ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SNSD] You are my dream that comes true. (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7 :: Immoderate

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 54




    Chapter 7 :: Immoderate




             
    ภายใต้ความมืดมิด ภายในลิฟต์ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ  ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงผ่านเลยไปเพียงแค่พักเดียวเท่านั้น  แต่ทว่า..สำหรับความรู้สึกของคนสองคนที่นั่ง กร่อย หลังพิงผนัง กลับรู้สึกว่าเวลานั้นมันช่างโหดร้าย ทารุณและยาวนานเสียเหลือเกิน  เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เจอแต่ความมืดมิด  ครั้นจะให้หันไปมองคนข้างๆก็ออกจะท้าทายจิตใจไปหน่อย  ในเมื่ออารมณ์แต่ละคนไม่ได้อยู่ในสภาวะ พร้อมหยอกล้ออยู่หรือเป็นฝ่ายโดนหยอกล้อสักเท่าไหร่


                หนำซ้ำ อุณภูมิเดือดๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อับๆ ยังพร้อมเป็นตัวจุดอารมณ์ให้คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาได้ดีพอสมควร  โดยเฉพาะกับเจสสิก้า จองที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อถ้ามีอะไรที่ร้ายกาจกว่าในตอนนี้เกิดขึ้นกับชีวิตเธอ


                ผิดกับควอน ยูริ  ไม่เคยมีวันใดที่เธอสามารถทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดเช่นนี้ได้  หลังจากที่เธอนั่งนึกหาประเด็นพูดคุยที่คิดว่าเหมาะสมและปลอดภัยกับชีวิต(?)ที่สุดแล้วได้สำเร็จ  สาวเจ้าก็ไม่ลังเลเลยที่จะพูดออกไป


                “ฉันว่าเรามาหาอะไรแก้เงียบกันดีไหม?  อยู่แบบนี้ฉันอึดอัดน่ะ”


                เจสสิก้าปรายตามองคนชวนคุย  ด้วยสายตาเป็นนัยๆ เวลาแบบนี้เนี่ยนะ?  อากาศแทบจะไม่ระบายให้หายใจได้เต็มปอด ยังคิดจะมาหาอะไรคุย นั่งอยู่เฉยๆแบบเดิมจะมีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่าไหม?


                “คือแบบนี้นะ..เรามาสลับกันพูดเรื่องของตัวเองคนละประโยคกัน  จะเป็นประวัติตื้นลึกหนาบางยังไงก็ได้  เราจะได้รู้จักกันด้วย ไหนๆก็จะมาทำงานร่วมกันแล้ว ... เริ่มจากคุณก่อน..”


                ดูเหมือนยูริจะตีความหมายจากสายตาของเธอพลาดไปมากๆ หรือเพราะมันมืดจนมองไม่เห็นกันนะ


                “จำเป็นด้วยเหรอ ที่ฉันจะต้องเล่นกับคุณ?”


                “จำเป็นสิ ถ้ามันเป็นคำสั่งจากเจ้านายอย่างฉัน”


                ประโยคเดิมๆที่สุดแสนจะน่าหมั่นไส้ ถูกปล่อยออกมาจากปากคนข้างกาย และถึงแม้มันจะมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่เจสสิก้ากลับรู้ว่าร่างสูงกำลังส่งรอยยิ้มกวนๆมาทางเธอ


                ร่างบางสูดลมหายใจร้อนๆเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยปากพูดประโยคแรกออกมา


                “ฉันเป็นลูกครึ่ง เกิดที่เกาหลี แต่มีเหตุจำเป็นต้องย้ายไปอยู่อเมริกากับครอบครัวตั้งแต่ยังเด็กๆ  จนจบชั้นไฮ สคูลถึงจะกลับมาเรียนต่อมหา
    ลัยที่เกาหลี  เพราะว่าช่วงนั้นคุณยายของฉันไม่สบายมาก ฉันจึงต้องบินกลับมาพร้อมกับคุณแม่เพื่อมาดูแลคุณยาย”


                “มิน่าล่ะ  เธอถึงมีอีกชื่อนึงว่าเจสสิก้า .. แล้วตอนนี้เธอก็อยู่กับคุณแม่และคุณยายเหรอ?”


                “อย่าเอาเปรียบกันสิ  ฉันเล่าของฉันไปเกินประโยคนึงแล้วด้วย  ต่อไปตาคุณ” เจสสิก้าดักคอยูริ  ทำเอาร่างสูงพ่นลมออกทางจมูกเสียงดังฟังชัดด้วยความเสียดาย


                “ฉันเองก็เกิดที่เกาหลี แน่นอนอยู่แล้วล่ะ...” สุดท้ายก็ยอมเล่าแต่โดยดี  นิ่งไปสักพักเพื่อสูดลมหายใจ และรำลึกถึงอดีต “...พ่อแม่ของฉันเป็นตำรวจด้วยกันทั้งคู่  มีฉันซึ่งเป็นลูกคนเดียว  งานของพวกท่านเกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลาที่ถูกเรียกตัวเพราะพวกท่านเป็นมือปราบ  แต่ก็ไม่มีเลยสักวันที่ฉันรู้สึกว่าถูกทิ้งอยู่คนเดียว เพราะพวกท่านไม่เคยละเลยฉัน ... จนวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของฉัน ..”


