ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มงกุฎกลางหทัย

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 530
      3
      24 ต.ค. 54






    ร่างสูงของชายหนุ่มอยู่ในชุดแต่งกายแบบสบายๆ หากเนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี หากแต่ไม่ว่าการแต่งตัวของเขาจะดีขนาดไหน สิ่งที่ดึงดูดทุกผู้...โดยเฉพาะสตรีเพศให้เหลียวมอง คงเป็นที่รูปลักษณ์ของเขามากกว่า


               
    คิ้วเข้มพาดเฉียงไปกับดวงตายาวรี นัยน์ตาสีดำสนิทราวก้นบ่อลึกล้ำกวาดมองไปทั่วงานเทศกาลอย่างรื่นรมย์ จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักงามได้รูปที่กำลังแย้มยิ้มน้อยๆ ราวกับพึงใจนักหนากับบรรยากาศร่าเริงโดยรอบ ดวงหน้าที่เป็นดังผลงานรังสรรค์ของทวยเทพสะกดสะกดความสนใจของผู้คนให้หยุดนิ่งที่ดวงหน้านั้น

                หากแต่ อะไรบางอย่าง ที่ไม่ธรรมดาของชายรูปงามคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาทรงอำนาจ ท่าทางสง่างาม ทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะมองเขานานนัก ได้แต่แอบมองชั่วครั้งชั่วคราว ไม่กล้ามองเต็มตาเท่าใด

                ความรู้สึกของทุกผู้คล้ายดังตนกำลังมองเชื้อพระวงศ์อยู่กระนั้น!

                เสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นจากแผงขายของตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพลางหันมามองผู้ติดตามทั้งสอง หนึ่งในสองแยกไปดูโดยที่เขาไม่ต้องสั่งอะไร ก่อนจะรีบเดินกลับมารายงานเขาอย่างรวดเร็ว

                “มีเหตุทะเลาะวิวาทขอรับนายท่าน”

                “ด้วยเหตุใดกัน” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้าเรียบเฉย หากแต่แววตามีแววขุ่นรางๆ

                “เอ่อ...เห็นชาวบ้านบอกว่า บุตรชายท่านเจ้าเมืองมีเรื่องกับคนต่างถิ่นขอรับ”

    สีหน้าของชายหนุ่มกระด้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนถามต่อ “คนต่างถิ่น...คนเดียวหรือ”

    “ขอรับ คนเดียว” อรุณรายงานไปด้วยความความรู้สึกสมเพชผู้ก่อเหตุ นายท่านของเขาเกลียดการใช้กำลัง และที่เกลียดยิ่งกว่า...คือการใช้กำลังกับคนที่ไม่มีทางสู้

    ชายหนุ่มก้าวยาวๆ โดยมีอรุณและเมฆา สองผู้ติดตามของเขาเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงแทรกเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่ถอยออกมาเล็กน้อยเมื่อร่างบางของคนในชุดสีเข้มคว้าเอาท่อนไม้มาใช้ต่างอาวุธ...

    เมื่อได้เห็นทักษะการใช้อาวุธของคนต่างถิ่น...ที่เขาก็มิอาจรู้ได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย หากแต่ที่รู้...การเคลื่อนไหวรวดเร็ว พลิ้วไหว แต่ทรงพลังเช่นนี้ ต้องเป็นคนที่เคยฝึกการใช้อาวุธมาเป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าร่างบางตรงหน้าเขาอาจเคยเป็นทหารมาก่อนก็ได้ ชายหนุ่มแย้มริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง ก่อนสังเกตเห็นชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่กับร่างสั่นเทาของเด็กสาว ตอนนี้มือหนานั้นปล่อยจากร่างบางแล้ว ก่อนจะคว้าเอาชามใหญ่ที่ใส่น้ำจนเต็มขึ้นมาถือไว้ในมือ...

    และก่อนที่เขาจะทันห้าม ทั้งชามทั้งน้ำนั้นก็ถูกสาดโครมเข้าใส่ร่างบางอย่างรวดเร็ว!

    ร่างสูงสง่าเบียดผู้คนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้าออก ก่อนจะเดินเข้าไปช้าๆ สายตาจ้องเขม็งไปที่ร่างบางในชุดสีเข้ม ที่ตอนนี้น่าจะเรียกได้เต็มปากว่า ผู้หญิง เพราะผมดำสลวยของนางหลุดลงมาจากมวยแผ่กระจายเต็มหลัง...

    ...ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างามกระจ่าง ดังจะเย้ยแสงจันทราให้ดับสิ้น!

    เสียงสูดลมหายใจเข้าพร้อมๆ กันของทุกผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น สีหน้าตกตะลึงของคนที่ได้ยลโฉมนางทำให้เขารู้สึกตัว...

    ...ความรู้สึกวูบหนึ่งบอกว่า...เขาไม่อยากให้ใครมองนางทั้งนั้น!

    ชายหนุ่มกำลังจะสาวเท้าเข้าไปหานาง หากแต่อินทยุทธ์เร็วกว่า ชายหนุ่มรีบปรี่เข้าไปหาร่างบางที่ยืนส่งสายตาวาววับมาให้แม้ในใจจะรู้สึกกริ่งเกรง บารมีที่แผ่รัศมีออกจากร่างงดงามนั้นก็ตาม

    “ช่างงามนัก...” อินทยุทธ์กำลังเคลิ้มไปกับความงามข้างหน้า “แม่หญิง...เมื่อครู่ข้าสั่งให้ผู้ติดตามล่วงเกินเจ้าอย่างเท่าไม่ถึงการณ์ ข้าต้องขออภัยเจ้าเป็นอย่างยิ่ง” บุตรชายเจ้าเมืองแย้มยิ้มออกมาเต็มที่ พลางเอื้อมมือเข้ามาใกล้หวังแตะต้องปรางเนียน

    องค์จิตรางคทาเพียงเลิกพระขนงงามขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถหยุดมือสกปรกคู่นั้นได้ทันควัน

    รอยยิ้มของอินทยุทธ์เจื่อนจางลงเล็กน้อย หากแต่เขาก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วยามเอ่ยประโยคต่อมา

    “แม่หญิงคนงาม...ข้าว่าเจ้ามานั่งจิบเหล้าคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าดีกว่า เสื้อผ้าแลผมเผ้าของเจ้าก็เปียกปอน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าจะขอเชิญเจ้าไปที่บ้าน เพื่อให้เจ้าได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะหาอาภรณ์อย่างดีที่สุดให้เจ้าได้สวมใส่ เช่นนี้ดีหรือไม่?

