ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มงกุฎกลางหทัย

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 14

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 666
      0
      13 พ.ค. 55












    “หญิงอยาก...บอกให้ท่านวิชยุตม์รู้ถึงความรู้สึกของหญิงเจ้าค่ะ!

              ปุรณะนิ่งงันไปกับรับสั่งเปี่ยมอารมณ์นั้น ชายหนุ่มมองพักตร์งามที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวแล้วได้แต่ถอนหายใจ...ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับคนตรงหน้า

                คนที่ถูกสอนให้ทำหน้าที่ยิ่งชีวิต...หัวใจเขามิสำคัญหรือ?

                “ทูลกระหม่อม...”

                “หญิงอยากบอกเขา...อย่างน้อยขอให้หญิงได้ทำในสิ่งที่หญิงอยากทำอย่างแท้จริงก่อนเถอะเจ้าค่ะ ก่อนที่หญิงจะไม่สามารถทำสิ่งใดตามใจตนเองได้อีก...”

                “ทำไมรับสั่งอย่างนั้น รับสั่งเหมือนกับว่าหากอภิเษกไปแล้วจะทรงถูกกักขังเช่นนั้นล่ะพะยะค่ะ”

                 เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยไม่ตอบคำ หากแต่ย้อนถามเรียบๆ “พี่ปุณ...เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมหาภารตยุทธ์[1]หรือไม่เจ้าคะ”

                “กระหม่อมไม่ได้ศึกษาเรื่องเหล่านั้นพะยะค่ะ”

                “งั้นหญิงจะเล่าให้ฟัง...มีราชินีองค์หนึ่ง พระนามว่าคานธารี เมื่อตอนก่อนที่จะอภิเษก ทรงเป็นหญิงสาวที่งดงาม และเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ต่อมาพระองค์ได้อภิเษกกับองค์ธฤตราษฎร์แห่งราชวงศ์กุรุผู้ยิ่งใหญ่ หากแต่มหาราชาองค์นั้นกับพระเนตรบอดสิ้น มิมีแสงใดที่สามารถส่องเข้าไปยังพระทัยของมหาราชาองค์นั้นได้...”

                “...วันพิธีนั้นเอง องค์ราชินีทรงได้รับข่าวจากนางสนองพระโอษฐ์ของพระองค์ ว่ามหาราชา...ว่าที่พระสวามีขององค์เองนั้นพระเนตรบอด สิ่งที่ราชินีพระองค์นั้นทรงกระทำ...และเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้แล้วลึกๆ ว่าต้องทรงกระทำ คือการหยิบแถบแพรขึ้นคาดปิดดวงเนตรงามนั้นเสีย ปิดรับแสงใดๆ ตลอดกาล...นี่คือการถวายความเคารพแด่พระสวามี อย่างที่ผู้เป็นภรรยานั้น ควร ที่จะกระทำ”

                ทรงหยุดเล่า ก่อนหันดวงพักตร์มาจับจ้องชายหนุ่มอีกครั้ง ยามที่แย้มสรวลอีกครา...ปุรณะก็ได้รู้ว่า พระเนตรงามนั้น...ไม่มีแสงใดจะทำให้เปล่งประกายได้อีกแล้ว เช่นผู้ที่เลือกปิดตาของตนตลอดชีวิต ด้วยมือของตนเอง...

                “ดวงเนตรของพระนางคานธารีก็เปรียบเสมือนดวงใจของหญิง มันควรจะปิดลง...เมื่อได้รับรู้ถึงการอภิเษกที่จะทำให้ชีวิตของหญิงมืดมนตลอดกาล”

                “ทูลกระหม่อม...” ชายหนุ่มครางเบาๆ เมื่อรับรู้ความนัยแห่งประโยคนั้น สูดลมหายใจยาวๆ ก่อนที่จะหันไปกวักมือเรียกกิ่งแก้วที่คงจะเริ่มเมื่อยให้มายังห้องบรรทม

                เมื่อร่างท้วมของนางสนองพระโอษฐ์มาถึง ท่านหมอใหญ่ก็พูดขึ้นเรื่อยๆ เรียบๆ ดังเช่นที่เคยทำมาตลอด “กระหม่อมขอทูลในฐานะหมอประจำพระองค์นะพะยะค่ะ พระพลานมัยเริ่มดีขึ้นมากแล้ว แต่สิ่งที่ทรงต้องการคืออากาศบริสุทธิ์และสถานที่สงบเงียบปราศจากสิ่งที่จะทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท ดังนั้น...กระหม่อมแนะนำให้ทรงออกดำเนินเล่นข้างนอกบ้างก็ดีพะยะค่ะ”

                “หมายความว่า...” ทั้งนายและบ่าวเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน

                “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ” ท่านหมอใหญ่ตอบหน้าตาย ก่อนลุกขึ้นยืนพร้อมกลับ “และคิดว่า...ควรจะเริ่มออกดำเนินตั้งแต่วันนี้เลยพะยะค่ะ จะได้หายประชวรเร็วๆ เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดยาอีกชุดถวายด้วย เพื่อทำให้พระโรคที่ทรงเป็นอยู่ขาดหายไปเสีย”

                “พี่...ท่านหมอ ขอบใจท่านมาก เราจะปฏิบัติตามคำสั่งท่านหมออย่างเคร่งครัดเลย”

