ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มงกุฎกลางหทัย

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 (แก้ไขแล้ว)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 768
      12
      24 ต.ค. 54







    สตรีสี่นางเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ...รวดเร็ว


                   
    จิตรางคทาเสด็จนำสตรีอีกสามนางออกมาจากบ้านของยุพา หลังจากที่เจ้าของบ้านที่ยืนกรานจะตามเสด็จเก็บข้าวของที่จำเป็นสำหรับตัวเองและทารกน้อยเรียบร้อย โชคดีนักที่บ้านหลังนี้ถึงแม้จะอยู่ใกล้กำแพงพระราชวัง แต่ก็ไกลพอที่จะไม่เป็นจุดสนใจของทหารทั้งสองฝ่ายที่กำลังเข้าโจมตีกันอย่างดุเดือด

                    เจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่แห่งปัทมราชลอบถอนพระปัสสาสะยาวด้วยความโล่งพระทัย เด็กน้อยในอ้อมกอดของผู้เป็นมารดาหลับสนิท ไม่รับรู้ถึงความวุ่นวาย...เร่งร้อนรอบตัว ยุพานั้นถึงแม้จะหันไปมองเบื้องหลังบ่อยครั้งด้วยความอาลัยสามี นางก้าวเดินอย่างรวดเร็วเหมือนคนที่ตัดใจได้แล้ว หากแต่มีหลายครา...ที่นางก็หยุดเท้าลงแหมือนคนที่ไม่สามารถตัดใจได้เด็ดขาด หลายคราที่อดีตนางสนองพระโอษฐ์ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่เพราะกิ่งแก้วที่คอยทำหน้าที่ทั้งปลอบทั้งฉุดให้เดิน นางจึงยังตามพระองค์มาด้วยสีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

                    ปรียทรรศิกากับกิ่งแก้วดูจะอาการหนักกว่า น้องนางของพระองค์พระพักตร์ซีดเซียว ถึงแม้วรองค์บอบบางจะดำเนินได้มั่นคง แต่จิตรางคทาทรงรู้ดีว่าเจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยกำลังใช้ความอดทนจนเกือบจะถึงขีดสุด สายพระเนตรที่ทอดมายังพระองค์เต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนเกินพรรณนา ติดแต่พระพี่นางมิทรงอนุญาตให้ตรัสถามได้เท่านั้น

                    โชคดีที่ระหว่างทางไปท้ายพระราชวังมีไม้ยืนต้นแลไม้พุ่มขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งหมดจึงได้อาศัยหลบสายตาเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายตามสุมทุมพุ่มไม้ ชุดแบบบุรุษที่จิตรางคทาทรงจัดเตรียมมาด้วยทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความสะดวกมากยิ่งขึ้น

                    เสียงปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายยังคงดังต่อเนื่องเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าทหารฝ่ายกษัตริย์จะอ่อนกำลังลงไปมาก นั่นยิ่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์และผู้ติดตามปริวิตกยิ่งขึ้นไปอีก

                    พี่หญิง...เกิดอะไรขึ้นเพคะ สามีของยุพาบอกว่าเกิดกบฏ

                    ปรียทรรศิกาอดไม่ได้ที่จะทูลถามพระพี่นาง เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กทอดพระองค์ลงพิงกับไม้ใหญ่ที่พระพี่นางพามาหลบอย่างอ่อนแรงด้านข้าง...สตรีอีกสองนางก็มีสภาพไม่ต่างกัน โดยเฉพาะยุพาที่ดูจะขวัญเสียมากกว่าคนอื่นๆ

                    สายพระเนตรคมกริบของเจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่หันไปจับอยู่ที่อดีตนางสนองพระโอษฐ์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีของเจ้านั้นเข้าร่วมกับพวกกบฏ

                    ยุพาหน้าเสีย สะอื้นขึ้นมาทันใด หม่อมฉันไม่ทราบเลยเพคะทูลกระหม่อม หม่อมฉันไม่เคยคิดมาก่อน...ว่าเขาจะเข้าร่วมกับผู้ใด ทรงเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ...

                    จิตรางคทาประทับนิ่ง สายพระเนตรทอดจับที่เหล่าผู้ติดตาม สลับกับสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวที่ยังกอดลูกน้อยไว้แนบอกอีกครั้ง

                    ยุพา...ไม่ ว่าสามีของเจ้าจะเข้าร่วมกับกบฏหรือไม่ นั่นไม่สำคัญเท่าเจ้ายังอาลัยเขาอยู่หรือเปล่า หากเจ้าตัดใจไม่ได้ เราขอให้เจ้าหันหลังกลับไปซะ อย่าตามเรากับหญิงเล็กไปเลย

                    พี่หญิงเพคะ!” ปรียทรรศิกาเบิกพระเนตรกว้างอย่างตกพระทัย หากยุพากลับไป ก็เท่ากับว่านางกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับกบฏนะเพคะ หากเกิดอะไรขึ้น...

                    นางจะปลอดภัยดี หญิงเล็กสุรเสียงหวานตรัสตอบเรียบๆ ไม่ว่าผลการปะทะระหว่างกลุ่มกบฏกับทหารราชองครักษ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม นางจะปลอดภัยเสมอ...แต่หากให้นางไปกับเราตอนนี้สิ ยุพาอาจจะไม่รอด อย่าลืมว่ายุพามีลูกเล็กอยู่นะ เราจะให้นางเสี่ยงไม่ได้

                    ปรียทรรศิกาเกือบเอ่ยพระดำรัสทักท้วง หากแต่ทรงดำริตามรับสั่งของพระพี่นางได้เสียก่อน

                    ...ให้อย่างไรยุพาก็ปลอดภัย หากพวกกบฏแพ้ พระองค์ยังทรงสามารถยื่นหัตถ์เข้าช่วยโดยการยืนยันว่านางมิได้มีส่วนรู้ เห็นใดๆ กับสามีเลยแม้แต่น้อย

    แต่ในทางกลับกัน...หากกบฏเป็นฝ่ายมีชัย การเป็น พวกเดียวกัน ของสามียุพา จะกลายเป็นตัวปกป้องยุพาได้เป็นอย่างดี...

