ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    STRAY! สายพันธุ์อันตราย

    ลำดับตอนที่ #2 : GENE01 - คำคืนแห่งจุดเริ่มต้น (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 58


    STRAY สายพันธุ์อันตราย

    GENE01  
    ค่ำคืนแห่งจุดเริ่มต้น

    Part: 2/2

     

     

    ผมเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูบ้าน 

                พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่ม ในขณะที่น้องชายของผมยังไม่กลับบ้าน

                จินกลับบ้านช้าขึ้นทุกวัน แถมตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายมาก็มีเรื่องไม่หยุด ถึงพ่อกับแม่จะบอกว่าเป็นเพราะวัยต่อต้าน แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

                 “ฟาร์จ๊ะ ข้าวเสร็จแล้วลูก” เสียงตะโกนดังขึ้นจากในครัวยิ่งทำให้ผมกระวนกระวายมากขึ้นไปอีก เพราะถึงจะดึก แต่จินก็จะกลับบ้านมาให้ทันอาหารเย็นเสมอ

                “ผมจะรอจินครับแม่” ผมตอบกลับ

                “พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอลูก รีบกินข้าวอาบน้ำแล้วนอนดีกว่านะ เดี๋ยวแม่จะรอน้องเอง” แม่เดินออกมาจากห้องครัว ก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ จริงอยู่ว่าพรุ่งนี้ผมมีเข้าแล็บในมหาวิทยาลัยตั้งแต่ตอนเช้า แต่ถ้าจินยังไม่กลับมา ผมก็นอนไม่หลับหรอก

                “ไม่เป็นไรครับ ผมรอเอง”

                 พอได้ยินอย่างนั้น แม่ก็ถอนหายใจก่อนจะส่งยิ้มให้

                “เข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังติดน้องไม่เลิกอีกนะเรา ไม่ยอมนอนหอ กลับบ้านทุกวัน จินก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่ากังวลมากไปหน่อยเลย” คราวนี้ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวนิดๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซะด้วยที่ผมถูกว่าๆ ติดน้อง

    ตะแต่ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย! ผมแค่ทำหน้าที่พี่ที่ดีต่างหากล่ะ!

    “ไม่กังวลไม่ได้หรอกครับ ผมรู้จักจินดี

                แกร็ก

                เสียงประตูหน้าบ้านทำให้ผมเด้งตัวขึ้นจากโซฟา ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวไปที่ประตูบ้าน

                “จิน!

                แต่คนที่เปิดประตูเข้ามา กลับไม่ใช่คนที่ผมเรียกชื่อ ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มรับ

                “สวัสดีครับ พ่อ”

                “กลับมาแล้ว”

                วันนี้พ่อกลับไวกว่าปกติ ผมรีบช่วยถือกระเป๋าที่มือของพ่อ ก่อนที่แม่จะออกมากอดต้อนรับ พร้อมกับช่วยถอดโค้ทออก

                “ว่าไงลูกชาย ผิดหวังไหมที่เป็นพ่อ” พ่อพูดขณะที่เดินนำไปห้องนั่งเล่น

                “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” ผมรีบส่ายหัว ก่อนจะยิ้มขมขื่น

                “วันนี้ก็กลับบ้านอีกแล้วเรอะ วัยอย่างแกนี่ไม่ใช่เวลามานั่งเฝ้าน้องชายหรอกนะ ออกไปหาสาวแล้วเมากลับบ้านบ้างสิ ฮ่าๆๆๆ” พูดจบ  พ่อก็ระเบิดหัวเราะซะดังลั่น แต่ไม่ทันไรแม่ก็ปรามเข้าให้เสียก่อน

                “คุณนี่ล่ะก็! ไปพูดอะไรกับลูกแบบนั้น!” ผมหัวเราะตาม เสียงชุลมุนเล็กๆ  เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่นของบ้าน ซึ่งก็เป็นกิจวัตรที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

                ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไม่มีเพื่อนหรือไม่ชอบชีวิตมหาวิทยาลัย เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ความสุขที่ผมได้รับจากครอบครัวในทุกๆ วัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

                แล้วผมก็ยังมีอีกคนที่อดห่วงไม่ได้

                แกร็ก

                “กลับมาแล้ว”

                เสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมถลาออกไปที่ประตูบ้านทันที ประตูเปิดออก พร้อมกับภาพน้องชายของผมที่อยู่ในสภาพชุดนักเรียนขาดเป็นทาง ผมสีดำยุ่งเหยิง และมีบาดแผลเต็มตัว

                ในเวลาเดียวกันกับที่ความกังวลใจสลายตัวลง ผมรู้สึกถึงความโกรธที่เข้ามาแทนที่

                แผลพวกนั้นอีกแล้วงั้นเหรอ

                “นายไปอยู่ที่ไหนมา!!

