คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 (แก้ไขแล้ว)
ทรมานเหลือเกิน...
มืดมน...เหน็บหนาว ในห้วงแห่งผืนธารามืดมิด ปรียทรรศิการู้สึกเหมือนทรงถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงทั้งพระวรกาย แล้วยังชำแรกแทรกเข้าไปกลางหฤทัย ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสน ทรงมิรู้องค์เองว่าพระอาการดิ้นรนทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่ร้อนใจขนาดไหน
“ทูลกระหม่อมองค์ใหญ่เพคะ...จะไม่เป็นไรแน่หรือเพคะ?”
นางสนองพระโอษฐ์ทูลถามเสียงขื่น ดวงตาทั้งคู่จับอยู่ที่วรองค์แบบบางของปรียทรรศิกาที่บรรทมอยู่บนกองฟางปูทับด้วยเสื้อชั้นนอกของท่านราชองครักษ์วิชยุตม์ด้วยความสงสาร
“ไม่เป็นไรหรอก” วรองค์ระหงที่ทรงนั่งอยู่ใกล้ๆ วางพระหัตถ์ทาบทับลงบนนลาฏ[1]มนแผ่วเบา “ไข้แค่นี้ เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ กิ่งแก้วลองไปดูเจ้าของบ้านซิ ใกล้เวลาทำอาหารเย็นแล้ว มีอะไรหยิบจับช่วยเหลือเขาได้ก็ควรทำ เราจะดูอาการของหญิงเล็กที่นี่เอง”
จิตรางคทารับสั่งเรียบๆ กิ่งแก้วค้อมตัวลงรับ หันไปมองพักตร์ซีดเซียวของเจ้านายก่อนออกจากห้องน้อยไปเงียบๆ
หลังจากที่ทรงดึงน้องนางและกิ่งแก้วลงไปใต้น้ำแล้ว วิชยุตม์ที่ทรงตัวรออยู่ด้านล่างก็นำทางให้ทั้งหมดเข้าไปซ่อนอยู่ในพงกกทึบที่ ขึ้นอยู่ริมน้ำ แสงสุริยาสุดท้ายของวันและพุ่มพรรณพฤกษ์ที่รกชัฎทำให้ทหารฝ่ายนั้นไม่ทันได้ตรวจตราให้ละเอียด เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานทหารทั้งหมดจึงพากันแยกย้ายไปตามหาเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ที่อื่น
แต่เพื่อความไม่ประมาท วิชยุตม์ห้ามมิให้ขึ้นฝั่งเพราะกลัวจะถูกตามรอยเท้าไป ทั้งหมดจึงพากันลัดล่องตามแม่น้ำโดยการว่ายน้ำล่องเรื่อยไปตามแม่น้ำมันตรา แม่น้ำที่ทอดยาวลงมาจากขุนเขาพรชบรรพคีรี ไหลเรื่อยระมาข้างพระราชวังที่อยู่ติดกับภูเขา ก่อนทอดทางยาวผ่านทางทิศเหนือของเมืองปัทมา เมืองหลวงของปัทมรัฐ ผู้คนสองฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเล็กๆ รอบนอกเมืองหลวงได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสายนี้นานับปการ
จิตรางคทาหาท่อนไม้ขนาดพอดีให้น้องนางและกิ่งแก้วเกาะพาลอยคอตามกันไปเงียบๆ ความที่มีต้นกำเนิดมาจากพชรบรรพคีรี ขุนเขาซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพชร...หรือเพชร ยอดเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนชั่วนาตาปี น้ำที่ไหลเรื่อยในแม่น้ำมันตราจึงเย็นยะเยือกเสียจนแม้แต่เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทยังทรงนึกว่าพระโลหิตในพระวรกายคงแข็งตัวเสียแล้ว
จนถึงระยะที่หัวหน้าราชองครักษ์คิดว่าปลอดภัยแล้ว จึงพากันขึ้นฝั่งอีกครั้งเมื่อแสงสุดท้ายของวันได้ลับหายไปหลายชั่วยาม
