คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3 :: Selfish boy
Chapter 3 :: Selfish boy
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะทุกคน โปรดอย่าลืมโปรเจ็คสำคัญที่ได้สั่งไป ส่งก่อนวันศุกร์หน้านะคะ” เสียงกล่าวครั้งสุดท้ายของอาจารย์ประจำวิชาบ่งบอกถึงช่วงเวลาสิ้นสุดของการเรียนในวันนี้ นักศึกษาหลายคนบิดขี้เกียจแบบไม่เกรงใจอาจารย์ที่เดินออกไป บางคนเก็บข้าวของหลายๆอย่างที่เกลื่อนเต็มโต๊ะ แต่สำหรับ ซอจูฮยอน แล้ว นอกจากจะเก็บของบนโต๊ะ เธอยังมีหน้าที่ประจำหลังเลิกเรียนในทุกๆคาบคือปลุกเพื่อนสนิทที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทุกครั้งเมื่อการเรียนการสอนผ่านไปได้สักสิบห้านาที
สถิติการเรียนก่อนหลับที่ดีที่สุดของอิม ยุนอาคือ 35นาทีตั้งแต่เริ่มสอน ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะและหลับไปอย่างง่ายดายราวกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาอย่างนั้นแหละ!?
“ยุน ยุน เลิกเรียนแล้ว ตื่นเถอะ” นิ้วเรียวจิ้มสองสามทีที่ไหล่บาง จะมีสักวิชาไหมที่ยุนอาไม่หลับ ถึงตอนนั้นเธอคงจะต้องสร้างเรือลำใหญ่ไว้รอแบบโนอาห์ได้เลย เพราะฝนคงตกติดต่อกันเป็นเดือนๆจนน้ำท่วมโลก
“อืม..” ยุนอาลืมตาปรือ ยกตัวขึ้นนั่งนวดท้ายทอยอ้าปากหาวไม่เกรงใจคนมอง
“เมื่อไหร่เธอจะตั้งใจเรียนสักทีนะ” ซอฮยอนพยายามปั้นสีหน้าให้ดุทีสุด แต่เชื่อเถอะ มันไม่น่ากลัวเลยสักนิด อย่างน้อยก็ในสายตายุนอาคนหนึ่งล่ะ
“ก็มันน่าเบื่อนี่ แล้วฉันก็ง่วงด้วย”
“ทำอย่างกับตอนกลางคืนไม่ได้นอน” ปากก็บ่น ส่วนมือคอยเก็บของที่ไม่รู้จะเอาออกมาวางบนโต๊ะเพื่ออะไรของยุนอา เพราะยังไงก็ต้องหลับอยู่ดี
“ก็.. แอบจริงนะ” ยุนอายิ้มกริ่ม เสียงพูดแผ่วเบาเนื่องจากความเขินอาย
“เดี๋ยวนี้ไปนอนที่คอนโดพี่สิก้ามาเหรอ?” ถามไปทั้งๆที่รู้คำตอบ มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของอิม ยุนอากระตือรือร้นนักถ้าเทียบกับการเรียนอันแสนน่าเบื่อแล้ว
หญิงสาวรู้เรื่องทุกอย่างของเพื่อนสนิทคนนี้ แม้กระทั่งเรื่องที่ทำให้เธอเจ็บ เรื่องที่ทำให้เธอแอบเก็บเอาไปร้องไห้ตามลำพังบ่อยครั้ง
ใช่แล้ว..ซอ จูฮยอน แอบรัก อิม ยุนอา..
แต่เธอก็เข้าใจในความสัมพันธ์นี้ ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะก้าวข้ามเส้นบางๆของคำว่าเพื่อนสนิทไปได้ ถึงกระนั้นก็ตาม เธอเคยลองคิดจะตัดใจ สุดท้ายก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อเธอยังคงยืนอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา ยืนมองความเป็นไปที่แสนเจ็บปวดนี้...ยังคงรัก ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้...ยังคงรักทั้งๆที่เขามีคนรักอยู่แล้วทั้งคน
ฉันคงแทนที่รุ่นพี่อย่าง เจสสิก้า จอง ไม่ได้เลยสินะ...
