คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6 (แก้ไขแล้ว)
เริ่มย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว...
หลัง จากวันที่องค์ราชินีแห่งปัทมรัฐได้มีพระดำรัสว่าอาจจะมีกำหนดการเสด็จเยือน แคว้นศัสสวัติในอีกไม่ช้า ทุกฝ่ายในกองทัพต่างก็เห็นดีด้วยกับการเสด็จเยือนในครั้งนี้ ด้วยต่างหมายว่านอกจากเรื่องของการเจรจาเชื่อมสัมพันธไมตรีและการขอความช่วย เหลือทางด้านการทหารแล้ว อีกเรื่องที่จะทำให้ทางกองทัพมีขวัญและกำลังใจมากขึ้น คืออาจมีการพูดคุยกับถึงการอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกาประภาวดี พระขนิษฐาในองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐ และเจ้าฟ้าชายหัสดายุวราช มกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาทแห่งแคว้นศัสสวัติ
หาก หลังจากดำริเรื่องนี้ไม่กี่วัน กองทัพขององค์ราชินีกลับต้องได้ออกศึก เมื่อเขมทัตได้ส่งกองทหารต่างชาติมาลองกำลังถึงแนวรบของฝ่ายทหารราชินี ถึงแม้การศึกครั้งนั้นทางฝ่ายของพระนางจะมีชัยเหนืออริราชศัตรู แต่จากการปะทะกับประปราย รวมทั้งการปะทะใหญ่ครั้งนั้น ก็ทำให้ทางกองทัพระส่ำระสายกับอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ รวมไปถึงทหารที่ชำนาญศึกแลศาสตราทรงอานุภาพเหล่านั้นไม่น้อย เวชภัณฑ์ต่างๆ ร่อยหรอลงอย่างน่าตกใจ
แต่ถึงกระนั้น ฝ่ายของจิตรางคทาก็ยังคงคุมความได้เปรียบอยู่ ด้วยความที่ชำนาญพื้นที่มากกว่า และพื้นที่การรบนั้นไม่ได้อำนวยให้อีกฝ่ายใช้อาวุธหนักได้โดยสะดวก ประกอบกับการที่กองทหารของเขมทัตกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทหารจากต่างชาติ ซึ่งมิได้มีใจจงรักแก่ ‘เจ้าแผ่นดิน’ ตามที่เสนาบดีโฉดได้แต่งตั้งตัวเอง ดังนั้นหลายๆ ครั้ง กองทัพขององค์ราชินีจึงมีชัยได้อย่างง่ายดาย
เรื่องเหล่านี้ทำให้จิตรางคทาตัดสินพระทัยเลื่อนการเสด็จเยือนแคว้นศัสสวัติไปก่อนชั่วคราว ท่ามกลางความโล่งพระทัยของพระน้องนาง
ปรียทรรศิกาทรงกระชับผ้าที่คลุมพระอังสาบอบบางให้แน่นขึ้นอีกนิดเพื่อป้องกันไอหนาวของอากาศยามเช้าตรู่ ก่อนจะดำเนินตัดลานกว้างที่ใช้เป็นลานประชุมชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ให้กับครอบครัวของทหารทั้งหลายในกองทัพ ไปยังเรือนพยาบาลที่ตั้งอยู่อีกฟากของเรือนที่ประทับ
เรือนพยาบาลนี้มีอยู่สองเรือน คือเรือนที่คอยรับคนป่วยใหม่ๆ และคนป่วยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษจากหมอเรียกว่าเรือนรับ และเรือนที่พักซึ่งจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะอาการดีขึ้นจึงจะกลับไปอยู่บ้าน และที่อยู่ไม่ห่างกัน คือเรือนรับคนไข้ที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย...เรือนนี้มีคนเจ็บอยู่หลายคน ทุกอย่างคล้ายกับสถานพยาบาลทั่วไป หากแต่ตัวเรือนที่ว่า...เป็นเพียงกระท่อมไม้เล็กๆ มุงด้วยหลังคาแฝก ซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ร่มรื่นเท่านั้น