                เมื่อได้ยินเสียงตะโกน พ่อกับแม่รีบออกมาจากห้องนั่งเล่น สีหน้าของทั้งคู่ดูตกใจ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

                ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ผมขึ้นเสียงใส่คนอื่นแบบนี้ 

                “” แต่จินกลับมีสีหน้านิ่งสงบ เขาหลบตาก่อนจะถอดรองเท้าออกแล้วเดินผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                “จิน! ฉันถามว่านายไปอยู่ที่ไหนมา! แล้วรอยแผลนั่นมันคืออะไร!” ผมรั้งแขนน้องชายเอาไว้ พร้อมกับเค้นเสียง

    จินตวัดมือของผมออกอย่างแรง แล้วตอบกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน

                “จะไปไหน จะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน! อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กประถมได้ไหม!” ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่แขน และเมื่อยกขึ้นมาดู ก็พบว่ามีรอยข่วนสีแดงที่ท้องแขน

                จินชะงักกึก ดวงตาสีดำของเขามองดูที่แขนของผมครู่หนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะหันไปหาพ่อกับแม่

                “วันนี้ผมไม่กินข้าว ขอผมอยู่คนเดียว”

    พูดจบ จินก็เดินขึ้นไปบนห้องของตัวเองโดยไม่หันกลับมาฟังคำตอบใดๆ

     

    ก๊อกๆ

    “จิน” ผมเรียก  แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา

    จินจะยังโกรธที่ผมตวาดใส่อยู่ไหมนะผมนี่มันแย่จริงๆ เลย ตวาดใส่น้องแบบนั้นได้ยังไงกันนะ!

    ผมรู้สึกกังวลมาก แค่คิดว่าน้องชายได้กินข้าวหรือยัง แผลพวกนั้นสาหัสแค่ไหน  ก็ทนกินข้าวอย่างสบายใจไม่ได้

     “ฉันจะเข้าไปนะ” ผมพูดอีกครั้ง แต่คราวนี้ จินตอบกลับมาจากประตูอีกฟากด้วยเสียงแข็งกร้าว

    “ไม่”

    “ถึงนายห้าม ฉันก็จะเข้าไปอยู่ดี” ว่าแล้วผมก็ใช้กุญแจในมือเปิดประตูห้องของจิน ดีจริงๆ ที่ผมทำกุญแจสำรองห้องของเขาเอาไว้ จะได้ใช้ในเวลาแบบนี้

    จินนอนอยู่บนเตียงโดยใช้หนังสือคณิตศาสตร์ทับใบหน้าเอาไว้ เขาพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ออกปากว่าอะไร

    ผมวางถาดอาหารเย็นลงบนโต๊ะหนังสือในห้อง แล้วหยิบแต่กล่องพยาบาลเดินตรงไปนั่งที่เตียงของจิน ในตอนที่จินไม่รู้ตัว ผมใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผลที่กรีดเป็นทางยาวบนแขนของเขา

    “โอ้ย! นี่นายทำบ้าอะไร!” จินดูตกใจมาก เขาเด้งตัวขึ้นนั่ง พร้อมกับชักแขนออกจากมือผมอย่างรวดเร็ว

    มันเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่จินเริ่มไม่ยอมให้ผมแตะต้องตัว ทั้งๆ ที่ตอนเด็กๆ ผมจะกอดจะรัดอย่างไรก็ไม่เคยว่า แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะวัยที่โตขึ้นด้วยเช่นกัน ถึงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่พี่ที่ดีก็ต้องเข้าใจน้องสินะ

    “ก็เห็นอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำแผลให้นายไง” ผมยกสำลีในมือขึ้นพร้อมกับยิ้ม พยายามจะคว้าแขนน้องชายกลับมา แต่จินชักแขนหลบได้ทั้งหมด

    “อย่ายุ่งน่า เดี๋ยวมันก็หายเอง นายก็รู้ไม่ใช่หรือไง” ผมชะงัก หุบรอยยิ้มลง

    จริงอยู่ที่ว่า สำหรับยีนของจินแล้ว แผลสามารถหายได้เองในเวลาไม่กี่วันด้วยเวลาอันน่าทึ่ง ผมรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้น

     “แต่ฉันไม่อยากเห็นนายมีแผล แผลหายไม่ได้แปลว่าตอนนี้นายไม่เจ็บ” ผมพูดขณะที่มองน้องชายอย่างจริงจัง ในที่สุด จินก็ยังไหล่ก่อนจะคว้าอุปกรณ์ทำแผลในมือของผมไป

