้ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ได้แต่ยอมจำนนใต้รอยจุมพิตอ่อนหวานซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก...
จวบจนวรองค์สูงถอนพระโอษฐ์ ก่อนจะลากปลายพระดรรชนีไล้ไปทั่วโอษฐ์บางที่ตอนนี้แดงก่ำ ทอดพระเนตรพักตร์งามที่หลับเนตรพริ้มด้วยความหลงใหล จนอดไม่ได้ที่จะจุมพิตหนักๆ อีกครั้ง
คราวนี้จิตรางคทาลืมพระเนตรขึ้นอย่างรวดเร็ว!
องค์หัสดายุวราชแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยน รับสั่งเสียงทุ้ม “จิตราของพี่...”
“หัสดายุ...”
“อย่ากริ้วพี่เลยนะเจ้า...หากจะเป็นสิ่งใดที่ดลให้พี่กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรหากแสนสุขถึงเพียงนี้ สิ่งนั้นก็คือหัวใจของพี่นั่นเอง...”
รับสั่งตรงๆ ทำเอาองค์จิตรางคทาที่ยังคงรู้สึกหวามไหวเบิกเนตรกว้าง พระสติกลับคืนมาเต็มที่ทันควัน
“ทรงทำอย่างนี้ได้อย่างไร!” วรองค์บางสะบัดองค์รุนแรง และคราวนี้องค์หัสดายุวราชก็ทรงปล่อยแต่โดยดี “ฝ่าบาทกำลังจะเป็นน้องเขยของเราแท้ๆ กล้าดีอย่างไรมาทำกับเราเช่นนี้! กล้าดีอย่างไรมาพูดกับเราอย่างนี้!”
“จิตรา...”
“เราต้องเตรียมตัวเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงของสมเด็จป้า หากฝ่าบาทมิมีธุระใดกับเราแล้วก็เชิญเถิด” เมื่อพระสติกลับมาเต็มที่ ท่าทางหมางเมินก็ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน
สีพระพักตร์งามพิลาศนั้นเรียบเฉย พระเนตรบุษราคัมนั้นนิ่งสงบดุจน้ำไร้คลื่น สุรเสียงไม่สั่นแม้สักน้อย
องค์ยุพราชยืดพระองค์ขึ้นตรง ก่อนจะก้มเศียรลงคำนับวรองค์บางที่ยิ่งศักดิ์กว่าช้าๆ เป็นเชิงอำลา เมื่อทรงเงยขึ้นก็พบว่าจิตรางคทาทรงกำลังดำเนินไปที่บันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสอง โดยไม่กล่าวคำลาใดๆ
“กระหม่อมรู้ว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นไม่สมควร...” องค์หัสดายุวราชรับสั่งขึ้นช้า...ชัด วรองค์บางที่กำลังดำริว่าจะเร่งฝีพระบาทดีหรือไม่หยุดชะงัก “...หากกระหม่อมรู้ว่าสิ่งที่ไม่สมควรทำยิ่งกว่า คือปล่อยให้สิ่งที่เรารู้ว่าเรา ‘ต้องการ’ ที่สุดในชีวิตหลุดลอยไป...และกระหม่อมจะไม่ทำผิดพลาดอย่างนั้นเด็ดขาด!”
งานเลี้ยงถวายพระกระยาหารค่ำแก่พระราชอาคันตุกะเริ่มขึ้นเมื่อสุริยาลับหายไปแล้ว...
บริเวณงานถูกจัดขึ้นในห้องทรงพระสำราญหนึ่งในหลายๆ ห้อง และห้องนี้มีไว้เพื่อจัดงานใหญ่อย่างเช่นงานรับรองราชอาคันตุกะต่างแดน และคราวนี้ก็เช่นกัน...
ด้วยฝีพระหัตถ์องค์ราชินีแห่งศัสสวัติ ทำให้บริเวณงานที่มีผู้คนมากมาย ทั้งเสนาบดีทั้งหลายพร้อมกับครอบครัว ยังมีคหบดีผู้มั่งคั่งและมีชื่อเสียงในเมืองปารันได้รับเชิญมาให้ร่วมเป็นเกียรติในงานด้วย เป็นประเพณีของการจัดงานเลี้ยงต้อนรับอาคันตุกะที่จะต้องให้แขกผู้มาเยือนได้พบปะกับบุคคลสำคัญของแคว้น...
