คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 7 :: Immoderate
Chapter 7 :: Immoderate
ภายใต้ความมืดมิด ภายในลิฟต์ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงผ่านเลยไปเพียงแค่พักเดียวเท่านั้น แต่ทว่า..สำหรับความรู้สึกของคนสองคนที่นั่ง ‘กร่อย’ หลังพิงผนัง กลับรู้สึกว่าเวลานั้นมันช่างโหดร้าย ทารุณและยาวนานเสียเหลือเกิน เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เจอแต่ความมืดมิด ครั้นจะให้หันไปมองคนข้างๆก็ออกจะท้าทายจิตใจไปหน่อย ในเมื่ออารมณ์แต่ละคนไม่ได้อยู่ในสภาวะ พร้อมหยอกล้ออยู่หรือเป็นฝ่ายโดนหยอกล้อสักเท่าไหร่
หนำซ้ำ อุณภูมิเดือดๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อับๆ ยังพร้อมเป็นตัวจุดอารมณ์ให้คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลาได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะกับเจสสิก้า จองที่พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อถ้ามีอะไรที่ร้ายกาจกว่าในตอนนี้เกิดขึ้นกับชีวิตเธอ
ผิดกับควอน ยูริ ไม่เคยมีวันใดที่เธอสามารถทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดเช่นนี้ได้ หลังจากที่เธอนั่งนึกหาประเด็นพูดคุยที่คิดว่าเหมาะสมและปลอดภัยกับชีวิต(?)ที่สุดแล้วได้สำเร็จ สาวเจ้าก็ไม่ลังเลเลยที่จะพูดออกไป
“ฉันว่าเรามาหาอะไรแก้เงียบกันดีไหม? อยู่แบบนี้ฉันอึดอัดน่ะ”
เจสสิก้าปรายตามองคนชวนคุย ด้วยสายตาเป็นนัยๆ เวลาแบบนี้เนี่ยนะ? อากาศแทบจะไม่ระบายให้หายใจได้เต็มปอด ยังคิดจะมาหาอะไรคุย นั่งอยู่เฉยๆแบบเดิมจะมีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่าไหม?
“คือแบบนี้นะ..เรามาสลับกันพูดเรื่องของตัวเองคนละประโยคกัน จะเป็นประวัติตื้นลึกหนาบางยังไงก็ได้ เราจะได้รู้จักกันด้วย ไหนๆก็จะมาทำงานร่วมกันแล้ว ... เริ่มจากคุณก่อน..”
ดูเหมือนยูริจะตีความหมายจากสายตาของเธอพลาดไปมากๆ หรือเพราะมันมืดจนมองไม่เห็นกันนะ
“จำเป็นด้วยเหรอ ที่ฉันจะต้องเล่นกับคุณ?”
“จำเป็นสิ ถ้ามันเป็นคำสั่งจากเจ้านายอย่างฉัน”
ประโยคเดิมๆที่สุดแสนจะน่าหมั่นไส้ ถูกปล่อยออกมาจากปากคนข้างกาย และถึงแม้มันจะมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่เจสสิก้ากลับรู้ว่าร่างสูงกำลังส่งรอยยิ้มกวนๆมาทางเธอ
ร่างบางสูดลมหายใจร้อนๆเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยปากพูดประโยคแรกออกมา
“ฉันเป็นลูกครึ่ง เกิดที่เกาหลี แต่มีเหตุจำเป็นต้องย้ายไปอยู่อเมริกากับครอบครัวตั้งแต่ยังเด็กๆ จนจบชั้นไฮ สคูลถึงจะกลับมาเรียนต่อมหา’ลัยที่เกาหลี เพราะว่าช่วงนั้นคุณยายของฉันไม่สบายมาก ฉันจึงต้องบินกลับมาพร้อมกับคุณแม่เพื่อมาดูแลคุณยาย”
“มิน่าล่ะ เธอถึงมีอีกชื่อนึงว่าเจสสิก้า .. แล้วตอนนี้เธอก็อยู่กับคุณแม่และคุณยายเหรอ?”
“อย่าเอาเปรียบกันสิ ฉันเล่าของฉันไปเกินประโยคนึงแล้วด้วย ต่อไปตาคุณ” เจสสิก้าดักคอยูริ ทำเอาร่างสูงพ่นลมออกทางจมูกเสียงดังฟังชัดด้วยความเสียดาย
“ฉันเองก็เกิดที่เกาหลี แน่นอนอยู่แล้วล่ะ...” สุดท้ายก็ยอมเล่าแต่โดยดี นิ่งไปสักพักเพื่อสูดลมหายใจ และรำลึกถึงอดีต “...พ่อแม่ของฉันเป็นตำรวจด้วยกันทั้งคู่ มีฉันซึ่งเป็นลูกคนเดียว งานของพวกท่านเกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลาที่ถูกเรียกตัวเพราะพวกท่านเป็นมือปราบ แต่ก็ไม่มีเลยสักวันที่ฉันรู้สึกว่าถูกทิ้งอยู่คนเดียว เพราะพวกท่านไม่เคยละเลยฉัน ... จนวันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของฉัน ..”