    “ก็ได้ อยากให้ทำแผลมากใช่ไหม ฉันทำเองได้” เมื่อเห็นดังนั้น ผมก็อมยิ้ม ก่อนจะใช้มือลูบหัวน้องชายเบาๆ แต่จินก็สะบัดหัวหนีอีกตามเคย

    ผมนั่งมองจินทำแผลอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น

    “ฉันโทรไปถามอาจารย์ฟิลด์ที่ประจำชั้นนายมา นายมีเรื่องทะเลาะกับรุ่นพี่อีกแล้วใช่ไหม” มือของจินที่ทำแผลอยู่หยุดชะงัก เขาไม่ได้ตอบอะไร ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันก็คือคำตอบว่า ใช่นั่นเอง  

     “จิน ฉันรู้ว่านายไม่ใช่เด็กอีกแล้ว แต่” ผมมองน้องชายพร้อมกับพูด แต่เป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ เสียงของผมถึงได้สั่น ผมหายใจเข้าก่อนจะพูดต่อ

    “ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นายถึงได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เข้ามัธยม นายถูกรังแกงั้นเหรอ หรือว่านายอยากจะย้ายโรงเรียน? ทั้งพ่อทั้งแม่ก็เป็นห่วง ฉันเองก็เป็นห่วง ถ้านายมีอะไร พูดมันออกมาเถอะนะ เราจะได้หาทางออกด้วยกัน”  ผมจับไหล่ของจิน แต่ไม่นานก็ถูกปัดออกตามเคย แต่คราวนี้ผมรู้สึกถึงความขมขื่นในใจที่แทบจะระเบิดออกมา ผมก้มหน้า ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาด้วยเสียงเบา

    “เชื่อใจพี่ชายนายนะ จิน” จินเงียบไปสักพัก นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก แต่ไม่ช้า เขาก็หันหน้าไปอีกทางแล้วพูดขึ้น ด้วยเสียงแผ่ว

    “นายก็ต้องเชื่อใจฉัน ฟาร์” คำพูดของจินทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมา “นายเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อใจ เป็นคนเดียวที่ฉันจะไม่ทรยศ ไม่หันหลังให้ เพราะฉะนั้นนายเองด้วยเชื่อใจฉัน”

     จินเบือนหน้ากลับมาแล้วใช้ตาสีดำของเขาจ้องผมตรงๆ แล้วพูดต่อ

    “มันไม่มีอะไรทั้งนั้น” ดวงตาที่มองมาของจิน ทำให้ผมนิ่งไปสักครู่ ผมถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้น้องชาย

    “ฉันเชื่อใจนาย”

     ไม่ใช่คำตอบที่ยากเลยสำหรับพี่ชายอย่างผม ไม่มีทางที่ผมจะไม่เชื่อน้องชาย

    เมื่อบรรยากาศเงียบสนิท ผมทำลายความเงียบด้วยการลุกขึ้นจากเตียงของจิน พร้อมกับพูดด้วยเสียงสดใส 

    “ถ้างั้นฉันไปล่ะ! กินข้าวแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ เร็วๆ นี้นายมีสอบไม่ใช่เหรอ เอาหนังสือคณิตมาโปะหน้าแต่ไม่อ่าน ไม่ทำให้นายสอบได้หรอกนะ” จินทำหน้าบูดรับ มองหนังสือคณิตที่อยู่บนตักของตัวเอง แล้วนอนลงเหมือนเดิม

                ผมใช้มือบิดลูกบิดประตู แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไป ผมหันหลังกลับมายิ้มบางๆ ให้น้องชายที่นอนหันหน้าไปอีกทาง

    “จินฉันขอโทษ เย็นนี้ฉันตวาดใส่นาย ฉันจะไม่ทำอีก” พูดจบผมก็ปิดประตูห้องของจิน ผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ใช้หัวอิงประตูที่เพิ่งปิด แล้วถอนหายใจ

    แผลพวกนั้นไม่ใช่เล่นๆ มันเป็นแผลที่เกิดจากอาวุธ เด็กมัธยมปลายสมัยนี้ต่อยตีกันใช้อาวุธด้วยงั้นเหรอ 

    แล้วอย่างนี้ นายจะให้พี่ชายนายคิดว่า มันจะไม่มีอะไรได้ยังไงกัน จิน?

     

                “ฟาร์ ฟารัลโด!!!