                พักตร์งามบ่งบอกถึงความตื้นตันเปี่ยมล้น ถึงแม้จะหม่นเศร้าลงบ้างก็ไม่อาจทำลายความงามพิลาศนั้นไปได้ ปรียทรรศิกาผินเบื้องปฤษฎางค์ให้นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทเมื่อนางกำลังจะอ้าปากคัดค้านการเดินออกพระกำลัง

                กิ่งแก้วถวายค้อนให้เจ้าเหนือหัวของตนเอง ไอ้ครั้นจะไปขอให้ท่านหมอช่วยพูดให้พระองค์อยู่แต่ในห้องหอก็คงไม่ได้ เพราะคราวนี้ท่านหมอกลับไปอยู่ข้างเดียวกับทูลกระหม่อมองค์เล็กเสียอย่างนั้น ศึกครั้งนี้กิ่งแก้วแพ้แล้วจริงๆ!

     

    เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยสาวพระบาท ก้าวเท้าเอื่อยๆ ไปทางบึงน้อยท้ายค่ายเพียงพระองค์เดียว

                ทรงคิดเพียงแต่...อยากหาที่สักที่ เพื่อสงบพระสติอารมณ์ที่ตอนนี้ร้อนเร่าดั่งเพลิงสุม หากเมื่อดำเนินมาถึงบึงน้อยกลับทรงสับสนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยภาพต่างๆ ในวันนั้นฉายซ้ำกลับไปกลับมาอยู่ในเศียรขององค์เอง

                คำพูดปลอบประโลม คราบน้ำพระเนตร...และรอยจุมพิตแสนหวาน...จากคนที่ปฏิพัทธ์พระพี่นางของพระองค์

                จะว่าไปแล้วในสามคน องค์เอง...พระพี่นาง...และราชองครักษ์หนุ่ม คนที่จะสมหวังก็คือชายหนุ่มนี่ล่ะ พระองค์ต้องเป็นบรรณาการมีชีวิตสู่แคว้นศัสสวัติ แต่วิชยุตม์นั้น...ในการศึกทุกครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าราชองครักษ์ทำหน้าที่ดั่งแม่ทัพอีกคนหนึ่งของกองทัพ กุมทหารไว้ในมือมากมาย ยิ่งกว่านั้นคือกุมหัวใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างแน่นแฟ้น ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบารมีอีกผู้หนึ่ง หากองค์จิตรางคทาดำริที่จะอภิเษก...คนอย่างพระพี่นางจะต้องเลือกที่จะทำให้การอภิเษกขององค์เองนั้นเป็นไปเพื่อบ้านเมืองให้มากที่สุด เช่นนั้นแล้วโอกาสที่จะทรงเลือกเสนาธิการคู่พระบารมีมาเป็นคู่อภิเษกจึงมิใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ ในเมื่อท่านอัศรีแม่ทัพใหญ่นั้นมีครอบครัวและยิ่งด้วยวัยแล้ว คนที่ดู เหมาะสม มากที่สุดตอนนี้...ก็มีเพียงวิชยุตม์เท่านั้น...

                พระพี่นางนั้นปรียทรรศิกาไม่ทรงทราบเบื้องลึกแห่งพระทัยเลยสักนิด แต่ที่รู้คือจะทรงมีความสุขเสมอเมื่อได้ทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ส่วนวิชยุตม์นั้นไม่ต้องพูดถึง...ได้ครองคู่กับคนที่ตนรัก ได้ขึ้นมาเป็นพระสวามี ยิ่งด้วยศักดิ์และเกียรติยศ และการอภิเษกยิ่งเป็นการช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้มั่นคงขึ้นด้วยแล้ว...จะหาการอภิเษกใดๆ ที่บรรลุได้ทั้งเรื่องของหัวใจและเรื่องของการเมืองยิ่งไปกว่านี้ได้อีกหรือ?

                เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยทรุดวรองค์ลงนั่งที่ท่าน้ำน้อย...เบื้องล่างนั้นคือที่ๆ ทรงได้ลิ้มรสหวานละมุนแห่งจุมพิต...ที่ตอนนี้มันกลายเป็นดั่งกริชแทงหทัยให้ปวดปร่าทุกครั้งเมื่อรำลึกถึง หัตถ์บางวักน้ำใสเบื้องล่างเบาๆ พลางปล่อยพระอารมณ์ให้ล่องลอยไป...

                ก่อนที่จะทรงพบว่าองค์เองถูกกระชากสุดแรงมาปะทะกับแผงอกแกร่ง ทรงรับรู้ถึงเสียงเสียดสีกับสายลมที่ผ่านพระกรรณขององค์เองในระยะประชิด ก่อนที่จะได้ยินเสียงร้อนรนของหัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มดังขึ้นริมกรรณ

                “ทูลกระหม่อม! ทรงได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างพะยะค่ะ!

                พักตร์งามแหงนเงยขึ้นสบดวงตาสีรัตติกาลดุจเดียวกับพระองค์ได้เพียงชั่วขณะ ทันได้เห็นแววห่วงหาเพียงชั่วแล่น ก่อนที่เจ้าของดวงตาจะกระชากกรพระองค์ให้ออกวิ่ง เมื่อสิ่งที่ทรงเห็นชัดๆ ว่าเป็นธนูได้แล่นไปปักติดอยู่กับต้นไม้ใหญ่ข้างท่าน้ำ พักตร์งามซีดเผือดทันควันเมื่อรับรู้สถานการณ์ว่าตอนนี้กำลังตกเป็นเป้าการลอบปลงพระชนม์!