หยุดพูด สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง ดวงตาคมเข้มปิดสนิทราวกับไม่ต้องการให้คนข้างๆที่พลอยลุ้นไปกับประโยคทิ้งท้ายนั้น ได้รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร กับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป
“..พ่อแม่ฉันเสีย”
“หาา? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”
แต่อารมณ์ลุ้นระทึกของสาวร่างบางจำต้องหยุดชะงักไปดื้อๆเสียอย่างนั้น เมื่อได้รับรอยยิ้มกวนๆแบบไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้จากยูริ
“ฉันเล่าจบหนึ่งประโยคแล้ว .. ตาคุณน่ะ”
เจสสิก้าแบะปากด้วยความเสียดาย ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองต่ออย่างขัดไม่ได้
“หลังจากที่ย้ายกลับมาอยู่ที่เกาหลีได้ไม่นาน คุณยายฉันก็เสียเหมือนกัน ทำให้คุณแม่ต้องบินกลับไปอเมริกา แต่ฉันขออยู่เกาหลีต่อเพราะไหนๆก็เรียนที่นี่ไปได้ปีนึงแล้ว ไม่อยากไปๆมาๆ ฉันเลยต้องเช่าคอนโดอยู่คนเดียวที่นี่...เอาล่ะ ตาคุณแล้ว”
“เฮ้..ขี้โกงนี่นา ทำไมมันถึงได้สั้นนักล่ะ”
“มันเป็นประโยคแล้วกันหน่า เร็วเข้าสิ ตาคุณแล้วนะ” เจสสิก้ากระเซ้ายูริเสียจนลืมตัวไปว่าตอนแรกๆ เธออิดออดแค่ไหนที่จะต้องพูดคุยกับร่างสูง
“ก็ได้ๆ...ก็อย่างที่ฉันบอกไป พ่อแม่ฉันเป็นมือปราบ วันนั้นเป็นวันเกิดฉันพอดี พวกเราสามคนกำลังจัดงานวันเกิด แต่แล้วทางการก็โทรมาเรียกตัวพ่อกับแม่ไป มีภารกิจด่วนที่จำเป็นต้องเรียกใช้ตัวพวกท่านในวันหยุดแบบนั้น .. ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่าพ่อบอกให้ฉันนั่งรอ แล้วจะกลับมาหาอีกไม่นาน ฉันจึงนั่งรอพวกท่านอยู่ในบ้านเพียงคนเดียวกับเค้กวันเกิด..” ยูริหลับตาลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เหตุผลมันสำคัญกว่าครั้งก่อน หลับตาลงเพียงเพื่อไม่ให้น้ำตาใสๆอุ่นๆไหลออกมาให้ใครเห็น ดั่งเช่นที่เธอเฝ้าอดทนไม่ร้องไห้มาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์สูญเสีย
“แล้วเธอรู้ได้ยังไง ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่าน” ร่างบางเร่งเร้าอย่างลืมตัว ด้วยความที่ไม่อยากให้มันขาดช่วง
“คุณคิม เจ้านายของพ่อกับแม่มาหาฉันที่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น ปลุกฉันที่ฟุบหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตรงหน้าเค้ก .. คุณคิมบอกกับฉันว่าพ่อแม่ฉันเสียแล้ว ในระหว่างที่ฉันกำลังร้องไห้ ท่านบอกว่าจะพาฉันไปอยู่ด้วยกัน เขาจะเลี้ยงดูฉัน เป็นผู้ปกครองให้ฉัน แทนพ่อกับแม่ที่จากฉันไป เพราะฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลืออีกแล้ว..”
น้ำเสียงที่เคยเข้มแข็งและขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาเริ่มสั่นเครือ เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวต้องการกลั้นน้ำตามากแค่ไหน เจสสิก้าเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ กระชับมันเบาๆราวกับต้องการปลอบใจ
จากหัวใจที่เคยแข็งกระด้าง พร้อมทั้งย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่มีวันมีมิตรสัมพันธ์ดีๆกับร่างสูงอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันกับช่วงเวลานี้หัวใจกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด อาการสงสารและเห็นใจที่ไม่เคยคิดว่าจะมอบให้เขาต่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ มากเสียจนลืมไปว่าตัวเองเคยมีเรื่องราวโกรธเคืองกับร่างสูงไว้แค่ไหน
“เธอคงเกลียดวันเกิดของเธอไปเลยสินะ”
“ใช่..หลังจากนั้นฉันก็เกลียดมันมาก เลยไม่เคยมีใครกล้าจัดงานวันเกิดให้ฉันอีก จนทุกวันนี้ฉันยังไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองอายุเท่าไหร่” พูดจาติดตลก เสียงหัวเราะจอมปลอมดังแผ่วเบาตอบกลับมา หากแต่ร่างบางรู้ทันมันก่อนเสียแล้ว
แน่สิ..วันเกิดของตัวเองแท้ๆ ทั้งๆที่เฝ้ารอคอยเวลาที่พ่อแม่จะกลับมาเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันดั่งเช่นทุกๆปี กลับต้องผิดหวัง ที่มากไปกว่านั้น คือเมื่อรู้ว่าในขณะที่ตัวเองนั่งรออย่างปลอดภัยภายในบ้าน เฝ้าแอบโกรธเคืองว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่ยอมมาสักที มันกลับเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของพ่อกับแม่..