                หยุดพูด สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง  ดวงตาคมเข้มปิดสนิทราวกับไม่ต้องการให้คนข้างๆที่พลอยลุ้นไปกับประโยคทิ้งท้ายนั้น ได้รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร กับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป


                “..พ่อแม่ฉันเสีย”


                “หาา?  ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”


                แต่อารมณ์ลุ้นระทึกของสาวร่างบางจำต้องหยุดชะงักไปดื้อๆเสียอย่างนั้น  เมื่อได้รับรอยยิ้มกวนๆแบบไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้จากยูริ


                “ฉันเล่าจบหนึ่งประโยคแล้ว .. ตาคุณน่ะ”


                เจสสิก้าแบะปากด้วยความเสียดาย ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองต่ออย่างขัดไม่ได้


                “หลังจากที่ย้ายกลับมาอยู่ที่เกาหลีได้ไม่นาน คุณยายฉันก็เสียเหมือนกัน ทำให้คุณแม่ต้องบินกลับไปอเมริกา  แต่ฉันขออยู่เกาหลีต่อเพราะไหนๆก็เรียนที่นี่ไปได้ปีนึงแล้ว ไม่อยากไปๆมาๆ ฉันเลยต้องเช่าคอนโดอยู่คนเดียวที่นี่...เอาล่ะ ตาคุณแล้ว”


                “เฮ้..ขี้โกงนี่นา ทำไมมันถึงได้สั้นนักล่ะ”


                “มันเป็นประโยคแล้วกันหน่า  เร็วเข้าสิ ตาคุณแล้วนะ” เจสสิก้ากระเซ้ายูริเสียจนลืมตัวไปว่าตอนแรกๆ เธออิดออดแค่ไหนที่จะต้องพูดคุยกับร่างสูง


                “ก็ได้ๆ...ก็อย่างที่ฉันบอกไป พ่อแม่ฉันเป็นมือปราบ  วันนั้นเป็นวันเกิดฉันพอดี  พวกเราสามคนกำลังจัดงานวันเกิด แต่แล้วทางการก็โทรมาเรียกตัวพ่อกับแม่ไป มีภารกิจด่วนที่จำเป็นต้องเรียกใช้ตัวพวกท่านในวันหยุดแบบนั้น .. ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่าพ่อบอกให้ฉันนั่งรอ แล้วจะกลับมาหาอีกไม่นาน  ฉันจึงนั่งรอพวกท่านอยู่ในบ้านเพียงคนเดียวกับเค้กวันเกิด..” ยูริหลับตาลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เหตุผลมันสำคัญกว่าครั้งก่อน หลับตาลงเพียงเพื่อไม่ให้น้ำตาใสๆอุ่นๆไหลออกมาให้ใครเห็น  ดั่งเช่นที่เธอเฝ้าอดทนไม่ร้องไห้มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์สูญเสีย


                “แล้วเธอรู้ได้ยังไง ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่าน” ร่างบางเร่งเร้าอย่างลืมตัว ด้วยความที่ไม่อยากให้มันขาดช่วง


                “คุณคิม เจ้านายของพ่อกับแม่มาหาฉันที่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น  ปลุกฉันที่ฟุบหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตรงหน้าเค้ก .. คุณคิมบอกกับฉันว่าพ่อแม่ฉันเสียแล้ว ในระหว่างที่ฉันกำลังร้องไห้ ท่านบอกว่าจะพาฉันไปอยู่ด้วยกัน  เขาจะเลี้ยงดูฉัน  เป็นผู้ปกครองให้ฉัน  แทนพ่อกับแม่ที่จากฉันไป เพราะฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลืออีกแล้ว..”


                น้ำเสียงที่เคยเข้มแข็งและขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาเริ่มสั่นเครือ เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวต้องการกลั้นน้ำตามากแค่ไหน  เจสสิก้าเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ กระชับมันเบาๆราวกับต้องการปลอบใจ


                จากหัวใจที่เคยแข็งกระด้าง พร้อมทั้งย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่มีวันมีมิตรสัมพันธ์ดีๆกับร่างสูงอย่างแน่นอน  แต่ในทางกลับกันกับช่วงเวลานี้หัวใจกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  อาการสงสารและเห็นใจที่ไม่เคยคิดว่าจะมอบให้เขาต่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ  มากเสียจนลืมไปว่าตัวเองเคยมีเรื่องราวโกรธเคืองกับร่างสูงไว้แค่ไหน


                “เธอคงเกลียดวันเกิดของเธอไปเลยสินะ”


                “ใช่..หลังจากนั้นฉันก็เกลียดมันมาก  เลยไม่เคยมีใครกล้าจัดงานวันเกิดให้ฉันอีก  จนทุกวันนี้ฉันยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองอายุเท่าไหร่” พูดจาติดตลก เสียงหัวเราะจอมปลอมดังแผ่วเบาตอบกลับมา หากแต่ร่างบางรู้ทันมันก่อนเสียแล้ว


                แน่สิ..วันเกิดของตัวเองแท้ๆ  ทั้งๆที่เฝ้ารอคอยเวลาที่พ่อแม่จะกลับมาเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันดั่งเช่นทุกๆปี  กลับต้องผิดหวัง  ที่มากไปกว่านั้น คือเมื่อรู้ว่าในขณะที่ตัวเองนั่งรออย่างปลอดภัยภายในบ้าน เฝ้าแอบโกรธเคืองว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่ยอมมาสักที  มันกลับเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของพ่อกับแม่..


