ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มงกุฎกลางหทัย

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 10

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 537
      1
      10 พ.ย. 54





    “แม่หญิงเจ้าคะ...แม่หญิงจิตราเจ้าคะ บ่าวจะขออนุญาตเข้าไปในห้องนะเจ้าคะ”

                ประตูไม้สลักงดงามเปิดออกแผ่วเบา เผยให้เห็นห้องค่อนข้างกว้างที่มีเตียงสี่เสางดงามวางอยู่ตรงกลาง หน้าต่างบานยาวเปิดรับแสงอรุณและลมเย็น ผนังปิดลายงดงามสีนวลสวยประดับไปด้วยภาพทิวทัศน์งดงาม ทุกอย่างเรียบร้อยเช่นเดิม หากแต่คนรับใช้สาวกลับตื่นตระหนก...

                ...เพราะห้องงดงามนั้นปราศจากร่างของแม่หญิงแปลกหน้าคนนั้น...ไม่มีแม้แต่เงา!

                นางวิ่งปากคอสั่นลงมาหาเจ้านาย ที่ตอนนี้กำลังนั่งสนทนากับวรองค์สูงสง่าอย่างออกรส ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเบาเกือบเป็นกระซิบ

                “แม่หญิงจิตราไม่อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”

                “ไม่อยู่ในห้อง...?” หัสดายุวราชทวนคำ จ้องร่างเล็กของสาวใช้เขม็ง “หมายความว่าอย่างไร?

                เมื่อถูกจ้องมองจากเจ้านายและชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์แล้วนางก็ยิ่งก้มหน้าจนคางจรดอก น้ำเสียงหวาดๆ เอื้อนเอ่ย “แม่หญิงไม่อยู่ในห้องเพคะทูลกระหม่อม หม่อมฉันดูทั่วห้องแล้ว นางไม่อยู่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เตียงนอนไม่มีวี่แววว่ามีคนใช้ตลอดทั้งคืนเลยเพคะ ทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีใครเข้าไปใช้ห้องเพคะ”

                เมื่อเห็นสีพระพักตร์เรียบเฉยมีแววกระด้างขึ้น พระนมพริ้งก็รีบหาทางออกให้สาวใช้ทันที

                “เจ้าไปบอกให้บ่าวอีกสักสองคนช่วยกันตามหานางด้วย ตามหาให้ทั่วบ้านเลย เข้าใจหรือไม่ แล้วเจ้าก็ลองขึ้นไปดูที่ห้องอีกที เข้าใจหรือไม่”

                “เจ้าค่ะพระนม” นางก้มหัวคำนับก่อนถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

    พระนมพริ้งเอื้อมมือแตะหัตถ์หนาของวรองค์สูงตรงหน้าก่อนยิ้มอ่อนๆ “หม่อมฉันไม่เคยเห็นทูลกระหม่อมดูร้อนรนอย่างนี้มาก่อนเลย แต่เพียงเพราะสตรีนางเดียว ทำให้ทรงพะว้าพะวงขนาดนี้เลยหรือเพคะ?

    “เราหรือพะว้าพะวง?” ยามอยู่ต่อหน้าพระนมที่ชุบเลี้ยงพระองค์มาจนเติบใหญ่ วรองค์สูงจึงแสดงพระอารมณ์เต็มที่ไม่ปิดบัง พักตร์คมจึงแดงซ่านขึ้น “ไม่ใช่เสียหน่อยนม ตรงไหนกันที่ชายแสดงท่าทางอย่างนั้น”

    “ก็ทรงแสดงออกทางสีพระพักตร์เสียขนาดนี้ ถ้าหม่อมฉันดูไม่ออก ก็ไม่ใช่นมพริ้งที่เห็นทูลกระหม่อมมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หรอกเพคะ...หม่อมฉันขอถามตรงๆ ทรงโปรดนางหรือเพคะ?

    คราวนี้ดวงเนตรส่อแววขัน “โปรดแบบไหนล่ะพระนม?

    “อ้าว...ทูลกระหม่อม ยังจะต้องถามอีกหรือเพคะ หม่อมฉันหมายถึงโปรดแบบ...ที่ชายทุกคนชอบสตรีงามนั่นแหละเพคะ”

    “เช่นนั้น...คงได้กระมัง” ทรงแย้มสรวลน้อยๆ สีพระพักตร์ยังคงกังวลว่าคนรับใช้จะหานางไม่เจอ หากแต่แววเนตรระยับเมื่อดำริถึงวงหน้างามพิลาศนั้น...