                เสียงเรียกชื่อที่ดังลั่นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เมื่อหันกลับไปหาต้นเสียง ก็พบว่าเพื่อนสนิทกำลังถลึงตาใส่ผมอย่างไม่สบอารมณ์

                “อ้อเกล ขอโทษที มีอะไรเหรอ” ผมยิ้มกลับพร้อมหัวเราะแหะๆ มองเกล ที่วันนี้อยู่ในชุดสีเทาขาดรุ่งริ่งกับเข็มขัดหนามยักษ์ แต่สไตล์การแต่งตัวแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรสำหรับคนอย่างเกล ที่ย้อมผมแดงไปมากกว่าครึ่งแถบ

                “ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ นั่งเหม่อทำหน้าเหมือนโลกจะแตกมาตั้งแต่เมื่อกี้ เรียกก็ไม่ยอมตอบ  เลคเชอร์จบไปตั้งนานแล้วเนี่ย”

                ผมหันกลับไปมองรอบๆ ห้องเลคเชอร์ แทบไม่มีใครอยู่เลยจริงๆ ด้วย ผมรีบเก็บสมุดโน้ตที่ว่างเปล่าใส่กระเป๋า พร้อมกับสะพายขึ้นไหล่

                “ขอโทษที พอคิดอะไรอยู่เพลินๆ”

                “ฮั่นแน่ๆ คิดอะไรอยู่ อย่าให้รู้ว่าคิดเรื่องสาวๆ นะ” ว่าแล้ว เกลก็ตบบ่าพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ได้ยินดังนั้นผมก็หัวเราะผสมโรงด้วย

                จะว่ายังไงดีล่ะ เรื่องที่ผมคิด มันห่างไกลจากคำว่า สาวๆอยู่พอควรเลยทีเดียว

                หลังจากวันนั้น อาทิตย์ที่ผ่านมาจินก็ไม่ได้กลับบ้านช้าอีก แต่ก็มีแผลติดตัวกลับมาทุกวัน ผมเองก็พยายามที่จะไม่ถามอะไรมาก เพราะรู้ว่าจินไม่มีทางยอมตอบ

                เฮ้อนายจะรู้ไหมว่าฉันกังวลแค่ไหน จิน ขอพระเจ้าช่วยอวยพรไม่ให้ผมกระโดดน้ำตายไปก่อนที่จินจะผ่านวัยต่อต้านนี่ไปด้วยเถอะครับ!

                “จะว่าไป ฟาร์ คืนนี้ก็จะถึงคืนโซลทิสแล้วนะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

                เกลเอ่ยขึ้นเตือน ผมพยักหน้ารับ

                บนโลกที่พวกผมอยู่ ทุกๆ ปีจะมีคืนเดือนมืดที่กลางคืนยาวนานที่สุดหนึ่งครั้งเรียกว่า คืนโซลทิส

    ในคืนนั้นเอง หมู่สัตว์ในสวนสัตว์ และสัตว์ที่ถูกเพาะเลี้ยง จะถูกปล่อยเป็นอิสระกลับสู่ป่า ตามข้อสัญญาที่มนุษย์ได้ให้ไว้กับเบื้องบนในวันแห่งคำพิพากษา เนื่องจากจะมีการขนย้ายสัตว์เกิดขึ้นภายในเมือง จึงมีคำสั่งเตือนไม่ให้ประชาชนออกนอกที่พักเพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น จนทำให้เกิดเป็นตำนานต่างๆ นาๆ ว่าคืนวันโซลทิสก็เปรียบเสมือนวันปลดปล่อยวิญญาณร้าย หากไม่อยู่ที่บ้านก็จะพบกับโชคร้ายได้

                “ปีนี้ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงจะดี สาบานได้เลยว่าฉันจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น” พูดจบเกลก็ทำท่าขนลุก

                “ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น” ผมพูดก่อนจะเอ่ยความคิดของตัวเอง “ถึงฉันจะไม่เห็นว่าพวกสัตว์จะมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องโชคร้ายอย่างที่เขาว่ากันก็เถอะนะ”

                “แต่พวกสัตว์ก็ดุร้ายขึ้นทุกปี ปีที่แล้วฉันได้ยินว่าเสือดำสามสี่ตัวเกือบจะหลุดออกมาได้ล่ะ โชคดีที่สุดท้ายก็โดนผู้ดูแลฆ่าตายไปก่อน”

                “ฆ่าเลยงั้นเหรอ” ผมทวนคำอย่างตกใจ พร้อมกับแสดงสีหน้าเศร้าออกมาอย่างไม่สามารถปิดบังได้

                ทุกวันนี้ บทโลกแทบไม่เหลือผืนป่า ไม่ต้องพูดถึงสัตว์ที่ถูกกวาดล้างไปเมื่อวันแห่งคำพิพากษา ครั้งก่อน แน่นอนว่ามีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หลายพันธุ์ชนิดต้องสูญพันธุ์ แต่ถึงจะเหลือน้อยขนาดนี้ พวกสัตว์ก็ยังต้องถูกทำร้าย และไม่ได้มีใครให้ความสำคัญเลยสักนิด

                ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรได้อย่างไร ในเมื่อน้องชายของผมจินเองก็