                ถ้าเป็นฉัน..ฉันก็คงจะเกลียดวันนั้นเอามากเหมือนกัน  วันที่พรากชีวิตพ่อแม่ไป  วันที่พลิกชะตาชีวิตของเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กกำพร้าโดยไม่ได้ตั้งใจ


              นี่ฉันกำลังเห็นใจเธออยู่ใช่ไหม ควอน ยูริ...


                “แล้วหลังจากนั้น คุณเป็นยังไงต่อเหรอ?” เจสสิก้าเอ่ยปากทำงายความเงียบสงัด  ซึ่งร่างสูงเองก็ดูท่าอยากจะขอบคุณเธออยู่ไม่น้อย  เพราะเขากลัวเหลือเกิน ว่าถ้ารอบๆตัวยังปรากฏความเงียบต่อไป เสียงสะอื้นจากเบื้องลึกที่สุดในหัวใจจะดังออกมาให้คนข้างๆได้ยิน 


                “หลังจากที่ฉันย้ายไปอยู่กับคุณคิม  ที่บ้านนั่นดูแลฉันดีมากๆ  อย่างกับฉันเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของบ้านเลย  ยังดีที่ในบ้านมีฉันมีเพื่อนเป็นลูกสาวๆแท้ๆของคุณคิมอีกสองคน คนโตอายุไล่เลี่ยกับฉัน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนคนเล็กก็คือซอ จูฮยอนเองนั่นแหล่ะ”


                “เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรือ  ตอนแรกที่ฉันเห็นคุณก็นึกว่าคุณคิดจะจีบซอซะอีก ถึงได้ไปรับซอที่มหา
    ลัย  เพราะฉันเองก็จบมาจากที่นั่นล่ะ แต่ไม่เคยเห็นคุณเลย”


                “จูฮยอนไม่อยากให้ใครเห็นนักหรอกว่ามีคนไปรับเธอ  ส่วนใหญ่เธอมักจะนัดให้เราไปรับช้าๆ ช่วงที่ผู้คนเริ่มบางตาลงแล้ว ...”


                เจสสิก้าคิดตาม.. นั่นสินะ ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน หรือในปัจจุบันนี้คือไปรับยุนอา ก็มักจะเห็นซอฮยอนยังคงนั่งนิ่งเฉย หรือไม่ก็เดินไปห้องสมุด ยามเธอกับยุนอากลับบ้านแล้ว  บางครั้งที่เธอไปรับยุนอาช้าก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อยังเห็นว่าซอฮยอนยังไม่กลับบ้านสักที  และบางครั้งอีก ที่เธอชักชวนให้สาวเจ้าขึ้นรถเธอเพราะเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้งไป


                “...เพราะบางวันคนที่ไปรับจูฮยอนก็ไม่ใช่ฉัน  บางวันที่ฉันเกิดติดงานบริษัทขึ้นมา  ดูเหมือนว่าซอจะกลัวโดนเพื่อนๆที่นั่นล้อหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ถึงไม่ค่อยอยากให้คนรู้ว่ามีใครไปรับ .... เฮ้
    ! คุณโกงฉันอีกแล้วนะ หลอกให้เล่าซะเพลินเลยอ่า” ท่าทางของยูริทำเอาเจสสิก้าหลุดขำออกมา


                “คุณเล่าของคุณเองนะ .. อืมม..ฉันคิดว่าเราเลิกเรียกกันว่า คุณๆ ดีกว่า มันดูแปลกๆ เก้อๆ แล้วก็ดูแก่ๆยังไงไม่รู้ด้วย  ชื่อฉันคือเจสสิก้า แต่จะเรียกฉันว่า สิก้า ก็ได้”


                “สิก้าเหรอ..  ส่วนฉันยูริ ถ้าอยากเรียกสั้นๆก็ ยูล ค่ะ” ยูริส่งยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่ไม่แฝงความกวนไว้เลยในรอยยิ้ม


                “ค่ะ ยูล” เจสสิก้าส่งยิ้มกลับ เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน  รอยยิ้มสวยหลอกล่อให้ดวงตาคมจ้องมองเธอด้วยความเผลอไผล


              สวย..ยิ่งยิ้มก็ยิ่งสวย  แต่..
     ไม่ได้นะ ควอน ยูริ เธอคนนี้มีแฟนแล้วนะ


                “ตกลงสิก้าจะไม่เล่าต่อใช่ไหม?  หลอกให้เล่ายาวๆกันนี่นาแบบนี้” ทำแก้มป่องอย่างเอาแต่ใจเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อครู่ จนร่างบางหัวเราะเบาๆในลำคอ


                ..ก็ทำท่าทางเหมือนเด็กๆแบบนี้ มันเข้ากับหน้าตาคมเข้มซะที่ไหนกันเล่า..