    ...หาใช่เพียงติดพระทัยในความงามล้ำ หากยังตรึงพระทัยกับความกล้าหาญ ความเฉลียวฉลาดของเธอผู้นั้นด้วย จะมีหญิงนางใดเล่าที่สามารถสู้กับชายสองคนได้รวดเร็ว เฉลียวฉลาดพอที่จะโต้แย้งกับพระองค์ได้อย่างเฉียบคม แลยังมีความงามที่สยบชายทุกคนให้หลงเพ้อละเมอหา...

    พระนมมองพักตร์ที่อ่อนละมุนลงเพียงแค่พูดถึงแม่หญิงผู้นั้นแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เมื่อต้องทูลว่า “แต่...ทูลกระหม่อมมีพระคู่หมั้นแล้วนะเพคะ”

    พักตร์คมขึงเครียดขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังคำนั้น หาก...เพียงแค่นั้นที่ทรงแสดงออก

    พระนมไม่รู้หรอกว่าในพระทัยตอนนี้กังวลกับเรื่องนี้แค่ไหน...สายที่พระองค์วางไว้ให้แฝงตัวอยู่ในแคว้นปัทมรัฐรายงานมาตลอดว่าสถานการณ์ในแคว้นของพระคู่หมั้นเป็นอย่างไร

    ...ในรายงานกล่าวถึงพระปรีชาขององค์ราชินีแห่งแคว้น...พระพี่นางของเจ้าฟ้าหญิงปรียทรรศิกาประภาวดี พระคู่หมั้นของพระองค์เอง ว่าราชินีองค์นั้นทรงบัญชาการรบด้วยองค์เอง มีหลายครั้งที่ทรงออกรบกับทหารทั้งหลายด้วยอย่างไม่ทรงเกรงภัยใดๆ ประกอบกับพระโฉมงามเลิศ พระนางทรงเป็นสตรีที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว ส่วนพระคู่หมั้นของพระองค์นั้นก็เป็นขัตติยะนารีผู้มีความพิลาศลักษณ์เช่นเดียวกับพระพี่นาง หากแต่อ่อนโยน อ่อนหวาน และนุ่มนวลสมกับที่เป็นราชนารี เป็นสตรีในฝันของเหล่าชาย...

    ตอนนี้กองทหารขององค์ราชินีถือว่ามีแต้มต่อเหนือกว่ากองทหารของ เจ้าหลวง องค์ใหม่มากนัก เพราะประชาชนไม่ได้ให้ความเคารพกษัตริย์องค์ใหม่ แลยังฝักใฝ่ในราชวงศ์เดิม จึงมีข่าวคราวหลุดมาให้ได้ยินอยู่เสมอว่าเจ้าหลวงพระองค์ใหม่นั้นต้องลงโทษขุนนาง เสนาบดีของตนเองเป็นประจำ เนื่องจากคนเหล่านั้นคอยส่งข่าวให้กับทางค่ายทหารที่ชายแดนอยู่เสมอ ทหารบางนายก็หนีราชการออกมาสมทบกับกองทหารของพระนางเธอ ชาวบ้านหลายครัวเรือนถึงกับอพยพครอบครัวมาอยู่ในค่ายเลยทีเดียว เพียงเพราะทนไม่ได้กับการปกครองของกษัตริย์องค์ใหม่และยังภักดีต่อราชวงศ์เดิมอยู่เต็มเปี่ยม

    หากแต่สิ่งที่ทางราชินีองค์นั้นน่าจะทรงกังวล คือเรื่องที่แคว้นปัทมรัฐมีชายแดนที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาพชรบรรพคีรีเสียสองด้าน มีเพียงด้านที่ติดกับแม่น้ำมันตราและด้านที่ติดกับแคว้นศัสสวัติเท่านั้นที่พอเป็นเส้นทางเปิดในการขนเสบียงอาวุธเข้าไปเสริมกำลังทหารของตนเอง

    เมื่อกาลเป็นดังนี้ ทางแคว้นศัสสวัติจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่า ให้อย่างไรองค์ราชินีแห่งปัทมรัฐจะต้องเสด็จมาเยือนแคว้นนี้อย่างแน่นอน เพราะต้องทรงหาทางเปิดชายแดนระหว่างแคว้นให้สามารถเคลื่อนย้ายกำลังทหารและสรรพาวุธให้ได้ และทรงมีสิ่งที่สามารถต่อรองได้อยู่ในหัตถ์นั้น คือสัญญาที่ผูกมัดระหว่างกษัตราธิราชสองพระองค์ เจ้าพ่อขององค์เองและกษัตริย์องค์ก่อนของปัทมราช สัญญาที่กำหนดอนาคตของพระองค์และอีกหนึ่งราชนารีของอีกแคว้น

    สัญญาอภิเษกสมรส...