                    ...ทารกน้อยในอ้อมแขนของยุพาจะทำให้ผู้เป็นบิดาออกโรงปกป้องมารดาของเขา จะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม...

                    องค์หญิงน้อยจึงหันไปทางอดีตนางสนองพระโอษฐ์คนสนิท แย้มสรวลอย่างอ่อนโยนก่อนจะบอก ยุพากลับไปเถอะจ้ะ อย่าตามเรามาเลย

                    ไม่เพคะ! หม่อมฉันจะขอติดตามทูลกระหม่อมทั้งสองไป ทรงกำลังผลักไสให้หม่อมฉันไปอยู่กับพวกกบฏนะเพคะ!

                    กบฏ เป็นคนที่เจ้ารัก เป็นสามีของเจ้าเอง...ยุพา รับสั่งเฉียบขาดจากจิตรางคทาดังขึ้น เจ้าพร้อมที่จะเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเราหรือ สถานการณ์นี้ร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้มากนัก การติดตามเราในครั้งนี้อาจทำให้เจ้าสูญเสียชีวิต หรือลูกน้อยของเจ้าไป

                    ทรงทอดพระเนตรเห็นอ้อมแขนของผู้เป็นมารดากระชับบุตรแน่นขึ้นอีกด้วยความหวงแหน เชื่อเรา กลับไปบ้านเจ้าเสีย ปฏิบัติตัวตามปกติ ไม่ว่าวันนี้ผลการปะทะจะเป็นเช่นไร วันหนึ่งข้างหน้า...เราจะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้!

     

    เสียงปืนดังไกลออกไป...

                    ก่อน ที่นัดแรกจะดังก้องไปทั้งอุโมงค์ลับ พร้อมๆ กับร่างนายทหารราชองครักษ์ผู้หนึ่งที่เดินตามหลังอยู่ทรุดฮวบลงนอนแน่นิ่ง ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างตกพระทัยของเหล่าผู้สูงศักดิ์ที่กำลังพากันทยอย หลบหนี

                    วิชยุตม์สั่งการทหารอย่างรวดเร็วก่อนเร่งทูลให้เจ้าชีวิตทรงทราบเพื่อเร่งฝีพระบาทหนีการจับกุมให้เร็วยิ่งขึ้น แต่การหลบหนีภายในพื้นที่จำกัดอย่างเช่นอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ก็ทำให้ขบวนคน ทั้งหมดที่มีจำนวนมากพอสมควรเคลื่อนที่ไปได้อย่างช้าๆ

                    เหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างหวีดร้องเสียงสะท้านเมื่อเสียงปืนดังขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ทุกคนในที่นั้นขวัญเสียมากยิ่งขึ้น

                    หัวหน้าราชองครักษ์ขบกรามแน่นเมื่อคิดถึงว่า เส้นทางในอุโมงค์นี้มีเพียงผู้ที่องค์ภารวัติวางพระทัยเท่านั้นจึงจะรู้ ซึ่งนอกจากพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว ก็มีเพียงทหารราชองครักษ์ที่เป็นลูกน้องระดับใกล้ชิดเขาเท่านั้นที่ได้รู้ เนื่องจากทรงต้องการทหารคุ้มกันความปลอดภัยให้แก่บรรดาสตรีที่ร่วมขบวนเสด็จ

                    พระญาติทั้งหมดไม่น่าจะมีใครเป็นผู้เปิดเผยความลับเรื่องอุโมงค์แห่งนี้ เพราะหลังจากที่ทรงได้รับแจ้งแล้ว ทุกพระองค์ก็ประทับอยู่ที่เดียวกันตลอด ไม่มีพระองค์ไหนที่แยกออกมาอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งเข้ามาในเส้นทางลับ

                    คงเหลือแต่ทหารราชองครักษ์เท่านั้น ที่มีทางติดต่อกับฝ่ายตรงข้าม...ช่วงเวลาที่ปะทะกัน!

                    ...สัตย์ปฏิญาณของทหารราชองครักษ์ ยอมพิทักษ์ราชวงศ์ด้วยชีวิต...

                    มีคนกล้าล่วงคำปฏิญาณนี้! คนที่เขา...และราชวงศ์ทุกพระองค์วางพระทัย!

                    ราชองครักษ์หนุ่มรู้สึกแสบร้อนในลำคอ พิษของการทรยศจากคนที่ไว้ใจกัดกร่อนแผดเผาจนเจ็บแสบ ราวกับน้ำเกลือที่ราดรดบนแผลสดใหม่ ในขณะที่ปืนแลดาบปลายปืนในมือทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ หัวใจเขากำลังเจ็บร้าวเมื่อต้องลั่นกระสุนใส่ร่างของทหารร่วมชาติ...