“ใช่ อ้ะ..เดี๋ยวใกล้เวลาพี่สิก้าจะมารับฉันแล้ว รีบไปกันเถอะซอ” ยุนอาคว้ากระเป๋าจากมือเพื่อน แต่ซอฮยอนยังคงนั่งนิ่ง แววตาดูเหม่อลอย
“ซอ ซอ เฮ้! ซอ”
“ห..หะ? อะไรเหรอ”
“ทำไมหมู่นี้เธอเหม่อบ่อยจังนะ .. ไปกันเถอะ เดี๋ยวสักพักพี่สิก้าก็มารับฉันแล้ว” ยุนอาไม่ติดใจอะไรแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวคว้ามือเพื่อนสนิท เพียงกระตุกเบาๆร่างบางก็ทำตามอย่างง่ายดาย
รู้สึกเขินอายกับการกระทำนั้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ที่ทำให้ใจของเธอหวั่นไหว ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย..
“เธอชื่อ จอง ซูยอนสินะ?”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วทำไมถึงต้องมีวงเล็บว่าเจสสิก้าด้วยล่ะ” ร่างสูงเอ่ยปากถามไปตามความจริงที่ตนสงสัย แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาดูไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
“มันเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของฉัน เท่านี้แหล่ะ คุณอย่ารู้มากไปกว่านั้นเลย”
“ทำไมจะรู้ไม่ได้ล่ะ ในเมื่อคุณมาสมัครงาน แล้วฉันคือเจ้านายของคุณ ฉันต้องรู้ในทุกๆเรื่องที่คุณเป็น” ยูริกล่าว พร้อมกับยิ้มย่องเมื่อเห็นว่าตนถือไพ่เหนือกว่า
“ไม่จำเป็น เจ้านายนะ ไม่ใช่แม่ เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะบอก”
เลขานุการสาวที่คอยยืนจดการพูดคุยระหว่างคนสองคนถึงกับอ้าปากค้าง แม่เจ้าคุณเธอช่างกล้าพูด เป็นอย่างนี้เจ้านายของเธอคงจะรับเข้าทำงานหรอก
“นี่คุณ ไม่คิดจะนับถือฉันสักนิดหรือไง ถึงยังไงอำนาจการตัดสินใจจะรับคุณเข้าทำงานมันอยู่ในมือฉันแล้วนะ” ยูริกระตุกยิ้ม มองใบหน้าไม่ยอมคนของเจสสิก้า ท่าทางแบบนี้เธออยากจะรู้เหลือเกินว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง
“เจ้านายที่ปล่อยให้ฉันรอเกือบห้าชั่วโมงน่ะเหรอ แถมพอมาถึงยังชนฉันซะกระเด็นก้นกบแทบหัก ช่างเป็นเจ้านายที่แย่สิ้นดี”
“นี่เธอ!” ยูริอ้าปากค้างตามเลขานุการไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเจอไม้เด็ดกว่าของเจสสิก้า ทำไมนะ..ทุกครั้งที่เธอมีปากเสียงกับใครเธอจะชนะคนๆนั้นทุกครั้งไป แต่คราวนี้ดูเหมือนจะแพ้ยังไงชอบกล
“ทำไมหรือคะ คุณจะไม่รับฉันเข้าทำงานก็ได้ ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว .. แต่เรื่องที่บริษัทนี้ปล่อยให้ฉันนั่งรอสัมภาษณ์นานแสนนานเนี่ย จะหลุดออกไปจากปากฉันเมื่อไหร่นี่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บริษัทออกจะใหญ่ สำหรับเรื่องแค่นี้คงไม่เปื้อนมือสักเท่าไหร่หรอกมั้งคะ” เจสสิก้ายิ้มเย็นๆ ทำเอาอีกสองคนที่ยืนฟังอยู่หลังเย็นวาบ
“คิดจะมัดมือชกเหรอ”
“แล้วแต่จะคิดค่ะ ฉันเหนื่อยที่จะพูดแล้ว แล้วอีกอย่าง ฉันมีธุระที่จะต้องไปทำอีก คงไม่มีเวลามาสัมภาษณ์นานๆเหมือนที่นั่งรอคุณประธานบริษัทหรอกนะคะ หวังว่าฉันจะได้รับข่าวดีจากจดหมายของทางบริษัทคุณเร็วๆนี้นะคะ ขอตัวค่ะ” พูดจบ สาวเจ้าก็ลุกขึ้นยืนโค้งตัวเล็กน้อย ยังคงรักษายิ้มเย็นเยือกนั้นไว้ได้อย่างดีก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนสองคนนั่งแข็งทื่อราวกับถูกทิ้งไว้ที่ขั้วโลกเหนือ
“หนอย..แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เจสสิก้า จอง!”