เสียงครวญครางของคนเจ็บที่ดังขึ้น ทำให้พระบาทเล็กรีบดำเนินให้เร็วกว่าเดิม วรองค์บางรีบเปิดประตูเข้าไปด้านในสถานพยาบาล ก่อนจะแย้มสรวลอย่างอ่อนหวานให้กับท่านปุรณะ...ท่านหมอใหญ่ประจำค่าย ที่กำลังก้าวเข้ามาดูอาการของทหารบนเตียงที่ตอนนี้เป็นเพียงคนเจ็บเพียงคนเดียว ในเรือนรับ
ตรงกันข้ามกับสีหน้าของหมอหนุ่มที่กำลังหรี่ตามองพักตร์งามอย่างประหลาดใจ ก่อนทูลถามพลางเริ่มสำรวจคนไข้คร่าวๆ
“เสด็จมาอีกทำไมพะยะค่ะ”
“อ้าว...” ปรียทรรศิกาทรงอุทานอย่างเห็นขัน “เราบอกหมอแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเราจะมาขอเป็นลูกมือหมอช่วยพยาบาลคนไข้ ไหนหมอบอกว่าไม่ค่อยมีผู้ช่วยอย่างไรล่ะ”
“กระหม่อมทูลอย่างนั้นจริงอยู่...เจ้านอนนิ่งๆ จะได้หรือไม่ ดิ้นพล่านแบบนี้หมอตรวจให้ไม่ได้หรอกนะ” ท้ายประโยคท่านหมอใหญ่หันไปเอ็ดใส่คนไข้ ก่อนจะหันกลับมาทูลอีกครั้งพร้อมกับตรวจดูแผลที่เริ่มเป็นหนองอย่างเบามือ “แต่กระหม่อมก็ทูลไปแล้วอีกเหมือนกันว่า...ไม่ได้พะยะค่ะ”
“เพราะเหตุใดกัน?” สุรเสียงหวานเริ่มส่อแววหงุดหงิด
“กระหม่อมไม่อยากเห็นทูลกระหม่อมประชวร หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ต้องลำบากกระหม่อมไปตรวจพระอาการ และยังสิ้นเปลืองยารักษาโดยใช่เหตุอีก”
เหตุผลของท่านหมอใหญ่เรียบง่าย สั้นๆ แต่จี้จุดตาย ทำให้วรองค์บางขมวดขนงมุ่นด้วยความขัดเคืองพระทัย
ท่านปุรณะ...คนที่เมื่อก่อนเคยยิ่งยศนักเมื่ออยู่ในวัง ด้วยตำแหน่งหมอหลวงอันดับหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด คือเทียบเท่ากับจิตรางคทา ทำให้องค์ราชินีในปัจจุบันและท่านหมอเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่เด็ก เมื่อครั้งเกิดเหตุกบฏ ท่านหมอเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อไปศึกษาศาสตร์การรักษาและการใช้ยาใหม่ๆ และเมื่อกลับมาถึง...ท่านก็ตัดสินใจที่จะละทิ้งความสุขบนทรัพย์ศฤงคาร...ตามเสด็จมาถึงกองทัพแห่งนี้ด้วยความภักดีเป็นที่ตั้ง
เพราะความที่สนิทกันฉันท์มิตรกับพระพี่นางมายาวนาน ทำให้ท่านปุรณะวางตนเป็นเสมือน ‘พี่ชาย’ ที่คอยตักเตือนองค์หญิงน้อยอยู่เสมอ และเป็นน้อยคนนักที่จะได้เห็นปรียทรรศิกาในอีกแง่มุมหนึ่ง...มุมที่ยังมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่ในหทัย
เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กทำโอษฐ์ยื่นนิดๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแย้มสรวลอ่อนหวาน ส่งสายพระเนตรออดอ้อนไปให้ท่านหมอที่ยังก้มหน้าก้มตาทำงานมิยอมหยุด
“น่า...นะ ท่านหมอ ให้เราได้ช่วยทำประโยชน์บ้างเถิดนะ ตั้งแต่เราอยู่ในวัง จนกระทั่งเรามาอยู่ ณ ที่นี่ ไม่เคยมีผู้ใดให้เราช่วยงานบ้างเลย ท่านคิดหรือว่าเราอยากจะอยู่อย่างคนไร้ประโยชน์เช่นนี้...” ทรงทอดสุรเสียงอ่อนหวานแกมน้อยพระทัย “พี่หญิงก็ให้เราช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ แต่เราอยากทำประโยชน์ให้มากกว่านี้ อยากช่วยแบ่งเบาพระราชภาระให้พี่หญิงมากกว่านี้...”