ถ้าเป็นฉัน..ฉันก็คงจะเกลียดวันนั้นเอามากเหมือนกัน วันที่พรากชีวิตพ่อแม่ไป วันที่พลิกชะตาชีวิตของเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กกำพร้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่ฉันกำลังเห็นใจเธออยู่ใช่ไหม ควอน ยูริ...
“แล้วหลังจากนั้น คุณเป็นยังไงต่อเหรอ?” เจสสิก้าเอ่ยปากทำงายความเงียบสงัด ซึ่งร่างสูงเองก็ดูท่าอยากจะขอบคุณเธออยู่ไม่น้อย เพราะเขากลัวเหลือเกิน ว่าถ้ารอบๆตัวยังปรากฏความเงียบต่อไป เสียงสะอื้นจากเบื้องลึกที่สุดในหัวใจจะดังออกมาให้คนข้างๆได้ยิน
“หลังจากที่ฉันย้ายไปอยู่กับคุณคิม ที่บ้านนั่นดูแลฉันดีมากๆ อย่างกับฉันเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของบ้านเลย ยังดีที่ในบ้านมีฉันมีเพื่อนเป็นลูกสาวๆแท้ๆของคุณคิมอีกสองคน คนโตอายุไล่เลี่ยกับฉัน เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนคนเล็กก็คือซอ จูฮยอนเองนั่นแหล่ะ”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรือ ตอนแรกที่ฉันเห็นคุณก็นึกว่าคุณคิดจะจีบซอซะอีก ถึงได้ไปรับซอที่มหา’ลัย เพราะฉันเองก็จบมาจากที่นั่นล่ะ แต่ไม่เคยเห็นคุณเลย”
“จูฮยอนไม่อยากให้ใครเห็นนักหรอกว่ามีคนไปรับเธอ ส่วนใหญ่เธอมักจะนัดให้เราไปรับช้าๆ ช่วงที่ผู้คนเริ่มบางตาลงแล้ว ...”
เจสสิก้าคิดตาม.. นั่นสินะ ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน หรือในปัจจุบันนี้คือไปรับยุนอา ก็มักจะเห็นซอฮยอนยังคงนั่งนิ่งเฉย หรือไม่ก็เดินไปห้องสมุด ยามเธอกับยุนอากลับบ้านแล้ว บางครั้งที่เธอไปรับยุนอาช้าก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อยังเห็นว่าซอฮยอนยังไม่กลับบ้านสักที และบางครั้งอีก ที่เธอชักชวนให้สาวเจ้าขึ้นรถเธอเพราะเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้งไป
“...เพราะบางวันคนที่ไปรับจูฮยอนก็ไม่ใช่ฉัน บางวันที่ฉันเกิดติดงานบริษัทขึ้นมา ดูเหมือนว่าซอจะกลัวโดนเพื่อนๆที่นั่นล้อหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ถึงไม่ค่อยอยากให้คนรู้ว่ามีใครไปรับ .... เฮ้! คุณโกงฉันอีกแล้วนะ หลอกให้เล่าซะเพลินเลยอ่า” ท่าทางของยูริทำเอาเจสสิก้าหลุดขำออกมา
“คุณเล่าของคุณเองนะ .. อืมม..ฉันคิดว่าเราเลิกเรียกกันว่า คุณๆ ดีกว่า มันดูแปลกๆ เก้อๆ แล้วก็ดูแก่ๆยังไงไม่รู้ด้วย ชื่อฉันคือเจสสิก้า แต่จะเรียกฉันว่า สิก้า ก็ได้”
“สิก้าเหรอ.. ส่วนฉันยูริ ถ้าอยากเรียกสั้นๆก็ ยูล ค่ะ” ยูริส่งยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่ไม่แฝงความกวนไว้เลยในรอยยิ้ม
“ค่ะ ยูล” เจสสิก้าส่งยิ้มกลับ เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน รอยยิ้มสวยหลอกล่อให้ดวงตาคมจ้องมองเธอด้วยความเผลอไผล
สวย..ยิ่งยิ้มก็ยิ่งสวย แต่.. ไม่ได้นะ ควอน ยูริ เธอคนนี้มีแฟนแล้วนะ
“ตกลงสิก้าจะไม่เล่าต่อใช่ไหม? หลอกให้เล่ายาวๆกันนี่นาแบบนี้” ทำแก้มป่องอย่างเอาแต่ใจเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อครู่ จนร่างบางหัวเราะเบาๆในลำคอ
..ก็ทำท่าทางเหมือนเด็กๆแบบนี้ มันเข้ากับหน้าตาคมเข้มซะที่ไหนกันเล่า..