หากแต่วันนี้ผู้คนในงานคลาคล่ำ ต่างสวมใส่ชุดหรูหราพร้อมเครื่องประดับมองดูละลานตา แสงจากเครื่องประดับทั้งหลายที่ล้อประกายไฟวูบวาบ ทำให้บรรยากาศในงานเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์แทนที่จะเป็นบนแดนดิน ยิ่งพระราชอาคันตุกะคนสำคัญในวันนี้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นถึงองค์ราชินีแห่งแคว้นข้างเคียง ที่ถึงแม้จะทรงไร้บัลลังก์ในบัดนี้ หากทว่าทุกคนก็เชื่อว่าพระราชินีองค์นี้จะได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างถูกต้องในเร็ววันแน่นอน เมื่อดูจากกลยุทธ์การรบและขวัญกำลังใจของคนในค่ายทหาร ที่บางคนในงานเลี้ยงเคยเข้าไปเยี่ยมพร้อมนำข้าวของไปให้ออกมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟังอย่างออกรส
เหนือสิ่งอื่นใด ทุกคนมาเพื่อพิสูจน์ว่า องค์จิตรางคทาวรราชกุมารี ทรงมีความงามเป็นเลิศเพียงไหน...ชายหนุ่มผู้ดีทั้งหลายได้ข่าวคราวว่าพระองค์ทรงไร้พระทัย ไม่มีใครที่จะฉกฉวยเอาความรักไปจากพระองค์ได้ จึงยิ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายแลน่านับถือ ยำเกรงไปพร้อมๆ กัน
เสียงดนตรีที่แผ่วพลิ้วอยู่ในอากาศเงียบลงเมื่อมีเสียงก้องกังวานของมหาดเล็กเข้าแทรกแซง...
“พระราชาและพระราชินี”
ทุกคนพร้อมใจกันเงียบ และถวายความเคารพอย่างต่ำเพื่อแสดงความอ่อนน้อมต่อเจ้าผู้ครองศัสสวัติ ก่อนที่อีกครู่จะได้ยินเสียงประกาศของชาวที่อีกครั้ง
“พระราชินีแห่งปัทมรัฐ พระยุพราช และเจ้าฟ้าชายจิตรดิลก”
วรองค์งดงามแบบบางก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างแช่มช้า งามสง่า...สะกดทุกสายตาให้ลืมหายใจ
...เพ่งพิศเพียงพ่างพวงเพ็ญ วับตามองเห็นเป็นนาง
ฤาสุรางค์อัปสรจากสวรรค์ ปานเทพเทวันสรรสร้าง
นวลพักตร์นวลเจ้าราวสิตางคุ์ นวลปรางมอบรักปักหทัย...