                “อะไรกัน ท่านนักบวชฟาร์ อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพียงแค่เพราะเสือตายไม่กี่ตัวสิ ฮ่าๆๆ”

                เกลพูดก่อนจะตบไหล่ผมป้าบๆ ผมเองก็ได้แต่ฝืนยิ้มรับ และปล่อยให้เกลพูดเปิดประเด็นพูดเรื่องอื่นต่อไปจนถึงโรงอาหาร

                ช่วงตอนบ่าย ผมก็ยังไปเรียนนอกภาคสนามด้วยสภาพที่รู้สึกเหมือนไปแต่ตัวเหมือนตอนเช้า สาขาสัตววิทยา เป็นสาขาที่มีนักศึกษาเรียนไม่กี่คน รวมๆ ผมกับเพื่อนในชั้นก็มีเพียงแค่สิบคนเท่านั้น แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อสัตว์ที่อยู่บนโลกใบนี้น้อยลงทุกทีๆ อีกไม่นานคนที่จบสาขานี้ก็คงจะต้องเดินเตะฝุ่น ตกงานกันเป็นทิวแถว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรักที่จะเรียนในสาขานี้

                เพราะนั่นอาจจะทำให้ผมเข้าใจจินมากขึ้น ก็เป็นได้

                ระหว่างทางกลับบ้านตอนเย็น ผมแวะซื้อของตามที่แม่สั่ง ในเมืองตอนเย็นดูคึกคักไปด้วยผู้คน ตึกเหล็กมากมายรายล้อมอยู่ในตัวเมือง ข้างทางมีเครื่องผลิตออกซิเจนที่ทำหน้าที่แทนต้นไม้ทั้งหลายวางเป็นจุดๆ ตามทาง ไม่มีเสียงนก ไม่มีสัตว์เลี้ยงบนถนน มีแต่รถรา และมนุษย์เท่านั้นที่เดินอยู่ ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่บนถนนทางประจำที่ใช้กลับบ้าน เสียงหนึ่งที่ดังจากซอกตึกสูงก็ดึงความสนใจผมได้ชะงัก

                “อ๊าก!!! ปล่อยปล่อยฉันไป”

                ผมก้าวถอยหลังเพื่อตามมาต้นเสียงทันที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าระหว่างซอกตึกที่มืดและสกปรก มีกลุ่มชายในชุดสีขาวทีใส่หน้ากากสีเงิน ด้านหลังของพวกเขามีอาวุธหลากชนิดพาดอยู่ และที่สำคัญ บนหน้าอกมีเลขแปดตะแคงคล้ายเครื่องหมายอินฟินิตีปักอยู่

                นั่นเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าพวกเขาเหล่านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาล

                ส่วนสุดมุมตึก คือเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไหม้อายุไม่น่าจะเกินสิบห้าปี มีหน้าตามอมแมมและสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น กำลังถูกใช้กลุ่มชายชุดสีขาวพวกนั้นซ้อมอย่างหนัก

                “อ๊าก! ได้โปรดฉันยอมแล้ว! ยอมแล้ว!” เด็กชายคนนั้นตะโกนขอชีวิต ภาพที่ผมไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป ผมทิ้งของในมือลงก่อนจะวิ่งฝ่ากลุ่มชายชุดขาวนั้นไปโดยสัญชาตญาณ

                “หยุดนะ!

                ผมยืนขวางเด็กชายคนนั้นไว้ไม่ให้ถูกทำร้าย เห็นดังนั้น อีกฝ่ายจึงหยุดชะงัก ขณะที่ผมค่อยๆ ประคองร่างของเด็กชายที่เนื้อตัวสะบักสะบอมขึ้นมา

                ตามตัวของเขามีแผลฟกช้ำตามตัวมากมาย ผมเผ้าสีน้ำตาลไหม้ยุ่งเหยิง แถมยังมีร่องรอยของโรคขาดสารอาหาร

    ที่สำคัญ เด็กคนนี้มีกลิ่นอายบางอย่างที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

                มันคือกลิ่นอายที่คล้ายกับจินนั่นเอง

                “พวกคุณคิดจะทำอะไร!” ผมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นในอก

                “พี่พี่ชาย ช่วยช่วยด้วย” เด็กคนที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาข้างที่เกือบจะปิดไปแล้วของเขามีน้ำตาคลอ ผมพยายามฝืนรอยยิ้มให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าในใจจะกำลังร้องไห้ พร้อมกับตอบกลับเบาๆ “ไม่เป็นไรแล้วนะไม่เป็นไรแล้ว”

                “พวกเราคือ PX-7 หน่วยกวาดล้างที่เจ็ดของรัฐบาล เด็กคนนั้นมีความผิด ต้องจับไปโดยด่วน”

                เสียงแข็งกร้าวจากหนึ่งในชายชุดขาวของรัฐบาลดังขึ้น แต่ผมกลับกอดเด็กชายในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ก่อนจะตะคอกด้วยความโมโห

                “นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกคุณสามารถทำอะไรเขาก็ได้ หรือคุณสามารถซ้อมเขาจนปางตายขนาดนี้ได้!”