แม้เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กจะทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงไร หากแต่เวลาไม่คอยท่า ทั้งหมดจึงพักเพียงชั่วครู่ ก่อนเดินเท้าต่อไปยังหมู่บ้านนอกเมืองเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านน้อยที่ตั้งอยู่แถวชายป่านอกเมือง
เจ้าของบ้านที่แสนใจดีรับรู้เพียงว่ากลุ่มบุคคลลึกลับในเครื่องแต่งกายเกือบแห้งสนิทนั้นมาจากในเมือง และต้องการเดินทางไปหาญาติที่อยู่หมู่บ้านแถบชายแดน แต่เพราะบ้านน้อยนั้นไม่มีที่ว่างรองรับคนมากมาย ทั้งหมดจึงต้องมาอยู่ที่โรงนา สถานที่เก็บฟ่อนข้าวที่เพิ่งเกี่ยวเสร็จเตรียมนำมานวดให้เมล็ดข้าวออกจากรวง
คราแรกกิ่งแก้วไม่พอใจเท่าใดนัก แต่เพราะไม่มีทางเลือก นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทของเจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กจึงได้แต่ขอเสื้อนอกของราชองครักษ์หนุ่ม มาปูลาดเป็นพระที่ชั่วคราวให้กับเจ้านายของตนเท่านั้น ส่วนจิตรางคทา...ทรงยืนยันว่าจะคอยอยู่เฝ้ายามสลับกับวิชยุตม์ จึงไม่ต้องเตรียมพระที่ให้
ปรียทรรศิกาที่ได้รับความเย็นจัดของน้ำ และประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนพระหฤทัย ทำให้เจ้าหญิงน้อยประชวรเป็นไข้ในราตรีนั้นเอง เมื่อรุ่งสุริยาหวนคืน หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มจึงขอประทานอนุญาตออกไปหาซื้อยาแก้ไข้ในตลาดที่อยู่ไม่ไกล พร้อมๆ กับสืบข่าวการปฏิวัติว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง และมีประชาชนรู้มากน้อยแค่ไหน
เจ้าฟ้าหญิงพระองค์ใหญ่ทรงถอนพระปัสสาสะเบาๆ เมื่อลับร่างนางพระกำนัลแล้ว จิตรางคทาทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในอ่างใบเล็กๆ เต็มไปด้วยน้ำสะอาดบิดเบาๆ ก่อนซับพระพักตร์งดงามของน้องนาง เรื่อยลงมาถึงศอระหง ลาดพระอังสาแบบบาง พลางทอดพระเนตรพระน้องนางที่กำลังคร่ำครวญด้วยความสงสาร
“เจ้าพ่อ...สมเด็จแม่เพคะ ทรงอยู่ที่ไหน ลูกกลัว...พี่หญิง น้องไม่ลง! น้องว่ายน้ำไม่ได้!...ช่วยด้วย...หนาวเหลือเกิน...พี่หญิง...”
“พี่อยู่นี่...ได้ยินไหมหญิงเล็ก...”
เจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่ทรงโน้มวรองค์ลงโอบประคองร่างน้องน้อยไว้ในอ้อมพาหา หัตถ์บางลูบไล้เกศานิ่มสลวยไปมา ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงสะอื้นของพระน้องนาง นัยเนตรงดงามก็แสบร้อนขึ้นมาทันควัน รับรู้ถึงหยาดอัสสุชล[2]ที่คลอเจียนหยด...
หัตถ์เรียวยกขึ้นกรีดน้ำพระเนตรเงียบๆ จะทรงคร่ำครวญตอนนี้มิได้เป็นอันขาด!
“พี่ หญิง...หญิงกลัว...เจ้าพ่อ สมเด็จแม่เพคะ...มาหาหญิง...ช่วยหญิงด้วย...” ปรียทรรศิกายังทรงพึมพำอยู่ในสุบินขององค์เอง ก่อนที่สุรเสียงจะเปลี่ยนเป็นร้อนรน “อย่า...เจ้าพ่อ...อย่า!...เจ้าพ่อ...สมเด็จแม่...ไม่นะ!”
จิตรางคทาเกือบล้มลงเมื่อวรองค์บางในอ้อมพระกรสะบัดรุนแรง ก่อนผวาองค์ขึ้นกรีดร้องสุดเสียง
“อย่า!!!”