                    ความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อฝ่ายตรงข้ามหนุนกันเข้ามาข้างในมากขึ้น ยังดีที่องค์ภารวัติมิได้ตรัสบอกถึงปลายทางของอุโมงค์เส้นนี้กับผู้ใด นอกจากเจ้าฟ้าหญิงจิตรางคทาที่จะต้องนำเสด็จพระขนิษฐาไปรอพระญาติทุกพระองค์ ณ ที่นั้น

                    เสียงสับสนแห่งการต่อสู้และเสียงกรีดร้องของบรรดาเชื้อพระวงศ์ทำให้สถานการณ์ฝ่าย องค์ราชาแย่ลงยิ่งขึ้น เหล่าทหารราชองค์รักษ์ฝ่ายเขาล้มลงดุจใบไม้ปลิดปลิว แทนที่ด้วยเหล่าทหารกบฎที่ดาหน้าหนุนเนืองกันเข้ามาไม่ขาดระยะ

                    ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ในขณะที่ต้องรับมือกับจำนวนทหารที่มากกว่าฝ่ายเขาเกือบๆ สิบต่อหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีกำลังหนุนเป็นพระญาติฝ่ายชายและฝ่ายหญิงบางองค์ ที่หาญกล้าลุกขึ้นมาจับปืนแลดาบอย่างทหารในตอนนี้ แต่กำลังของผู้ถูกล่า ฤาจะมีมากกว่าผู้ล่า เพียงไม่นานก็มีพระศพของเหล่าพระบรมวงศ์เพิ่มขึ้นเคียงคู่กับทหารกล้า ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ที่ดังก้องอุโมงค์

                    วิชยุตม์คำรามลั่นเมื่อเห็นพระวรกายสูงของเจ้าชายภาสกร ผู้ทรงเป็นพระภาติยะ[1]และ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองทหารราชองครักษ์ถูกกระสุนปืนยิงเข้ากลางพระ วรกาย เพราะทรงใช้วรองค์สูงกั้นกลางระหว่างกระสุนปืนและชายาขององค์เอง ทรงทรุดลงตรงหน้าเขา พระเนตรเบิกค้าง ไร้แววแห่งดวงพระวิญญาณ...

                    เจ้าพี่!

                    วรองค์แบบบางของของพระชายากำลังจะโน้มองค์ลงโอบประคองสวามี หากแต่ทรงถูกพระญาติองค์อื่นรั้งพระพาหาไว้ทันควัน พร้อมทั้งดันให้ทรงดำเนินไปอย่างรวดเร็วทั้งที่พระนางกำลังกรีดร้อง...กรรแสงก้องไปทั่วอุโมงค์เฉกเช่นคนหัวใจสลาย

                    ปล่อยหม่อมฉัน! หม่อมฉันไม่ไป หม่อมฉันจะอยู่กับเจ้าพี่! เจ้าพี่เพคะ!

                    พาเสด็จไปเร็วๆ พะยะค่ะราชองครักษ์หนุ่มรีบทูล ตอนนี้กำลังทหารของเราน้อยลงมาก เกรงว่าจะต้านไม่ไหวแล้ว ทรงรีบเสด็จไปโดยเร็วเถิดพะยะค่ะ!

                    ร่างสูงที่ตอนนี้ล้าไปทั้งกายใจลั่นไกยิงใส่กบฏอย่างต่อเนื่อง สู้พลางถอยพลางอย่างยากลำบากในสถานที่แคบ

                    จวบจนกระทั่งทหารเหลือน้อยลงโดยที่ฝ่ายเขามิอาจสู้ได้อีก ชายหนุ่มจึงวิ่งผ่านบรรดาพระญาติเข้าไปหาองค์กษัตริย์ พลางทูลอย่างเร่งร้อน เสด็จหนีก่อนเถอะพะยะค่ะ เสด็จไปพร้อมกับองค์ราชินี กระหม่อมเชื่อว่าพระญาติที่เหลือมิใช่เป้าหมายของเขมทัต แต่หากใต้ฝ่าละอองฯ ถูกควบคุมพระองค์ไว้ได้ เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองมากกว่านะพะยะค่ะ

                    วงองค์สูงสง่ายังดำเนินรวดเร็ว ในอุ้งพระหัตถ์ยังทรงกุมหัตถ์ขององค์ราชินีไว้มิยอมปล่อย...

                    เจ้าจะให้เราทิ้งญาติไปเช่นนี้หรือ? วันธัย...เหตุผลสำหรับแผ่นดินที่ข้าหนีออกมา คือข้ายังคงสามารถกลับมาทวงสิทธิ์ของข้าได้ แต่หากข้าทำกระทั่งละทิ้งพี่น้องของตนเอง นั่นยังจะยุติธรรมกับพวกเขาอีกหรือ?

                    แต่ใต้ฝ่าละอองฯ ทรงเป็นเจ้าแผ่นดินนี้นะพะยะค่ะ หากทรงเป็นอันตรายขึ้นมาเล่า? มิเท่ากับ...

                    คราวนี้ทรงหันพระพักตร์มาทางเขา สายพระเนตรที่เหมือนกับเจ้าฟ้าหญิงพระองค์ใหญ่จับนิ่งอยู่บนพระพักตร์ที่เกรอะไปด้วยฝุ่นและเลือดนั้น

                    เพราะฉะนั้น...วิชยุตม์ เจ้าต้องไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้! ไปหาจิตรางคทากับปรียทรรศิกาให้พบ แล้วพาทั้งสองคนหลบหนีไปยังที่ปลอดภัย

                    ใต้ฝ่าละอองฯ...

                    ฟังข้า... สุรเสียงเฉียบขาดดังขึ้น หากข้าเป็นอะไรไป รัชทายาทของบัลลังก์นี้ก็ยังคงอยู่ ตอนนี้ที่สำคัญคือนางต่างหาก แต่หากเจ้ามัวพะวงอยู่กับข้า จิตรางคทาอาจจะเป็นอันตรายได้ เช่นนั้นราชวงศ์จะไม่มีใครสืบทอดเลย!