              ผัวะ!

                รอยเท้าหนักๆ เตะเข้าที่ใบหน้าของผมอย่างจัง ผมรู้สึกว่าใบหน้าชาไปครึ่งซีก และไม่นานกลิ่นเลือดก็ลอยมาติดจมูก

                “ถอยไปซะ เด็กหนุ่ม หากไม่ถอยไปจะมีความผิด ถือว่าต่อต้านคำสั่งรัฐบาล”

                 ผมค่อยๆ วางเด็กชายในมือลง พร้อมกับลุกขึ้นประจันหน้ากลุ่มชายชุดขาวอย่างไม่เกรงกลัว ผมไม่รู้เบื้องหลังว่าเด็กคนนี้ไปทำผิดอะไรมา แต่การที่เด็กอายุน้อยขนาดนี้ต้องถูกซ้อมขนาดนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นรัฐบาลหรือเทวทูต สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ผมไม่อาจยอมรับการกระทำนี้ได้

                ท่าทีของกลุ่มชายชุดขาวเปลี่ยนไปทันทีเมื่อผมลุกยืนขึ้น และตั้งการ์ดต่อสู้

                ทันทีที่ชายคนหนึ่งเริ่มปล่อยหมัด ผมเอี้ยวตัวหลบได้ทัน ก่อนจะเหวี่ยงร่างของเขาลงกับพื้น ฉับพลันนั้นเองผมก็ใช้ขาถีบชายอีกคนข้างหลัง แล้วรีบหันกลับไปเพื่อป้องกันการโจมตีของอีกคนหนึ่ง การปะทะกันเกิดขึ้น ยังโชคดีที่ผมพอมีทักษะด้านการต่อสู้บ้าง จึงสามารถสู้ตัวเปล่าได้ แต่ทั้งห้าคนมีอาวุธ

                ปัง!

                และสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บริเวณต้นขา เลือดสีแดงพุ่งทะลักออกมาจากบาดแผลที่มีลูกกระสุนฝังอยู่ แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้ผมต้องล้มลงนั่ง และจังหวะนั้นเอง ที่กลุ่มชายทั้งห้าเดินเข้ามาใกล้ ผมใช้ตัวบังเด็กชายที่เกือบจะหมดสติตรงนั้น แต่นั่นก็ทำให้ผมถูกเตะอัดเข้าที่ท้องอย่างจัง ก่อนจะถูกต่อยและเตะอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ผมใช้ความพยายามอย่างมากสุดที่จะไม่ขยับออกจากที่ๆ บังเด็กชายเอาไว้ แต่ไม่นาน ท่าทีของกลุ่มชายชุดขาวก็เปลี่ยนไปอีก เขาถอยออกห่างก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยขึ้น

                สายตาต่อต้านต้องกำจัด”

                พวกเขาหยิบอาวุธปืนขึ้นมาจากสายคาดเอว แล้วเล็งมาที่ผมพร้อมกัน ผมมองไปยังกระบอกปืนนั้นอย่างไม่คิดกลัว แม้จะรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งร่าง แต่ผมก็ยังใช้มือบังเด็กชายที่อยู่ด้านหลังเอาไว้

                พระเจ้าผมยังเหลือทางออกอยู่ไหมครับ?

                ผมหลับตาแน่น แต่ทันใดนั้นเอง

              ฉัวะ!!!

                ร่างของชายชุดขาวที่อยู่ตรงกลางก็ล้มลงเนื่องจากมีวัตถุแหลมคมบางอย่างแทงจนทะลุอก ผมรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองกำลังหล่นวูบ เมื่อมองวัตถุที่ใช้สังหารชายชุดขาวคนเมื่อครู่ชัดๆ

                มันคือกงเล็บยาวที่คมราวกับดาบ กงเล็บที่ผมรู้จักดีที่สุด

    กงเล็บนั่นที่เคยเกือบฆ่าผมตายเมื่อตอนเด็กๆ

                ดวงตาสีเหลืองราวกับพระจันทร์ปะทุไปด้วยแรงโทสะ ผมสีดำสนิท และกงเล็บที่โบกสังหารกลุ่มชายห้าคนตรงหน้าอย่างไม่มีความลังเล ชุดสีขาวของพวกเขาถูกย้อมไปด้วยสีแดง เช่นเดียวกับชุดนักเรียนมัธยมปลายที่เปื้อนเลือด