“หญิงเล็ก!” วรองค์โปร่งระหงเอื้อมหัตถ์ไปจับอังสาของน้องนางแน่นก่อนเขย่าเบาๆ “เป็นอะไร...”
“พี่หญิง...” ริมโอษฐ์บางพึมพำ ก่อนผวาเข้ากอดรัดพระพี่นางรุนแรง...ดั่งเด็กน้อยขวัญเสีย “พี่หญิงเพคะ...หม่อมฉันฝันร้ายเหลือเกิน เจ้าพ่อกับสมเด็จแม่...”
ไม่ทันจบประโยค หยาดอัสสุชลก็หลั่งออกมาจากดวงเนตรงาม ริมโอษฐ์สั่นระริกด้วยทรงพยายามควบคุมพระอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา
พระพี่นางโอบพระพาหาแน่นเข้า ก่อนตรัสปลอบประโลมด้วยสุรเสียงอ่อนโยนยิ่ง “ไม่เป็นไร...ไม่มีอะไรแล้วหญิงเล็ก น้องแค่ฝันร้ายเท่านั้น”
“ไม่เพคะพี่หญิง...มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย” เจ้าหญิงน้อยหันพักตร์มาสบเนตรสีบุษราคัมของพระพี่นางตรงๆ “มันเป็นความจริงที่เราสูญเสียบ้านเมือง สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว และป่านนี้เจ้าพ่อกับสมเด็จแม่มิรู้จะต้องทนทุกขเวทนาปานใด น้องกลัวเพคะ...กลัวว่าเขมทัตจะทรมานทั้งสองพระองค์”
ไม่ทันที่พระพี่นางจะได้ตรัสตอบ เสียงร่ำไห้แว่วๆ ก็ดังออกมาจากบ้านหลังน้อยที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมๆ กับร่างของนางสนองพระโอษฐ์ที่ถลาเปิดประตูเข้ามาอย่างลืมกิริยาอันดี
“กิ่งแก้ว...” จิตรางคทากำลังจะตรัสถามว่ามีเหตุใดเกิดขึ้นในบ้าน แต่เมื่อเห็นสีหน้าตกใจสุดแสน พร้อมน้ำตาที่หลั่งพรั่งพรูออกมา ทำให้คำถามเปลี่ยนไปทันที “...เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้”
“ทะ...ทูลกระหม่อมเพคะ...มะ...หม่อมฉัน...”
“ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ เตรียมตัวออกเดินทางเถิดพะยะค่ะ” น้ำเสียงเรียบๆ ดังมาจากคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู แววโศกเศร้าที่แทรกอยู่ในเนื้อเสียงทำให้เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์หันไปทอด พระเนตรผู้มาใหม่ทันควัน
“เกิดอะไรขึ้นวิชยุตม์ ทำไมเราต้องไป...กิ่งแก้วด้วย บอกเรามาเดี๋ยวนี้!”
นางสนองพระโอษฐ์ร่างอวบคลานเข่าเข้ามาซบหน้าลงกับเบื้องพระบาทของปรียทรรศิกา ไหล่สั่นระริกพร้อมเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินทำให้จิตรางคทา รู้ว่าคงไม่ได้ความจากนางเป็นแน่ พักตร์งามจึงหันไปทอดพระเนตรหัวหน้าราชองครักษ์ที่ยืนถือห่อยาอยู่หน้าประตู อย่างคาดคั้น
ร่างสูงทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าเจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่ช้าๆ ก่อนจะทูลเสียงขื่น “มีประกาศจากทางพระราชวัง เนื้อความบอกว่า องค์ชายภาสกร...ผู้บัญชาการกองทหารราชองค์รักษ์...ก่อกบฏขึ้นในพระราชวัง เมื่อวานนี้ และ...ได้ปลงพระชนม์องค์ภารวัติแลพระราชินี รวมถึงบรรดาพระประยูรญาติทั้งหมด...”
“ไม่จริง!!!”