                    กระหม่อม... วิชยุตม์นิ่งอึ้งไปกับถ้อยรับสั่งนั้น

    ก่อนที่หัวหน้าราชองครักษ์จะทำการถวายความเคารพ เฉกที่เคยกระทำต่อเจ้าชีวิตเสมอมา นอบน้อม สง่างาม ท่ามกลางสมรภูมิ ขอปฏิญาณว่าจะปกปักษ์รักษาเจ้าหญิงรัชทายาท และเจ้าฟ้าหญิงยิ่งชีวิตของกระหม่อมเอง ทรงระวังองค์ด้วย...

                    รีบไปวิชยุตม์...ก่อนทหารจะต้านไม่ไหวเจ้าชีวิตทรงแย้มสรวลให้น้อยๆ ข้าเชื่อคำสัตย์เจ้า...ฝากข้อความนี้ถึงลูกหญิงทั้งสองของข้าด้วย ให้นางคิดถึงหน้าที่ต่อแผ่นดิน ไปจากที่นี่ตอนนี้ เพื่อที่จะกลับมาชนะในภายภาคหน้า บอกนางว่า...ราชโองการจากข้า...คือสั่งให้นางหนีไปให้ไกลที่สุด!”

                    ขาดพระดำรัสนั้น วรองค์สง่าก็ผงะ พระอังสา[2]ด้านขวาปรากฏรอยพระโลหิตชุ่ม หากทรงกัดพระทนต์แน่น แววพระเนตรวาววับ

                    ท่ามกลางสุรเสียงกรีดก้องขององค์ราชินี วิชยุตม์ได้แต่รีบออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นทหารฝ่ายกบฏกำลังควบคุมเจ้าชีวิตของตน...

                    ...หัวใจชายชาติทหารแม้รวดร้าวเพราะบกพร่องต่อหน้าที่เพียงใดก็ตาม หากแต่ตอนนี้หน้าที่ใหม่ของเขา...ที่ได้รับมอบหมาย คือการอารักขาเจ้าหญิงทั้งสองให้ปลอดภัย...

                เขาต้องทำให้ได้...

     



    ราวป่าร่มรื่นท้ายพระราชวังดูเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับสิ่งก่อสร้างที่อยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย...


                   
    เพราะช่วงนี้เป็นช่วงผลัดเปลี่ยนระหว่างฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน อากาศในวันนี้จึงร้อนอบอ้าวมิใช่น้อย หากแต่ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ทั้งในและนอกพระราชวังที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์นั้นทำให้บรรยากาศในนั้นร่มเย็นเสมอมา...

                    หากแต่วันนี้ แม้ปรียทรรศิกาจะทอดพระเนตรเห็นความเย็นตาจากสีเขียวของต้นไม้ ที่เริ่มผลิใบอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ฝนแรกฤดูได้ร่วงลงมาจากฟากฟ้าแล้ว หากแต่ในสายพระเนตรขององค์เอง วันนี้คือวันที่ทรงรู้สึกว่าเร่าร้อน...

                    ...ดั่งตกอยู่ในเพลิงนรก!

                    มิทรงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่ทรงฉลาดพอที่จะจับความได้อย่างคร่าวๆ และนำเรื่องราวทั้งหลายมาปะติดปะต่อกัน เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยก็รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์

                    เกิดกบฏ และตอนนี้มีแนวโน้มว่าพระองค์ต้องเป็นฝ่ายหลบลี้หนีภัย...ดำริได้แค่นี้ วรองค์งดงามก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น อีกความคิดหนึ่งก็กลับค้านว่าเรื่องราวอาจจะมิเลวร้ายถึงเพียงนั้น นี่อาจะเป็นเพียงสุบินร้าย ที่พระองค์จำเป็นที่จะต้องตื่นขึ้นมาให้เร็วที่สุด

    หากแต่เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นร่างสูงคุ้นตายืนอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์...ปรียทรรศิกาก็มิสามารถหลอกองค์เองได้อีกต่อไป สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องจริง!...จริงและร้ายแรงถึงชีวิตเลยทีเดียว

                    ปรียทรรศิกาทรงพาวรองค์เหนื่อยหอบจากการที่ทรงวิ่งหลบสายตาทหารเมื่อครู่เข้าไปใกล้องค์พระพี่นาง แววพระเนตรอ่อนระยับจับภาพชายคนนั้นด้วยความแปลกแกมตกพระทัย

                    “...นั่น...ทะ...ท่านวิชยุตม์นี่เพคะพี่หญิง ทำไมมีวิชยุตม์คนเดียว...

                    ปรียทรรศิกาขมวดขนงเรียว ร่างสูงที่เห็นของราชองครักษ์หนุ่มนั้นซ่อนอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น หากเพราะจากที่ทรงยืนอยู่ตรงนี้เป็นเนินสูงขึ้นมามากกว่า ดังนั้นจึงทรงเห็นเขาได้...แม้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก...

    วรองค์แบบบางสูดพระปัสสาสะลึกๆ พลางทรงพยายามระงับพระอาการเหนื่อยอ่อน กิ่งแก้วที่ตามระวังหลังรีบเข้าไปดูพระอาการอย่างรวดเร็วด้วยความกังวล

                    เจ้าหญิงน้อยไม่ทรงมีพระโรคประจำองค์ แต่พระพลานมัยก็มิได้แข็งแรงเท่าใดนัก เพราะทรงเป็นเจ้าหญิงที่ได้รับการอบรมเยี่ยงขัตติยนารี จึงมิได้ออกพระกำลังมากเท่ากับพระพี่นาง ที่ต้องทรงเตรียมองค์พร้อมทุกด้านสำหรับเมื่อก้าวขึ้นครองบัลลังก์