                จิน ฟารัลโดน้องชายของผม

                ผมรู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถขยับไปไหนได้ หัวสมองมึนตื้อไปหมดกับภาพที่เห็นตรงหน้า กลิ่นเลือดคาวคลุ้งปะทะจมูกไม่หยุด ขณะที่เสียงกงเล็บตวัดเข้าเนื้อดังไม่ขาดสาย มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นช่วงๆ แต่ในไม่ช้า ทุกอย่างก็สงบลงพร้อมกับร่างของชายชุดขาวที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น มีกระแสไฟฟ้าช็อตจากรอบตัวของพวกเขา ราวกับสายไฟถูกตัด และนั่นทำให้ผมมั่นใจว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ดัดแปลง  

                ในตอนนี้ เหลือแต่เพียง น้องชายของผม ที่ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ดวงตาสีเหลืองของเขาไร้แววราวกับถูกความมืดครอบงำ

                “พวกแกไอ้สวะ กล้าดียังไงมาทำร้ายฟาร์ ทำร้ายคนของฉัน!!!”

                แม้ว่าชายที่นอนอยู่บนพื้นจะไร้ลมหายใจ เขาก็ยังคงแทงกงเล็บลงไปราวกับต้องการให้ร่างนั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่สติของผมเริ่มกลับคืนมาผมก็รู้สึกเจ็บข้างในอกราวกับมีใครกำลังเอามีดเฉือน

                จินคนนั้นจินที่ถึงจะดื้อรั้น แต่ก็จิตใจอ่อนโยนกว่าใครๆ คนนั้น…  

                “จิน พอแล้ว จิน!!!” ผมพุ่งเข้ากอดร่างของน้องชายที่ตัวเล็กกว่า ร่างข้างในอ้อมแขนของผมชะงัก ราวกับเขาได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง กงเล็บที่เปือดเลือดสีแดงฉานถูกเก็บ และดวงตาสีเหลืองก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำเช่นเดิม จินผละตัวออกจากผม โดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง

                “จินทำไม” ผมได้แต่ถามเสียงสั่น  รู้สึกว่ามีคำพูดมากมายไหลออกมาในหัวจนผมแทบจะกลั่นกรองออกมาไม่ทัน

                “ขอโทษ

                นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต ที่ผมได้ยินเสียงของจินกำลังสั่น

                ผมลากขาที่เจ็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกให้ยืนขึ้น แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ จินยืนลังเลอยู่เพียงครู่ ก่อนที่จะพุ่งเข้ากอดผม

                ผมรู้สึกสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกถึงน้ำที่หยดกระทบไหล่ของผมและตัวเย็นเฉียบของจินที่กำลังสั่น

                นั่นเป็นสัมผัสสุดท้าย ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงความเจ็บแปล็บที่ต้นคอด้านหลัง และภาพทั้งหมดก็พร่าเลือนลง

              “ลาก่อน ฟาร์”

     

              ผมลืมตาขึ้นช้าๆ มองภาพรอบตัวที่เป็นห้องสีขาว

    ที่นี่คือที่ไหนโรงพยาบาล?  

                “ฟาร์ ลูกฟื้นแล้ว!” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจ ผมค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้น รู้สึกถึงความปวดไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะขาข้างซ้าย

                “แม่” ผมเรียกเบาๆ เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยของแม่ แต่แล้วภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็แทรกเขามาในหัวของผม ผมเบิกตากว้างก่อนจะเขย่าตัวแม่อย่างแรง

                “แม่ครับ!!! แล้วจินจินอยู่ที่ไหน!?” ผมถามด้วยเสียงดัง แม่มีสีหน้าแย่ลงทันที ก่อนจะส่ายหัวช้าๆ เป็นคำตอบ

                พอเห็นอย่างนั้น ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหยุดเต้น ในหัวว่างเปล่า ผมกระโจนลงจากเตียงด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่เมื่อขาสัมผัสพื้น ผมก็แทบจะทรุดตัวลงทันที

                “ไม่ได้นะ ฟาร์! ตอนนี้เป็นคืนโซลทิส ลูกออกไปไหนไม่ได้”

                “ปล่อยผม! ผมไม่สนใจ!

                ผมตะเกียกตะกาย พยายามลุกยืนขึ้น ขณะที่แม่กอดผมจากด้านหลัง พยายามรั้งตัวผมเอาไว้ ถึงแม้ว่าขาจะเจ็บจนแทบลุกไม่ขึ้น ผมก็รู้สึกเพียงว่าผมต้องไป ผมต้องไปหาน้องชายของผม

              “ลาก่อน ฟาร์”

                นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน

                โฮก!

              กรี๊ด!