ปรียทรรศิกากรีดสุรเสียงอย่างตกพระทัยยิ่ง เนตรงามเบิกกว้าง แทบจะถลาลงไปเขย่าคนพูดเดี๋ยวนั้น ติดแต่พระพี่นางทรงรีบรั้งวรองค์บางไว้ได้ทันควัน แทบจะเป็นเวลาเดียวกับกิ่งแก้วที่ลุกขึ้นกอดรัดบั้นพระองค์ของเจ้าฟ้าหญิง พระองค์เล็กไว้เช่นเดียวกัน
แต่จิตรางคทาเองก็มีพระอาการไม่ต่างกันมาก พระพักตร์งามไร้สีเลือด หากแต่ยังทรงมีพระสติพอที่จะตรัสถามด้วยสุรเสียงสั่นระริก
“แล้ว...ว่าอย่างไรต่อ”
วิชยุตม์อึกอัก ชายหนุ่มรวบรวมคำพูดเพียงครู่ ก่อนเอ่ย
“ประกาศบอกว่า องค์ภารวัติทรงแต่งตั้งในเขมทัตเป็นผู้ครองบัลลังก์ต่อจากพระองค์ ส่วนเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์นั้น...มีหมายจับทูลกระหม่อมองค์ใหญ่ด้วยเหตุ ที่ทรงสมรู้ร่วมคิดกับการก่อกบฏของเจ้าชายภาสกรในครั้งนี้ ส่วนทูลกระหม่อมองค์เล็ก...มันบอกว่าองค์ภารวัติทรงมีพระดำรัสเป็นครั้งสุดท้าย ว่าให้ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับวิทูร ลูกชายคนโตของมันพะยะค่ะ”
วรองค์งามสั่นระริกด้วยความคั่งแค้น หากแต่สีพระพักตร์เรียบเฉย มีแต่แววพระเนตรสีบุษราคัมเฉกสมเด็จแม่ของพระองค์เท่านั้นที่ฉายแววแค้นแล โทมนัสสุดแสน...
พระหัตถ์เรียวลูบพระปฤษฎางค์[3]ของน้องนางที่ทอดองค์ร่ำไห้ในอ้อมพระกร อัสสุชลคลอนัยเนตรงาม...แต่ไม่รินไหลเพราะทรงกลั้นไว้สุดความสามารถ
เจ้าพ่อเคยประทานสอนไว้...เจ้าคนนายคน จะร้องไห้ให้ใครเห็นง่ายๆ มิได้เป็นอันขาด!
ปรียทรรศิกานั่นแล้วไปเถิด...ทรงได้รับการอบรมเยี่ยงเจ้าหญิงทั่วไป ถูกทะนุถนอมให้บอบบางดังเครื่องแก้วบางใส พระน้องนางยังเยาว์ชันษานัก หากจะร่ำไห้บ้างจะแปลกอะไร
...แต่พระองค์ทรงกรรแสงไม่ได้...หากทรงร่ำไห้อีกคนหนึ่ง ใครเล่าจะเป็นหลักให้น้องนางยึดได้อีก
โรงนาน้อยตกอยู่ในบรรยากาศโศกสลด เสียงร่ำไห้เหมือนจะไม่มีวันจากจางหายไป ชั่วกาลนาน...
ท่ามกลางเสียงสะอื้น ปรียทรรศิกาเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรแดงก่ำของพระพี่นาง เจ้าหญิงน้อยทรงเลื่อนองค์ออกจากอ้อมพระพาหาอบอุ่น ก่อนจะทรงยกหัตถ์บางปาดน้ำพระเนตรออกจากพระพักตร์อ่อนหวาน
...และทรุดองค์ลงเบื้องพระบาทของจิตรางคทา ก่อนจะทรงก้มกราบแสดงความเคารพเฉพาะที่จะกระทำต่อเจ้าแผ่นดินเท่านั้น!
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกผู้ สุรเสียงสั่นน้อยๆ หากแต่ก้องกังวานหวานของเจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กแห่งปัทมราชก็ประกาศก้อง
“ข้าพระพุทธเจ้า เจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกาประภาวดี ขอกราบถวายบังคมองค์จิตรางคทาวรราชกุมารี ราชินีแห่งปัทมรัฐ ขอจงทรงพระเจริญ ปกเกล้าชาวประชา ไพร่ฟ้าทั่วแคว้น ตราบจนสิ้นกาลนานเทอญ!”