                “เล่าสิเล่า ฉันไม่อยากโกงยูลหรอกหน่า ... ก็หลังจากที่ฉันขอคุณแม่อยู่เกาหลีต่อ เหตุผลก็คืออยากเรียนต่อที่นี่ให้จบ แล้วอีกอย่างก็ไม่อยากทิ้งเขาไปด้วย” เจสสิก้าอมยิ้ม


                “ทิ้งเขา?  สิก้าหมายถึง..เด็กที่ชื่อ อิม ยุนอา” เอ่ยถามไปทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว


              เห็นไหมยูริ  ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว  แล้วเธอก็รักเขามากด้วย..


                “อืม ใช่ .. ว่าแต่ยูลรู้ได้ยังไง?”


                “รู้มาจากจูฮยอนน่ะ สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” ตอบคำถามตามความจริง เพราะไม่อยากให้เธอสงสัย


                “อืม..นั่นล่ะ แต่เหตุผลของฉันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ เพราะทันทีที่เรียนจบเพื่อนของฉันสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันบินกลับมาเกาหลีพอดี  ฉันก็เลยดีใจและตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ  ไม่อยากคลาดกันไปอีก”


                “บินกลับมา?  เพื่อนสิก้าคนนั้น เป็นคนเกาหลีแต่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กเหมือนกันเหรอ?” ดีใจที่เปลี่ยนเรื่องมาได้ เพราะถ้าเกิดยังเล่าเรื่องเด็กที่ชื่อ อิม ยุนอา  เธอคงเก็บอาการบางอย่างไม่อยู่เหมือนทุกๆครั้งเป็นแน่


                “ไม่ใช่  เธอเพิ่งย้ายมาตอนช่วงเรียนไฮ สคูลพอดี  แถมท่าทางเธอตอนแรกๆดูเศร้าๆยังไงไม่รู้  เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา  บางทีเธอก็แอบไปร้องไห้เงียบๆโดยไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ  ยังดีที่มีฉันซึ่งเป็นคนเกาหลีเหมือนกันก็เลยพอช่วยเหลือเธอได้บ้าง  ฉันรู้สึกว่าเธอชอบทำตัวซึมเศร้า ไม่เหมาะกับหน้าตาน่ารักๆ แล้วก็ชื่อ ทิฟฟานี่ เลย” เจสสิก้าลูบคางเบาๆอย่างใช้ความคิด นึกถึงเพื่อนสนิทที่สุดของเธอในวัยเรียน  เท่าที่จำความได้ กว่าเธอจะช่วยดึงทิฟฟานี่ออกมาจากโรคซึมเศร้าก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว


                “ทิฟฟานี่เหรอ?  อยากรู้ชื่อเกาหลีจัง”


                “อา..ชื่อนั้นฟานี่ดูหวงเอามากๆ เธอไม่ยอมให้ใครรู้ชื่อเกาหลีเลยนอกจากฉัน  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน  ...  แต่ฉันอยากจะบอกยูลนะ ถือซะว่าไม่อยากปิดบัง อีกอย่างยูลคงไม่รู้จักฟานี่หรอก  เธอมีชื่อว่า มิยอง  ฮวัง มิยอง”


                “หืม.. มิยองเหรอ” ยูริเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงกับชื่อที่เพิ่งได้ยิน


                บังเอิญดีจริงๆ  เมื่อวานเธอก็เพิ่งได้ยินชื่อนี้มาจากแทยอน ชื่อที่ตั้งให้กับคนเจ็บซึ่งเจ้าตัวอาสารับมาดูแลที่คอนโดเอง


                “ใช่ มิยอง .. ว่างๆฉันจะแนะนำฟานี่ให้ยูลรู้จักนะ  อา..แต่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้เจอฟานี่เลย แถมเมื่อวานนี้ทางบ้านฟานี่ยังโทรมาบอกฉันว่าฟานี่หายตัวไปแล้ว  ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ติดต่อก็ไม่ได้”


                “หายตัวไป?  กี่วันเหรอ?  พอจำได้หรือเปล่า?” ยูริยิงคำถามไปโดยไม่รู้ตัว


                “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้  วันสองวันเนี่ยแหละที่ฟานี่หายตัวไปจากบ้าน ถึงตอนนี้ก็ยังคงติดต่อไม่ได้ ... นั่นสินะ ฉันต้องตามหาเพื่อนของฉันนี่” เจสสิก้าก้มหน้ากลุ้มใจ  นั่นสินะ..หลังจากซูยองโทรมาบอกเรื่องทิฟฟานี่ได้ไม่นานก็มีเรื่องให้เธอคิดจนลืมสัญญาที่จะช่วยตามหาตัวเพื่อนไปเลย


                ในระหว่างนั้น ยูริเองก็อดที่จะคิดต่อไปไม่ได้เช่นกัน ...หายตัวไปประมาณสองสามวัน  ช่วงเวลาประมาณเดียวกับผู้หญิงนามว่ามิยอง ของไอ้คุณแทเพื่อนของเธอเจอกับอุบัติเหตุ แต่ถ้าเกิดเป็นคนๆเดียวกันมันก็จะกลายเป็นเรื่องบังเอิญแสนน้ำเน่าเกินไปแล้วนะ คงไม่ใช่หรอก


                เพราะชื่อมิยอง  ก็เป็นชื่อที่แทยอนตั้งให้สาวเจ้าเอง .. ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับทิฟฟานี่เลย


              พรึ่บ
    !?