หลังจากที่เดินออกมาจากบริษัทแล้ว เจสสิก้าหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นแบบไร้เสียงอยู่ในกระเป๋าเธอออกมารับ แม้จะแปลกใจอยู่เล็กๆที่ว่าผู้ที่โทรมานั้นไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานพอสมควร
“ลมอะไรหอบให้เธอโทรมาล่ะเนี่ยซู มีอะไรกับฉันหรือเปล่า?” หญิงสาวทักทายเสียงปลายสายอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ แต่แล้วเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้อารมณ์เธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง
[ “สิก้า ..ฟานี่ อยู่กับสิก้าหรือเปล่า?” ]
“ไม่นะ เมื่อวานสิก้าไม่เจอฟานี่เลย เกิดอะไรขึ้นเหรอซู?”
[ “งั้นก็แย่แล้วล่ะ ฟานี่ยังไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ออกตามหากันอยู่ สิก้าพอจะรู้ไหมว่ามีที่ไหนที่ฟานี่พอจะไปอยู่ได้บ้าง” ]
“นึกไม่ออกเลย เอางี้แล้วกันซู ถ้าได้ข่าวฟานี่เมื่อไหร่ฉันจะโทรไปบอก เดี๋ยวจะช่วยตามหาอีกแรง”
[ “ขอบคุณมากนะสิก้า” ]
“ไม่เป็นไร ฟานี่ก็เพื่อนฉัน” นิ้วเรียวกดปุ่มวางโรศัพท์ ก่อนจะบ่นพึมพำสองสามประโยคเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ
“เธอจะหายตัวไปไหนได้ยังไงกันนะ ทิฟฟานี่..”
นิ้วเรียวกดวางสาย สีหน้ายังคงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ชเว ซูยองเดินกลับเข้าไปในห้องที่เธอขอเดินออกมาเพื่อติดต่อไปหาเพื่อนสนิทของทิฟฟานี่อย่างเจสสิก้า .. สีหน้าผิดหวังของเธอ บอกข่าวร้ายให้กับผู้ที่รอคอยอยู่ในห้องได้เป็นอย่างดี
“เป็นอย่างไรบ้างซูยอง ฟานี่อยู่กับหนูสิก้าหรือเปล่า?” ชายวัยต้นชราเอ่ยปากถาม แม้จะรู้ถึงคำตอบนั้นลึกๆจากใบหน้าของหญิงสาวแล้วก็ตาม
“ฟานี่ไม่ได้อยู่กับสิก้าค่ะคุณลุง สิก้าบอกว่าเมื่อวานนี้ไม่ได้เจอกับฟานี่เลย .. ใจเย็นก่อนนะคะ ฟานี่อาจจะไปเที่ยวที่ไหนแล้วแบทเกิดหมด โทรบอกข่าวพวกเราไม่ได้ก็ได้”
“ไม่มีทางหรอก ฟานี่ไม่เคยทางทำแบบนั้น .. ฟานี่ต้องบอกพ่อก่อนว่าจะไปไหน จะไปทำอะไร แต่คราวนี้หายไปไหนไม่รู้เกือบวันแล้ว” ฮวัง จินโม ทรุดใบหน้าลงกับฝ่ามือ สร้างความลำบากใจให้กับอีกหลายๆคนที่ยืนอยู่ในห้อง
“ท่านอย่าได้กังวล เราจะตามหาคุณหนูให้พบครับ” ชายหนุ่มในชุดดำท่าทางน่าเกรงขามกล่าวออกมา สีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกถึงความมั่นใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของผู้เป็นพ่อดีขึ้นเลย
“นายแน่ใจอย่างนั้นหรือ คิบอม”
“แล้วแต่ท่านจะเชื่อใจครับ พวกผมพร้อมเสมอ” น้ำเสียงทุ้มยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจที่มีให้กับนายของเขา
“ถ้าอย่างนั้น..ตามหาลูกสาวฉันให้เจอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ตามหาให้เจอ!”