                ร่างสองร่างต่างพากันจะออกวิ่งกลับเข้าไปในค่าย เมื่อร่างที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้สี่ห้าคนได้ปรากฏตัวออกมา ในมือคนเหล่านั้นมีดาบเล่มยาวที่ต่างชี้ปลายมายังคนทั้งคู่เป็นจุดเดียวกันเนื่องจากไม่ได้ระยะธนูแล้ว ทางต่อไปก็มีแต่สู้ตัวต่อตัวเท่านั้น!

                วิชยุตม์กระชากดาบออกมาจากฝักที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา ก่อนที่อีกมือจะดึงมีดสั้นยื่นใส่หัตถ์บางของคนข้างๆ พลางกระซิบรวดเร็ว

                “เมื่อกระหม่อมบอกให้วิ่ง ทูลกระหม่อมต้องออกวิ่งไปทันทีเลยนะพะยะค่ะ วิ่งกลับไปยังค่ายให้เร็วที่สุด แล้วเรียกทหารราชองครักษ์มาที่นี่”

                วรองค์แบบบางดำริรวดเร็ว...แน่นอนว่าพระองค์ไม่ต้องการที่จะทิ้งเขาไปซักนิด ทว่าสถานการณ์เบื้องหน้านั้นทำให้ทรงรู้ว่า หากทรงรั้นที่จะอยู่ที่นี่แล้วพระองค์จะเป็นผู้นำภัยมาสู่เขาแน่นอน!

                ดังนั้น...ปรียทรรศิกาจึงกระชับหัตถ์บีบมือหนาแน่น กระซิบตอบรวดเร็ว “ท่านต้านได้นานที่สุดกี่นาที”

                “น่าจะประมาณ 15 นาทีพะยะค่ะ”

                15 นาที...หลังจากนั้นอาจเป็นศัตรูที่มลาย หรือเป็นเขาเองที่ต้องตาย!

                เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยพยักพักตร์รับรู้ กระชับด้ามมีดที่สลักเสลางดงามแน่น สายพระเนตรเชื่อมั่นสบเข้ากับดวงตาสีดำอย่างรวดเร็ว...

                ...และพร้อมกันนั้น วิชยุตม์ก็กระโจนเข้าฟาดฟันศัตรู พร้อมคำรามก้อง “ไป!

                ชายหนุ่มตวัดดาบฟันไปที่ร่างศัตรูเบื้องหน้าเพื่อเป็นการเปิดทางให้ปรียทรรศิกาออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เหล่านักฆ่าล้วนเข้าไปตะลุมบอนกับราชองครักษ์แห่งปัทมรัฐคนเดียว ก่อนที่จะมีคนแยกตัวออกวิ่งตามวรองค์บางไปติดๆ

                วิชยุตม์เสือกดาบแทงไปที่ทรวงอกของคนเบื้องหน้า ก่อนเบี่ยงให้เหยื่อคมดาบของตนรับดาบศัตรูที่เข้ามาอีกทางแทนเขา เมื่อแลเห็นชายคนหนึ่งแยกตัวออกวิ่งตามเจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยไปอย่างรวดเร็ว ดวงใจชายหนุ่มก็ร้อนรน...ปวดหนึบเหมือนเป็นคนที่กำลังจะถูกทำร้ายเสียเอง...

                ร่างสูงตวัดดาบปาดลำคอชายอีกคนหนึ่ง แล้วถีบชายอีกคนทรุดลงกับพื้น ก่อนปักดาบเข้าหมายที่หน้าอก แต่ชายคนนั้นกลับเบี่ยงร่างออกทันควัน คมดาบนั้นจึงดื่มเลือดเพียงตรงชายโครงเท่านั้น แต่เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก เมื่อเห็นดังนั้นวิชยุตม์จึงรีบวิ่งตามร่างสองร่างที่เห็นอยู่ลิบตาอย่างรวดเร็วดั่งจะโผบิน...

                ...รู้เพียงอย่างเดียว หากปรียทรรศิกาทรงได้รับบาดเจ็บแม้เพียงน้อย...คนทำมันจะต้องได้รับความเจ็บปวดนั้นร้อยเท่าพันทวี!

     

    ปรียทรรศิกายิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อเห็นชายร่างใหญ่วิ่งไล่ตามพระองค์มาจนเกือบจะทันแล้ว ทรงเจ็บพระอุระเกินกว่าที่จะตะโกนเรียกให้ใครมาช่วยได้ บึงน้อยดูอยู่ไกลจากค่ายเหลือเกินในยามวิกฤตเช่นนี้ และตอนนี้เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยก็ทรงแค้นพระทัยนักที่ไม่ได้บอกใครเลยว่าจะทรงเสด็จไปไหน

                ...หากเกิดอะไรขึ้นกับวิชยุตม์ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของพระองค์เอง!

                วรองค์บางมัวแต่ตระหนกจนไม่ได้มองทาง รู้องค์อีกทีเมื่อทรงสะดุดบาทองค์เองล้มลงอย่างแรง เจ็บจนไม่สามารถหยัดองค์ลุกขึ้นมาได้ ทำได้เพียงหันพักตร์มาจับจ้องยังร่างหนาที่ใกล้พระองค์เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ...