จิตรางคทาทรงฉลองพระองค์งดงามด้วยสีม่วงชมพูอ่อนเกือบขาว ที่ปักระยับไปด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ พร่างพรายดุจดาราระยิบตา พระศอเนียนระหงนั้นมีสร้อยปัทมาสีแดงก่ำ ที่ช่างประดิษฐ์ให้เกาะเกี่ยวกันเป็นกุหลาบตลอดทั้งเส้น มีเพชรัตน์งดงามแตะแต้ม เป็นเครื่องประดับเพียงอย่างเดียวที่ทรงใช้ มวยพระเกศาที่เกล้าตลบขึ้นหลวมๆ นั้นมีเพียงดอกกุหลาบหนูสีขาวอมชมพูพวงน้อยหากหอมกรุ่นประดับ ส่งให้วรองค์บางดูงดงาม...สง่า แลอ่อนหวาน อ่อนโยนในคราเดียวกัน
องค์หัสดายุวราชที่แตะกรกลมกลึงขององค์ราชินีแห่งปัทมรัฐกระซิบแผ่ว สายพระเนตรที่กวาดมองรอบห้องเย็นชา ขัดกับสีพระพักตร์แย้มยิ้มน้อยๆ ที่ทรงแสดงออกมาเป็นปกติ
“มีแต่คนมองจิตราของพี่...ชักจะหวงแล้วสิ”
เนตรสีบุษราคัมวาววับขึ้นทันควัน หากไม่ทรงสะบัดกรออกจากหัตถ์หนาที่กุมอยู่อย่างที่อีกฝ่ายดำริ จิตรางคทายังแย้มสรวลอ่อนๆ งดงามไปให้ทั่วทั้งห้อง ก่อนที่องค์หัสดายุวราชจะพาวรองค์บางไปหยุดอยู่ตรงเบื้องพระพักต์เจ้าผู้ครองแคว้นศัสสวัติกับพระราชินี ที่แย้มโอษฐ์รับกว้างขวาง
องค์ศิรวิชย์ทรงก้าวขึ้นไปบนยกพื้นสูง ที่จัดวางรัตนบัลลังก์ไว้เบื้องหลัง เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องกว้างนั้นเงียบลงเรียบร้อย ก็รับสั่งออกมาเสียงกังวาน
“กระหม่อม...ในนามตัวแทนแห่งแคว้นศัสสวัติ ขอกล่าวคำถวายการต้อนรับองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐ ที่ให้เกียรติเสด็จเยือนแคว้นของกระหม่อมในครั้งแรกของการขึ้นครองราชย์นี้ ขอให้การเสด็จมาเยือนแคว้นศัสสวัติในครั้งนี้ เป็นที่ถูกพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และหากทางแคว้นศัสสวัติได้กระทำการสิ่งใดให้ขัดเคืองพระอัธยาศัย ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระราชทานอภัยโทษด้วย...”
“ขอให้การเสด็จเยือนศัสสวัติในครั้งนี้ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถึงพร้อมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพื่อความสุขแห่งประชาชนทั้งสองแคว้น ที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมาช้านาน ขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเกษมสำราญกับการเสด็จเยือนแคว้นของกระหม่อมในครั้งนี้ และในโอกาสนี้ กระหม่อมขอถวายพระพร ให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปกครองปัทมรัฐอย่างสงบร่มเย็น ยิ่งยืนชั่วกาลนานพะยะค่ะ”
จิตรางคทาแย้มสรวลกว้างขวางเมื่อสบสายพระเนตรของเจ้าลุงในขณะที่ทุกคนในงาน ต่างพากันถวายความเคารพอย่างต่ำ ถวายพระเกียรติสูงสุดเทียบเท่าเจ้าผู้ครองแคว้น
“ขอบพระทัยเพคะ” วรองค์บางทูลกระซิบแผ่ว องค์ศิรวิชย์พยักพักตร์รับอย่างเอื้อเอ็นดู
หากภายใต้สีหน้ายิ้มละไม คำพูดสวยหรูที่ดูจะปกป้องและให้เกียรติองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐอย่างที่สุด องค์จิตรางคทาทรงรู้...คำว่า ‘ถึงพร้อมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย’ นั้นก็หมายถึงว่าทางศัสสวัติก็ยังรักษาผลประโยชน์ของตนอย่างแน่นหนา ยังคงต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ ‘เพียงพอ’ แก่การ ‘ถึงพร้อมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย’ อย่างแน่นอน
การเมืองก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้จะมีความสัมพันธ์รักใคร่กันขนาดไหน หากแต่ผลประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่คนเป็น ‘นักการเมือง’ จะละเลยไม่ได้
เพียงแต่ผลประโยชน์ของเจ้าผู้ครองรัฐ นักการเมืองอันดับหนึ่ง เป็นผลประโยชน์ของชาติเท่านั้น!