                    นางสนองพระโอษฐ์ประคองวรองค์งดงามนั้นไว้ ก่อนหันไปทูลเจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่แห่งปัทมรัฐ ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงเพคะ...หม่อมฉันก็สงสัย ว่าเหตุใดจึงมีแต่ท่านราชองครักษ์อยู่ ณ ที่นั้น ดูท่าจะมิชอบมาพากลแล้วนะเพคะ เราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ

                    คำถามของนางทำให้จิตรางคทาต้องนิ่งเพื่อเรียบเรียงพระดำริ ก่อนจะทรงตรัสออกมาเรียบๆ ไม่แสดงพระอารมณ์ใดๆ เฉกเช่นเคย

                    ถ้าอย่างนั้น กิ่งแก้ว...เจ้าอยู่รอเรากับน้องหญิงที่นี่ เราจะไปดูลาดเลาก่อน หากปลอดภัย เราจะส่งสัญญาณให้เจ้าพาน้องหญิงเข้าไปสมทบ

                    เสี่ยงเกินไปกระมังเพคะพี่หญิงวงพักตร์ซีดเซียวจากการเดินทางเงยขึ้นสบพระเนตรเฉียบคมของพระพี่นางอย่างทรงเป็นห่วง

                    เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่าหญิงเล็ก...ไม่ต้องห่วงพี่หรอก ให้อย่างไรพี่ก็เอาตัวรอดได้ น้องรอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่กลับมา

                    รับสั่งจบก็ทรงดำเนินออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการแฝงพระวรกายหลังไม้ใหญ่...ทักษะที่ทรงฝึกฝนกับทหารรางองครักษ์จนช่ำชอง

                    กิ่งแก้วสังเกตเห็นแววปริวิตกในพระเนตรงามของน้องนางองค์น้อย นางสนองพระโอษฐ์ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหนักอก ด้วยนางก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อเป็นการช่วยแบ่งเบาความไม่สบายพระทัยของเจ้านาย

                    ...คงตกพระทัยมาก ใครจะคิด...ไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าหญิงองค์น้อยของนางทรงร่าเริง แจ่มใส ดังเช่นฤดูใบไม้ผลิแสนงดงาม...พระทัยอ่อนไหวนั้นจะทรงรู้สึกเฉกไรเมื่อจู่ๆ ก็ทรงต้องหลบหนีการตามล่าของกบฏ!

                    กิ่งแก้วถอนหายใจอีกครั้ง หงส์งามกำลังร่วงจากเวหา...ไม่รู้ว่า หงส์ จะทำพระทัยให้ยอมรับได้แค่ไหน แต่นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ นอกจากเฝ้าคุ้มครองป้องภัย มิให้อันตรายใดๆ มาแผ้วพานเจ้าหญิงองค์น้อยของนาง จนกว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทจะให้สัญญาณว่าปลอดภัยได้เท่านั้น...

     

    แม้ท้ายกำแพงวัง ตรงจุดที่ลึกลับที่สุดจะดูปลอดจากทหารข้าศึกเพียงไหน...

                    เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งปัทมรัฐก็ยังคงกุมพระแสงปืนสั้นไว้ในพระหัตถ์แน่น กระบอกนี้ทรงได้มาเมื่อครั้งที่ทรงมีพระชนมายุเพียงสิบสามพรรษา เมื่อครั้งที่เจ้าพ่อส่งตัวพระองค์ให้ พระอาจารย์ซึ่งก็คือทหารราชองค์รักษ์ฝีมือดีพาไปฝึกใช้อาวุธ รวมถึงทักษะทางการทหารทุกด้าน

                    จิตรางคทาเคยตามเสด็จเจ้าอาภาสกรไปรับการฝึกในค่ายทหารอยู่บ่อยครั้ง พระองค์จึงทรงมีพระลักษณะไม่เหมือนขัตติยนารีทั่วไปแม้แต่นิดเดียว...

                    ...ในขณะที่หญิงทั้งหลายต่างเชี่ยวชาญการเย็บปักถักร้อย รังสรรค์ผลงานเลิศเลอออกมาทางผลงานวิจิตรบรรจง พระองค์กลับเชี่ยวชาญสรรพาวุธทั้งหลาย มิเคยทรงสร้างสรรค์หากยังกลับทำลายชีวิตของผู้คนไปไม่น้อย ด้วยพระหัตถ์บอบบางอันควรที่จะได้แตะต้องเพียงเข็มเล่มบางกับผืนผ้านุ่มนวล...

                    ...ในขณะที่หญิงทั้งหลายต่างเชี่ยวชาญเรื่องการบ้านการเรือน ศิลปะการร่ายรำ ท่องโคลงแต่งกลอน เล่นดนตรีเพื่อความจำเริญเพลินใจ พระองค์กลับเชี่ยวชาญเรื่องการค้ากับต่างแคว้น เพื่อที่จะทรงรู้ว่าทำเช่นไรแคว้นขององค์เองจะได้เปรียบมากที่สุด การทูตกับต่างชาติ เพื่อที่ทั้งเจรจา ผูกสัมพันธ์ เพื่อผลประโยชน์จากการเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า เจริญสัมพันธไมตรีเพียงเพื่อเผื่อเอาไว้หากเกิดเหตุกบฏ หรือการที่ชาติบางชาติจะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองแคว้นของพระองค์ให้กลายเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นการผูกไมตรีไว้กับหลายชาติ จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจมิให้ชาติใดก้าวล่วงมายึดแคว้นของพระองค์ไปง่ายๆ

                    หากแต่ทรงคิดผิด...ที่ไปป้องกันภัยจากแคว้นต่างชาติโดดๆ แต่มิได้มองว่า...

                    คนในชาตินั่นแหละ ที่เปิดประตูบ้านให้เขาเข้ามาบุกทำลายบ้านของตนเอง!