                “เจ้ามันช่างต่ำช้านัก!” ลงท้าย ปรียทรรศิกาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตวาดก้อง “คิดคดทรยศชาติ ทรยศต่อราชบัลลังก์ ไปเข้าร่วมกับคนชั่วช้าเช่นเขมทัต ทำร้ายคนร่วมชาติด้วยกันเอง จิตใจของเจ้ามันทำด้วยอะไรกันแน่!

                ร่างหนาชะงักงันไปเพียงครู่ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะก้อง “ฮ่าๆ ทรงนึกว่ากระหม่อมเป็นชาวปัทมรัฐเช่นนั้นหรือพะยะค่ะ” ชายคนนั้นทรุดนั่งลงใกล้วรองค์บาง ก่อนจะเอื้อมมือมายึดพระหนุ[2] ไว้แน่นหนา หน้าเหี้ยมเกรียมฉายประกายวาววับ...กักขฬะ...ความหื่นกระหายบางอย่างฟุ้งอยู่ในแววตาวาวเป็นมันน่ารังเกียจยิ่ง “จุ๊ๆๆ...เช่นนั้นที่เขาร่ำลือกันเหลือเกินว่ามณีเม็ดงามแห่งปัทมราชพิลาศลักษณ์ยิ่งนักก็เป็นความจริงน่ะสิ...งามเหลือเกิน น่าเสียดายที่จะต้องสิ้นพระชนม์ทั้งๆ ที่งดงามอยู่เช่นนี้...”

                สิ้นประโยค มือหนากระด้างก็คว้ากรบอบบางแล้วฉุดกระชากขึ้นมาโดยแรง ชายคนนั้นเหวี่ยงวรองค์แบบบางเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏ ก่อนโถมกายทาบทับรวดเร็ว เสียงห้าวห้วนที่กำลังหัวเราะชอบใจกับสีพระพักตร์ตื่นตระหนกจนแทบสิ้นพระสติ ก่อนที่มือหนาจะกระชากฉลองพระองค์เนื้อดีออกเป็นชิ้นๆ ด้วยการกระทำเพียงครั้งเดียว!

                ปรียทรรศิกาหวีดร้อง ทั้งๆ ที่อาการเจ็บพระอุระแล่นลามจนดวงเนตรพร่าเลือน หากแต่ทรงกัดริมโอษฐ์แน่นจนลิ้มรสคาวฝาดของพระโลหิตที่ไหลออกมา ความเจ็บปวดนั้นยังพระสติให้อยู่...ไม่หลุดลอยออกไปตามการกระทำหยาบช้านั้น ทรงดิ้นรนต่อสู้ หัตถ์บางที่ถือมีดสั้นของวิชยุตม์ถูกบิดจนมีดร่วงหล่น แต่ก็ทรงระดมทุบตีเต็มแรงไปยังร่างหนาที่ดูจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักน้อย เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยเปล่งสุรเสียงดังก้อง น้ำเสียงรวดร้าวสุดพระทัย

                “วิชยุตม์! ช่วยหญิงด้วย! ช่วยด้วย!!!

              มือหนาฟาดลงมาบนปรางนวลรุนแรง...พักตร์งามที่หันไปตามแรงตบบวมช้ำขึ้นมาทันควัน ลมหายใจร้อนๆ ระคนสาบสางเป่ารดใกล้ดวงพักตร์ ก่อนน้ำเสียงหยาบหยามจะดังขึ้นเยาะเย้ย “ป่านฉะนี้เจ้านั่นมันคงตายแล้วล่ะ ทหารรับจ้างเช่นพวกข้าล้วนมีฝีมือเป็นเลิศ ลำพังเขาคนเดียวรับมือไม่ได้หรอก อย่าเสียเวลาร้องเรียกให้ใครช่วยเลย มามีความสุขก่อนตายกับข้าดีกว่าน่าองค์หญิง”

                ขาดคำ ฉลองพระองค์ชั้นในก็ถูกกระชากออกด้วยแรงมือมหาศาล วรองค์บางปัดป่ายมือไม้หยาบกระด้างสุดแรง ทรงพยายามปัดป้อง ปกปิดอุระอิ่มที่บัดนี้ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ้มอย่างสุดพระกำลัง...

                ผู้อ้างตัวเป็นทหารรับจ้างหัวเราะเสียงบาดระคาย ก่อนคว้าจับหัตถ์บางทั้งคู่เลื่อนขึ้นไปไว้เหนือเศียร แล้วก้มลงแนบริมฝีปากกับริมโอษฐ์อ่อนบางทันที มือที่เหลืออีกข้างหนึ่งก็คลึงเคล้นอุระงามข้างหนึ่งอย่างรุนแรง...เมามัน...