    แม่หญิงคนงาม มิตอบคำ หากดำเนินไปหาสาวน้อยผู้เป็นต้นเหตุที่ตอนนี้กำลังมองตรงมาที่พักตร์พิลาศของพระองค์ จิตรางคทาทรงโน้มองค์ไปกระซิบเบาๆ กับหญิงผู้นั้น ก่อนที่นางจะยิ้มกว้างอย่างขอบคุณ แล้วรีบเก็บของอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกราดไปพยุงชายคู่หมั้นแล้วพากันเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันที โดยที่บุตรชายท่านเจ้าเมืองไม่แม้แต่จะชายตามองนาง...

    ...เขาจะมองนางทำไม ในเมื่อมีนางสวรรค์อยู่ตรงหน้า!

    “คนงาม...” อินทยุทธ์แสร้งทำเสียงโอดครวญ “หากข้าทำให้เจ้าต้องระคายเคือง ข้าต้องขออภัยเจ้า และข้าก็ต้องการไถ่โทษล้ว เจ้าก็...ตามข้ากลับบ้านไปรับ ของขวัญปลอบใจ เถิด”

    องค์จิตรางคทาแย้มสรวลอ่อนหวาน...หวานเสียจนหากข้าราชบริพารใกล้ชิดขององค์เองได้มาเห็นเข้าเป็นได้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

    สมัยยังทรงเป็น เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท หากทรงยิ้มแบบนี้เวลาทรงงาน แสดงว่างานนั้นไม่เป็นที่สบพระราชหฤทัย หากเป็นเวลาเสด็จออกรับแขก แสดงว่าแขกผู้นั้นกำลังทำให้พระองค์ไม่ต้องพระอัธยาศัย และหากเป็นเวลาหลังจากที่ทรงออกพระกำลังไปหมาดๆ ดังเช่นเมื่อครู่...แสดงว่ากำลังจะมีใครซักคนชะตาขาด!

    “บุตรชายของเจ้าเมือง...” ทรงตรัสน้ำเสียงอ่อนหวาน...ก่อนตวัดฉับในดาบเดียว “หากท่านใช้ความคิดให้มากกว่านี้ ท่านจะไม่ชวนข้าเลย เมื่อครู่ข้าว่าข้าก็ได้แสดงความรังเกียจท่านออกไปแล้วนะ...หรือเท่านั้นมันยังไม่ชัดเจนพออีก?

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครเคยกล้าพูดกับอินทยุทธ์เฉกนี้มาก่อน ถึงแม้ผู้พูดจะเป็นนางงามชนิด หยาดฟ้ามาดิน สักเท่าใด หากแต่โทสะร้ายของบุตรชายเจ้าเมืองก็เป็นที่เลื่องลือมากพอที่จะทำให้คนได้รับรู้กันทั่ว

    ใบหน้าของอินทยุทธ์แดงก่ำด้วยโทสะ ก่อนจะยกมือขึ้นหวัง สั่งสอน แม่คนงามปากดีสักฉาด ก่อนจะจัดการลากมันไปที่บ้าน เอาไปเก็บไว้ในห้องนอนของเขา...ล่ามเอาไว้ติดกับเตียงไปเลย!

                หากบุตรชายเจ้าเมืองมิได้ทำอย่างที่ตนเองต้องการ ร่างค่อนข้างหนาของอินทยุทธ์ก็เซล้มลงตามแรงผลักของชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างแม่หญิงผู้นั้น ร่างสูงสง่ามีผู้ติดตามใบหน้าเคร่งขรึมมาด้วยสองคน

                “เจ้ากล้าผลักข้ารึ! รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!” อินทยุทธ์เดือดดาล ลุกขึ้นได้เขาก็ก้าวยาวๆ มายืนอยู่เบื้องหน้าชายผู้มาใหม่ ที่ตอนนี้ก้าวเข้ามายืนบังระหว่างเขากับแม่หญิงคนงามนั้น

                “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร และก็มิอยากรู้จักให้เป็นเสนียดแก่ตนเองด้วย” ร่างสูงตอบเรียบๆ ก่อนจะหันไปหาหญิงงามด้านหลังตนเอง “เจ้าไม่เป็นไรแล้วก็กลับไปเถิด”...อีกประเดี๋ยวข้าค่อยสืบหาเจ้าทีหลังก็ได้...

                เขาสนใจนาง...ติดตาในรูปโฉมงดงามเกินหญิงใด ติดใจในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและความเก่งกาจที่นางแสดงออกเมื่อครู่

                อีกฝ่ายแย้มเยื้อนงดงามกลับมา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำผึ้งหวานๆ อุ่นๆ กำลังรินรดช้าๆ ที่ดวงใจของเขาจนชุ่ม นอกจากความหวานจะซอนซึมเข้าไป ยังมีความเหนียวที่ร้อยรัดมิให้เขาดิ้นหลุดไปไหนอีกด้วย...

                “นางยังไปไหนมิได้! ข้าต้องการนาง จะเอานางไปที่เรือนท่านเจ้าเมืองพ่อข้า หากเจ้ามิต้องการมีเรื่องในเมืองนี้ จงถอยไปแล้วส่งนางมาให้ข้าเสียดีๆ”

                “แล้วหากข้ามิทำตามที่เจ้าพูดเล่า”

                “เช่นนั้นก็...” บุตรชายเจ้าเมืองทำท่าขบคิด ก่อนยิ้มมาดหมาย “ประลองดาบกัน!

                เหตุใดจะมิได้เล่า...ร่างสูงสง่าคิดในใจ เขาซ้อมดาบตั้งแต่อายุสามขวบ ซ้อมยิงปืนไฟหนักอึ้งในตอนเด็กเมื่ออายุสี่ขวบ เข้าฝึกทหารเมื่ออายุเก้าขวบเท่านั้น หากคิดจะเอาชนะเขาได้...ก็ลองดู!