องค์จิตรางคทานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนรับสั่งตอบรับก้องกังวาน
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยเจ้าลุงเป็นอย่างยิ่ง แลหวังว่าเจ้าลุงคงจะทรงพระกรุณาเมตตาหลานคนนี้ให้มากๆ นะเพคะ ส่วนการมาเยือนแคว้นศัสสวัติในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงน้ำใจของบ้านพี่เมืองน้องที่อยู่ใกล้เคียงกัน เราหวังว่าทุกท่าน...” ทรงเน้นสุรเสียงตรงท้ายประโยคหนักแน่น “...นั้นจะมีใจเมตตาต่อเราผู้เยาว์วัย และจะเราหวังว่าจะได้เห็นการช่วยเหลือระหว่างสองแคว้น เพื่อการอันเป็นประโยชน์ต่อทั้งเราและท่านต่อไปในอนาคต และเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างแคว้น ให้เจริญสถาพรต่อไปชั่วกาลนาน”
นัยของประโยคนั้นทำให้องค์ชายสองพี่น้องหันมาสบพระเนตรกันอย่างรู้เท่า
หากใครที่คิดจะดูแคลนองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐคงต้องคิดใหม่ เมื่อเพียงแค่ประโยคเดียวก็แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาที่ยิ่งกว่าบุรุษทั่วไปเป็นอันมาก ดังนั้นเสียงถวายพระพรจึงมิเบาเลยเมื่อคนทั้งหมดเอ่ยออกมาอย่างเต็มใจ
“ขอทรงพระเจริญ ทรงพระเกษมสำราญพะยะค่ะ”
เสียงดนตรีที่แผ่วหายไปเมื่อยามที่พระราชวงศ์ทั้งหมดเสด็จมาเริ่มบรรเลงอีกครั้ง แลองค์ศิรวิชย์ก็ทรงเสด็จมาเบื้องพักตร์งาม ก่อนจะทอดพระเนตรอย่างกระเซ้าปนเอ็นดู ทรงยื่นกรออกไปเบื้องหน้าพลางรับสั่งเป็นเชิงเย้า
“ได้เวลาทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งแล้วนะหลานจิตรา”
องค์ราชินีแย้มสรวลร่าเริง เมื่อทรงแตะปลายหัตถ์ลงบนกรของเจ้าลุง
“หม่อมฉันพร้อมเสมอเพคะ”
เจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสองพระองค์เสด็จไปตรงกลางห้องโถง ก่อนที่จะหมุนองค์ไปตามจังหวะเพลงที่เริ่มบรรเลงขึ้น เป็นการ ‘เปิดฟลอร์’ อีกหนึ่งในวัฒนธรรมที่แคว้นแถบนี้ได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติก็เริ่มต้น พร้อมๆ กับการส่งคนไปร่ำเรียนเพื่อที่จะเก็บนำความรู้ต่างๆ มาใช้ในการพัฒนาแว่นแคว้นของตนเองให้มากที่สุด
เมื่อมีคู่เปิดงาน อีกสักพักคู่อื่นๆ ก็เริ่มทยอยเข้ามาร่วมเต้นด้วย องค์ศิรวิชย์ทรงจูงหัตถ์คู่เต้นออกมา ก่อนจะทรงสรวลให้องค์ราชินีที่เพิ่งจะทรงเต้นรำกับองค์หัสดายุวราชเสร็จเช่นเดียวกัน
“พี่คงแก่แล้วล่ะอุษา” ทรงสรวลอย่างเห็นขันกับองค์ราชินี “เต้นได้แป๊บๆ ก็เหนื่อยแล้ว คงต้องให้หนุ่มๆ สาวๆ เขาได้สนุกกันแล้วล่ะ”