                ปรียทรรศิกาพยายามเบือนพักตร์หนี แต่ริมฝีปากนั้นตามประกบแนบแน่น บดขยี้จนแดงช้ำ พยายามสอดปลายลิ้นเข้าไปในโอษฐ์หวานละมุนอย่างจาบจ้วงรุนแรง หากเมื่อไม่ได้รับความร่วมมือก็ครางอย่างหัวเสีย ก่อนจะก้มลงซุกไซ้เนินพระอุระอิ่มแทน ริมฝีปากหนารวบดูดยอดทรวงอวบงามที่สั่นสะท้านด้วยแรงพยายามดิ้นรนของวรองค์บาง และแรงบีบเคล้นกักขฬะของมือหยาบ เสียงครางหยาบโลนดังขึ้นไม่ขาดระยะ ตอกย้ำความอัปยศในพระทัยดวงน้อยให้ติดแน่นอย่างสลัดไม่หลุด

                ริมฝีปากร้อนเลื่อนขึ้นมาขบเม้มลำศอระหง ไล้เลียกรรณเล็กที่พยายามเบี่ยงหนีสุดพระกำลัง หากมือหนาละจากทรวงงามมาบีบหนุแน่นอย่างรวดเร็ว พลางกระซิบเสียงพร่าด้วยความหื่นกระหาย

                “มีความสุขมั้ยองค์หญิง มีความสุขมากๆ เพราะเดี๋ยวก็ต้องตายแล้ว แต่หากเจ้าปรนนิบัติข้าดีๆ ข้าอาจจะละเว้นเจ้า เอาเจ้าไปซ่อนไว้เพื่อจะได้มีความสุขด้วยกันอย่างนี้อีกไง ดีหรือไม่พะยะค่ะ”

                “ข้า...ตายเสียดีกว่า!”

                อัสสุชลที่กลั้นเก็บไว้ไหลอาบพักตร์ พระสติสุดท้ายที่ทรงพยายามรั้งไว้หลุดลอย ดำริเดียวที่อยู่ในห้วงคำนึงซ้ำไปซ้ำมาคือ...

                ...วิชยุตม์...ช่วยหญิงด้วย!

     

    ภาพตรงหน้าทำให้เขาโกรธจนหน้ามืด!

                วิชยุตม์กระชากร่างหนาที่กำลังรุกรานวรองค์บางออกด้วยพละกำลังที่เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามาจากไหนมากมาย ก่อนที่จะแทงดาบลงไปยังท้องน้อยของมันทันที!

                เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องแต่ไม่มีผู้ใดสนใจ วิชยุตม์มองปราดไปทั่ววรองค์บางรวดเร็ว เมื่อประสบกับวรร่างงดงามที่ตอนนี้แดงช้ำเป็นจ้ำ พักตร์แถบหนึ่งเป็นสีแดงเกือบม่วง ริมโอษฐ์บวมเป่ง ดวงเนตรปิดแน่นและอัสสุชลที่หลั่งออกมาจากเนตรนั้นไม่ขาดสาย ชายหนุ่มก็เลือดขึ้นหน้าอีกครั้ง...ไม่ทันคิดเก็บมันไว้สอบสวนว่าลอบเข้ามาในค่ายได้อย่างไร ไม่ทันคิดเก็บมันไว้สืบหาว่าเขมทัตเป็นคนส่งมันมาใช่หรือไม่...

                ...ราชองครักษ์หนุ่มทำตามความแค้นของตน เมื่อหันกลับไปคว้าดาบแล้วตวัดฟันฉับไปที่ลำคอชายคนนั้น...หัวขาดกระเด็นฉับพลัน!

                ก่อนที่ร่างสูงจะทรุดลงใกล้ปรียทรรศิกา ชายหนุ่มถอดเสื้อของตนเองออกรวดเร็วก่อนคลี่สวมให้กับวรองค์งดงามนั้น เสียงทุ้มที่ตอนนี้ขาดห้วงร้องเรียกอย่างร้อนรน...

                “ทูลกระหม่อม...ทูลกระหม่อม...หญิงเล็ก! ฟื้นสิพะยะค่ะ...ฟื้นมาหากระหม่อม...”

                วิชยุตม์ช้อนวรองค์บางเข้าแนบอก พยายามเขย่าเจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยให้ฟื้นคืนพระสติโดยเร็ว ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังสั่น...สั่นเทาอย่างรุนแรงจนต้องกอดรัดวรองค์บางให้แน่ใจว่าร่างในอ้อมกอดของเขานี้มีอยู่จริง ไม่ได้รู้สึกเหมือนดังว่าร่างนี้กำลังจางหายไปดังเช่นเมื่อครู่ที่เขามองเห็นความบอบช้ำที่เกิดจากน้ำมือกักขฬะของคนที่นอนตายไร้หัวอยู่ตอนนี้

                “หญิงเล็ก...ฟื้นเถิดพะยะค่ะ...”

                วรองค์บางเขม็งเกร็งรับสัมผัสโดยไม่รู้องค์ หากแต่เมื่อสัมผัสนั้นเปลี่ยนไปเป็นแผ่วเบา ปลอบโยนและคุ้นเคย ปรียทรรศิกาก็ลืมพระเนตรขึ้นช้าๆ เพื่อจะสบสายตาคมวาวให้เต็มไปด้วยแววดีใจสุดแสน

                “หญิงเล็ก...” หัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว น้ำหยดหนึ่งร่วงหล่นจากใบหน้าคมคร้าม ตกต้องยังปรางนวลที่อยู่เบื้องล่าง...ไม่รู้ว่าเป็นหยาดเหงื่อหรือน้ำตาของชายหนุ่มกันแน่เพราะใบหน้าหล่อเหลาซุกซบลงกับซอกพระศอระหงทันควัน อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นอีกจนเจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยหายพระทัยขัด

                “ท่านวิชยุตม์...มาช่วยเราทันเวลาหรือ...”