    ...สัญญาที่ตอนนี้พระองค์อยากจะร่ำๆ ลุกขึ้นมาฉีกทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด โดยเฉพาะเมื่อทรงเริ่มจะรู้องค์ว่า...หัสดายุวราช เจ้าชายที่เคยมั่นพระทัยในองค์เองว่าไม่มีทางหวั่นไหวให้กับความรัก กำลังจะมีความรู้สึกนั้น...

    ไม่ทันที่จะรับสั่งตอบแม่นมไป เมื่อบ่าวรับใช้เดินแกมวิ่งมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าสดใสขึ้นเมื่อรายงานให้เจ้านายทั้งสองได้ทราบ

    “แม่หญิงไปหาผู้ติดตามมาเจ้าค่ะ แล้วตอนนี้ก็กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนห้องเจ้าค่ะ”

    “ผู้ติดตามของนางอยู่ไหนกันตอนนี้” หัสดายุวราชรับสั่งถามเรียบๆ หากแต่ประกายเนตรพราวระยับเมื่อรู้ว่านางยังไม่ได้ไปไหนไกล

    “อยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”

    พระนมพริ้งลอบมองพระพักตร์คมเพียงครู่ ก่อนเอ่ย “เจ้าไปเชิญเข้ามาเถิด แล้วก็จัดการเรื่องสำรับข้าวปลาอาหารให้เรียบร้อยด้วยนะ”

    “เจ้าค่ะ”

    เมื่อเด็กรับใช้ถอยออกไปทำงานตามคำสั่ง พระนมพริ้งจึงหันกลับมาทูลวรองค์สูงว่า

    “ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปตามนางลงมาร่วมโต๊ะเสวยนะเพคะ...แล้วเรื่องที่หม่อมฉันทูลถามเมื่อครู่นี้ ฝ่าบาทก็ลองดำริดูนะเพคะว่าจะทรงทำอย่างไร แต่...” รอยยิ้มอ่อนโยนดุจกาลก่อนที่เคยยิ้มให้พระองค์เมื่อยังทรงพระเยาว์แย้มกว้าง “...หม่อมฉันอยากให้พระองค์มีความสุขมากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น บางที...ทำตามพระทัยบ้างก็ดีนะเพคะ”

    พระนมเดินจากไปแล้ว เหลือแต่วรองค์สูงที่สีพระพักตร์ยังคงเรียบเฉย ก่อนจะเริ่มแย้มโอษฐ์ช้าๆ เป็นรอยแย้มสรวลงดงาม

    ...หากทางแคว้นศัสสวัติยอมช่วยเหลือปัทมรัฐ แต่ขอยกเลิกเรื่องงานอภิเษกเล่า...

    การทำแบบนี้ได้คงต้องเข้าเฝ้าเจ้าพ่อก่อน เพราะหัสดายุวราชก็รู้อยู่เต็มพระทัย ทั้งเรื่องที่เป็นสัญญาระหว่างพระสหายสนิทกัน และเรื่องที่จะหมิ่นเหม่ต่อการถูกทางฝ่ายปัทมรัฐคิดว่าศัสสวัติหมิ่นเกียรติ

    หากแต่...ก็ต้องลองดู นานๆ ทีถึงจะมีเรื่องที่พระองค์อยากทำตามพระทัยขององค์เองบ้าง

    เมื่ออุทิศทุกอย่างแทบถวายแก่แคว้นไปแล้ว จะทรงเหลือพระทัยไว้ให้กับผู้เป็นที่รักมิได้เชียวหรือ?

     

    “ท่านหมอ! ทางนี้เจ้าค่ะ!

                “คนนี้ไม่หายใจแล้ว!

                “ยาชาเล่า! ยาสลบเล่า! ตกลงหมดทั้งสองอย่างจริงหรือ?