                พลันไฟฟ้ากลับมาสว่างทั่วห้องอีกครั้ง เรียกเสียงดีใจจากร่างบางไปไม่น้อย  อ้อมแขนเรียวโอบรอบไหล่บางของเขาเข้าไปกอดด้วยความดีใจจนลืมตัว


                “ไชโย
    ! ไฟติดแล้วยูล เรารอดแล้ว”


                “อะ..อืม”


                ร่างสูงลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดดึงของอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้ว  ใบหน้าร้อนผ่าวเมินหนีเธอ เพราะกลัวว่าแสงสว่างจากแสงไฟที่เพิ่งได้รับจะทำให้เธอเห็นว่ามันมีสีแดงระเรื่อหลังจากที่โดนกอดแบบไม่ทันตั้งตัว 


                ไม่นานลิฟต์ก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง  เพิ่มความดีใจไปจากเจสสิก้าได้อีก  แต่แล้วเมื่อรู้ถึงเหตุผลอาการดีใจของเธอ ก็เล่นทำเอายูริยิ้มตามไม่ออก


                “ป่านนี้ยุนจะโกรธฉันไหมนะ ..”


              ...ตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ยังทันนะ ควอน ยูริ...

     

     




                แทยอนมองชายหนุ่มด้วยความงงงวย  ..  ทิฟฟานี่?  ใครกัน? .. แต่เมื่อเธอมองตามสายตาของเขาไปทางมิยองที่ยืนเกาะแขนเธอไม่ยอมปล่อยมาตั้งนานแล้ว  ก็พอเข้าใจความหมายของชื่อแปลกนั้นขึ้นมา


                แต่ทำไมกัน..ราวกับว่าหัวใจเธอเต้นช้าลงยังไงไม่รู้  ซ้ำยังมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เต็มปาก  ท้องไส้ดูโหวงเหวง ว่างเปล่า ทั้งๆที่เมื่อครู่เพิ่งออกมาจากร้านไอศกรีมแท้ๆ...


                หรือว่าเป็นเพราะเธอเพิ่งโดนชกท้อง จนจุกเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้นะ?


                “คุณ..รู้จัก...เธอเหรอ?” ก็บอกแล้วว่าเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ  ทว่าร่างบางกลับกอดแขนเธอแน่นขึ้น ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองชายหนุ่มร่างสูงเลย


                “ฟานี่..เรื่องวันนั้น .. ผมอยากขอโทษ  ผมโดนบังคับให้ต้องทำอย่างนั้น” ชายหนุ่มทำท่าราวกับไม่ได้ยินคำถามของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขาลืมไปแล้วว่ามีเธออยู่ในห้องนี้หลังจากได้เห็นใบหน้าของ..คนรักเก่า..


                “ฉัน..ไม่...”


                “ฟานี่โกรธผม?  แน่นอนอยู่แล้วล่ะ...” ก้มหน้าลงสักพัก  เงยหน้าขึ้นสบตากับร่างบางอีกครั้ง  คราวนี้เขาเดินเข้าไปใกล้สองสาวอีกหนึ่งก้าว จับมือเรียวของคนรักเก่าขึ้นมากุมไว้ “...แต่ผมอยากบอกฟานี่ไว้นะ  ว่าผมเสียใจจริงๆ  ผมไม่ต้องการทำให้ฟานี่เสียใจเลย ให้โอกาสผมอีกครั้งนะ”


                “ปล่อยฉันเถอะค่ะ  ฉัน...ไม่รู้จักคุณ” มือเรียวพยายามบิดออกมาจากการเกาะกุมของเขา  หันไปมองร่างเล็กด้วยสายตาอ้อนวอน หวังว่าจะให้เธอช่วย  แต่แทยอนในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพงงงัน คำพูดทุกๆคำของชายหนุ่มวนเวียนอยู่ในความคิดเธอ  หมายความว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของมิยองอย่างนั้นเหรอ?


                “ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปแล้วเหรอฟานี่..” น้ำเสียงตัดพ้อ กับแววตาแสนเศร้า หวังจะให้หญิงสาวเข้าใจในตัวเขา  ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นมันไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว  เขาไม่ได้อยากบอกเลิกเธอ..เขาไม่ได้ต้องการทำให้เธอเจ็บปวดถึงเพียงนั้น..ทั้งๆที่ยังรัก แต่กลับต้องจำเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากเธอมา  แน่นอนว่าเขาเจ็บปวดมากกว่าเธอหลายเท่าตัวนัก..


                “ฉันไม่รู้จักคุณจริงๆค่ะ..ฉันขอโทษ” ดึงมือออกมาจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก็กลับไปเกาะแขนแทยอนแน่นกว่าเดิม  ช่วยให้ฝ่ายชายรู้ว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ในห้องน้ำเดียวกันกับเขาและร่างบาง


                “คุณเป็นเพื่อนฟานี่ใช่ไหมครับ?  ช่วยอธิบายให้เธอฟังที  ว่าผมยังรักเธออยู่  แล้วอยากให้เธอกลับมาหาผม คราวนี้ผมจะไม่มีวันทำร้ายเธออีก”


                “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงปล่อยมือเธอคะ?  ทำไมคุณถึงทิ้งเธอไป?” แทยอนรู้สึกถึงแรงตรึงที่แขนของเธอ  มิยองกอดแขนเธอแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าจะหลงทางกันไปอีก


                “ผม...มันมีเหตุจำเป็นจริงๆ  แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย” ชายหนุ่มก้มหน้าสลดไปในตอนแรก แต่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับแทยอนอย่างแน่วแน่  จนเธอใจสั่นด้วยความกลัว..