“หม่อมฉันก็เหมือนกันเพคะเจ้าพี่” พักตร์ที่ยังคงงดงามสมวัยหันมาหาวรองค์บอบบางที่ทรงนั่งอยู่เบื้องพักตร์อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปรับสั่งกับโอรสทั้งสองพระองค์อย่างไม่เจาะจงนัก
“พาน้องไปเต้นรำเถิด”
“พะยะค่ะ”
สององค์พี่น้องหันมาทอดพระเนตรซึ่งกันและกันเมื่อรับสั่งออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนที่องค์จิตรางคทาที่ทอดพระเนตรอยู่จะรับสั่งขัดขึ้นมาก่อน
“องค์จิตรดิลก คงไม่รังเกียจหากจะเต้นรำกับเรานะ”
“ไม่รังเกียจเลยพะยะค่ะใต้ฝ่าละอองฯ กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำไป” วรองค์สูงสง่าคล้ายองค์พี่ค้อมเศียรลง ก่อนยื่นกรให้จิตรางคทาได้ยื่นหัตถ์มาแตะน้อยๆ ทั้งสององค์แย้มสรวลให้กันก่อนจะเสด็จเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำอีกครั้ง โดยมีสายพระเนตรขององค์หัสดายุวราชคอยจับจ้องไม่กระพริบ
องค์ราชินีทรงทำพักตร์แปลกพระทัย “อ้าว! แล้วทำไมลูกไม่ไปขอพระญาติ หรือไม่ก็ท่านหญิงซักคนมาเป็นคู่เต้นล่ะชายใหญ่ ทำไมนั่งอยู่คนเดียว”
“กำลังมองดูคู่ตุนาหงันอยู่ค่ะสมเด็จแม่” หัสดายุวราชทรงยกหัตถ์พระมารดามาแนบปราง กิริยาออดอ้อนราวเด็กชายเมื่อวันวานทำให้องค์ราชินีทรงแย้มสรวลเอ็นดู ทว่าองค์ศิรวิชย์ทรงทำพักตร์ฉงน
“คู่ตุนาหงันอะไรกันชายใหญ่...จิตรากับชายเล็กน่ะหรือ”
“โธ่! เจ้าพ่อ เมื่อกลางวันองค์จิตรางคทาก็รับสั่งออกจะชัดเจนนี่พะยะค่ะ ว่าทรงอยากดองกับเราอีกชั้นหนึ่ง”
“พ่อมาคิดๆ ดูแล้วก็เห็นดีจริงตามอย่างที่จิตราคิดเหมือนกันนะ ยิ่งยศยิ่งศักดิ์อย่างองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐ ไม่มีทางหาชายใดที่เพียบพร้อมยศศักดิ์เท่ากันมาอภิเษกได้หรอก”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะเพคะเจ้าพี่” องค์ราชินีอุทานเบาๆ ก่อนหันไปรับสั่งถามพระสวามี หากองค์หัสดายุวราชกลับเป็นผู้รับสั่งไขข้อข้องใจ
“ก็องค์จิตรางคทาทรงดำรงพระยศเป็นถึงองค์ราชินีผู้ครองแคว้น ศักดิ์เทียบเท่าเจ้าพ่อเลยนะพะยะค่ะ หากจะหาผู้เท่าเทียมกันก็จะมีแต่กษัตริย์ผู้ครองแคว้นเท่านั้น ซึ่ง...ไม่ใครก็ใครจะต้องสละราชสมบัติสักคนเพื่อการอภิเษก แล้วใครเล่าจะยอมสละกัน ดังนั้นหากทรงต้องการอภิเษก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม อย่างองค์ราชินี...คงเลือกเจ้าชายที่ดำรงศักดิ์สำคัญ หากแต่ต้องไม่ใช่องค์ยุพราชแห่งแคว้นนั้น เพื่อที่จะใช้ว่าที่พระสวามีเป็นฐานรองบัลลังก์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ทรงอำนาจทางใดทางหนึ่งของปัทมรัฐ เพื่อที่จะเสริมความมั่นคงจากภายใน”
“แล้วชายเล็ก...”
“ตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไรเล่าพะยะค่ะ” องค์หัสดายุวราชรับสั่งตอบ หากนัยเนตรดำสนิทฉายแววประหลาดเพียงแวบ “เสริมสัมพันธไมตรีจากแคว้นที่สามารถหาผลประโยชน์ร่วมกันได้อย่างดีที่สุด หากอีกหน่อยชายขึ้นครองราชย์ พระขนิษฐาของพระองค์ก็จะได้ดำรงยศเป็นราชินีแห่งแคว้นเรา แล้วหากชายเล็กได้อภิเษกกับพระองค์ ก็ยิ่งเป็นการผูกสัมพันธ์ที่ทางเราจะดิ้นไม่หลุด ถึงแม้ชายเล็กจะไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ตาม”
“พ่อว่าเป็นความคิดที่ดีเลยแหละ” องค์ศิรวิชย์เสริม “หากชายเล็กอยู่ที่นี่เมื่อตอนที่ลูกขึ้นครองราชย์ ต่อไป...อาจเกิดปัญหาขึ้นได้”
“เจ้าพี่!” องค์ราชินีอุทานเสียงแผ่ว ตกพระทัยที่ทั้งพระโอรสและพระสวามี หรือแม้กระทั่งวรองค์บางที่กำลังหมุนองค์อย่างสง่างามดุจนางหงส์ จะมีดำริน่ากลัวกันขนาดนี้ โดยเฉพาะราชินีองค์นั้น...ทำองค์ไร้พระทัย ราวกับจะทรงเสกสมรสกับใครก็ได้ หากเขาผู้นั้นจะเป็นฐานบัลลังก์อันมั่นคงให้กับพระองค์กระนั้น
“พี่พูดเรื่องจริงนี่เจ้า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้...เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นปัทมรัฐในแคว้นของเราเมื่อใด แต่เมื่อเรามีทางป้องกันไม่ให้มันเกิดก่อนล่วงหน้า ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ...ดูเหมือนองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐจะทรงรู้องค์ดีว่าพระราชภาระของพระองค์คืออะไร...”
“จะว่าไปก็น่าสงสารพระองค์นะเพคะ...แม้จะแย้มสรวล แต่หม่อมฉันไม่เคยเห็นความสุขจริงๆ จากพระเนตรของหลานจิตราเลย”
องค์ศิรวิชย์ทอดพระเนตรวรองค์ที่ยังคงความงามได้เสมือนเมื่อครั้งยังเยาว์ขององค์ราชินี ก่อนจะทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ประทานพระชายาที่ทรงถอนพระปัสสาสะกลัดกลุ้มอยู่องค์เดียว
“นี่แหละคือชีวิตของพวกเรา...”
จิตรางคทาทรงค้อมเศียรน้อยๆ ให้กับเจ้าฟ้าชายองค์รองแห่งศัสสวัติเมื่อเพลงจบลง...
องค์จิตรดิลกแย้มพระโอษฐ์ วงพักตร์คล้ายองค์พี่ หากแต่มีเค้าอ่อนโยน แจ่มใสกว่าแลดูแจ่มกระจ่างนักเมื่อแย้มสรวล
“ใต้ฝ่าละอองฯ ทรงเต้นได้เก่งมาก”
“เราเคยเรียนกับครู...ไว้ออกงานกับต่างชาติเขาน่ะ”
“เช่นนั้นหรือพะยะค่ะ” ทรงหลิ่วเนตรน้อยๆ ให้จิตรางคทาที่สรวลออกมาอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นกิริยานั้น “งั้นกระหม่อมขอประทาน...”
“หมดเพลงแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนคู่เต้นนะชายเล็ก”