                ฯลฯ

                ปรียทรรศิกายกหัตถ์เปื้อนเลือดขึ้นปาดพระเสโทบนนลาฏนวลอย่างไม่สนพระทัยว่าจะเปื้อนหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินไปช่วยท่านปุรณะตรึงคนเจ็บเพื่อผ่าเอาเศษกระสุนลูกปรายออกโดยไร้ซึ่งยาใดๆ ที่จะช่วยให้บรรเทาความเจ็บลงได้

                การปะทะกันระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ดุเดือดมาก ทหารที่ทำหน้าที่ระวังป้องกันเนินที่สิบสามถูกแบ่งกำลังไปครึ่งหนึ่งเพื่อไปช่วยดับเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้ๆ ต้นเหตุของเพลิงไหม้นั้นมาจากการปะทะกันระหว่างนายทหารต่างชาติและทหารของปัทมรัฐบางนาย ที่เข้าไปปล้นสะดมชาวบ้านแลฉุดคร่าหญิงสาวมาบำเรอกาม

                หากแต่คนในหมู่บ้านนั้นลุกขึ้นจับอาวุธสู้ และส่งบางคนขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากทหารบนเนิน ทำให้ต้องมีการแบ่งกำลังไปช่วย การป้องกันที่อ่อนกว่าปกติและความวุ่นวายของหมู่บ้านนั้นทำให้นายทหารที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์อยู่บนเนินไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีกองกำลังย่อยของอีกฝ่าย ใช้เส้นทางลัดเลาะตามแนวป่าขึ้นบุกโจมตีเนินที่การป้องกันอ่อนแอทันควัน

                เมื่อวิชยุตม์ไปถึง การโจมตีเนินนั้นก็ได้สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทหารแห่งองค์ราชินี แต่เพราะนายทหารที่หนีมาแจ้งข่าวให้กับเขานั้นออกมาในช่วงชุลมุน ดังนั้นเมื่อเขาและกองกำลังทหารราชองครักษ์ผสมกับนายทหารของท่านอัสรีไปถึงเนินแห่งนั้น การวางกำลังป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายจึงไม่ทันที่จะเสร็จสิ้น ก็ต้องเกิดการปะทะกันอีกรอบ

                คนของหัวหน้าราชองครักษ์หนุ่มไม่ตาย แต่ได้รับบาดเจ็บกันค่อนข้างมาก ของท่านอัสรีนั้นมีเสียชีวิตบ้าง เพราะปืนของพวกนั้นทันสมัยกว่าปืนของกองทหารแห่งองค์ราชินี หากเพราะอาศัยการวางแผนก่อนการโจมตีที่ดี ทำให้ฝ่ายนั้นกลับต้องพ่ายแพ้ย่อยยับและล่าถอยกลับลงไปอย่างรวดเร็วด้วยจำนวนคนที่เหลือไม่กี่คน

                ทหารของชายหนุ่มต้องพากันหอบหิ้วร่างเพื่อนที่บาดเจ็บมากกว่ากลับมาค่าย การนั่งมาในรถลากด้วยม้านั้นสั่นสะเทือนเสียจนมีคนเสียชีวิตระหว่างทาง และคนที่อาการหนักอยู่แล้วก็ทรุดลงกลายเป็นร่อแร่เกือบสิ้นใจ

                “อย่าดิ้น!” ปุรณะตวาดเสียงเฉียบ เมื่อราดน้ำยาทำความสะอาดรดลงไปที่มีดพับขนาดเล็ก ก่อนจะจรดปลายมีดลงบนต้นขาที่ถูกกระสุนเป็นรอยดำกระจายอยู่ “หมอจะต้องแคะเอาเศษกระสุนออก หากดิ้นแล้วหมอแคะออกไม่หมด ระวังเป็นบาดทะยักตายนะ!