ประตูห้องถูกผลักออกจากตัวเบาๆ มือบางของแทยอนคว้ามือของผู้ที่จะมาอยู่ร่วมกับเธอจูงเข้าห้องไป ร่างบางสอดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชม เพราะมันดูเป็นระเบียบ ทั้งยังดูสบายตามากทีเดียว
“หลังบานกระจกใหญ่ๆนั่นห้องครัวนะ ระวังเดินชนกระจกล่ะ เพราะฉันก็ชนมันบ่อยอยู่เหมือนกัน” คนตัวเล็กเกาแก้มเขินๆให้กับความโก๊ะที่ได้บอกมิยองไป ร่างบางยิ้มกว้างให้กับท่าทางนั้น
“ส่วนนี่ก็ ห้องนอนฉันเอง มีห้องน้ำอยู่ในตัว เธอนอนที่นี่แล้วกันนะ” แทยอนผลักบานประตูเผยให้เห็นห้องนอนเล็กๆ กะทัดรัด สีและของตกแต่งภายในห้องดูเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเตียงนอนขนาดใหญ่ เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ ทำไมถึงนอนเตียงใหญ่ขนาดนี้ได้กันนะ?
“แล้วแทแทล่ะ”
“ฉันจะนอนข้างนอกน่ะ จะได้ไม่รบกวนมิยอง” ตอบตามความคิดที่คิดไว้เผื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเธอคิดว่าร่างบางคงต้องการการพักผ่อนแบบสบายๆมากกว่า เนื่องจากร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก
“ไม่เอาอ่ะ เค้าไม่นอนคนเดียวหรอกนะ” มิยองปล่อยมือตัวเองจากแทยอน เพื่อเปลี่ยนมาเป็นเกาะแขนร่างเล็กแทน ซึ่งคนตัวเล็กไม่ได้ปฏิเสธอาการออดอ้อน แต่กลับแอบเมินหน้าหนี เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอเขินแค่ไหน .. ไม่ใช่สิ เธอไม่ได้เขิน แค่ไม่คุ้นกับการกระทำนี้ต่างหากล่ะ!
“แต่ว่าฉันนอนดิ้นมากๆเลยนะ กลัวว่าจะไปทับเฝือกของมิยองเข้าน่ะสิ”
“ยังไงเค้าก็ไม่กล้านอนคนเดียวอยู่ดี เรานอนด้วยกันไม่ได้เลยเหรอแทแท”
“ก...ก็ได้” ในที่สุดคิม แทยอนก็ทนลูกอ้อนนั้นไม่ไหว ก็เล่นทั้งสายตา น้ำเสียง ยังไม่รวมถึงมือที่คอยเขย่าแขนเธอเบาๆ ใครทนไหวก็เตรียมตัวไปเป็นอนุสาวรีย์แทนเทพีสันติภาพได้เลย!
Rrrr.. Rrr..