“เล่าสิเล่า ฉันไม่อยากโกงยูลหรอกหน่า ... ก็หลังจากที่ฉันขอคุณแม่อยู่เกาหลีต่อ เหตุผลก็คืออยากเรียนต่อที่นี่ให้จบ แล้วอีกอย่างก็ไม่อยากทิ้งเขาไปด้วย” เจสสิก้าอมยิ้ม
“ทิ้งเขา? สิก้าหมายถึง..เด็กที่ชื่อ อิม ยุนอา” เอ่ยถามไปทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว
เห็นไหมยูริ ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว แล้วเธอก็รักเขามากด้วย..
“อืม ใช่ .. ว่าแต่ยูลรู้ได้ยังไง?”
“รู้มาจากจูฮยอนน่ะ สองคนนั้นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” ตอบคำถามตามความจริง เพราะไม่อยากให้เธอสงสัย
“อืม..นั่นล่ะ แต่เหตุผลของฉันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ เพราะทันทีที่เรียนจบเพื่อนของฉันสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันบินกลับมาเกาหลีพอดี ฉันก็เลยดีใจและตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ ไม่อยากคลาดกันไปอีก”
“บินกลับมา? เพื่อนสิก้าคนนั้น เป็นคนเกาหลีแต่ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กเหมือนกันเหรอ?” ดีใจที่เปลี่ยนเรื่องมาได้ เพราะถ้าเกิดยังเล่าเรื่องเด็กที่ชื่อ อิม ยุนอา เธอคงเก็บอาการบางอย่างไม่อยู่เหมือนทุกๆครั้งเป็นแน่
“ไม่ใช่ เธอเพิ่งย้ายมาตอนช่วงเรียนไฮ สคูลพอดี แถมท่าทางเธอตอนแรกๆดูเศร้าๆยังไงไม่รู้ เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา บางทีเธอก็แอบไปร้องไห้เงียบๆโดยไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ ยังดีที่มีฉันซึ่งเป็นคนเกาหลีเหมือนกันก็เลยพอช่วยเหลือเธอได้บ้าง ฉันรู้สึกว่าเธอชอบทำตัวซึมเศร้า ไม่เหมาะกับหน้าตาน่ารักๆ แล้วก็ชื่อ ทิฟฟานี่ เลย” เจสสิก้าลูบคางเบาๆอย่างใช้ความคิด นึกถึงเพื่อนสนิทที่สุดของเธอในวัยเรียน เท่าที่จำความได้ กว่าเธอจะช่วยดึงทิฟฟานี่ออกมาจากโรคซึมเศร้าก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว
“ทิฟฟานี่เหรอ? อยากรู้ชื่อเกาหลีจัง”
“อา..ชื่อนั้นฟานี่ดูหวงเอามากๆ เธอไม่ยอมให้ใครรู้ชื่อเกาหลีเลยนอกจากฉัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ... แต่ฉันอยากจะบอกยูลนะ ถือซะว่าไม่อยากปิดบัง อีกอย่างยูลคงไม่รู้จักฟานี่หรอก เธอมีชื่อว่า มิยอง ฮวัง มิยอง”
“หืม.. มิยองเหรอ” ยูริเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงกับชื่อที่เพิ่งได้ยิน
บังเอิญดีจริงๆ เมื่อวานเธอก็เพิ่งได้ยินชื่อนี้มาจากแทยอน ชื่อที่ตั้งให้กับคนเจ็บซึ่งเจ้าตัวอาสารับมาดูแลที่คอนโดเอง
“ใช่ มิยอง .. ว่างๆฉันจะแนะนำฟานี่ให้ยูลรู้จักนะ อา..แต่ว่าช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้เจอฟานี่เลย แถมเมื่อวานนี้ทางบ้านฟานี่ยังโทรมาบอกฉันว่าฟานี่หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ติดต่อก็ไม่ได้”
“หายตัวไป? กี่วันเหรอ? พอจำได้หรือเปล่า?” ยูริยิงคำถามไปโดยไม่รู้ตัว
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้ วันสองวันเนี่ยแหละที่ฟานี่หายตัวไปจากบ้าน ถึงตอนนี้ก็ยังคงติดต่อไม่ได้ ... นั่นสินะ ฉันต้องตามหาเพื่อนของฉันนี่” เจสสิก้าก้มหน้ากลุ้มใจ นั่นสินะ..หลังจากซูยองโทรมาบอกเรื่องทิฟฟานี่ได้ไม่นานก็มีเรื่องให้เธอคิดจนลืมสัญญาที่จะช่วยตามหาตัวเพื่อนไปเลย
ในระหว่างนั้น ยูริเองก็อดที่จะคิดต่อไปไม่ได้เช่นกัน ...หายตัวไปประมาณสองสามวัน ช่วงเวลาประมาณเดียวกับผู้หญิงนามว่ามิยอง ของไอ้คุณแทเพื่อนของเธอเจอกับอุบัติเหตุ แต่ถ้าเกิดเป็นคนๆเดียวกันมันก็จะกลายเป็นเรื่องบังเอิญแสนน้ำเน่าเกินไปแล้วนะ คงไม่ใช่หรอก
เพราะชื่อมิยอง ก็เป็นชื่อที่แทยอนตั้งให้สาวเจ้าเอง .. ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับทิฟฟานี่เลย
พรึ่บ!?