ปรียทรรศิกาทอดพระเนตรท่านหมอที่ถึงแม้ว่ามือยังทำงาน แต่อาการเงียบไม่โต้แย้งใดๆ บ่งบอกว่าตั้งใจฟังอยู่
ทรงตัดสินพระทัยว่าจะใช้ความเงียบเป็นตัวกดดันให้ท่านปุรณะยอมตามประสงค์ให้ ได้...ด้วยรู้ดีว่าท่านหมอหนุ่มที่ดูเหมือนจะหยิ่งยโสและวางตัวสูงผู้นี้ เป็นคนที่ใจอ่อนผิดกับท่าทางที่แสดงออกมาลิบลับ
“กระหม่อม ก็...ไม่ได้ขัดข้องอะไรมากมายหรอกพะยะค่ะ เรื่องที่จะทรงมาช่วยงาน” ในที่สุดร่างสูงสง่าของท่านหมอก็เงยขึ้นจากท่าก้มๆ เงยๆ เนื่องจากใส่ยาให้คนไข้เสร็จเรียบร้อยแล้ว “เพียงแต่กระหม่อมอยากให้ทูลกระหม่อมนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระพี่นางก่อนดีกว่า หากไม่มีรับสั่งขององค์ราชินี กระหม่อมก็คงไม่กล้าให้ทรงนำองค์เองมาเสี่ยงกับการประชวรเพราะติดเชื้อโรคหรอกพะยะค่ะ”
ท่านหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนกว่าเมื่อครู่ลงเกือบครึ่ง คำตอบที่เต็มไปด้วยเหตุและผลทำให้เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยรู้สึกจนมุม
ในที่สุดก็ทรงถอนพระปัสสาสะยาวเหยียด พลางแย้มสรวลให้กับท่านหมอใหญ่อย่างอ่อนพระทัย “ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะกลับไปก่อนในวันนี้ ไม่รบกวนท่านแล้ว”
“ไม่ส่งนะพะยะค่ะ” ท่านปุรณะค้อมศีรษะลงถวายความเคารพ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที วรองค์อรชรก็มิได้อยู่ ณ ที่ตรงนั้นเสียแล้ว
หมอใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยที่ไม่รู้เลยว่าปรียทรรศิกา...ทรงมาดหมายไว้เต็มที่...
จะไปทูลขอพระพี่นางมาทำงานให้ได้แน่นอน!