                อรุณและเมฆายืนดูนายตัดสินใจเงียบๆ หากนายต้องการความช่วยเหลือ นายจะบอกเขาทั้งสองคนเอง แต่หากนายมิต้องการความช่วยเหลือ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วย เพราะที่จริงแล้ว...นายของเขาทั้งคู่มีฝีมือเชิงดาบมากพอๆ หรือจะมากกว่าพวกเขาสองคนที่ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อให้จงรักต่อนายทั้งชีวิตด้วยซ้ำไป

                อรุณรับเสื้อคลุมกันลมของนายท่าน ก่อนที่เมฆาจะส่งดาบให้ร่างสูงที่เอื้อมมือมารับอย่างว่องไว อีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้ากันเท่าใด...อินทยุทธ์บุตรชายเจ้าเมืองมีชื่อเลื่องลือถึงเชิงดาบเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นส่วนดีเพียงส่วนเดียวที่สามารถอวดชาวประชาได้อย่างน่าภูมิใจ หากแต่ก็ถูกความประพฤติเสียหายกลบชื่อด้านนี้เสียหมดสิ้น

                ชายทั้งสองตวัดดาบชี้ปลายลงพื้นเฉียงๆ ก่อนที่จะตวัดขึ้นมาอยู่ในแนวตั้งระดับอก ถือเป็นท่าเตรียมพร้อม

                องค์จิตรางคทาทรงยืนอยู่ใกล้กับผู้ติดตามทั้งสองของชายผู้นั้น วูบหนึ่ง...ทรงคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบกับเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาล้ำเลิศนี้ หากแต่เพียงวูบเดียวเท่านั้น เพราะหากเขาเป็นคนแคว้นศัสสวัติ ก็มิควรที่เจ้าฟ้าแห่งปัทมราชอย่างองค์เองจะเคยพบ

                ดังนั้นจิตรางคทาจึงทรงปัดดำรินั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะทอดพระเนตรมองการประลองดาบตรงหน้าอย่างสนใจ...ศิลปะการดวลดาบแบบนี้ แคว้นแถบนี้ได้อิทธิพลมาจากชาติตะวันตกทั้งนั้น รูปแบบของการดวลดาบนั้นแตกต่างจากการประดาบธรรมดา การดวลถือเป็น สัญญาเกียรติยศ อย่างหนึ่งของลูกผู้ชาย หรือไม่ก็เป็น ทางทวงเกียรติ ที่ทรงเกียรติมากที่สุดของผู้ชาย ซึ่งก็มีแต่ชนชั้นสูงหรือผู้ที่มั่งคั่งเท่านั้นถึงจะให้บุตรหลานของตนเรียนดาบแบบสากลนี้ได้

                คู่ต่อสู้ทั้งสองคนผลัดกันรุกผลัดกันรับท่ามกลางการเอาใจช่วยของคนรอบข้าง ที่สังเกตได้ว่าน่าจะเลือกลุ้นกับชายหนุ่มรูปงามที่เข้ามาใหม่มากกว่า เขามีการเคลื่อนไหวดุจดังกำลังเต้นรำ พลิ้วไหวงดงามและรวดเร็วราวสายลม แตกต่างจากอินทยุทธ์ที่เมื่อจิตรางคทาทอดพระเนตรเพียงปราดเดียว ทรงสามารถบอกได้ทันทีว่าเขา ด้อย กว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

                เมื่อเป็นเช่นนั้น เพียงไม่นานชายแปลกหน้าก็เอาชนะบุตรชายของท่านเจ้าเมืองได้ ร่างสูงตวัดดาบไปจ่อที่คอของอีกฝ่ายในระยะประชิด ผู้แพ้ถึงกับหน้าถอดสีเผือดซีด ก่อนละล้ำละลักบอกเสียงสั่น

                “ขะ...ข้ายะ...ยอมแพ้แล้ว...ยอมแล้ว เจ้าจะเอานางไปก็เอาไปเถิด ขะ...ข้าไม่เอาแล้ว”

                วาจาที่หลุดออกจากปากผู้แพ้ทำให้องค์จิตรางคทาทรงงุนงง ก่อนที่จะเบี่ยงองค์หลบอย่างรวดเร็วเมื่อผู้ชนะเดินดุ่มๆ เข้ามาทำท่าจะคว้าข้อพระกรของพระองค์

                ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายวาบ จ้องมองลึกลงไปในดวงเนตรงาม ดั่งจะค้นคว้าความลับที่สุดของพระองค์ให้เปิดเผยแก่สายตาของเขา ก่อนริมฝีปากหยักงามสมชายจะแย้มยิ้ม แล้วพูดประโยคที่มิทรงเชื่อกรรณขององค์เองว่า


               
    “นับแต่นี้...เจ้าเป็นสิทธิ์ขาดของข้าแล้ว
    !

     




    “ที่นี่คือบ้านแม่นมของข้า เจ้าพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”

                บ้าน แม่นม ของชายหนุ่มเป็นตึกขนาดกลางที่ตกแต่งบริเวณไว้อย่างน่ารัก ตัวเรือนสร้างเป็นตึกสองชั้นสีน้ำตาลนวล ด้านในตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องเรือนราคาแพง จนจิตรางคทาได้แต่แปลกพระทัยเงียบๆ

                เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน สิ่งแรกที่ปะทะสายพระเนตรคือเตาผิงขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้จุดไฟไว้พอให้ห้องอบอุ่น เก้าอี้บุนวมขนาดใหญ่สองสามตัววางล้อมเตาผิงนั้น ห้องกว้างนั้นโอ่โถงด้วยผนังสีนวลตาประดับคิ้วลวดลายประณีต มีประตูเปิดไปสู่ห้องอื่นอีกสองบาน และมีบันไดปูพรมหนาสีน้ำเงินทอดยาวขึ้นไปด้านบนชั้นสอง เครื่องเรือนทั้งหมดเน้นสีน้ำตาลอ่อนและน้ำเงิน ซึ่งรวมไปถึงโต๊ะกลมขนาดกลางที่วางล้อมไปด้วยเก้าอี้ประมาณหกตัว และถ้วยโถโอชามที่จัดวางอวดสายตาแขกอีกด้วย

                อีกด้านหนึ่งของห้องมีชั้นวางของและชั้นวางหนังสือเล็กๆ ซึ่งไร้ฝุ่นจับ ตรงผนังด้านนั้นทอดพระเนตรเห็นกรอบภาพสีน้ำมันหลายภาพแขวนเรียงกันอยู่ คล้ายกับจะเปิดเผยถึงความเป็นมาของเจ้าของบ้านหลังนี้...

                นี่ขนาดบ้าน แม่นมยังให้ความรู้สึกโอ่อ่า หรูหราขนาดนี้ แล้วบ้าน ของเขาเองเล่า มิเท่ากับตัวพระราชวังเลยหรือ?