สุรเสียงทุ้มนุ่มเจือแววขันดังขึ้น เมื่อทั้งสองพระองค์หันไปก็ทรงเห็นวรองค์สูงขององค์ยุพราชมายืนประชิดเบื้องพักตร์เสียแล้ว
“อ้าว...พี่ชายใหญ่ ชายกำลังสนุกอยู่เลยพะยะค่ะ” ทรงแย้มโอษฐ์กว้างบ่งบอกพระอารมณ์ว่ากำลังสำราญอยู่จริงๆ “แต่หากจะเปลี่ยนคู่เต้น ชายก็ไม่ว่า...แต่อย่าใกล้กันนักนะพะยะค่ะ”
เนตรพราวระยับของอนุชากับรับสั่งกำกวมตอนท้ายประโยค ทำให้องค์หัสดายุวราชเลิกขนงขึ้นสูง “ทำไมรึ”
องค์จิตรดิลกเอนองค์เข้าใกล้พระเชษฐา ก่อนจะรับสั่งเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองพระองค์
“ชายหวงพะยะค่ะ”
ทรง ‘วางระเบิดกลางวง’ ก่อนที่จะสรวลออกมาน้อยๆ แล้วดำเนินไปหาเจ้าพ่อกับสมเด็จแม่ที่ประทับอยู่ไม่ไกล
“ว่าอย่างไรจิตรดิลก” องค์ศิรวิชย์รับสั่งถาม พลางพยักพักตร์ไปทางคู่เต้นทั้งสองพระองค์ที่เริ่มเคลื่อนองค์ตามจังหวะเพลงอีกครั้ง
“องค์จิตรางคทาทรงพระสิริโฉมงดงาม พระจริยวัตรนุ่มนวล ก็เป็นธรรมดาที่จะมีชายมอง...หากกระหม่อมก็ยังดูแววไม่ค่อยออกพะยะค่ะเจ้าพ่อ เห็นทีคงต้องสังเกตให้หนักกว่านี้แล้ว”
“เช่นนั้นหรือ...ก็สังเกตต่อไปเถิด นานๆ ครั้งจะได้เห็นคนไม่ค่อยแสดงออกหลุด ‘อะไรๆ’ ออกมาบ้าง พ่อก็อยากรู้ว่า...สิ่งที่พ่อเห็นเพียงแวบเดียวนั้นเป็นจริง หรือเพียงแต่พ่อคิดไปเองเท่านั้น” เจ้าผู้ครองแคว้นศัสสวัติแย้มโอษฐ์น้อยๆ ดวงเนตรคมมีแววครุ่นครวญ หากสายพระเนตรที่สบกับพระโอรสองค์เล็กเป็นเชิงรู้กันเพียงสองคนทำให้องค์ราชินีอดไม่ได้ที่จะรับสั่งถาม
“แววอะไรกันเพคะ...แววอะไรลูก”
“ความลับ สมเด็จแม่คอยดูต่อไปเถิดพะยะค่ะ เดี๋ยวก็ทรงรู้เอง” เจ้าฟ้าชายองค์รองแย้มสรวลซุกซนเช่นเด็กน้อย องค์ราชินีจึงได้แต่หันไปทอดพระเนตรพระสวามี ที่ส่ายเศียรทันควันเช่นกัน ปล่อยให้ทรงค้อนลมค้อนแล้งไปตามเรื่อง...
เนตรสีดำสนิทวาววับขึ้นชั่วพริบตาหนึ่ง ก่อนที่จะทรงทอดพระเนตรตามวรองค์สูงของอนุชาที่ดำเนินสนทนากับเจ้าพ่อและสมเด็จแม่อยู่ครู่แล้วจึงดำเนินไปหาท่านผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อเชิญมาเป็นคู่เต้นรำคนต่อไป องค์ยุพราชหันมาอีกที วรองค์บางก็เตรียมเสด็จออกไปจากฟลอร์แล้ว
“จะทรงไปไหนพะยะค่ะ เพลงเริ่มแล้ว”
หัตถ์หนาหากอุ่นร้อนคว้าต้นพาหาของอีกฝ่ายไว้แน่น ก่อนออกแรงดึงให้วรองค์บางเข้าสู่อ้อมกร กิริยาดุจดังกำลังโอบประคองคู่เต้นรำด้วยความอ่อนโยนกระนั้น
“เราไม่ได้ไปไหน เห็นว่าฝ่าบาทมัวแต่ทอดพระเนตรมองอนุชา ก็เลยนึกว่าจะไม่เต้นเสียแล้ว”
“ไม่ได้หรอกพะยะค่ะ คนอื่นยังทรงประทานโอกาสให้ แล้วเหตุใดจะทรงละเลยกระหม่อมเล่า”
“เราไม่ละเลยว่าที่ ‘น้องเขย’ เราอยู่แล้วล่ะ”