                “พะยะค่ะ กระหม่อมมาทัน...ดวงใจของกระหม่อม...”

                เมื่อถึงเวลาที่จะสูญเสีย ราชองครักษ์หนุ่มจึงได้รู้ว่าวรองค์บางที่อยู่ในอ้อมกอดของตนเองนั้นมีค่าเทียบเท่าหัวใจของเขา เมื่อถึงเวลาจะสูญเสีย...เขาจึงเพิ่งได้รู้ใจของตนเองอย่างแท้จริง

                ...เขารักนาง...

                คนที่เขารักคือปรียทรรศิกาประภาวดี ไม่ใช่พระพี่นางของพระองค์ ไม่ใช่จิตรางคทาวรราชกุมารี แต่เป็นราชนารีพระองค์นี้...คนที่กุมดวงใจเขาไว้ทั้งดวง แทรกซึมด้วยความหวานแห่งการดูแลเอาใจใส่ ถูกร้อยรัดดวงใจด้วยความอ่อนละมุนของดวงพักตร์นี้เอง ภาพที่เขาเห็นเจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยทรงสนิทสนมกับท่านหมอใหญ่ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมา และเขาก็เพิ่งเข้าใจความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรงเมื่อมองภาพเหล่านั้น...

                ชายหนุ่มสั่นสะท้านด้วยความรู้นั้น พยายามกดเก็บอารมณ์นั้นไว้ก่อนเงยหน้าขึ้นสบกับสายพระเนตรตกตะลึงคลี่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนทูลแผ่วเบา

                “ไม่ทรงเป็นอะไรแล้วนะพะยะค่ะ ทรงปลอดภัยแล้วปรียา อีกครู่เดียว...กระหม่อมจะพาทูลกระหม่อมกลับค่ายนะพะยะค่ะ...”

                “ท่านวิชยุตม์...เมื่อครู่ท่าน...”

                “ขอเวลากระหม่อมเดี๋ยวเดียวเท่านั้นปรียา...” มือหนากดพระเศียรให้ซบลงกับไหล่กว้าง ก่อนที่ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากหยักงามจะแตะแต้มเรือนเกศาดำสนิทแผ่วเบา หากกำซาบลงในพระทัยของผู้รับสัมผัสยิ่งนัก...วรองค์บางที่เกร็งเขม็งในตอนแรกค่อยๆ ผ่อนคลาย ก่อนที่จะโอบอ้อมพระกรรอบร่างชายหนุ่มแนบแน่นดุจเดียวกัน แต่เมื่อแตะสัมผัสที่แผ่นหลังที่เปียกชุ่ม ปรียทรรศิกาก็ยกหัตถ์ขึ้นทอดพระเนตรอย่างงงงัน...

                ...เลือดแดงฉานเปรอะเต็มหัตถ์บางขององค์เอง...

                “วิชยุตม์! ได้รับบาดเจ็บนี่นา...” ทรงพยายามแกะองค์เองออกจากอ้อมอกแน่นหนานั้น แต่ก็พบว่าคนที่ซบพระอังสาบอบบางอยู่สิ้นสติไปแล้ว!

                “ท่านวิชยุตม์! ฟื้นขึ้นมานะ! ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยที!

                พระอุระปวดแปลบเมื่อทรงเปล่งสุรเสียงดังก้อง ปรียทรรศิกาทรงก้มลงรวบชายเสื้อของวิชยุตม์ที่คลุมพระองค์อยู่ให้แน่น ตั้งพระทัยว่าจะดำเนินเข้าไปในค่าย ไปตามใครสักคนมาช่วย แต่เมื่อหันกลับไปเห็นร่างไร้ศีรษะของทหารรับจ้างคนนั้น วรองค์บางก็สั่นระริกรุนแรง...หากแต่ยังสามารถประคององค์เองให้ยืนอยู่ได้...ทรงหยิบผ้าคลุมพระอังสามาสะบัดคลี่คลุมพระเศียร พยายามดำเนินอย่างรวดเร็วไปทางค่าย...

                พระอุระนั้นปวดปลาบแต่เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยพยายามข่มกลั้นไว้สุดพระกำลัง กลั้นพระทัยดำเนินต่อโดยไม่สนความเจ็บปวดที่แล่นมาตามจุดต่างๆ ของพระวรกายเลยสักน้อย

     

    ท่านหมอใหญ่กำลังวางเครื่องมือแพทย์ที่เช็ดสะอาดแล้วไว้ในที่เก็บ เมื่อตอนที่ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน...

              “มีหญิงนางหนึ่งให้นำสิ่งนี้มามอบให้ท่านหมอใหญ่ขอรับ และได้บอกไว้ว่าขอให้ท่านรีบไปหานางโดยเร็วด้วยขอรับ”

                ในมือของทหารผู้นั้นมีเข็มกลัดรูปปีกนกอันหนึ่งวางสงบนิ่ง ตัวเข็มกลัดเรียบๆ นั้นทำจากเส้นทองคำขาวนำมาถักทอจนเป็นปีกนกแสนสวยนี้ขึ้นมา เข็มกลัดนี้เขาเป็นผู้นำขึ้นถวายปรีทรรศิกาเมื่อตอนที่กลับมาจากการเรียนแพทย์ยังต่างแคว้น...บัดนี้ปีกขาวสะอาดนั้นเปื้อนคราบคล้ำๆ ของสิ่งที่หมออย่างเขาสันนิษฐานว่าเป็น...เลือด!