                หากถึงแม้จะปลอบก็แล้ว จะขู่ก็แล้ว คนไข้รายนั้นก็ยังคงดิ้นพราดเมื่อปลายมีดแหลมกรีดลงไปในเนื้อ ปรียทรรศิกาที่วางหัตถ์กดทับขาด้านที่ท่านหมอกำลังผ่า พักตร์ซีดเมื่อเห็นโลหิตสีสดทะลักออกมารวดเร็ว แค่ครู่เดียวก็แดงฉานอาบมือของท่านหมอใหญ่

                แรงดิ้นจากคนถูกผ่าตัดรุนแรงเสียจนวรองค์บางแทบจะกดไว้ไม่ไหว เสโทผุดพรายบนนลาฏนวลเรื่อยๆ แต่ทรงไม่สามารถเช็ดออกได้ ทรงจ้องมองไปที่รอยกรีดของท่านหมออย่างสยดสยอง พระนาภี[1]ปั่นป่วนรุนแรงตามหยาดเลือดที่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

                สุดท้ายท่านหมอซึ่งต้องคอยจดๆ จ้องๆ ว่าจะลงมีดยังไงเมื่อคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือหันมาหาวรองค์บาง แล้วบอกเสียงห้วน

                “ทูลกระหม่อมช่วยเรียกทหารมาสักสองคนเถิดพะยะค่ะ เขาดิ้นแรงมาก ทูลกระหม่อมทานแรงไม่ไหวหรอก”

                ปรียทรรศิกาผละออกรวดเร็วอย่างไม่ทรงคิดโต้แย้ง วรองค์บางดำเนินอ้อมคนเจ็บที่ถูกนำมาวางเรียงรายแม้กระทั่งบนพื้นไปหานายทหารสองคน ก่อนที่จะทรงชี้ให้เขาเข้าไปช่วยท่านหมอที่กำลังโวยวายใส่คนไข้อยู่อย่างหัวเสีย

                “ช่วยด้วย...ช่วยดูทางนี้ด้วยเจ้าค่ะ” หญิงนางหนึ่งส่งเสียงเรียก วรองค์บางรีบหันไปทอดพระเนตรอย่างรวดเร็ว

    ก่อนจะพบกับภาพของหญิงสาวนางหนึ่งที่มวยผมยุ่งกระเซิง พยายามเช็ดรอยแผลที่เหนืออกด้านซ้ายของร่างชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวบนพื้น หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาเต็มใบหน้า พลางเอ่ยปลอบโยนคนเจ็บกระท่อนกระแท่น...

    “ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ...พี่แสง...อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกเดี๋ยวหมอก็มาแล้ว...” นางสะอื้นฮัก เมื่อดวงตาที่เริ่มขุ่นของชายหนุ่มมองตอบมา หากแต่ไม่มีเสียงใดๆ ออกมาจากริมฝีปากที่อ้าค้าง

    “ช่วยด้วย!” หญิงสาวกรีดเสียงร้องในที่สุด “ช่วยมาทางนี้ด้วยเจ้าค่ะ! ใครก็ได้...ใครก็ได้...”

    ปรียทรรศิกาปราดเข้าไปนั่งเคียงผู้ป่วยอีกด้าน โดยที่หญิงนางนั้นยังคงพร่ำบอกพระองค์ดุจดังกำลังละเมอ...

    “ช่วยเขาด้วยเพคะทูลกระหม่อม ช่วยเขา...”

    ปรียทรรศกาทรงผุดลุกขึ้นรวดเร็ว ก่อนดำเนินตัดห้องไปดึงแขนท่านปุรณะไปหาคนไข้คนนั้น ท่านหมอใหญ่โวยวายเสียงดัง หากพระองค์ไม่ตอบคำ...

    “ทางโน้นก็ยังมีอีกหลายคนที่กำลังจะไม่รอดนะพะยะค่ะ!

    “แต่ทางนี้ก็กำลังจะไม่รอดเหมือนกันนะ!” วรองค์บางตวาดลั่น สุรเสียงสั่นระริก

    ท่านหมอใหญ่ไม่พูดอะไร นอกจากก้มลงแตะชีพจรคนเจ็บอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลิกเปลือกตาขึ้น

    “ขอไฟพะยะค่ะ”

    ปรียทรรศิการีบส่งตะเกียงดวงเล็กที่วางอยู่ใกล้ๆ ให้ท่านหมอ ปุรณะรับเอาไปก่อนที่จะนำไปส่องใกล้ดวงตาคู่นั้น

    ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนยื่นตะเกียงส่งคืนวรองค์บาง “คนนี้ตายแล้ว”

    “ไม่จริง!” สองเสียงจากหญิงสองนางประสานกันขึ้นทันที หญิงที่นั่งอยู่ข้างผู้ป่วยซบหน้าลงร่ำไห้กับอกของชายผู้นั้น แต่ปรียทรรศิกากลับกระชากแขนท่านหมอรุนแรงเมื่อเห็นเขาตั้งท่าเดินไปทางอื่น “ช่วยเขาให้ได้เดี๋ยวนี้!