                กลัว..กลัวเหลือเกิน ว่าสายตามั่นคงนั่นจะมาพรากคนที่กำลังกอดแขนเธอไป...


                “รู้ว่าไม่ควรทำ แล้วทำไมคุณถึงทำ..รู้ไหม ว่าหลังจากนั้น  มิยองเจออะไรมาบ้าง” ปั้นหน้านิ่ง เถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน


                “ผม...” ดวงตาคมเข้มปรายตามองคนรักเก่า  แขนเข้าเฝือกและผ้าพันแผลที่ศีรษะทำให้เขาไม่อยากมองเธออีก .. เจ็บปวดก่อนจะได้รับคำตอบว่าเธอไปเจออะไรมา  เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองถ้ามันเลวร้ายกับชีวิตเธอ


                “กลับไปคิดคำตอบของคุณมาให้ฉัน  ฉันถึงจะปล่อยมิยองให้คุณ .. เพราะในเวลานี้ ฉันเป็นคนดูแลเธอ .. ขอบคุณสำหรับเรื่องที่มาช่วยพวกฉัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก ขอตัวค่ะ” ร่างเล็กโค้งตัวเล็กน้อย  จูงมือเย็นเฉียบของร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำ  โดยไม่รอให้ฝ่ายชายได้พูดอะไรอีก  ภายในห้างว่างเปล่าไม่มีผู้คน อาจจะเป็นเพราะสัญญาณไฟไหม้ปลอมๆที่เจ้าตัวเป็นคนทำ


                “แทแท..” แทยอนหยุดเดิน หันไปมองร่างบาง คิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย  หัวใจยังคงเต้นหวั่นๆต่อไปไม่หยุด..หรือว่าเธอจะทำพลาดไปแล้ว คิม แทยอน  ความจริงมิยองอาจจะอยากพูดอะไรกับผู้ชายคนนั้นอีกสักสองสามประโยค มันอาจทำให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน  แล้วมิยองก็อาจจะกลับไปจำความได้เหมือนเดิม


                แล้วหลังจากนั้น เธอก็จะไปจากเธอ  คิม แทยอน..


                ...ไปจากเธอ...


                “อยากกลับไปคุยกับเขาเหรอ?”ถามดักไปเสียอย่างนั้น  บังคับน้ำเสียงไม่ให้มันดูเศร้า..แต่ก็พบว่ามันอยากกว่าตอนที่พาร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำนั่นเสียอีก


                ร่างบางส่ายหน้า  กระชับสัมผัสกุมมืออีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิมเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแทยอนกำลังจะปล่อยมือเธอ..


                “ขอบคุณนะแทแท..ขอบคุณที่บอกว่าจะดูแลเค้า”


                ประโยคคำพูดที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในจิตใจจากร่างบาง  นอกจากจะไม่ทำให้หัวใจของคนตัวเล็กกลับไปเป็นปกติแล้ว  กลับยิ่งทำให้มันเต้นแรงกว่าเดิมเสียอีก


                “อืม..” แทยอนยิ้มกว้างที่สุด กว่าธรรมดาที่เคยเป็น  จนลืมไปว่าที่มุมปากมีรอยช้ำ  ส่งผลให้จากใบหน้าเปื้อนยิ้มกลายเป็นป้าปากส่งเสียงซี้ดด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลแทน


                “แทแทมีแผลนี่นา  เจ็บมากไหมคะ?”


                “ไม่เจ็บหรอก ฉันไม่เป็นไร ...โอ้ย
    !...” แทยอนร้องพร้อมเบือนหน้าหนีผิดฟอร์มทันทีที่มิยองจิ้มนิ้วเบาๆที่รอยช้ำ


                “ไหนบอกไม่เจ็บไง ร้องซะดังเชียว .. รีบกลับบ้านไปทำแผลดีกว่านะ”


                “อืม .. เกือบลืมไปแน่ะ  รอฉันตรงนี้แป็บนึงนะ มิยอง”



                “ไม่เอา..เค้าจะไปด้วย...” มิยองคว้าแขนคนตัวเล็ก วิ่งเหยาะๆตามไป .. แทยอนไม่ได้ห้ามอะไร เพราะใจจริงก็กลัวว่าร่างบางจะเจออะไรเข้าอีก


                “ดีจัง ยังไม่หายไปไหน” คนตัวเล็กเดินเข้าไปอุ้มตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเธอเอง ที่เจ้าตัววางหลบๆไว้พร้อมกับของต่างๆที่ซื้อมาในวันนี้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ


                “อะ..ถึงว่ามันจะแอบเป็นตัวการทำให้มิยองตกอยู่ในอันตรายก็เถอะ  แต่นั่นมันเป็นเพราะฉันเองต่างหากที่ดูแลเธอไม่ดีพอ  ...  รับมันไปสักทีสิมิยอง ฉันหนักแล้วนะ” ...เขินแล้วด้วย  แทยอนซุกหน้าเข้ากับขนนุ่มนิ่มของตุ๊กตา ใช้ขนาดตัวใหญ่ๆของมันบังใบหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอเขินแค่ไหน


                คนถูกเร่งเร้ารับตุ๊กตามาเต็มอ้อมแขน  ขอบตาที่เพิ่งหยุดร้องไห้กลับมาร้อนผ่าวอีกครั้ง ... คิมแทยอน .. คนบ้า  ไหนเธอเป็นคนพูดเองไง ว่าตุ๊กตานี่ไม่จำเป็นต้องซื้อ  แล้วทำไมต้องซื้อมันมาด้วย..


                “คนบ้า..” เสียงพึมพำเบาๆดูอู้อี้เข้าไปอีกเมื่อริมฝีปากบางแนบชิดติดกับตุ๊กตาเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน


                “ไปกันเถอะ..ตอนนี้ฉันเริ่มระบมไปทั้งตัวแล้วล่ะ  มา ฉันถือให้” ว่าแล้วก็คว้าตุ๊กตามาจากมือมิยองไปถือเอง อีกมือหนึ่งก็ถือข้าวของซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าพะรุงพะรัง แต่ก็ยังไม่วายสะกิดให้อีกฝ่ายมาควงแขนเธอราวกับกลัวว่าจะมีคนมาวิ่งราวไปทั้งตุ๊กตา ทั้งคน..

     




                ซุนคยูหงุดหงิด
    !  ไม่ใช่เพราะยอดเงินของร้านตก หรือลูกค้าลดน้อยลงกว่าวันก่อนๆหรืออย่างไร  แต่วันนี้เป็นอีกวันที่เพื่อนตัวแสบคิม แทยอนไม่ยอมมาทำงาน รู้สึกว่านับตั้งแต่วันที่มียัยผู้หญิงหน้าหมีนั่นเข้ามา ก็ละเลยงานที่ทำอยู่  ..  มันน่าไล่ออกไปเลี้ยงหมีซะที่บ้านให้หนำใจซะให้เข็ด!


                “น่าบูดเป็นตูดกระรอกเชียวซัน เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมดหรอก”


                “เรื่องของฉันย่ะ” ตอบเสียงเย็นเฉียบใส่เพื่อนสนิทอีกคน  ฮโยยอนยิ้มขำที่ได้แกล้งก่อนจะเดินไปเสิร์ฟกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่นให้ลูกค้า .. ปล่อยให้ซันนี่นั่งหน้ายุ่งรับแขกต่อไป


              กริ๊งง
    ..~


                “สวัสดีค่าร้านซันชาย ยินดีต้อนรับค่ะ  มาคนเดียวเชิญทางนี้เลยค่ะ” แต่หน้าที่รับลูกค้าก็ยังเป็นของฮโยยอนเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ..แต่อารมณ์บูดอย่างกับกระรอกอดข้าวสามวันแบบนั้น ลูกค้าไม่ทันจะได้เขาร้านหรอก เดินหนีกลับบ้านหมดพอดี


                ฮโยยอนพาหญิงสาวผิวคมเข้ม ร่างสูงโปร่งดูสง่างาม ไปนั่งโต๊ะเล็กๆ สบายๆสำหรับคนเดียวไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ที่เจ้าของใบหน้าบูดๆนั่งอยู่นัก ฮโยยอนรับรายการเมนูจากลูกค้าคนใหม่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน 


                ขณะที่ร่างเล็กที่เริ่มรู้สึกตัวทีละนิดว่ากำลังถูกลูกค้าคนใหม่จ้องมองอยู่ จึงลุกขึ้นเดินตามฮโยยอนไป เพราะไม่อยากแสดงท่าทีไม่ต้อนรับแขกจนลูกค้าคนอื่นแตกตื่นกันไปหมดตอนนี้นักหรอก ... คนกำลังอารมณ์เสีย มองอยู่ได้
    !


                “มานี่ ฉันทำเอง” ซันนี่คว้าถ้วยกาแฟมาจากมือเพื่อน จนผู้ที่ถูกแย่งทำได้แค่ผลักหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆด้วยความหมั่นไส้


                กริ๊งงง..
    ~


                “ลูกค้ามา ฉันออกไปรับก่อนนะ  ทำเสร็จแล้วก็ช่วยยกไปให้โต๊ะสองด้วยล่ะ” พูดจบก็เดินออกไปรับลูกค้า ทิ้งให้คนตัวเล็กคนกาแฟเบาๆ .. นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดดีของเธอ คือไม่ยอมเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการความละเอียดอ่อนเช่นนี้แล้ว เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้หญิงสาวสามารถเอาชนะอารมณ์ขุ่นๆของตัวเองได้


                “กาแฟร้อนมาแล้วค่ะ” ซันนี่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเล็กอย่างเบามือ แต่ใบหน้ายังคงไม่มีรอยยิ้มดั่งเช่นที่เคยมีทุกวัน  ร่างสูงเบนหน้าออกจากหน้าต่างมามองผู้มีใบหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มบางๆฉายบนใบหน้าคมเข้ม