“เหตุใดจึงทรงย้ำเรื่องนี้นัก” ทรงหงุดหงิดเสียจนต้องเอ่ยโอษฐ์ทูลถามตรงๆ
“ไม่ได้ย้ำเสียหน่อย มันเป็นข้อเท็จจริงที่ใครๆ ก็รู้ต่างหาก”
“รู้พะยะค่ะ รู้ว่าสำคัญต่อใต้ฝ่าละอองฯ มาก...ทว่ากระหม่อมมีสิ่งที่ดีกว่านั้นสำหรับเราสองคน”
คราวนี้องค์จิตรางคทาแย้มสรวลด้วยความขันจริงๆ “เคยมี ‘เราสองคน’ ด้วยหรือ และอีกอย่าง...สิ่งที่ดีกว่านี่คืออะไรล่ะฝ่าบาท”
“จะเสด็จกลับเมื่อไหร่พะยะค่ะ” ไม่ทรงตอบคำ หากแต่ย้อนถามไปอีกทาง
“มะรืนนี้ ทำไมรึ”
อย่างน้อยก็ทรงวางพระทัยเรื่องการรบได้ เพราะช่วงนี้เป็นฤดูฝน การรบท่ามกลางสายฝนในป่าใหญ่คงไม่เป็นการสะดวกที่จะนำอาวุธหนักออกมาใช้กันแน่ และอีกอย่าง...ทรงรู้ดีว่าทหารชำนาญพื้นที่นั้นเหลือน้อยเต็มทน พวกที่จะมารบของอีกฝ่ายก็เป็นทหารรับจ้างเสียมากกว่า ซึ่งพวกนั้นจะไม่เสี่ยงกับการรบที่มองเห็นแสงแห่งชัยชนะเพียงริบหรี่แน่นอน
องค์หัสดายุวราชทำพักตร์มีเลศนัย ก่อนรับสั่ง “กระหม่อมจะตามเสด็จด้วยพะยะค่ะ”
“อะไรนะ!”
ใช่ว่าจะไม่เคยคาดเดาว่าวรองค์สูงสง่าที่อยู่เบื้องพักตร์จะต้องทำแบบนี้ หากแต่...
...ร่องรอยร้อนผ่าวยังพิมพ์แผ่วอยู่ที่ริมโอษฐ์บางมิจางหาย ร่องรอยอบอุ่นอ่อนโยนจากกรแกร่งที่โอบประคองยังไม่ทันเลือนคลาย ความรู้สึกยังสดใหม่ประทับอยู่ในพระทัยเสมอ กับรอยจุมพิตอ่อนหวานนั้น...
...ทรงเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มิได้สำเร็จมรรคผลมาจากไหน ฤทัยก็เป็นเพียงเนื้ออ่อนๆ หาใช่ก้อนหิน ใยจะมิหวั่นไหวกับความใกล้ชิดในหลายครั้งหลายครา ใยจะมิหวั่นไหวกับความมุ่งมั่นที่จะข้ามผ่านกำแพงที่ทรงกั้นขวางอย่างเด็ดเดี่ยวเพียงนั้น...
...ทว่า...ให้อย่างไร หัสดายุวราช ก็ไม่ใช่ของพระองค์!
“กระหม่อมจะตามเสด็จไปปัทมรัฐด้วย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมแย้ง วรองค์สูงก็รับสั่งต่อทันควัน “ไม่ทรงอยากให้ช่วยหรือพะยะค่ะ”
“เราคิดว่าเราช่วยเหลือตัวเองได้ดีพอในระดับหนึ่ง สิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลือก็คือสิ่งที่ได้พูดไปแล้ว นอกจากนั้น...ตอนนี้ยังไม่จำเป็น”
“กระหม่อมอยากทำความรู้จักกับพระคู่หมั้น ก่อร่างความสนิทสนม เพื่อวันข้างหน้า...บางทีหากต้องอภิเษกกันจริงๆ จะได้ไม่เป็นการฝืนใจกันทั้งสองฝ่าย”
“ทรงคิดเช่นนั้นจริงหรือ?”
“หรือว่าดำริว่ากระหม่อมต้องการอะไรมากกว่านั้น?”
อีกครั้งที่องค์ยุพราชแห่งศัสสวัติสามารถต้อนจิตรางคทาให้จนมุมได้ ในที่สุดวรองค์บางก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย ก่อนรับสั่งเบาๆ
“สุดแท้แต่ฝ่าบาทเถิด หากต้องการไป รับผิดชอบองค์เองด้วยก็แล้วกัน”
ความคิดเห็น