                ...สงสัยพระองค์จะมาเจอเศรษฐีใหญ่เสียจริงๆ แล้ว...

                เรื่องฐานะของเขา ราชีนีแห่งปัทมรัฐมิทรงติดพระทัยเท่าใดนักเพราะทรงประจักษ์บ้างแล้ว จากการที่เขาดวลดาบเมื่อครู่ ความคล่องแคล่วเก่งกาจของเขาแสดงให้เห็นถึงการฝึกซ้อมยาวนาน ซึ่งหากมิใช่บุตรหลานของคหบดี ไฉนเลยจะมีเงินพอที่จะจ้างครูฝึกมาสอนได้นานขนาดนั้น

                หากแต่มีฐานะขนาดที่บ้าน แม่นม ของบุตรชาย ยังสามารถสร้างให้โอ่อ่าได้ขนาดนี้ แสดงว่าฐานะของครอบครัวนี้เข้าขั้น ไม่ธรรมดา

                ชายหนุ่มกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนเอ่ยกับวรองค์บางตรงหน้า “เจ้ารออยู่ที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะขอไปเรียนท่านป้าก่อนว่าข้าพาหญิงสาวกลับมาด้วย...” เขาทอดเสียงยาวคล้ายล้อเลียน ก่อนจะรีบพูดต่อให้จบเมื่อสบพระเนตรวาววับ เอาเรื่อง “...ให้ท่านป้าช่วยจัดห้องให้เจ้าอีกห้องหนึ่ง เช่นนี้ดีหรือไม่?

                เมื่อเห็นวรองค์บางไม่สบตาด้วย กลับแลเลยไปเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มก็อมยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูในกิริยาของนาง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในครัว ที่ซึ่งเขารู้ว่าให้อย่างไร ตอนนี้ เจ้าของบ้าน จะต้องอยู่ที่นั่นเป็นแน่แท้

                ต้องรีบไปก่อนที่ แม่นม ของเขาจะออกมา มิเช่นนั้นความจะได้แตกกันพอดี!

     





    ไม่ทันที่เรือนกายสง่าของชายหนุ่มจะเข้าไปถึงตัวหญิงสูงวัย ที่กำลังคนอะไรบางอย่างที่ส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วบริเวณ...


               
    ร่างสูงวัยนั้นก็หันกลับมาทันควัน ก่อนที่จะอุทานด้วยเสียงเหมือนดุเด็กชายตัวน้อยๆ

    “องค์ชายใหญ่เพคะ...เหตุใดเสด็จกลับแล้วจึงมิให้เด็กมารายงานหม่อมฉัน ทรงหิวหรือไม่เพคะ หม่อมฉันเตรียมของหวานอุ่นๆ ไว้รอให้กลับมาเสวยอยู่”

    “แหม...นมพริ้งขา...” องค์หัสดายุวราชแย้มสรวลอ่อนหวานให้สตรีตรงหน้า ก่อนจะโอบเอวที่หนาตามอายุนั้นเข้ามาชิดองค์หลวมๆ “...ชายก็อยากมาดูนี่คะ...ว่านมกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมกลิ่นหอมเชียว เนี่ย...กลิ่นนี้ทำให้ชายหิวแล้วน้า”

    พระนมพริ้ง...อดีตพระนมที่เกษียณตัวเองมาอยู่เมืองชายแดนบ้านเกิดเงียบๆ ถวายค้อนให้กับร่างสูงที่กำลังกอดประจบตัวเองอยู่ หากแต่ริมฝีปากยิ้มแย้มอ่อนโยน...

    นางเคยเป็นพระนม อยู่ในราชวังมานานปี เป็นพระอภิบาลของพระราชโอรสทั้งสามพระองค์ องค์แรก...ในตอนนี้ก็เป็นถึงรัชทายาทแห่งแคว้น ซึ่งก็กำลังกอดเอวนางเหมือนลูกลิงติดแม่อย่างไรอย่างนั้น อีกสององค์นั้นตอนนี้องค์หนึ่งเป็นเสนาบดีเอกของกระทรวงยุติธรรม องค์น้องสุดท้องเป็นเสนาบดีกลาโหม นางจึงขอเกษียณตัวเองกลับบ้านเกิด

    หากแต่คุณความดีของนางที่อภิบาลเจ้านายองค์น้อยๆ ทั้งสามให้เติบใหญ่เป็นหลักแก่บ้านเมืองในตอนนี้ จึงทำให้นางได้รับการปูนบำเหน็จมากมายจากเจ้าผู้ครองนคร ทรงพระราชทานบ้านหลังงามหลังนี้ให้ รวมไปถึงข้าทาสบริวารและเบี้ยหวัดประจำปีอีก ชีวิตของนางที่ทั้งสามีและลูกชายด่วนจากไปก่อนจึงไม่ลำบากนักยามสูงวัยขึ้น

    “หิวแล้ว...ก็เสด็จไปรอที่โถงด้านหน้าสิเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้เด็กยกไปถวาย ไปไป๊...อย่ามากวนคนแก่แถวนี้เลยเพคะ”

    “นมยังไม่แก่ซักหน่อย ยังสาวสวยพริ้งสมชื่ออยู่เลยนะคะ” วรองค์สูงหยอดดำรัสหวานหู ขณะที่กุลีกุจอช่วยยกหม้อหนักๆ ลงจากเตามาวางบนโต๊ะกลางห้อง

    พระนมพริ้งมองพักตร์คมเพียงครู่ ก่อนจะทูลตรงๆ “องค์ชายใหญ่ทรงอยากได้อะไรอยู่รึเปล่า เวลาจะอ้อนขออะไรนมนี่พูดแบบนี้ทุกทีเลย”

    องค์หัสดายุวราชแย้มพระโอษฐ์กว้าง ก่อนเอ่ยเสียงประจบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะนม เพียงแต่...”

    “เพียงแต่...” พระนมทวนคำ

    “ก็...คือชายพาผู้หญิงคนหนึ่งกลับมาด้วย”

    “อะไรนะเพคะ? พาผู้หญิงกลับมา! ใครกันเพคะ...ละ...แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน” หญิงสูงวัยเบิกตากว้าง ก่อนถามรัวเร็ว แล้วตั้งท่าจะเดินออกไปดูที่โถงด้วยตัวเอง

                วรองค์สูงรีบรั้งแขนที่มีรอยย่นไว้รวดเร็ว “นมขา...ยังไม่ต้องไปค่ะ เดี๋ยวชายเล่าให้ฟัง...”