ในยามที่สุริยะสว่างจ้า เคลื่อนตัวขึ้นไปอยู่สูงสุด
ยามนี้ควรเป็นเวลารับประทานมื้อกลางวัน เพื่อที่จะเสริมเรี่ยวแรงทำการต่างๆ ในตอนบ่ายคล้อยต่อไป หากแต่หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มกลับนั่งนิ่งอยู่หน้าระเบียงเรือนพักของตนเอง ปล่อยใจให้คิดถึงสุรเสียงกังวานหวานยามรับสั่งขององค์ราชินีเมื่อครู่ที่ยัง ดังอยู่ในศีรษะ
“อีกสองวัน เราคงต้องไปยังแคว้นศัสสวัติแล้ว หวังว่าระหว่างที่เราไป พวกท่านจะดูแลที่นี่และน้องเราเป็นอย่างดี”
“ทูลกระหม่อมองค์เล็กมิได้ตามเสด็จไปด้วยหรือพะยะค่ะ”
ทหารชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งเป็นคนทูลถาม วงพักตร์งามผินไปตอบเสียงเสนาะ “เราคิดว่าไม่เป็นการดีที่ปรียทรรศิกาจะไปกับเราด้วย”
“แต่...หาก องค์หญิงโดยเสด็จในครั้งนี้ อาจจะเป็นการช่วยโน้มน้าวทางแคว้นศัสสวัติได้ดียิ่งขึ้นนะพะยะค่ะ อย่างน้อยก็ทรงเป็นถึงพระคู่หมั้นขององค์ยุพราชแห่งแคว้น” ทหารอีกผู้หนึ่งทูลถาม
“ที่ท่านพูดมาก็ถูก...ท่านไรวิชย์ แต่หากเราพาน้องหญิงไปยังแคว้นศัสสวัติตอนนี้ ท่านไม่คิดหรือว่าทางนั้น เขาจะคิดว่าเราไร้ความสามารถ จนต้องเอาผู้หญิงมาเป็นเกมต่อรองทางการเมือง?”
ทรงหยุดชั่วระยะ ก่อนรับสั่งอีก “เราไม่บังอาจไปทวงถามถึงสัญญาหมั้นหมายระหว่างองค์ยุพราชแห่งศัสสวัติกับ หญิงเล็กได้ เราอาจจะใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองให้ทางนั้นช่วยเหลือเราบ้าง แต่หากให้เราถึงกับต้องขายน้อง...เราก็ทำไม่ได้”
ยิ่งในเวลานี้...สถานการณ์นี้ ในสายตาของหลายๆ แคว้น พระองค์กับพระน้องนางกลายเป็นเจ้าไม่มีศาลไปแล้ว หากน้องนางองค์เดียวต้องอภิเษกเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากอีกแคว้นหนึ่งแล้ว จะทรงสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร...
“ดังนั้นเราจะไปกับทหารราชองค์รักษ์อีกไม่กี่คนเพื่อการเดินทางที่รวดเร็วและ คล่องตัว เราอยากจะฝากวิชยุตม์...ท่านช่วยดูแลค่ายนี้...รวมถึงหญิงเล็กให้เราด้วยได้ หรือไม่”
“กระหม่อมอยากตามเสด็จมากกว่าพะยะค่ะ”
ใช่...เขาอยากตามไปคุ้มครองรักษาความปลอดภัยให้กับวรองค์สูงค่าที่ประทับนั่งอยู่เบื้องหน้าเขา มากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
เขารู้ว่าทหารองครักษ์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ได้ทำการฝึกรบมาอย่างเชี่ยวชาญ และนายทหารที่ได้โดยเสด็จไปนั้นย่อมเป็นผู้ที่มีฝีมือจัด รวมถึงองค์จิตรางคทาเอง...ก็ทรงเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธต่างๆ หากแต่เขาก็ไม่วางใจ...
มิทรงรู้หรืออย่างไร ว่ายามนี้ทรงมี ‘ค่าหัว’ ที่แพงที่สุดในแผ่นดิน!