                เสียงที่ดังมาจากหน้าต่างโรงพยาบาล ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง มันเป็นเสียงคำรามของสัตว์ที่ดังลั่น เสียงที่ผมไม่เคยได้ยินในเมืองแห่งนี้

                “แม่ครับนี่มันเกิดอะไรขึ้นผมสงบลง หันไปหาแม่ที่หน้าซีด ขณะตอบคำถาม

                “พวกสัตว์พวกสัตว์พังกรงขังออกมาได้เกือบหมด ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองกำลังวุ่นวายมาก” ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของพ่อที่ทำงานเป็นตำรวจก็ลอยเข้ามาในหัวของผมแทบจะในทันที  

                “แล้วพ่อ…” แม่มีสีหน้าที่ซีดลงกว่าเก่า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่น

                “อยู่ในเมือง”

                ผมใจหายกับคำตอบที่ได้รับ รู้สึกเคว้งขึ้นในอกอีกครั้ง

    หมายความว่า ตอนนี้ทั้งพ่อ ทั้งจิน ทั้งคู่กำลังอยู่ในเมืองตอนนี้งั้นเหรอ

    ผมกัดฟัน กำหมัดแน่นและทนความเจ็บบนร่างกายเพื่อลุกขึ้นอีกครั้ง ผมถลาไปถึงประตูห้องพยาบาล ในขณะที่แม่และพยาบาลที่อยู่แถวนั้นมาช่วยกันรั้งเอาไว้

                “ปล่อยผม! ผมต้องไปช่วยอึก ทั้งน้องทั้งพ่อ ผมนอนอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม่ครับ!!!”

                “ลูกไปตอนนี้ลูกก็ทำอะไรไม่ได้ ขอร้องล่ะ ฟาร์!!!”

                เพราะความเจ็บปวด และด้วยแรงของคนสี่ห้าคน ทำให้ผมไม่สามารถขัดขืนได้ ถึงแม้ผมจะพยายามเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย

                เสียงสัตว์คำรามดังเข้ามาถึงในตึกของโรงพยาบาล ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยได้ยินเสียงของสัตว์พวกนั้นชัดเจนมากเท่าคืนนี้ เสียงที่ดัง แต่ดูปลอดโปร่ง ราวกับพวกเขาได้รับอิสระอีกครั้งหนึ่งดังไปทั่วบริเวณ

                “ไม่นะ พ่อ!!! จิน!!!”

                วินาทีนี้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองสุดหัวใจ เกลียดที่ตัวเองอ่อนแอ เกลียดที่ไม่สามารถปกป้องคนที่รักได้

                พยาบาลคนหนึ่งปักเข็มฉีดยาลงที่แขนของผม หนังตาของผมเริ่มหนักอึ้ง และถึงจะพยายามกัดฟันบอกตัวเองว่าหลับตาไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล

    ผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงมาข้างแก้ม

     

    อะไรกันน้ำตา?

     

    ทำไมนายถึงอ่อนแอขนาดนี้กัน ฟาร์ ฟารัลโด
               

     

     ____________________________________________________________________________________________________________


    สวัสดีนักอ่านเก่า นักอ่านใหม่ที่หลุดหลงมายังโลกของ ฟาร์กับจินทุกคนด้วยนะเจ้าคะ >v< 

    เรื่อง STRAY นี่ ข้าพเจ้าก็แต่งขึ้นเพื่อสนองนี้ดตัวเองโดยเฉพาะ //เอิ่ม แต่ก็พยายามงัดเอาความสามารถด้านการเขียน ที่ว่างเว้นมานานเป็นปีขึ้นมาขัดเกลา ช่วงแรกๆ ภาษาจึงอาจจะยังฝืดๆ ไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าคะ 

    ไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้าหลงเข้ามาแล้ว ก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมอีกเรื่องด้วยนะเจ้าคะ ฮ่าๆๆ เรียกว่าเป็นอีกแนวนึงเลยเจ้าค่ะ 5555 

     


    SANTA cartel พันธมิตรแห่งซานตาคลอส! [ 7 ตอน ] 
    ก็ใครจะไปรู้ว่าซานตาคลอสสมัยนี้จะไม่ได้อ้วนกลม ไม่ได้ขี่กวางเรนเดียร์ ไม่ได้ปีนปล่องไฟ ที่สำคัญมีกันเป็นทีมแถมยังไม่ใช่มนุษย์! - 6 เรื่องสุดท้ายในการประกวด Enterbooks Ep.3 - 
    Type :เรื่องยาว > แฟนตาซี 
    Upd : 15 ก.พ. 58 / 09:46 , Fanclub : 284
    Rating 
    93% 
    View - 6,313
    Comment - 276



    ADD FAV. ->  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×