    ท่านหมอใหญ่จ้องพระเนตรงามเนิ่นนาน “เขาตายแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมดึงเขามาจากความตายไม่ได้! แต่หากพระองค์ไม่ปล่อยกระหม่อมตอนนี้ จะมีคนที่กระหม่อมดึงเขามาจากความตายไม่ได้เพิ่มขึ้นนะพะยะค่ะ!

    น้ำเสียงตวาดรุนแรงทำให้เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยตกตะลึง หัตถ์บางปล่อยออกแขนเสื้อของหมอหนุ่มที่กำไว้แน่นโดยไม่รู้องค์ พักตร์งามซีดเผือด วรองค์บางโงนเงนเช่นไม้อ้อต้องพายุ

    วิชยุตม์ที่กำลังช่วยหมออยู่ใกล้ๆ และได้ยินเสียงของท่านหมอใหญ่เหลือบมองคนทั้งคู่อย่างเป็นกังวล และเมื่อเห็นว่าปรียทรรศิกากำลังจะล้ม ชายหนุ่มก็รีบผละออกจากคนเจ็บมาคว้าเอาพาหาเรียวเสลาทันควัน

    “เสด็จออกไปจากที่นี่ก่อนเถิดพะยะค่ะ”

    ราชองครักษ์หนุ่มทูลเสียงอ่อน หากปรียทรรศิกากลับขืนองค์ไว้ “เราจะอยู่! เราจะต้องช่วยคนเจ็บให้ได้มากที่สุด...”

    “ทูลกระหม่อมไม่ไหวแล้วพะยะค่ะ ออกไปจากที่นี่กับกระหม่อมก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม แต่
    วรองค์บางยังดื้อดึง หากจู่ๆ พื้นห้องก็เหมือนจะหมุนคว้างขึ้นมาทันควัน...

    เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยซวนเซ หากแต่ร่างสูงที่อยู่ข้างๆ คว้าทั้งองค์เอาไว้ได้ทัน ก่อนจะพึมพำขอประทานอภัย แล้วช้อนวรองค์บางขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนแกร่ง

    หมอและผู้ช่วยหมอผละจากร่างคนเจ็บมาหาวิชยุตม์อย่างเร็วรี่ หากชายหนุ่มสั่นศีรษะเป็นเชิงไม่ต้องการความช่วยเหลือ ท่านปุรณะที่เงยหน้าขึ้นดูเพียงพยักหน้าบอกให้เขาพาพระองค์ออกไปจากที่ตรงนี้โดยเร็ว

    ชายหนุ่มเดินออกจากเรือนพยาบาลโดยยังโอบวรองค์บางแนบอก สุรเสียงระโหยพยายามตวาด “ปล่อยเรานะ! ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”

    “รอให้ถึงที่ประทับก่อนพะยะค่ะ”

    “ไม่...เราไม่ไป...เราจะกลับไป...”

    “จะทรงกลับไปได้เช่นไร! ตอนนี้พระวรกายไม่พร้อมนะพะยะค่ะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม ก้มลงมองพักตร์หวานละมุนที่ตอนนี้เปื้อนเลือดเป็นทาง สีพระพักตร์ซีดแบบนี้ยังจะทรงดึงดันกลับไปอีก ไม่รู้ว่าอยากจะช่วย...อยากจะอยู่ใกล้ท่านหมอใหญ่ทำไมนักหนา!

    “เราไม่เป็นไร...” ปรียทรรศิกายังคงเถียงต่อ ทั้งๆ ที่ทรงเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสายตาวาวโรจน์ของเจ้าของอ้อมกอดที่จ้องมองพระองค์เขม็ง “เราไหว...”

    “ทรงอยากเพิ่มภาระให้ท่านหมอใหญ่ตอนนี้หรือพะยะค่ะ?” พูดออกไปแล้วชายหนุ่มก็แทบจะกัดปากตัวเอง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงพูดแบบนั้นออกไปได้ นี่มันเป็นการพูดประชดชัดๆ!

    ปรียทรรศิกาทรงนิ่งเงียบ เบือนพักตร์เข้าซุกซบกับแผงอกกว้างของชายหนุ่มอย่างไม่รู้องค์

    ร่างสูงตีหน้าเรียบเฉย ทั้งๆ ที่ในใจร้องตะโกน...