                    หลายครั้งที่ทรงอิจฉาพระน้องนาง ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสำราญเฉกเจ้าหญิงทั่วๆ ไป แต่ก็ทรงเข้าพระทัยถึงพระราชภาระขององค์เอง จึงไม่เคยตรัสขอหยุดหรือขอพักการฝึกใดๆ ทั้งสิ้น แลท่าน อาจารย์ ทั้งหลาย ก็ไม่มีใครที่จะ ยั้งมือให้พระองค์สักคนเดียว

                    เจ้าพ่อเคยตรัสเตือนอยู่หลายครั้ง ให้ทรงเตรียมองค์ไว้ให้พร้อมกับการก้าวขึ้นครองบัลลังก์ หากแต่...ตอนนี้ทรงกลัวเหลือเกิน...

                    ...ลางสังหรณ์แปลกๆ ทำให้ทรงกลัวว่าจะได้ขึ้นครองราชย์เร็วกว่าที่คาดไว้...

                    โชคดีที่บริเวณนี้เป็นบริเวณท้ายตำหนักพาวิเวก ตำหนักเก่าซึ่งเล่าลือกันว่ามีดวงพระวิญญาณของพระสนมของกษัตริย์พระองค์ก่อนหลายๆ พระองค์ที่ถูกเนรเทศมายังตำหนักนี้ครอบครองอยู่ ทำให้กลายเป็นที่ๆ ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ หลายครั้งหลายครา...คนที่จำเป็นจะต้องเดินใกล้ตำหนักนั้นในยามสนธยา จะได้ยินเสียงกรีดร้องแผ่วเบา เจือเสียงสะอื้นด้วยความระทมดังออกมาจากในตำหนักเก่านั้น

    เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันแพร่หลาย ทำให้แม้กระทั้งหลังกำแพงแห่งนี้ที่เป็นพื้นที่ไม่มีผู้ใดจับจอง จะไร้ซึ่งบ้านเรือนแลสิ่งปลูกสร้างใดๆ ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก

                    จิตรางคทาวรราชกุมารีเคลื่อนวรองค์โปร่งระหงลัดเลาะไปตามหลังต้นไม้ ไม่ทรงเสี่ยงที่จะเดินเข้าไปหาหัวหน้าราชองครักษ์โดยตรง เผื่อว่าทหารฝ่ายกบฏจะเคลื่อนกำลังคนเข้ามาในบริเวณนี้ แล้วพระองค์ แลคนที่เหลือตรงนี้ทั้งหมดอาจจะเป็นอันตรายได้

    แต่เมื่อทรงเข้าไปใกล้ราชองค์รักษ์หนุ่มมากขึ้น ดวงเนตรสีบุษราคัมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตระหนก...ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีแต่โลหิตสีแดงสด กรุ่นกลิ่นคาวไปทั่วบริเวณ!

                    ด้วยความตกพระทัย เจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่จึงหลุดพระโอษฐ์เรียก วิชยุตม์!

                    หัวหน้าราชองค์รักษ์หันขวับตามเสียงหวาน ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า มีวรองค์งดงามในฉลองพระองค์สีดำอาศัยเป็นที่กำบังพระวรกายอยู่

                    ร่างองครักษ์หนุ่มไม่ได้ปราดเข้าไปหาวรองค์บางอย่างที่ใจอยาก หากแต่มองไปรอบบริเวณก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงรีบเข้าไปหาจิตรางคทาทันควัน

                    หัวใจราชองครักษ์หนุ่มเต้นแรงด้วยความตระหนกเมื่อมองสำรวจวรองค์บางตรงหน้าอย่างคร่าวๆ เมื่อรู้ว่าเจ้าฟ้าหญิงเบื้องหน้ามิได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด ร่างสูงก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนขมวดคิ้วแน่นพลางทูลถาม

                    ทูลกระหม่อมองค์เล็กล่ะพะยะค่ะ

                    เราให้หญิงเล็กซ่อนอยู่ที่ต้นไม้ตรงนั้นทรงชี้ไปทางไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สายตาเฉียบคมที่ถูกฝึกแบบทหารมองปราดเดียวก็เห็นวรองค์งดงามหลบๆ ซ่อนๆ อยู่พร้อมกับนางสนองพระโอษฐ์ “แล้วท่านล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ทรงปรายเนตรมองคราบเลือดที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวของเขา ราชองครักษ์หนุ่มมองตามสายพระเนตรแล้วปฏิเสธแผ่วเบา ก่อนจะทูลเร่งให้เสด็จออกโดยเร็ว

                    เช่นนั้นก็รีบเสด็จเถิดพะยะค่ะ ก่อนที่ทหารของมันจะล้อมมาถึงนี่

    ชายหนุ่มรู้สึกลำบากใจ พระนิสัยของเจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่เป็นที่รู้กันว่า ถึงแม้จะทรงมีเหตุผล แต่ก็ทรง รั้นได้อย่างถึงที่สุดเช่นกัน ดูจากสีพระพักตร์ตอนนี้แล้ว การทูลขอให้เสด็จหนีไปจากที่นี่ในทันทีโดยปราศจากเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์จะกลายเป็นเรื่องยากแสนสาหัสแน่แท้

                    แล้วเจ้าพ่อกับองค์อื่นๆ เล่า ทุกพระองค์อยู่ที่ใด?”

                    วรองค์โปร่งระหงพยายามทอดพระเนตรไปทั่วอาณาบริเวณ ทั้งที่ดำริว่าน่าจะเป็นที่ซ่อนของเหล่าพระญาติ หากแต่กลับไร้วี่แววแห่งชีวิตใดๆ ตอบเรามาสิวิชยุตม์ เจ้าพ่อ สมเด็จแม่ แลพระองค์อื่นเล่า ทุกพระองค์หายไปไหน!