พักตร์อ่อนหวาน...โอษฐ์แย้มสรวลงาม...ทุกสิ่งล้วนสามารถลวงศัตรูที่ร้ายที่สุดให้ ลงไปด่าวดิ้นได้ด้วยการทอดพระเนตรมองด้วยดวงเนตรสีบุษราคัมเท่านั้น หากแต่ผู้ใกล้ชิดรู้ดีว่า...พักตร์แบบนี้ แววพระเนตรงดงามแบบนี้ ที่ลวงผู้คนให้หลงติดคิดว่าทรงเป็นเพียงดอกไม้ไร้พิษสงเท่านั้น แท้จริงแล้วทรงซ่อนหนามแหลมคมไว้ จนคนที่อาจเอื้อมอาจต้องเจ็บช้ำกับรอยหนามนั้นเสียเอง
“ท่านอยู่ ที่นี่แหละ วิชยุตม์ เราฝากดูแลน้องหญิงด้วย อีกอย่าง เรากำหนดคนที่จะไปกับเราไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ชำนาญทางไปยังแคว้นศัสสวัติดียิ่ง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
หมดประโยคที่ทรงรับสั่ง ก็ทรงหันไปปรึกษาเรื่องงานอื่นต่อทันที
และทิ้งให้เขาครุ่นคำนึงด้วยความเป็นห่วงจนบัดนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ดวงตาดำปิดสนิท หากแต่ความเป็นทหาร ทำให้ประสาทต่างๆ กลับรับรู้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อไร้การมองเห็น ปลดปล่อยความคิดให้ล่องลอยเป็นอิสระ...
...อิสระที่จะคิด...อาจเอื้อมได้เพียงในความฝัน...
เพียงหลับตา วงพักตร์งดงามอ่อนหวาน หากแฝงรอยเข้มแข็งก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ทุกการกระทำ ทุกอิริยาบถ ล้วนติดตรึงอยู่ในใจ...
ไม่เคยคิด...ว่าเจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ จะประทานสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตให้กับเด็กข้างถนน ไร้ซึ่งบิดามารดาอย่างเขาในวันนั้น...
เด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เดินตามหลังชายร่างสูงสง่า รัศมีแห่งอำนาจและความเมตตาฉายชัดออกมาจากผู้ที่ทุกคนเรียกกันว่า ‘องค์ราชา’
ยามนั้นวิชยุตม์ได้แต่พยายามดูขบวนเสด็จไปยังอารามหลวง องค์ราชาภารวัติได้มีพระราชปฏิสันถารแก่ประชาชนทั้งสองฟากที่มารอรับเสด็จ อย่างเป็นกันเอง ไม่ต่างจากเจ้าฟ้าหญิงจิตรางคทา ทรงแย้มสรวลงดงามและวางองค์นอบน้อมต่อผู้มีอายุสูงกว่าโดยมิถือองค์ว่าเป็นเจ้าหญิง
เด็กชายร่างผอม ขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่น เนื้อตัวมีกลิ่นสาบสางเพราะมิได้ถูกน้ำมาหลายวันได้แต่มองตามเด็กหญิงคนนั้นอย่างเหม่อลอย ประทับใจกับรอยยิ้มใสบริสุทธิ์นั้น...
จนกระทั่งใครบางคนที่รำคาญ ผลักร่างผอมจนเซออกไปขวางขบวนเสด็จ...
ทหารหลายคนจะคว้าแขนผอมบาง หากแต่เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาพร้อมร้องห้ามรวดเร็ว สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองอย่างปราศจากความรังเกียจดึงดูดเขาจนต้องนิ่งงัน
“เป็นอะไรหรือไม่ เจ็บที่ใดหรือไม่”
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรหรอก”
ตอบอย่างเก้อเขิน ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน...หากแต่ข้อเท้าที่เริ่มแดงทำให้ไม่สามารถลุกได้
“เจ้าคงเจ็บข้อเท้ากระมัง?” ร่างสูงของชายคนนั้นก้มลงมาพูดกับเขา ดวงตาที่เหมือนลูกสาวส่อแววเมตตาอารี ก่อนจะหันไปร้องเรียกทหารที่อยู่ใกล้ๆ “พาเด็กคนนี้ไปรักษาด้วย”
นายทหารร่างใหญ่เดินเข้ามาตามคำสั่ง ใบหน้าของเขาในตอนนั้นคงฉายแววหวาดกลัว เพราะเด็กหญิงที่ยังคงก้มตัวมองข้อเท้าเขาอย่างสนใจอยู่ข้างๆ ยิ้มให้เขาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเธอจะเอ่ยปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหมอก็รักษาเจ้าหาย...แล้วเขาก็จะพาเจ้ากลับไปส่งที่บ้านเอง”
“ข้า...ไม่มีบ้านหรอก...ไม่มีพ่อแม่...ไม่มีใครแล้ว”
เสียงเด็กชายหม่นเศร้า
หากแต่ใบหน้าก้มต่ำนั้นต้องเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิง “งั้นเจ้าก็ไปอยู่กับเราเถิด...ได้มั้ยเพคะเจ้าพ่อ”
ร่างสูงของชายคนนั้นส่งยิ้มให้เขา...ยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“ได้สิลูก...เขาจะไปอยู่บ้านกับเรา...”