    ...เพียงแค่ยกท่านหมอใหญ่มาอ้าง ต่อให้ขัดพระทัยอย่างไรก็จะทรงทำตาม เพียงเพราะต้องการให้ท่านหมอใหญ่พอใจเท่านั้นหรือ?

    จนกระทั่งมาถึงเรือนที่ประทับ นางสนองพระโอษฐ์คนหนึ่งที่เปิดประตูออกมาจากด้านใหญ่ก็ปราดเข้ามาดูเจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยที่นิ่งเงียบอยู่ในอ้อมกอดของท่านหัวหน้าราชองครักษ์อย่างตระหนก ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นมองวิชยุตม์เพื่อขอคำอธิบาย

    “ทรงประชวรพระวาโย[2]น่ะ เจ้าช่วยไปจัดที่ประทับไว้รอเลย เดี๋ยวข้าจะพาทูลกระหม่อมเข้าไปเอง”

    ราชองครักษ์หนุ่มพูดเสียงเรียบ นางสนองพระโอษฐ์คนนั้นรีบเดินกลับเข้าไปด้านใน

    “เราจะยืนเองได้หรือไม่” ปรียทรรศิกาทรงเริ่มรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองอย่างฉงน สงสัย

    “ไม่ได้พะยะค่ะ” วิชยุตม์ทูลเสียงเด็ดขาด “พักตร์ทูลกระหม่อมซีดยิ่งกว่าทหารที่ขาดเลือดเมื่อครู่เสียอีก หากทรงล้มไปตอนนี้แล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ก็มีพออยู่แล้วนะพะยะค่ะ”

    อ้อ...เขากำลังบอกให้พระองค์อย่าก่อเรื่องอีกเช่นนั้นหรือ...

    ปรียทรรศิกาใช้แววพระเนตรขึงเคียดจ้องคนที่เดินตรงเข้าไปยังเรือนที่ประทับเรื่อยๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังกิ่งแก้วที่รีบปราดเข้ามาหารวดเร็ว

    “ทูลกระหม่อม!” นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทอุทานเสียงลั่น “ตายแล้วท่านวิชยุตม์ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ เห็นเมื่อกี้ให้คนไปบอกข้าว่าทรงประชวรพระวาโย”

    “ใช่” ชายหนุ่มรับคำสั้นๆ ก่อนถาม “แล้วจะให้ข้าพาทูลกระหม่อมไปตรงที่ใด”

    “ทางนี้เจ้าค่ะ” กิ่งแก้วเดินนำมายังเก้าอี้ไม้ยาว ที่ตอนนี้มีเบาะหนานุ่มวางรองรับ ชายหนุ่มวางวรองค์บางในอ้อมแขนแผ่วเบา นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทผละออกไปเอายาและผ้าชุบน้ำมาซับพระพักตร์

    เจ้าฟ้าหญิงองค์น้อยเหลือบเนตรมองร่างสูงที่ตอนนี้นั่งอยู่ด้านล่างเก้าอี้ด้วยสายพระเนตรกึ่งดื้อดึงกึ่งอ่อนโยน ในที่สุดก็รับสั่ง “ขอบใจท่านมาก วิชยุตม์”

    ชายหนุ่มไม่ตอบคำ แต่กลับถอยออกมาอย่างสุภาพเมื่อกิ่งแก้วเดินกลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำใบย่อมและขวดแก้วใบเล็ก นางวางทั้งหมดลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบขวดแก้วส่งให้วรองค์บางเป็นอย่างแรก

    “นี่ยาเพคะ ยาหอม ทรงสูดเข้าไปนะเพคะ จะทรงรู้สึกดีขึ้น เดี๋ยวหม่อมฉันจะเช็ดพระพักตร์ให้”

    ราชองครักษ์หนุ่มมองการถวายการรับใช้ของกิ่งแก้ว ก่อนจะทูลเจ้าของเรือน “เช่นนั้นกระหม่อมจะออกไปก่อนนะพะยะค่ะ”

    ปรียทรรศิกาพยักพักตร์เป็นเชิงรับรู้ ก่อนหลับพระเนตรลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้กิ่งแก้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดพระพักตร์ตามสบาย