                ปุรณะคว้าไหล่ของทหารคนนั้นมาเขย่าถามรุนแรง “คนๆ นี้อยู่ที่ไหน รีบพาเราไปเดี๋ยวนี้”

                “ขะ...ขอรับ”

                ตลอดทางที่เดินไป หัวใจของท่านหมอใหญ่ก็เหมือนถูกจับเผา ร้อนรนจนแทบจะอยากวิ่งนำหน้านายทหารคนนั้น ติดอยู่อย่างเดียวว่าเขาไม่รู้ทางไป จึงได้แต่เร่งทหารคนนั้นจนมาถึงบ้านหลังดังกล่าวซึ่งอยู่เกือบสุดท้ายค่าย...ทางไปบึงน้อยหลังค่าย

                ชายหนุ่มเคาะประตูบ้านอย่างร้อนรน และเห็นหญิงชราคนหนึ่งแง้มประตูออกมา ความกังวลปรากฏอยู่บนทุกเส้นสายแห่งกาลเวลาบนใบหน้านั้น ปุรณะออกปากถามทันควันเมื่อหญิงชราเจ้าของบ้านปิดประตูเรียบร้อยแล้ว

                “เจ้าของเข็มกลัดอยู่ที่ไหน?

                “ด้านในห้องเจ้าค่ะ”

                ปุรณะโลดแล่นตามคำบอกเข้าไปในห้องด้านในอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพของวรองค์บาง ร่างสูงที่ปกติคงไว้ซึ่งท่าทางเยือกเย็นเป็นนิจก็แทบจะคำรามออกมาด้วยความกรุ่นโกรธ

                “ปรียา! ทำไมทรงเป็นอย่างนี้ล่ะทูลกระหม่อม”

                ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้หมายจะดูบาดแผลที่เห็นได้รางเลือนใต้ผ้าคลุมผืนบาง หากแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเสื้อคลุมของราชองครักษ์ที่ปรียทรรศิกาเอาวางไว้ข้างๆ หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว

                “นี่...เสื้อทหารราชองครักษ์นี่พะยะค่ะ”

                พักตร์งามพยักน้อยๆ พลางใช้หัตถ์กดพระอุระแน่น ระงับอาการปวดที่เพิ่มขึ้นมาทุกขณะ แต่ปรียทรรศิกาก็กลั้นความเจ็บปวด ก่อนรับสั่ง “ท่าน...วิชยุตม์...ได้รับบาดเจ็บ”

                “ที่ไหนพะยะค่ะ”

                “ทางไป...บึงหลัง...คะ...ค่าย” ทรงถอนพระปัสสาสะยาว พักตร์ซีดไร้สีซับพระโลหิต ท่านหมอใหญ่รีบโน้มวรองค์บางลงนอนราบไปกับที่นอนเก่าๆ ก่อนที่จะไล่เปิดหน้าต่างทุกบานที่ถูกปิดไว้รวดเร็ว พลางสั่ง “ทรงค่อยๆ สูดพระปัสสาสะเข้านะพะยะค่ะ ค่อยๆ นะ...ค่อยๆ อย่ารีบร้อน แล้วค่อยๆ ถอนพระปัสสาสะออก ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็จะหายจากอาการปวดนะพะยะค่ะ”

                “พี่ปุณ...”

                “กระหม่อมจะไปพาท่านวิชยุตม์กลับมาพะยะค่ะ!

                ชายหนุ่มผลุนผลันออกไปนอกห้อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาบอกหญิงชราให้เข้าไปเฝ้าวรองค์แบบบางไว้ดีๆ ก่อนที่จะให้ทหารผู้นำทางมาไปเรียกทหารราชองครักษ์มาหาเขาทันทีเพื่อให้มาถวายการอารักขาปรียทรรศิกาที่อยู่ที่นี่ เมื่อสั่งการเสร็จแล้วท่านหมอใหญ่ก็รีบไปตามทางที่วรองค์บางได้บอกไว้อย่างรวดเร็ว!

     

    “ท่านราชองครักษ์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

                ปรียทรรศิกาพรวดพราดเข้าไปในห้องรักษาในเรือนพยาบาล โดยมีกิ่งแก้วที่ทำท่าทางกังวลหนักตามมาติดๆ วรองค์แบบบางผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้ว และมีพระอาการดีขึ้นมาก เมื่อทรงสามารถลุกขึ้นได้ ก็เสด็จมายังเรือนพยาบาลทันทีโดยไม่รับฟังคำทัดทานของผู้ใดทั้งสิ้น

                ปุรณะที่เพิ่งพันแผลที่หลังให้กับราชองครักษ์หนุ่มเหลือบมองคนถามพลางตีหน้าดุ “กระหม่อมบอกให้ทรงพักผ่อน อย่าเพิ่งขยับพระวรกายมากนัก แล้วนี่อะไรพะยะค่ะ?