พลันไฟฟ้ากลับมาสว่างทั่วห้องอีกครั้ง เรียกเสียงดีใจจากร่างบางไปไม่น้อย อ้อมแขนเรียวโอบรอบไหล่บางของเขาเข้าไปกอดด้วยความดีใจจนลืมตัว
“ไชโย! ไฟติดแล้วยูล เรารอดแล้ว”
“อะ..อืม”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดดึงของอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าร้อนผ่าวเมินหนีเธอ เพราะกลัวว่าแสงสว่างจากแสงไฟที่เพิ่งได้รับจะทำให้เธอเห็นว่ามันมีสีแดงระเรื่อหลังจากที่โดนกอดแบบไม่ทันตั้งตัว
ไม่นานลิฟต์ก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เพิ่มความดีใจไปจากเจสสิก้าได้อีก แต่แล้วเมื่อรู้ถึงเหตุผลอาการดีใจของเธอ ก็เล่นทำเอายูริยิ้มตามไม่ออก
“ป่านนี้ยุนจะโกรธฉันไหมนะ ..”
...ตัดใจตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ยังทันนะ ควอน ยูริ...
แทยอนมองชายหนุ่มด้วยความงงงวย .. ทิฟฟานี่? ใครกัน? .. แต่เมื่อเธอมองตามสายตาของเขาไปทางมิยองที่ยืนเกาะแขนเธอไม่ยอมปล่อยมาตั้งนานแล้ว ก็พอเข้าใจความหมายของชื่อแปลกนั้นขึ้นมา
แต่ทำไมกัน..ราวกับว่าหัวใจเธอเต้นช้าลงยังไงไม่รู้ ซ้ำยังมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เต็มปาก ท้องไส้ดูโหวงเหวง ว่างเปล่า ทั้งๆที่เมื่อครู่เพิ่งออกมาจากร้านไอศกรีมแท้ๆ...
หรือว่าเป็นเพราะเธอเพิ่งโดนชกท้อง จนจุกเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้นะ?
“คุณ..รู้จัก...เธอเหรอ?” ก็บอกแล้วว่าเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ทว่าร่างบางกลับกอดแขนเธอแน่นขึ้น ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองชายหนุ่มร่างสูงเลย
“ฟานี่..เรื่องวันนั้น .. ผมอยากขอโทษ ผมโดนบังคับให้ต้องทำอย่างนั้น” ชายหนุ่มทำท่าราวกับไม่ได้ยินคำถามของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขาลืมไปแล้วว่ามีเธออยู่ในห้องนี้หลังจากได้เห็นใบหน้าของ..คนรักเก่า..
“ฉัน..ไม่...”
“ฟานี่โกรธผม? แน่นอนอยู่แล้วล่ะ...” ก้มหน้าลงสักพัก เงยหน้าขึ้นสบตากับร่างบางอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินเข้าไปใกล้สองสาวอีกหนึ่งก้าว จับมือเรียวของคนรักเก่าขึ้นมากุมไว้ “...แต่ผมอยากบอกฟานี่ไว้นะ ว่าผมเสียใจจริงๆ ผมไม่ต้องการทำให้ฟานี่เสียใจเลย ให้โอกาสผมอีกครั้งนะ”
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉัน...ไม่รู้จักคุณ” มือเรียวพยายามบิดออกมาจากการเกาะกุมของเขา หันไปมองร่างเล็กด้วยสายตาอ้อนวอน หวังว่าจะให้เธอช่วย แต่แทยอนในตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพงงงัน คำพูดทุกๆคำของชายหนุ่มวนเวียนอยู่ในความคิดเธอ หมายความว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของมิยองอย่างนั้นเหรอ?
“ตอนนี้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปแล้วเหรอฟานี่..” น้ำเสียงตัดพ้อ กับแววตาแสนเศร้า หวังจะให้หญิงสาวเข้าใจในตัวเขา ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นมันไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาไม่ได้อยากบอกเลิกเธอ..เขาไม่ได้ต้องการทำให้เธอเจ็บปวดถึงเพียงนั้น..ทั้งๆที่ยังรัก แต่กลับต้องจำเป็นฝ่ายหันหลังเดินจากเธอมา แน่นอนว่าเขาเจ็บปวดมากกว่าเธอหลายเท่าตัวนัก..
“ฉันไม่รู้จักคุณจริงๆค่ะ..ฉันขอโทษ” ดึงมือออกมาจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ ก็กลับไปเกาะแขนแทยอนแน่นกว่าเดิม ช่วยให้ฝ่ายชายรู้ว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ในห้องน้ำเดียวกันกับเขาและร่างบาง
“คุณเป็นเพื่อนฟานี่ใช่ไหมครับ? ช่วยอธิบายให้เธอฟังที ว่าผมยังรักเธออยู่ แล้วอยากให้เธอกลับมาหาผม คราวนี้ผมจะไม่มีวันทำร้ายเธออีก”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงปล่อยมือเธอคะ? ทำไมคุณถึงทิ้งเธอไป?” แทยอนรู้สึกถึงแรงตรึงที่แขนของเธอ มิยองกอดแขนเธอแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าจะหลงทางกันไปอีก
“ผม...มันมีเหตุจำเป็นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย” ชายหนุ่มก้มหน้าสลดไปในตอนแรก แต่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับแทยอนอย่างแน่วแน่ จนเธอใจสั่นด้วยความกลัว..