                ทรงเล่าทุกอย่างให้พระนมฟัง ด้วยเหตุที่ว่าปิดนางไปก็มิได้ประโยชน์อันใด อีกอย่างทรงต้องการความร่วมมือจากนางด้วย พระนมพริ้งนั้นเลี้ยงพระองค์มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เป็นคนหนึ่งที่รู้จักนิสัยของพระองค์ดี ดังนั้นนางจะต้องเข้าใจพระองค์แน่แท้...

                ...ว่าตอนนี้พระองค์กำลังมีพระอาการแปลกๆ เกิดขึ้นที่ห้วงพระหฤทัย...

                “ตกลง...” พระนมพริ้งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามีรับสั่งหมดแล้ว “ทูลกระหม่อมไม่อยากให้หม่อมฉันเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของพระองค์กับนาง แต่อยากให้นางเข้าใจว่าพระองค์เป็นเพียงบุตรชายผู้มีอันจะกินคนหนึ่งเท่านั้น...หม่อมฉันเข้าใจถูกต้องไหมเพคะ”

                “ถูกทุกอย่างเลยค่ะ นมพริ้งของชายเก่งที่สุดเลย” องค์หัสดายุวราชสรวลออกมาไม่เบานัก เมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ จะค้านก็ไม่ใช่ จะปลงก็ไม่เชิงของหญิงสูงวัย

                “แต่หม่อมฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดทูลกระหม่อมถึงต้องปิดบังฐานะที้แท้จริงกับนางด้วยล่ะเพคะ” พระนมทำท่าไม่เข้าใจเสียอย่างนั้น...

                ...อยากดูปฏิกิริยาคนจริงเชียว ทรงโอษฐ์แข็ง เอ่ยเพียงแต่ไม่อยากให้เป็นที่ครหาว่าทรงไปดวลดาบกับสามัญชนเพียงเพราะหญิงผู้หนึ่ง หากแต่พระนมรู้...ทรงดำริมากกว่านั้น...

                ...ก็แววพระเนตรแวววาว เปล่งประกายราวกับเจอของที่ถูกพระทัยนั้นเล่า พระนมพริ้งไม่ได้เห็นแววพระเนตร สีพระพักตร์อย่างนี้มานานมากแล้ว...ตั้งแต่ทรงเริ่มเติบโตในฐานะ เจ้าฟ้ารัชทายาท กระมัง...

                ...หากแต่วันนี้...เพียงหญิงเดียว กลับเรียกแววเนตรสดใสเช่นนั้นคืนมาได้ พระนมถือว่านาง ไม่ธรรมดา แน่นอน!

                “นม! แกล้งชายหรือคะ” ทรงทำโอษฐ์อูดๆ เรียกเสียงแหวจากอีกฝ่าย “ชายก็แค่...ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเท่านั้นแหละค่ะ”

                “ทำไมถึงต้องเป็นเรื่องเป็นราวกันได้ล่ะเพคะ” พระนมพริ้งสงสัยจริงๆ เมื่อเห็นสีพระพักตร์รื่นเมื่อครู่กลับมีรอยครุ่นคิด หากแต่หัสดายุวราชกลับตอบเลี่ยงไปอีกเหตุผลหนึ่ง

                “นาง...เป็นคนต่างถิ่น คงมิรู้หรอกว่าอินทยุทธ์...บุตรชายเจ้าเมืองคนนั้นไม่รามือแน่ ป่านนี้มันคงควานหาตัวนางให้ควั่กไปทั้งเมืองแล้วล่ะค่ะ ยิ่งมันคิดว่ามันมีอิทธิพลในเมืองมากมายอย่างนั้นด้วย หากชายปล่อยนางไว้ที่พักแรมในเมือง นางก็คงถูกพวกมันคร่าตัวไปแน่แท้ ไหนๆ ช่วยแล้ว...ชายก็ขอช่วยให้ถึงที่สุดดีกว่า”

                ทรงถอนปัสสาสะก่อนรับสั่งต่อไป “หากชายก็ไม่อยากให้นางรู้ฐานะของชาย เพราะมันจะเสียหลายอย่าง อีกทั้งหากมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนี้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของชาย ใครเขาจะว่าดีคะถ้ารู้ว่าเจ้าชายไปเปิดศึกชิงนางกับชาวบ้านมา สรุปเอาเป็นว่าชายขอให้ปิดฐานะของชายไว้ก่อนก็แล้วกันนะคะ”

                ทรงสรุปรวบรัด ก่อนจะยกชามของหวานที่จัดใส่ถาดเรียบร้อยแล้วออกไปด้วยองค์เอง มีพระนมตามเสด็จมาติดๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด...

                ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเมื่อเห็นโฉมหน้า คนต่างถิ่น เต็มตา!

                หญิงสาวที่ยืนเด่นเป็นสง่ากลางห้องนั้นส่งยิ้มอ่อนน้อมมาให้นาง ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เฉกเจ้านาย กระทำความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสมากกว่า...

                งามทั่วสรรพางค์ ยิ่งพิศยิ่งงามเช่นนี้อย่างไรเล่า จึงกลายเป็น นาง ที่ชายต้องเปิดศึกแย่งชิง มิเว้นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น!

                เจ้าของบ้านยิ้มใจดี ก่อนเอ่ยถาม “แม่หนูคนนี้หรือเจ้าคะ ที่คุณชายจะให้นมช่วยจัดห้องให้เธอ”

                “คนนี้แหละค่ะ...เจ้า...มานั่งตรงนี้สิ” ทรงผายหัตถ์มาที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งตั้งล้อมโต๊ะกลมที่ไว้ใช้รับประทานอาหาร มีชามกระเบื้องบรรจุขนมหวานอย่างหนึ่งที่องค์จิตรางคทามิทรงรู้จักวางอยู่สองชาม และหนึ่งในสองตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะไม่ยอมแตะต้องก่อนพระองค์

                องค์จิตรางคทาดำเนินตรงไปที่โต๊ะอย่างนุ่มนวล ก่อนแนะนำองค์อย่างง่ายๆ กับสตรีเจ้าของบ้าน...สตรีสูงวัย ร่างเล็กบาง หากแต่เคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉง สีหน้าอิ่มเอิบบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวได้ใช้ชีวิตมาอย่างมีความสุข

                “ข้าชื่อจิตราเจ้าค่ะ”

                หญิงสูงวัยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ “แม่หนูนั่งเถิดจ้ะ แล้วก็ทานขนมกลีบยุบลเสีย กำลังร้อนๆ ป้าตั้งใจทำรอองค์...เอ่อ...รอคุณชายกลับมาทานมื้อดึก รับรองอร่อย”

                ทรงแย้มสรวลรับคำของสตรีสูงวัยท่าทางใจดีผู้นี้ ก่อนที่จะทรงตักเอาตัวขนมซึ่งเป็นแป้งนวลๆ กลมๆ ที่ต้มอยู่ในน้ำเชื่อมหวานผสมกับน้ำคั้นจากเนื้อมะพร้าวขึ้นชิม แล้วแย้มโอษฐ์อย่างถูกพระทัย ก่อนที่จะตักเสวยอีกช้อนหนึ่ง

                องค์หัสดายุวราชที่ทรงลอบมองเสี้ยวพักตร์หวานตรัสกระเซ้า “ถูกใจล่ะสิ เมื่อครู่ข้าถามว่าหิวไหม ยังตอบเต็มปากเต็มคำอยู่เลยว่าอิ่มแล้ว”

                จิตรางคทาขมวดขนงมุ่น หันไปมอง ชายหนุ่ม อย่างไม่สบพระอารมณ์...อย่างไรตอนนี้ก็ทรงเป็นเพียง จิตรา มิใช่ จิตรางคทาวรราชกุมารี เพราะฉะนั้นทรงสามารถแสดงพระอารมณ์ได้เต็มที่ ไม่เหมือนตอนที่ทรงเป็นเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทหรือราชินีแห่งปัทมรัฐ

                “พูดอย่างนั้นได้เช่นไรกันเจ้าคะคุณชาย อย่ามัวแต่เย้าแหย่เลยเจ้าค่ะ คุณชายก็ทานส่วนของคุณชายไป...ว่าแต่แม่หนูมาจากเมืองไหนหรือจ๊ะ เห็นคุณชายบอกว่าหนูเป็นคนต่างถิ่น”

                “เอ่อ...” วรองค์บางดำริรวดเร็ว “...ปารันเจ้าค่ะ” อ้างเมืองไหนก็ไม่ทรงรู้รายละเอียดของเมืองนั้น มีแต่เมืองปารัน เมืองหลวงของแคว้นศัสสวัติเท่านั้นที่ทรงเคยศึกษาข้อมูลต่างๆ มาบ้าง

                “มาไกลนะเจ้า” วรองค์สูงที่นั่งอยู่ข้างๆ เปรยขันๆ “ที่ปารันก็มีเทศกาลพิรุณโปรยเช่นกัน เหตุใดต้องถ่อมาดูถึงเมืองชายแคว้นด้วยเล่า”

                องค์หัสดายุวราชทรงกล่าวอ้างถึงคำพูดแรกๆ ที่คุยกันหลังจากที่นางตกลงมาพักที่บ้านพระนมพริ้ง นางบอกว่าต้องการเที่ยวชมดูเทศกาลพิรุณโปรยของเมืองวิรุณย์ว่าจะแตกต่างจากเมืองที่นางจากมาอย่างไร

                ...ก็จะมิต่างได้อย่างไร แคว้นปัทมรัฐมิเคยจัดเทศกาลพิรุณโปรย หากจัดเทศกาล ธาราเริงระบำ ต่างหาก เพราะปัทมรัฐนั้นฝนตกน้อยกว่าแคว้นเพื่อนบ้าน จะมีตกมากก็เมืองที่ด้านอยู่ติดกับศัสสวัติเท่านั้น ดังนั้นเมื่อฝนตกมาคราแรกแห่งปี ชาวปัทมรัฐจึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีและต่างดีใจกันถ้วนหน้า แม้แต่สายธาราซึ่งก็มีต้นกำเนิดมาจากหยาดฝนก็ยังสั่นสะท้านประดุจเริงระบำเมื่อหยาดฝนตกกระทบ ดังนั้นปัทมรัฐจึงเรียกเทศกาลฉลองสายฝนว่า เทศการธาราเริงระบำ...

                จิตรางคทาเพียงปรายพระเนตรมองดั่งมิสนพระทัยผู้ถาม “แม้เป็นเทศกาลเดียวกัน เมืองเดียวกัน หากจัดคนละปียังแตกต่างกัน เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าลองเที่ยวชมเทศกาลพิรุณโปรยในแต่ละเมืองที่ให้อย่างไรก็จัดไม่เหมือนกันสักเมืองเลยมิดีกว่าหรือ”

                หากคนถามก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ “ก็หากแต่ละปีก็จัดงานไม่เหมือนกันแล้ว เจ้าก็ควรรอชมงานแต่ละปีที่เมืองของเจ้าจะดีกว่า ไฉนต้องหนีออกมาให้ผู้คนที่บ้านเป็นห่วงด้วยหนอ...”

                “หา?” สตรีสูงวัยยกมือทาบอก สีหน้าตกอกตกใจ “แม่หนูคนนี้หนีออกจากบ้านมารึ”

                อีกครั้งที่จิตรางคทาปรายพระเนตรไปที่ คนก่อเรื่องอย่างไม่สบพระอารมณ์ หากแต่พักตร์คร้ามคมกลับแย้มสรวลอ่อนหวานกลับมา ทำให้ราชินีแห่งปัทมรัฐได้แต่รับสั่งตอบพระนมพริ้งไป

                “เจ้าค่ะ จริงๆ แล้วข้ามีผู้ติดตามเหมือนกันนะเจ้าคะ...หากแต่พลัดหลงกันในงานเพราะคนเยอะเกินไป ข้ายังกังวลอยู่เลยว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร”

                พวกเขา งั้นรึ” อีกครั้งที่สุรเสียงทุ้มนุ่มของชายคนเดียวในห้องดังขึ้น “เจ้ามีผู้ติดตามเป็นชาย?

                “ก็มาต่างถิ่น ต้องมีผู้คุ้มครองหน่อยสิ...เจ้าคะ”       สุรเสียงหวานรับสั่งอย่างไม่ยอมแพ้

                “ป้าว่า...” สตรีสูงวัยที่เรียกตัวเองว่าป้าเอ่ยขัดตาทัพ ออกจะประหลาดใจอยู่ครามครั่นว่าองค์หัสดา...ต่อล้อต่อเถียงกันสตรีนางหนึ่ง แล้วดูท่าจะทรงพระสำราญกับการทำเช่นนั้นด้วย “...มีผู้ติดตามเป็นชายก็ดีแล้วล่ะจ้ะ ออกต่างเมืองเช่นนี้ต้องระวังตัว แต่ยังไงหนูก็มิควรเดินทางตะลอนๆ เช่นนี้อีก เชื่อป้านะ...”