                “พี่ปุณ...ท่านหมออย่าเพิ่งดุเราเลย เราอยากรู้อาการของเขาจริงๆ” เจ้าฟ้าหญิงพระองค์น้อยพยายามนิ่ง แต่สายรพระเนตรร้อนรนนั้นก็ทำให้ผู้มองถึงกับถอนหายใจหนักหน่วง ชายหนุ่มไม่ตอบรับสั่งถามนั้น แต่เคลื่อนตัวออกเงียบๆ เผยให้เห็นร่างของหัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มที่นอนหลับตาสนิท ดวงหน้าคมสันซีดเผือดอยู่บนเตียง

                หัตถ์บางรวมกำแน่นจนนขาจิกลึกลงไปในมังสานุ่ม วรองค์เริ่มสั่นระริกหากพยายามปิดบังไว้อย่างสุดความสามารถ มีเพียงท่านหมอใหญ่ที่ยืนอยู่เยื้องๆ เบื้องพักตร์เท่านั้นที่สังเกตเห็นความผิดปรกตินี้

                ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกพระสติกลับคืนมา หากทรงแสดงออกมาไปกว่านี้ ไม่ต้องเก่งอย่างเขา...ใครที่ช่างสังเกตหน่อยก็จะรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรพิเศษระหว่างราชองครักษ์หนุ่มและทูลกระหม่อมองค์เล็กเป็นแน่

                “ท่านวิชยุตม์ถูกฟันเข้าที่กลางหลังลึกพอสมควร ตอนนี้กระหม่อมจัดการเย็บแผลเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ คงจะไม่ได้สติซักระยะ...”

                “ทุกคนออกไปก่อนได้ไหม...” พักตร์พิลาศหันมาทอดพระเนตรทุกคนในห้อง ดวงเนตรที่ดูกร้าวแข็งแตกต่างจากปกติทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก “...เราอยากอยู่ที่นี่...”

                เหล่านางสนองพระโอษฐ์และเหล่าผู้ช่วยหมอที่อยู่ในห้องนั้นต่างมองหน้ากันงุนงง แต่ปุรณะก็เอ่ยตัดบทคนเหล่านั้นรวดเร็ว

                “ออกไปก่อนให้หมด...” ท่านหมอหันไปทางกิ่งแก้วที่ทำท่าจะค้าน “...กิ่งแก้วก็ด้วย ออกไปเถิด เราจะเป็นคนอยู่ในนี้เอง...ทูลกระหม่อมไม่ต้องห้ามกระหม่อมหรอกพะยะค่ะ” ท้ายประโยคท่านหมอส่งสายตาเรียบๆ ไปทางวรองค์บาง บ่งบอกความนัยให้พระองค์พยักพักตร์ในที่สุด

                คนอื่นต่างทยอยออกไปจากห้องจนหมด ท่านหมอใหญ่เดินเข้าไปหาวรองค์บางช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปแตะอังสาบางแผ่วเบา...

                ปรียทรรศิกาเงยพักตร์ขึ้น อัสสุชลเอ่อคลอเต็มดวงเนตร...แต่ไม่รินไหลแม้เพียงหยดเดียว ปุรณะถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนตัดสินใจคว้าหัตถ์บางมากุมไว้แนบแน่น “เขาไม่เป็นอะไรแล้วหญิงเล็ก...อย่าทรงกังวลไป...”

                “ท่านหมอใหญ่!” ทหารราชองครักษ์คนหนึ่งพรวดเข้ามาในห้องอย่างลืมสิ้นถึงธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ “ขบวนเสด็จขององค์ราชินีกลับมาถึงค่ายแล้ว รับสั่งให้ท่านหมอใหญ่เตรียมการรับคนเจ็บเร่งด่วน มีคนเจ็บสี่คน...”

                โดยที่ไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าตกตะลึงของผู้รับฟังทั้งคู่ ราชองครักษ์หนุ่มหน้าเผือดสีเมื่อพูดประโยคท้าย “ในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ มีองค์พระคู่หมั้นด้วยขอรับ







    สวัสดีค่ะ...

    ไม่ได้เอานิยายมาลงที่นี่นานมากกก...เพราะภารกิจบางอย่าง ตอนนี้พอเคลียร์ได้เรียบร้อยบ้างแล้ว จะเริ่มทยอยเอามาลงอีกทีนึงแล้วนะคะ หวังว่ายังไม่ลืมกันนะคะ

    มงกุฎกลางหทัยมีคิวพิมพ์ในปีนี้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าเดือนไหน 555+ แต่ยังไงก็จะเอาลงให้จบนะคะ ส่วนอีก 2 ตอนสุดท้ายส้มจะเก็บเอาไว้เน้อ ไม่อยากให้สำนักพิมพ์มาขบหัวทีหลัง 555+

    คิดถึงคนอ่านค่ะ

    ปณัชญา
    13/5/55  2:10 am.





    [1] มหาภารตะ (สันสกฤต: महाभारत) บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า ภารตะ เป็นหนึ่งในสองของมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย (มหากาพย์อีกเรื่องคือ รามายณะ) ประพันธ์เป็นโศลกภาษาสันสกฤต มหากาพย์เรื่องนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ "อิติหาส" (แปลตามศัพท์ว่า "ประวัติศาสตร์") และเป็นส่วนหนึ่งทึ่สำคัญยิ่งของเทพปกรณัมในศาสนาฮินดู

    [2] คาง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×