                    น้ำพระดำรัสเข้มข้นขึ้น ทรงหันพักตร์ไปทางพระน้องนาง ก่อนพยักพักตร์เป็นเชิงอนุญาตให้เจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกาเสด็จมาตรงนี้ได้

                    สายพระเนตรคมปลาบราวกับจะจ้องให้ทะลุ ทำให้วิชยุตม์รู้สึกลำบากใจที่จะทูลตอบ ความคิดของราชองครักษ์หนุ่มแล่นปราด คิดหาวิธีที่จะนำเสด็จองค์หญิงทั้งสองออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด...

                    ตอบเรามา!

                    สุรเสียงที่ดังขึ้นนั่นเอง ที่ทำให้ปรียทรรศิกาที่กำลังดำเนินลงมาจากเนินอย่างระวังองค์เปลี่ยนเป็นทรงวิ่งทันที กิ่งแก้วที่ตกใจไม่แพ้กันรีบวิ่งตามมาติดๆ

                    พี่หญิง...มีเรื่องอะไรกันเพคะ? แล้วเจ้าพ่อกับองค์อื่นๆ ล่ะ...สุรเสียงอ่อนหวานดั่งจะปลอบประโลมให้จิตรางคทาพระทัยเย็นลง ก่อนท้ายประโยคจะทรงหันมาถามราชองครักษ์หนุ่มด้วยคำถามเดียวกัน

                    เอ่อ...ชายหนุ่มกลืนน้ำลายยากเย็น หากไม่รีบทูล เขาคงต้องเสียเวลาที่นี่นานกว่าที่คิด ซึ่งเสี่ยงต่อการที่จะถูกค้นพบเร็วยิ่งขึ้น “...องค์ภารวัติรับสั่งให้ทั้งสองพระองค์หลบหนีไปโดยเร็ว ไปให้ไกลที่สุด...

                    ข้าขอขัดรับสั่ง!ปรียทรรศิการับสั่งเฉียบขาด ไม่เหมือนเจ้าฟ้าหญิงผู้นิ่มนวลตามพระจริยวัตรองค์เดิม เจ้าพ่อยังอยู่ในอุโมงค์นั้นใช่หรือไม่ เหตุใดท่านจึงละทิ้งหน้าที่ของทหารราชองครักษ์มาอย่างนี้ ข้าจะกลับไปช่วยทุกพระองค์!

                    วรองค์แน่งน้อยหันกลับรวดเร็ว ก่อนที่จะเตรียมดำเนินไปหาพระญาติวงศ์ขององค์เอง

                    อย่าหญิงเล็ก!จิตรางคทาทรงฉวยข้อพระกรน้อยเอาไว้แม่นมั่น สุรเสียงเต็มไปด้วยอำนาจ ก่อนหันมารับสั่งกับราชองครักษ์หนุ่มที่ใบหน้าเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด วิชยุตม์...เจ้าพ่อทรงมีรับสั่งใดเราหรือไม่

                    พะยะค่ะร่างสูงสบพระเนตรสีบุษราคัมของเจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่แห่งปัทมราช ก่อนทูลตอบถ้อย ช้า...ชัด... มีราชโองการมาถึงเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท และเจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกา ให้ทรงคิดถึงแผ่นดินเป็นที่ตั้ง เสด็จออกจากแคว้นในตอนนี้ เพื่อที่จะกลับมามีชัยในครั้งหน้า และทรงรับสั่งว่า...อย่าทรงเป็นห่วงพระญาติทั้งหมด ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการให้รัชทายาทแห่งปัทมราชและเจ้าฟ้าหญิงทรงปลอดภัยเท่านั้น!

                    เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กผินพระพักตร์มามองพระพี่นาง ก่อนอ้อนวอนด้วยสุรเสียงสั่นเครือ

                    พี่หญิง...ทรงหาทางเข้าไปช่วยเจ้าพ่อกับสมเด็จแม่นะเพคะ

                    วรองค์งดงามสั่นสะท้าน เนตรงามสีรัตติกาลนั้นปริ่มด้วยอัสสุชลคลอนัยเนตร น้ำพระดำรัสเจือสะอื้นกัดกร่อนดวงหฤทัยของผู้เป็นพี่ยิ่งนัก จิตรางคทาประทับนิ่งเพียงนิด ก่อนหันมารับสั่งกับพระน้องนาง

                    เราต้องไป

                    ไม่เพคะ!” เป็นครั้งแรกที่ปรียทรรศิกาจะทรงขึ้นเสียงเอากับพระพี่นางเธอ “หม่อมฉันจะไม่ไปไหน หากเจ้าพ่อกับสมเด็จแม่ไม่เสด็จด้วย พี่หญิงเพคะ...

                    เจ้ามิได้ยินราชโองการของเจ้าพ่อหรือปรียทรรศิกา ทรงต้องการให้เราไปจากที่นี่...แต่มิได้หมายความว่าเราต้องไปลับ เจ้าไม่เข้าใจหรือ

                    แต่ทุกพระองค์กำลังตกอยู่ในอันตรายนะเพคะ!เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยสุรเสียงสั่นระริก

                    ไม่หรอก...น้ำพระดำรัสอ่อนโยนที่ทรงใช้กับน้องนางองค์เดียวปลอบ พวกนั้นยังไม่กล้าทำอะไรทุกพระองค์หรอก แม้แต่การก่อกบฏนี้ก็ยังปิดบังมิให้ประชาชนรู้เรื่องเลย คงเพราะกลัวว่าหากข่าวการกบฏแพร่ไป ชาวเมืองทุกคนจะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านเป็นแน่แท้ ในระหว่างนี้...พวกมันจะต้องไม่ลงมือใดๆ

                    ...พวกมันจะไม่ลงมือใดๆ ในช่วงนี้...ทรงอยากให้องค์เองมั่นพระทัยได้สักครึ่งหนึ่งของรับสั่งนั้นก็ยังดี...