                องค์จิตรางคทาได้แต่แย้มสรวลรับคำสั่งสอนจากสตรีเจ้าของบ้านเงียบๆ

                จนกระทั่งทรงเสวยขนมหมด เจ้าของบ้านจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยที่มี แขก ทั้งสองลุกขึ้นตามอย่างมีมารยาท ก่อนที่พระนมพริ้งจะเอ่ย

                “คุณชาย ใช้ห้องเดิมนะเจ้าคะ...อรุณกับเมฆานั้นก็ใช้ห้องเดิมของตัวที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง” พระนมหมายถึงเรือนหลังเล็กที่สร้างไว้เฉพาะรับรองราชองครักษ์ที่ตามเสด็จ “ส่วนแม่หนู...คืนนี้นอนห้องพักแขกที่ปีกตะวันตกนะ”

                “เจ้าค่ะ” จิตรางคทาทรงรับคำเงียบๆ โดยมีสายพระเนตรระยับขององค์หัสดายุวราชจับอยู่

                “เช่นนั้นก็แยกย้ายกันเถิด เดี๋ยวข้าต้องขอกลับไปดูความเรียบร้อยของบ้านเสียก่อน คุณชายกับแม่หนูขึ้นไปพักผ่อนเลยนะเจ้าคะ แม่หนู...ตามสบายนะเจ้า”

                พระนมสูงวัยยิ้มเยื้อน ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในครัว

    เด็กสาวรุ่นที่มารับใช้ปราดเข้ามานั่งคุกเข่าเบื้องหน้า ก่อนที่จะเอ่ย “ข้าจะพาแม่หญิงขึ้นไปที่ห้องเจ้าค่ะ”

    “ไม่ต้อง” หัสดายุวราชรับสั่งขัดขึ้นมาทันควัน “ประเดี๋ยวข้าจะพานางขึ้นไปที่ห้องเอง เจ้าไปช่วยแม่นมเถอะ”

    “พะ...เจ้าค่ะ” เด็กสาวค้อมศีรษะต่ำ ก่อนจะคลานเข่าถอยหลัง พอได้ระยะก็ลุกขึ้นเดินออกไป

    “มาเถิด...ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้อง” หัสดายุวราชหันมาทางหญิงสาว ก่อนจะเสด็จนำขึ้นไปที่ชั้นสอง โดยที่มีวรองค์บางดำเนินตามไปเงียบๆ

    เสด็จขึ้นมาถึงชั้นสอง จิตรางคทาจึงได้ทรงเห็นว่าชั้นนี้ก็ตกแต่งอย่างงดงามเช่นกัน ดูจากเครื่องลายครามที่วางประดับอยู่อย่างเหมาะสม แจกันที่มีดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมรวยริน แต่งเติมบรรยากาศให้จรุงใจมากขึ้น  

    วรองค์สูงสง่าก้าวไปหยุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมามองแม่หญิงร่างบางอีกครั้งอย่างเต็มตา

    “คืนนี้เจ้าก็พักเสียที่นี่เถิด พักผ่อนเสีย...พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”

    “เรื่องสำคัญอะไร เกรงว่าพรุ่งนี้ข้าอาจต้องไปแต่เช้า” ดำริว่าจะเร่งเดินทางเข้าเมืองปารัน เพราะจากเมืองวิรุณย์ไปก็เหลือระยะทางค่อนข้างไกล นี่ยังมิรู้เลยว่าราชองค์รักษ์ทั้งสองของพระองค์จะได้ที่พัก เตรียมม้าไว้พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางหรือไม่...

    “เจ้าจะไปไหน” เสียงทุ้มมีแววเครียดเจือปนเล็กน้อย “รีบไปที่ไหนกัน จึงต้องออกเดินทางแต่เช้า”

    จิตรางคทาทรงจ้องมองนัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นนิ่ง ก่อนรับสั่งเรียบๆ “ที่ๆ ข้าจะไป ถึงแม้จะไปทางเดียวกับท่าน แต่คงไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องรู้หรอกกระมัง”

    ทรงหมายถึงว่านี่เป็นเรื่องของพระองค์ เขาอย่ายุ่ง!

    “แต่ข้าก็มีสิทธิถามนี่ เพราะวันนี้ข้าเป็นคนช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของคนพาล หากวันพรุ่งเจ้ากลับพาตัวเข้าไปสู่อันตรายอีกครั้ง เช่นนั้นแล้วข้าจะเปลืองตัวช่วยเจ้าไปเพราะเหตุใด”

    “หากจะทวงบุญคุณก็พูดตรงๆ ก็ได้...ไยต้องอ้อมค้อมเช่นนี้ด้วยเล่า” วรองค์บางแย้มสรวลอ่อนเบา แฝงแววเย้าปนเยาะน้อยๆ “ข้าขอขอบคุณท่านอีกครั้ง บุญคุณครั้งนี้ข้าคงได้ตอบแทนท่านในสักวัน แต่ต้องขออภัยจริงๆ ที่คงมิใช่เร็วๆ นี้...”

    ทรงก้าวเข้าไปในห้องพักที่อีกฝ่ายเปิดประตูไว้รอ ก่อนจะรับสั่งปิดท้าย “หากท่านมีธุระสำคัญจริง แล้วท่านตื่นก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง เราคงมีเวลาพอที่จะคุยกันสั้นๆ ก่อนกล่าวคำอำลา และสำหรับวันนี้...ราตรีสวัสดิ์”

    ก่อนที่วรองค์สูงจะทันรับสั่งแย้ง หัตถ์บางของอีกฝ่ายก็ดันบานประตูงับปิดเรียบร้อย เสียง กริ๊ก เบาๆ บอกให้ทรงทราบว่าประตูอีกด้านถูกลั่นดาลแน่นหนา...