...วินาทีนั้นเอง...วิชยุตม์ก็ได้มอบความภักดีทั้งหมดในชีวิตไว้แทบบาทของ ‘นาย’ คนที่ยื่นหัตถ์แห่งความเมตตามาให้...
ไม่ รู้ว่านานเท่าไหร่ ...กี่เดือน...กี่ปีที่ผ่านมา ที่เขาได้เฝ้าดูเด็กหญิงน้อยๆ องค์นั้นจนเติบใหญ่...กลายเป็นหงส์ฟ้าแสนงาม ที่พร้อมจะโผบินขึ้นสู่บนเวหาอย่างภาคภูมิ
...ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่...ที่ความภักดีได้ก่อให้เกิดเป็นความรักลึกซึ้ง...
“ทรงรู้จักกระหม่อมดี จิตรางคทา...มิรู้เลยหรือพะยะค่ะ...ว่ากระหม่อมเป็นห่วงขนาดไหน...”
ริมฝีปากหยักงามพึมพำทั้งหลับตา ไม่ได้รับรู้ถึงฝีพระบาทเงียบกริบที่เคลื่อนเข้ามา...มากพอที่จะได้ยินเสียงนั้นชัดเจน
ปรียทรรศิกากำลังจะนำกับข้าวที่ทรงทำมาให้เขาชิมอีกครั้ง
นับจากวันที่ทรงต้องหาข้ออ้างให้เขาเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ไปร่วมโต๊ะเสวย ปรียทรรศิกาทรงขอแลกเปลี่ยนด้วยการให้เขาเป็น ‘ผู้ทดลอง’ ทานอาหารฝีมือพระองค์แทน ทุกวันยกเว้นวันที่เขาต้องเข้าไปบัญชาการรบในช่วงหลังๆ วรองค์แบบบางจะทรงหอบหิ้วอาหารที่ทรงฝึกทำในวันนั้นมาให้เขาชิม พร้อมทั้งรอฟังคำสั้นๆ เพียงคำเดียวเท่านั้น
“อร่อย”
ถึงแม้จะทรงรู้ว่าเขา ‘สักแต่ว่าตอบ’ แต่ เพียงเท่านี้ก็ทรงมีกำลังใจที่จะฝึกทำอาหารต่อไป ทรงหวังว่าเมื่อฝีมือของพระองค์ดีพอ จะได้มีโอกาสประกอบพระกระยาหารถวายพระพี่นางบ้าง
ทรงมีความสุขเพียงได้เห็นเขาตักอาหารฝีมือพระองค์ทาน ความสุขนี้มากพอที่จะทำให้พระองค์ทนให้กิ่งแก้วกับคนอื่นๆ พร่ำสอนแกมบ่นได้โดยไม่ปริโอษฐ์แม้แต่น้อย
หากวันนี้...ทรงได้ยินคำพูดนี้จากปากของเขา คำพูดที่เท่ากับเป็นการสารภาพว่า...หัวหน้าราชองครักษ์วิชยุตม์...มีใจให้กับพระพี่นางของพระองค์...
เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยชะงักงัน ดวงเนตรเบิกกว้าง...หทัยดวงน้อยปวดแปลบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล...
สุดท้ายทรงเลือกที่จะดำเนินออกไปเงียบๆ พร้อมฤทัยที่สับสน...
...และปวดปร่าจนเกินกว่าจะเข้าพระทัยได้...
ความคิดเห็น