                    อัสสุชลที่คลออยู่เต็มนัยเนตรนิลงามร่วงริน ดุจดังหยาดเพชรพร่างผ่านปรางนวลของเจ้าฟ้าหญิงองค์น้อย ขณะที่ทรงผินพักตร์มาที่วิชยุตม์อย่างคาดคั้น

                    ราชองครักษ์หนุ่มถอนหายใจยาว หวังสุดใจว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ

                    เชื่อพระพี่นางเถิดพะยะค่ะ

                    ปรียทรรศิกาทรงนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนพยักพักตร์น้อยๆ กิ่งแก้วที่ยืนนิ่งเงียบโอบประคองวรองค์บอบบางอย่างปลอบพระขวัญ

                    เช่นนั้น...ก็เสด็จเถิดพะยะค่ะ

                    แล้วเราจะไปกันที่ไหนดีเล่าท่านวิชยุตม์ ท่านมีเส้นทางที่คิดไว้แล้วหรือ?” เจ้าฟ้าหญิงองค์เล็กแห่งปัทมราชหันมารับสั่งถาม

                    จิตรางคทาหันไปมองราชองครักษ์หนุ่ม คนที่เป็นหนึ่งใน พระอาจารย์ที่สอนการใช้อาวุธให้กับองค์เอง ก่อนรับสั่งเรียบๆ

                    เดินทางไป ปรึกษากันไปก็ได้ เราเชื่อว่าท่านมีแผนอยู่ในใจแล้ว

                    เช่นนั้นก็รีบเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมกลัวว่า...

                    เขาจะกลัวอะไร ปรียทรรศิกามิอาจรู้ได้ เพราะในชั่วพริบตา ก็มีทหารรับจ้างชาวต่างชาติคนหนึ่งวิ่งมาทางนี้ ก่อนที่จะตะโกนขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มของพระองค์

                    นั่น! พวกนั้น...อั๊ก!

                    เสียงตะโกนขาดหายไปในทันที เจ้าตัวก้มลงมองหน้าอกของตนเอง ที่มีมีดสั้นของราชองครักษ์วิชยุตม์ปักอยู่อย่างงุนงง ก่อนที่เลือดสีแดงฉานจะแผ่ขยายเป็นวงกว้าง แล้วก็ล้มลงไปเงียบๆ

                    รีบเสด็จเร็ว! ตอนที่มันยังไม่มานี่แหละ

                    ชายหนุ่มวิ่งนำ โดยที่มีเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองและนางสนองพระโอษฐ์วิ่งตามไปติดๆ อย่างรวดเร็วเท่าที่ขาสองข้างจะพาไปได้

                    กิ่งแก้วที่อยู่หลังสุดเหลียวมองด้านหลังด้วยความหวาดระแวง ก่อนหวีดร้องขึ้นสุดเสียง พวกมันตามมาแล้วเพคะ!

                    จิตรางคทาหันกลับไปทอดพระเนตรเพื่อกะระยะหนี เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นตามมาจริงแต่ยังอยู่ไกลพอสมควร เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทจึงมีรับสั่งกับคนด้านหน้าทันที

                    วิชยุตม์! ทางนี้โล่งเกินไป ถึงมีต้นไม้แต่พวกมันเห็นเราได้ง่ายแน่ๆ ไปทางแม่น้ำมันตราเร็ว!

                    ทั้งหมดเปลี่ยนเส้นทางการหนีไปสู่แม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล เมื่อวิ่งลงจากเนินดินที่ค่อนข้างชันซึ่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยและกิ่งแก้วลื่นตกลงมาแล้วก็มาถึงแม่น้ำพอดี

                    ตามริมตลิ่งมีไม้ใหญ่ขึ้นเป็นจำนวนมากพอสมควร คราแรกที่เจ้าฟ้าหญิงองค์ใหญ่รับสั่งให้เปลี่ยนเส้นทาง ก็เพราะทรงต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่รกชัฏแถบนี้เพื่อพรางองค์เองและผู้ตามเสด็จ แต่เมื่อเสียงของผู้ติดตามใกล้เข้ามามากกว่าที่คิดไว้ เมื่อนึกถึงสตรีอีกสองนางที่ไม่สามารถพรางตัวได้เฉกผู้ได้รับการฝึกมา จิตรางคทาก็ตรัสถามราชองครักษ์หนุ่มทันที

                    เจ้าว่าเราทั้งหมดจะสามารถหาที่พรางตัวตอนนี้เลยได้หรือไม่

                    ไม่ได้พะยะค่ะ เจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกากับกิ่งแก้วพรางตัวไม่ทันแน่

                    เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะ!

                    เสียงฝีเท้ามากมายที่กำลังวิ่งขึ้นเนินดินมาเร่งให้เขาต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ลงไปในแม่น้ำพะยะค่ะ เดี๋ยวนี้เลย!

                    ขาดประโยค ชายหนุ่มก็วิ่งลงสู่แม่น้ำ พลางทิ้งตัวลงใต้ผืนน้ำอย่างพยายามให้เงียบที่สุด

                    พี่หญิง น้องว่ายน้ำไม่แข็ง...

                    ปรียทรรศิกาเบิกพระเนตรกว้างอย่างตกพระทัย เมื่อพระพี่นางมิทรงฟัง แต่กลับฉุดข้อพระกรของพระองค์และดึงกิ่งแก้วลงสู่ห้วงน้ำลึกพร้อมๆ กัน!




    [1] หลานลุงของกษัตริย์

    [2] ไหล่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×