    องค์หัสดายุวราชแย้มพระโอษฐ์กว้าง ไม่มีครั้งไหนที่จะทรงโต้แย้งกับผู้ใดแล้วพ่ายแพ้ เจ้าฟ้ารัชทายาทแห่งศัสสวัติเป็นที่เลื่องลือในการเจรจา สมกับที่ได้เป็นตัวแทนเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นอยู่เนืองๆ

    หากแต่วันนี้...กับสตรีธรรมดาผู้หนึ่ง ทรงถูกนางต้อนเสียจนมุม ไม่สิ...นางพูดเอาๆ จนพระองค์รับสั่งไม่ทันต่างหาก แต่เพราะการพูดรวดเร็วของนาง...ทำให้ทรงสังเกตเห็นปฏิภาณทางการทูตที่เป็นเลิศของนางเอง ชั่วระยะเวลาไม่นาน นางสามารถมองออกถึงพระอุปนิสัยพื้นฐานของพระองค์ และโจมตีตรงจุดได้อย่างรวดเร็ว

    ไม่มีสตรีนางใด หรือใครคนไหนก็ตาม ที่กล้าบอกว่าทรง ทวงบุญคุณ แต่นางพูด...

    หัสดายุวราชหมุนพระวรกายกลับไปอีกทาง ก่อนจะเสด็จไปยังห้องบรรทมที่พระนมได้จัดเตรียมไว้ให้ ด้วยพระหทัยเบิกบาน...อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน...


    จิตรางคทาแย้มพระโอษฐ์เพียงลำพัง...

    ไม่เคยมีชายคนใดแสดงกิริยาต่อพระองค์เช่นนี้มาก่อน...ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีใครเคยกล้าต่างหาก!

    ทรงรู้ดี...ความจริงแล้วที่เขาต้องการให้พระองค์อยู่ต่อ เพียงเพื่อจะให้พระองค์หลุดพิรุธออกมา ว่าจริงๆ แล้ว...แม่หญิงจิตรา ผู้นี้มิได้เป็นคนต่างถิ่น หากยังเป็นคนต่างแคว้นเสียด้วยซ้ำ...

    แต่ที่ทรงยอมตามเขามาพักที่บ้านหลังนี้ ประการแรกเป็นเพราะว่าไม่อยากมีเรื่องกับบุตรชายของเจ้าเมือง ตามที่ทรงประจักษ์ด้วยเนตรแล้ว ยังมีเรื่องราวที่ได้ยินจากผู้อื่นอีก ล้วนแล้วแต่กล่าวถึงอินทยุทธ์ในแง่ไม่ดีทั้งนั้น

    จิตรางคทาทรงไม่อยากมีเรื่องอื้อฉาวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทรงรู้ว่าในเมืองนี้มีสายของเขมทัตอยู่แน่แท้ ก็อย่างที่ทรงเจอในหอคณิกาอย่างไรเล่า ในเมื่อไม่รู้ว่าสายจะมีจำนวนเท่าใด หากทรงพักในที่พักแรม แล้วเกิดมีเรื่องมีราวขึ้นมา การเดินทางในครั้งนี้ของพระองค์คงเสียเปล่า รังแต่จะให้ฝ่ายศัตรูรู้ตัว ดังนั้นระวังองค์ไว้ก่อนจึงเป็นการดียิ่ง

    วรองค์บางลุกขึ้นยืน ก่อนจะดำเนินไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง รับลมเย็นและแสงจันทราให้อาบไล้ดวงพักตร์งามพิลาศ หัตถ์เรียวเสลายกตะเกียงที่ถือมาด้วยขึ้นสูง ก่อนที่จะทรงไขไส้ตะเกียงเพื่อเพิ่มความสว่างเป็นจังหวะ...

    จังหวะยาว...ไขไส้ตะเกียงขึ้นทิ้งไว้นานก่อนลดไส้ตะเกียงเป็นการลดแสงสว่าง จังหวะสั้นก็แค่ไขไส้ตะเกียงขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ ทรงทำติดกันเป็นจังหวะ ยาว...ยาว...สั้น...ยาว...

    รหัสแสง...เป็นสัญญาณบอกว่าพระองค์ประทับอยู่ตรงนี้ และยังไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ!

    ครู่ต่อมา ทั่วบริเวณก็ได้ยินเสียงหวีดแหลมคล้ายกับแมลงกลางคืนเป็นจังหวะสั้นๆ ติดกันสามครั้ง ก่อนจะเงียบหายไปพร้อมกับแสงสว่างวาบหนึ่งที่ดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    จิตรางคทายกหัตถ์ขึ้นโบกส่งไปในความมืดตรงที่มีแสงสว่างผุดขึ้นเมื่อครู่อย่างล้อเลียน ก่อนจะสรวลเบาๆ

    ที่ไม่กังวลว่าราชองครักษ์ทั้งสองจะไปไหน ก็เพราะว่าให้อย่างไร...ทั้งคู่ก็ต้องตามพระองค์จนเจอนั่นแหละ ถึงแม้จะต้องนอนใต้พุ่มไม้คืนนี้ก็เถอะ!






    มาลงตอนใหม่ให้แล้วค่ะ ^^ หลังจากห่างหายไปนานมากกกกกกก...

    ส้มรีไรท์เรื่องใหม่แล้วนะคะ ลองอ่านดูก่อนเน้อ เพราะว่ามันจะค่อนข้างแตกต่างจากอันเก่าอยู่นะคะ ต้องอ่านใหม่ไม่อย่างนั้นระวังอ่านไม่รู้เรื่องกันนะคะ เปลี่ยนตั้งแต่บทที่ 1 เลยล่ะ

    อย่างหนึ่งที่บอกได้คือเปลี่ยนชื่อพระเอกค่ะ ตอนแรกชื่อวินธัย แต่โดนทักท้วงมามากมาย เลยเปลี่ยนเป็น วิชยุตม์ ชื่อนี้แปลว่า ผู้ชนะ ค่ะ ^^

    อย่างที่สองคือชื่อแคว้นและชื่อราชวงศ์นางเอก แคว้นชื่อ ปัทมรัฐ (แคว้นแห่งปัทมา : ดอกบัว หรือทับทิมก็ได้ค่ะ) ส่วนชื่อราชวงศ์คือ ราชวงศ์ปัทมราช นะคะ

    ช่วงนี้ใช้ IE ในการอัพไม่ได้อ่ะค่ะ (มันเจ๊ง) ได้แต่ใช้ chroom แล้วมันก็ออกมาแปลกๆ ถ้าเจอปัญหาในการอ่านก็บอกนะคะ จะได้แก้ไข (เมื่อ IE ดีแล้ว) ให้ได้ ^^

    รักคนอ่านทุกคนนะคะ อย่าเพิ่งลืมกันล่ะ

    ปณัชญา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×