กลัว..กลัวเหลือเกิน ว่าสายตามั่นคงนั่นจะมาพรากคนที่กำลังกอดแขนเธอไป...
“รู้ว่าไม่ควรทำ แล้วทำไมคุณถึงทำ..รู้ไหม ว่าหลังจากนั้น มิยองเจออะไรมาบ้าง” ปั้นหน้านิ่ง เถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ผม...” ดวงตาคมเข้มปรายตามองคนรักเก่า แขนเข้าเฝือกและผ้าพันแผลที่ศีรษะทำให้เขาไม่อยากมองเธออีก .. เจ็บปวดก่อนจะได้รับคำตอบว่าเธอไปเจออะไรมา เขาคงไม่ให้อภัยตัวเองถ้ามันเลวร้ายกับชีวิตเธอ
“กลับไปคิดคำตอบของคุณมาให้ฉัน ฉันถึงจะปล่อยมิยองให้คุณ .. เพราะในเวลานี้ ฉันเป็นคนดูแลเธอ .. ขอบคุณสำหรับเรื่องที่มาช่วยพวกฉัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก ขอตัวค่ะ” ร่างเล็กโค้งตัวเล็กน้อย จูงมือเย็นเฉียบของร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำ โดยไม่รอให้ฝ่ายชายได้พูดอะไรอีก ภายในห้างว่างเปล่าไม่มีผู้คน อาจจะเป็นเพราะสัญญาณไฟไหม้ปลอมๆที่เจ้าตัวเป็นคนทำ
“แทแท..” แทยอนหยุดเดิน หันไปมองร่างบาง คิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย หัวใจยังคงเต้นหวั่นๆต่อไปไม่หยุด..หรือว่าเธอจะทำพลาดไปแล้ว คิม แทยอน ความจริงมิยองอาจจะอยากพูดอะไรกับผู้ชายคนนั้นอีกสักสองสามประโยค มันอาจทำให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน แล้วมิยองก็อาจจะกลับไปจำความได้เหมือนเดิม
แล้วหลังจากนั้น เธอก็จะไปจากเธอ คิม แทยอน..
...ไปจากเธอ...
“อยากกลับไปคุยกับเขาเหรอ?”ถามดักไปเสียอย่างนั้น บังคับน้ำเสียงไม่ให้มันดูเศร้า..แต่ก็พบว่ามันอยากกว่าตอนที่พาร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำนั่นเสียอีก
ร่างบางส่ายหน้า กระชับสัมผัสกุมมืออีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิมเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแทยอนกำลังจะปล่อยมือเธอ..
“ขอบคุณนะแทแท..ขอบคุณที่บอกว่าจะดูแลเค้า”
ประโยคคำพูดที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในจิตใจจากร่างบาง นอกจากจะไม่ทำให้หัวใจของคนตัวเล็กกลับไปเป็นปกติแล้ว กลับยิ่งทำให้มันเต้นแรงกว่าเดิมเสียอีก
“อืม..” แทยอนยิ้มกว้างที่สุด กว่าธรรมดาที่เคยเป็น จนลืมไปว่าที่มุมปากมีรอยช้ำ ส่งผลให้จากใบหน้าเปื้อนยิ้มกลายเป็นป้าปากส่งเสียงซี้ดด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหลแทน
“แทแทมีแผลนี่นา เจ็บมากไหมคะ?”
“ไม่เจ็บหรอก ฉันไม่เป็นไร ...โอ้ย!...” แทยอนร้องพร้อมเบือนหน้าหนีผิดฟอร์มทันทีที่มิยองจิ้มนิ้วเบาๆที่รอยช้ำ
“ไหนบอกไม่เจ็บไง ร้องซะดังเชียว .. รีบกลับบ้านไปทำแผลดีกว่านะ”
“อืม .. เกือบลืมไปแน่ะ รอฉันตรงนี้แป็บนึงนะ มิยอง”
“ไม่เอา..เค้าจะไปด้วย...” มิยองคว้าแขนคนตัวเล็ก วิ่งเหยาะๆตามไป .. แทยอนไม่ได้ห้ามอะไร เพราะใจจริงก็กลัวว่าร่างบางจะเจออะไรเข้าอีก
“ดีจัง ยังไม่หายไปไหน” คนตัวเล็กเดินเข้าไปอุ้มตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเธอเอง ที่เจ้าตัววางหลบๆไว้พร้อมกับของต่างๆที่ซื้อมาในวันนี้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
“อะ..ถึงว่ามันจะแอบเป็นตัวการทำให้มิยองตกอยู่ในอันตรายก็เถอะ แต่นั่นมันเป็นเพราะฉันเองต่างหากที่ดูแลเธอไม่ดีพอ ... รับมันไปสักทีสิมิยอง ฉันหนักแล้วนะ” ...เขินแล้วด้วย แทยอนซุกหน้าเข้ากับขนนุ่มนิ่มของตุ๊กตา ใช้ขนาดตัวใหญ่ๆของมันบังใบหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอเขินแค่ไหน
คนถูกเร่งเร้ารับตุ๊กตามาเต็มอ้อมแขน ขอบตาที่เพิ่งหยุดร้องไห้กลับมาร้อนผ่าวอีกครั้ง ... คิมแทยอน .. คนบ้า ไหนเธอเป็นคนพูดเองไง ว่าตุ๊กตานี่ไม่จำเป็นต้องซื้อ แล้วทำไมต้องซื้อมันมาด้วย..