                “ความจริงแล้ว ...ฉันสั่งกาแฟเย็นนะ”


                คนตัวเล็กอ้าปากค้าง  ไหงฮโยยอนไม่เห็นบอกอะไรเธอเลยสักนิด  แต่ก็เอาเถอะ..สงบสติอารมณ์ไว้ก่อนซุนคยู  ลูกค้าคือพระเจ้า นี่มันเป็นกฎที่เธอตั้งมาเองไม่ใช่เหรอ


                “ขอโทษค่ะ..รอสักครู่นะคะ”


                อีกไม่กี่นาทีต่อมา บนโต๊ะเล็กก็ถูกแทนที่ด้วยแก้วกาแฟเย็น และใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มของร่างสูง


                “ขอคุ้กกี้เพิ่มด้วยได้ไหมคะ?  ฉันเห็นโต๊ะนั้นมีกัน มันน่าทานมากเลย”


                และอีกไม่กี่นาทีต่อมา  จานขนาดกลางเต็มไปด้วยคุ้กกี้ร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่น อบอวลไปทั่วบริเวณก็วางอยู่ข้างๆแก้วกาแฟเย็น  แต่ซันนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าคนตรงหน้าจะสั่งอะไรอีก


                “เมื่อกี้ฉันลองกินกาแฟดูแล้ว  ฉันว่าที่ฉันสั่งไปน่ะ คือมอคค่า  แต่นี่มันคาปูชิโน” และแล้วมันก็เป็นไปตามคาด แต่คราวนี้ซันนี่เตรียมการมาไว้พร้อมโต้ตอบเสร็จสรรพ


                “แต่ในใบที่เพื่อนฉันจด คุณสั่งไปว่าคาปูชิโนนะคะ ไม่ใช่มอคค่า”


                “งั้นเหรอ..โอเค เอาเป็นว่าฉันขอสั่งเพิ่มแล้วกัน กาแฟมอคค่าเย็นที่นึงแล้วกัน”


                ปึง
    !?


                เสียงกระทบดังๆระหว่างถาดกับโต๊ะเรียกสายตาทุกคู่ในร้านให้หันมามองเป็นตาเดียวได้เป็นอย่างดี  แน่นอนว่าตอนนี้อารมณ์ของซันนี่ได้ถึงขีดสุดแล้ว และมันกำลังจะระเบิดในไม่ช้า


                “มันจะมากไปแล้วนะคุณ
    ! ลูกค้าฉันมีเยอะแยะ ไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวนะ!” เท้าสะเอว แหวใส่ร่างสูงที่ทำหน้าใจเย็นแบบไม่รู้สำนึก ยิ่งทำให้อารมณ์เพิ่มขึ้นจนถึงระดับปรอทแตก


                “เบาๆสิคุณ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมดหรอก”


                “ลูกค้าคนอื่นจะอยู่ไม่อยู่ฉันไม่สน  แต่ถ้าวันนี้ฉันยังเห็นคุณนั่งอยู่ในร้านฉันอีกแม้แต่นาทีเดียวร้านนี้คงต้องพังแน่นอน
    !


                “เฮ้ยซัน  ใจเย็นดิ
    !  ขอโทษนะคะ  ขอโทษจริงๆ  พอดีวันนี้เพื่อนฉันมันอารมณ์เสียไปหน่อย ขอโทษด้วยค่ะ” ฮโยยอนตรงดิ่งเข้ามาจากอีกมุมของร้านหาซันนี่ พร้อมกับก้มหัวขอโทษขอโพยร่างสูงและลูกค้าคนอื่นๆที่จับจ้องมาทางพวกเธอ


                “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ” คนเจ้าปัญหาขยิบตากวนๆให้ซันนี่


              โอ้.. คุณแม่เจ้าคะ
    !  ลูกกรี๊ดเสียเดี๋ยวนี้ร้านจะพังไหม!


                “ขอบคุณมากๆค่ะ  มานี่เลยคุณซุนคยู  ไปหลังร้าน  เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” ฮโยยอนสั่งเสียงเข้ม เดินนำคนตัวเล็กไป แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวการจะเดินตาม หรือเพราะมัวแต่ส่งสายตาเขม่นเข่นเขี้ยว เคืองแค้นให้ร่างสูงอยู่ก็ไม่รู้  ถึงทำให้ขาเรียวสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ ร่างเล็กหน้าคะมำลงกับพื้นแทบจะทันที..


                “..
     คุณ!


                ร่างสูงเอื้อมมือไปรับเธอไว้  ถ้าไม่ได้เขาจมูกโด่งเป็นสันนั่นก็คงทิ่ม ริมฝีปากอวบอิ่ม สวยได้รูปคงได้จูบกับพื้นเป็นแน่  ทว่าทำไมเนื้อตัวคนตัวเล็กถึงนิ่มผิดปกติ แถมดูยืดหยุ่นอีกต่างหาก
      เอ๊ะ! นี่มัน....


                “กรี๊ดดดดดดด ดด ด
    !  ยัยโรคจิต  แก..แกจับหน้าอกฉัน!


              ผัวะ
    !


                ทำคุณบูชาโทษแท้ๆเลย ชเว ซูยอง..

             

     

     

     

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×