    ชายหนุ่มเลี่ยงออกมายืนด้านนอกตรงระเบียงกว้างด้านหน้าเรือน เรือนที่ประทับนี้เป็นเรือนใหญ่พอๆ กับเรือนบัญชาการ หากแต่แบ่งออกเป็นสัดส่วนระหว่างองค์ราชินีและพระขนิษฐา ตัวเรือนเป็นไม้เนื้อแข็งชั้นเดียว หากแต่ค่อนข้างกว้างพอสมควร เรือนที่ประทับมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้รอบๆ และได้รับการดูแลอย่างดีจากเหล่านางสนองพระโอษฐ์ทั้งหลาย ซึ่งในตอนแรกจิตรางคทารับสั่งเอาไว้อย่างชัดเจนว่า หากจะปลูกก็ต้องดูแลเอง และหากดูแลแล้วบ่น จะทรงถอนออกให้หมด เพราะทรงถือว่าเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวเองเสียเปล่าๆ กับสิ่งที่ไม่จำเป็นเหล่านี้

    ดังนั้นเหล่านางสนองพระโอษฐ์จึงไม่มีใครกล้าบ่นลำบากดูแลต้นไม้...สตรีกับดอกไม้งามย่อมเป็นของคู่กัน เมื่อรู้สึกถึงความมั่นคงมากขึ้น การที่เหล่านางสนองพระโอษฐ์จะต้องการความสบายใจด้วยการมองดอกไม้ก็คงไม่แปลกอะไร

    หากแต่เขาเคยได้ยินจิตรางคทาทรงตรัสห้วนๆ ว่า อยากมองอะไรเจริญหูเจริญตา ก็มองป่าก็ได้ เขียวชอุ่มเย็นตาดี ไม่จำเป็นต้องปลูก ไม่จำเป็นต้องดูแลด้วย

    แต่ดอกไม้มีหลายสีกว่า มีกลิ่นหอมกว่า งามกว่านะเพคะทูลกระหม่อม นางสนองพระโอษฐ์ทั้งหลายไม่ยอมแพ้ เขาถึงกับหลุดขำเมื่อได้ยิน...

    ...สมกับเป็นจิตรางคทาแล้ว ดำริด้วยเหตุและผล จนเขากลัวว่าจะทรงหลงลืมแม้ความรู้สึกขององค์เอง...

    “ท่านวิชยุตม์เจ้าคะ”

    น้ำเสียงกิ่งแก้วฟังดูแปร่งผิดหูหากเรียกเขาออกมาจากภวังค์ได้ ชายหนุ่มหันไปมองอย่างสงสัย และพบว่านางกำลังมองเขาด้วยสายตาจับผิด

    “ทูลกระหม่อมเล่า”

    “ตอนนี้บรรทมอยู่เจ้าค่ะ” กิ่งแก้วตอบเสียงเบา ก่อนเอ่ยถาม “ทำไมถึงประชวรพระวาโยได้ล่ะเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น เมื่อเช้ายังทรงดีๆ อยู่เลย”

    “แล้วเสวยพระกระยาหารเช้าหรือไม่” ชายหนุ่มย้อนถาม พลางนึกไปถึงว่าเขาก็ไม่ได้ทานอะไรเช่นเดียวกัน เพราะวรองค์บางที่เคย ส่งส่วย ทุกเช้าไม่เสด็จมาเช่นเคย

    กิ่งแก้วส่ายศีรษะ “ไม่เจ้าค่ะ เสวยแต่น้ำเปล่าๆ”

    วิชยุตม์พยักหน้า...ก็เพราะอย่างนี้ไงเล่า พอไปเจอเรื่องที่ต้องใช้กำลังกายมากๆ ถึงไม่ไหว แล้วกลิ่นคาวเลือดก็ทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยเป็นลมได้ง่ายๆ เช่นกัน

    แล้ววรองค์แบบบางเช่นนั้นจะทนได้อย่างไร...

    ชายหนุ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้กิ่งแก้วฟังอย่างสั้นๆ ก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยการขอตัวกลับไปยังเรือนพักของตนเอง หากแต่กิ่งแก้วเอ่ยบางอย่างออกมา ทำให้เขาต้องชะงักฟัง

    “ท่านวิชยุตม์...มีเรื่องทะเลาะกับทูลกระหม่อมองค์เล็กหรือเปล่าเจ้าคะ?



    [1] ท้อง

    [2] เป็นลม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×