“คนบ้า..” เสียงพึมพำเบาๆดูอู้อี้เข้าไปอีกเมื่อริมฝีปากบางแนบชิดติดกับตุ๊กตาเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ไปกันเถอะ..ตอนนี้ฉันเริ่มระบมไปทั้งตัวแล้วล่ะ มา ฉันถือให้” ว่าแล้วก็คว้าตุ๊กตามาจากมือมิยองไปถือเอง อีกมือหนึ่งก็ถือข้าวของซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าพะรุงพะรัง แต่ก็ยังไม่วายสะกิดให้อีกฝ่ายมาควงแขนเธอราวกับกลัวว่าจะมีคนมาวิ่งราวไปทั้งตุ๊กตา ทั้งคน..
ซุนคยูหงุดหงิด! ไม่ใช่เพราะยอดเงินของร้านตก หรือลูกค้าลดน้อยลงกว่าวันก่อนๆหรืออย่างไร แต่วันนี้เป็นอีกวันที่เพื่อนตัวแสบคิม แทยอนไม่ยอมมาทำงาน รู้สึกว่านับตั้งแต่วันที่มียัยผู้หญิงหน้าหมีนั่นเข้ามา ก็ละเลยงานที่ทำอยู่ .. มันน่าไล่ออกไปเลี้ยงหมีซะที่บ้านให้หนำใจซะให้เข็ด!
“น่าบูดเป็นตูดกระรอกเชียวซัน เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมดหรอก”
“เรื่องของฉันย่ะ” ตอบเสียงเย็นเฉียบใส่เพื่อนสนิทอีกคน ฮโยยอนยิ้มขำที่ได้แกล้งก่อนจะเดินไปเสิร์ฟกาแฟร้อนๆ หอมกรุ่นให้ลูกค้า .. ปล่อยให้ซันนี่นั่งหน้ายุ่งรับแขกต่อไป
กริ๊งง..~
“สวัสดีค่า~ ร้านซันชาย ยินดีต้อนรับค่ะ มาคนเดียวเชิญทางนี้เลยค่ะ” แต่หน้าที่รับลูกค้าก็ยังเป็นของฮโยยอนเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ..แต่อารมณ์บูดอย่างกับกระรอกอดข้าวสามวันแบบนั้น ลูกค้าไม่ทันจะได้เขาร้านหรอก เดินหนีกลับบ้านหมดพอดี
ฮโยยอนพาหญิงสาวผิวคมเข้ม ร่างสูงโปร่งดูสง่างาม ไปนั่งโต๊ะเล็กๆ สบายๆสำหรับคนเดียวไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ที่เจ้าของใบหน้าบูดๆนั่งอยู่นัก ฮโยยอนรับรายการเมนูจากลูกค้าคนใหม่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน
ขณะที่ร่างเล็กที่เริ่มรู้สึกตัวทีละนิดว่ากำลังถูกลูกค้าคนใหม่จ้องมองอยู่ จึงลุกขึ้นเดินตามฮโยยอนไป เพราะไม่อยากแสดงท่าทีไม่ต้อนรับแขกจนลูกค้าคนอื่นแตกตื่นกันไปหมดตอนนี้นักหรอก ... คนกำลังอารมณ์เสีย มองอยู่ได้!