สิ้นพระดำรัส ทั้งวิชยุตม์และกิ่งแก้ว...ต่างค้อมตัวลงก้มกราบ...ถวายความเคารพสูงสุดต่อเจ้าชีวิตองค์ใหม่ของตน!”
ราชินีองค์ใหม่ประทับนิ่ง...นาน...
ทอดพระเนตรดาราพราวกลางความมืดมนแห่งราตรี ยามจันทราอับแสง...จิตรางคทาที่ประทับอยู่ใต้พฤกษ์ใหญ่ทรงกันแสงเงียบๆ เพียงองค์เดียว
ขัตติยราช...จะต้องไม่เสียน้ำตาให้ผู้ใดเห็น!
หากทรงเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ที่สามารถร้องคร่ำครวญ หวนไห้กับความอยุติธรรมรอบกาย เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมพาหาของเจ้าพ่อและสมเด็จแม่ จิตรางคทาคงไม่ต้องมาผจญกับความเจ็บปวดดั่งฤทัยสลาย หากไม่สามารถร่ำไห้ให้ใครเห็นได้
ภาระแห่งแผ่นดินหนักอึ้งอยู่บนพระอังสาบาง ที่ต้องทรงแบกรับไปพร้อมๆ กับที่ต้องรับความสูญเสียบุพการี คนที่จะกอดพระองค์ให้อบอุ่นในวันที่ทรงเหนื่อยล้า คนที่จะพร่ำเตือนให้ทรงดูแลพระวรกายก่อนที่จะดูแลพสกนิกร...วันนี้...ไม่มีอีกแล้ว...
ยังดีที่วันแห่งความโศกเศร้านี้ ผู้หลบหนีทั้งหมดมิต้องออกไปผจญกับความมืดมิดยามค่ำคืน เพราะ เจ้าของบ้านผู้อารีได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงนาน้อยทั้งหมด ชาวบ้านที่แม้มิได้มีฐานะ ศักดิ์ ตระกูลอันใด หากแต่มีความจงรักภักดีเหนือเกล้า ก็ออกปากให้ทรงพำนักอยู่ที่บ้านของเขาต่อไป
แม้จะทรงวิปโยคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าใด แต่แผนการกอบกู้ราชบัลลังก์ก็ถูกร่างขึ้นคร่าวๆ ในตอนเย็นนั้นเอง หลังจากที่หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มได้ออกไปหยั่งเสียงชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับข่าวการสวรรคตกระทันหันของเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน เลยไปถึงการครองบัลลังก์และความเชื่อในข่าวการก่อกบฎของเจ้าชายภาสกรและเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท
“ข่าวเหลวไหล! เจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่น่ะหรือจะทำเช่นนั้นได้ องค์ชายภาสกรก็เป็นคนดี ข้าไม่เชื่อหรอก!”
“ข้าว่า ความจริงแล้ว ไอ้เขมทัตนั่นแหละ! ที่เป็นคนปลงพระชมน์องค์ภารวัติเอง ไม่แน่...เจ้าหญิงทั้งสองก็อาจจะโดนมันปลงพระชนม์เช่นเดียวกัน”
คนพูดจบประโยคลงด้วยน้ำตาอาบแก้ม ความคับแค้นใจฉายชัดในแววตาซื่อของคนพูดลึกล้ำ ไม่ต่างจากอาการคร่ำครวญของปวงชนจำนวนมากเมื่อได้รู้ถึงข่าวร้าย
ทั้งๆ ที่ทหารผู้นำประกาศมาติดก็ยังอยู่ใกล้คำประกาศนั้น แต่แววตานายทหารผู้นั้นกลับเห็นด้วยเต็มเปี่ยม
เพียงเท่านี้...ชายหนุ่มก็รู้แล้ว ว่าผู้คนแทบทั้งหมด ยังจงรักต่อราชวงศ์มิเสื่อมคลาย...
เนื้อความที่วิชยุตม์ถ่ายทอด ทำให้จิตรางคทาตัดสินใจทำในสิ่งที่ทรงถูกกล่าวหา...
นับแต่นี้...พระองค์จะเป็นกบฏต่อราชบัลลังก์ของเขมทัตให้ถึงที่สุด!
ความคิดเห็น