“มานี่ ฉันทำเอง” ซันนี่คว้าถ้วยกาแฟมาจากมือเพื่อน จนผู้ที่ถูกแย่งทำได้แค่ผลักหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆด้วยความหมั่นไส้
กริ๊งงง..~
“ลูกค้ามา ฉันออกไปรับก่อนนะ ทำเสร็จแล้วก็ช่วยยกไปให้โต๊ะสองด้วยล่ะ” พูดจบก็เดินออกไปรับลูกค้า ทิ้งให้คนตัวเล็กคนกาแฟเบาๆ .. นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดดีของเธอ คือไม่ยอมเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการความละเอียดอ่อนเช่นนี้แล้ว เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้หญิงสาวสามารถเอาชนะอารมณ์ขุ่นๆของตัวเองได้
“กาแฟร้อนมาแล้วค่ะ” ซันนี่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเล็กอย่างเบามือ แต่ใบหน้ายังคงไม่มีรอยยิ้มดั่งเช่นที่เคยมีทุกวัน ร่างสูงเบนหน้าออกจากหน้าต่างมามองผู้มีใบหน้าเรียบเฉย รอยยิ้มบางๆฉายบนใบหน้าคมเข้ม
“ความจริงแล้ว ...ฉันสั่งกาแฟเย็นนะ”
คนตัวเล็กอ้าปากค้าง ไหงฮโยยอนไม่เห็นบอกอะไรเธอเลยสักนิด แต่ก็เอาเถอะ..สงบสติอารมณ์ไว้ก่อนซุนคยู ลูกค้าคือพระเจ้า นี่มันเป็นกฎที่เธอตั้งมาเองไม่ใช่เหรอ
“ขอโทษค่ะ..รอสักครู่นะคะ”
อีกไม่กี่นาทีต่อมา บนโต๊ะเล็กก็ถูกแทนที่ด้วยแก้วกาแฟเย็น และใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มของร่างสูง
“ขอคุ้กกี้เพิ่มด้วยได้ไหมคะ? ฉันเห็นโต๊ะนั้นมีกัน มันน่าทานมากเลย”
และอีกไม่กี่นาทีต่อมา จานขนาดกลางเต็มไปด้วยคุ้กกี้ร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่น อบอวลไปทั่วบริเวณก็วางอยู่ข้างๆแก้วกาแฟเย็น แต่ซันนี่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าคนตรงหน้าจะสั่งอะไรอีก
“เมื่อกี้ฉันลองกินกาแฟดูแล้ว ฉันว่าที่ฉันสั่งไปน่ะ คือมอคค่า แต่นี่มันคาปูชิโน” และแล้วมันก็เป็นไปตามคาด แต่คราวนี้ซันนี่เตรียมการมาไว้พร้อมโต้ตอบเสร็จสรรพ
“แต่ในใบที่เพื่อนฉันจด คุณสั่งไปว่าคาปูชิโนนะคะ ไม่ใช่มอคค่า”
“งั้นเหรอ..โอเค เอาเป็นว่าฉันขอสั่งเพิ่มแล้วกัน กาแฟมอคค่าเย็นที่นึงแล้วกัน”
ปึง!?
เสียงกระทบดังๆระหว่างถาดกับโต๊ะเรียกสายตาทุกคู่ในร้านให้หันมามองเป็นตาเดียวได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าตอนนี้อารมณ์ของซันนี่ได้ถึงขีดสุดแล้ว และมันกำลังจะระเบิดในไม่ช้า
“มันจะมากไปแล้วนะคุณ! ลูกค้าฉันมีเยอะแยะ ไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวนะ!” เท้าสะเอว แหวใส่ร่างสูงที่ทำหน้าใจเย็นแบบไม่รู้สำนึก ยิ่งทำให้อารมณ์เพิ่มขึ้นจนถึงระดับปรอทแตก
“เบาๆสิคุณ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหมดหรอก”
“ลูกค้าคนอื่นจะอยู่ไม่อยู่ฉันไม่สน แต่ถ้าวันนี้ฉันยังเห็นคุณนั่งอยู่ในร้านฉันอีกแม้แต่นาทีเดียวร้านนี้คงต้องพังแน่นอน!”
“เฮ้ยซัน ใจเย็นดิ! ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ พอดีวันนี้เพื่อนฉันมันอารมณ์เสียไปหน่อย ขอโทษด้วยค่ะ” ฮโยยอนตรงดิ่งเข้ามาจากอีกมุมของร้านหาซันนี่ พร้อมกับก้มหัวขอโทษขอโพยร่างสูงและลูกค้าคนอื่นๆที่จับจ้องมาทางพวกเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ถือ” คนเจ้าปัญหาขยิบตากวนๆให้ซันนี่
โอ้.. คุณแม่เจ้าคะ! ลูกกรี๊ดเสียเดี๋ยวนี้ร้านจะพังไหม!
“ขอบคุณมากๆค่ะ มานี่เลยคุณซุนคยู ไปหลังร้าน เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” ฮโยยอนสั่งเสียงเข้ม เดินนำคนตัวเล็กไป แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวการจะเดินตาม หรือเพราะมัวแต่ส่งสายตาเขม่นเข่นเขี้ยว เคืองแค้นให้ร่างสูงอยู่ก็ไม่รู้ ถึงทำให้ขาเรียวสะดุดเข้ากับขาเก้าอี้ ร่างเล็กหน้าคะมำลงกับพื้นแทบจะทันที..
“.. คุณ!”
ร่างสูงเอื้อมมือไปรับเธอไว้ ถ้าไม่ได้เขาจมูกโด่งเป็นสันนั่นก็คงทิ่ม ริมฝีปากอวบอิ่ม สวยได้รูปคงได้จูบกับพื้นเป็นแน่ ทว่าทำไมเนื้อตัวคนตัวเล็กถึงนิ่มผิดปกติ แถมดูยืดหยุ่นอีกต่างหาก เอ๊ะ! นี่มัน....
“กรี๊ดดดดดดด ดด ด! ยัยโรคจิต แก..แกจับหน้าอกฉัน!”
ผัวะ!
ทำคุณบูชาโทษแท้ๆเลย ชเว ซูยอง..
ความคิดเห็น