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เกือบทำให้สองคนที่ยืนอยู่ภายในห้องเงียบตกใจ แทยอนเดินดุ่มๆตรงไปรับโทรศัพท์ แต่แล้วเสียงปลายที่ดังทะลุหูราวกับว่าคุยกันคนละฝั่งฝากสนามฟุตบอล จนแทยอนต้องกางแขนออกเพื่อป้องกันไม่ให้หูอื้อก่อนวัย
[ “คิม แทยอน! วันนี้เป็นบ้าอะไรของเธอถึงไม่มาทำงานฮะ! โทรไปกี่ครั้งๆก็ไม่ยอมรับสาย อยากโดนดีนักหรือไง” ]
“ใจเย็นสิซันนี่ ฉันขอโทษ พอดีวันนี้ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ” แทยอนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแห้งๆ หน้าหดเล็กเหลือสองเซ็นต์ อันที่จริงแล้วส่วนสูงก็คงจะหดสั้นลงไปอีกสามสี่เซ็นติเมตรในสายตาของมิยอง
[ “มีธุระไปทัวร์สวรรค์วิมานอะไรก็โทรมาบอกกันสิยะ! เดี๋ยวแม่กระโดดงับหัว” ]
“ซุนคยูอาาา~ เดี๋ยวฉันไปๆ อีกสักพักนึงน้า อย่าเพิ่งทำอะไรฉันเลยย~” บีบน้ำตาจีบปากจีบคอให้น่าสงสารที่สุดใส่โทรศัพท์ แต่กลับสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆให้กับคนที่ยืนฟังอยู่ด้วย
[ “อีกสามสิบนาที! ถ้าเธอยังไม่มานะแทยอน เตรียมโลงไว้ได้เลย!” ]
“เจ้าค่ะ คุณเจ้านายบังเกิดเกล้า”
[ “เธอว่ายังไงนะ!” ]
“อ่ะ..เปล๊า เปล่าๆ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
[ “งั้นก็แล้วไป” ]
แทยอนวางสายโทรศัพท์ ร่างกายเธอแทบจะล้มทั้งยืนได้อยู่แล้ว เป็นปีเป็นชาติเธอไม่เคยเห็นซันนี่โหดขนาดนี้มาก่อน ก็แค่หยุดงานไปแล้วไม่ได้โทรไปบอกเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้เลย คิม แทยอนล่ะเครียดด
“มิยอง.. คือว่าฉันจะต้องไปทำงานน่ะ เธอจะ..”
ประโยคต่อไปที่ว่า ‘จะอยู่คนเดียวได้ไหม?’ ของแทยอนถูกกลืนลงคอไปทันทีเมื่อเห็นสายตาของร่างบาง ถึงยังไงซะ ฉันคงปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก
“..ไปด้วยกันกับฉันไหม?”
“ไปสิ” มิยองยิ้มตาหยีด้วยความดีใจ วิ่งร่าเข้ามาเกาะแขนร่างเล็กที่ต้องเบือนหน้าหนีเพราะความเขินอีกแล้ว ..ตกลงเธอเขินจริงๆเหรอเนี่ย แทยอน?
“แต่เธอห้ามกระโดด ห้ามวิ่ง ห้ามทำอะไรผาดโผนเหมือนเมื่อกี้อีกนะ ฉันกลัวว่าเธอจะเจ็บหนักกว่าเดิม แล้วเธอก็ต้องเชื่อฟังฉันนะ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจค่ะ”
“ดีมาก งั้นเราไปกันเถอะ”
กรี๊ดดดดด ดด ด~~!!! เจสสิก้าทำได้เพียงแค่กรีดร้องดังๆในใจเท่านั้นเมื่อพบว่ารถของเธอดันน้ำมันหมดซะนี่ เพิ่งขับออกจากบริษัทยังไม่ถึงทางออกเลย นี่เธออุตส่าห์มั่นใจแล้วนะว่าน้ำมันมีมากพอจนไปถึงวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมมันถึงหดแห้งหมดถึงเช่นนี้เล่า!
รอยัยประธานนั่นก็เกินเวลามานานแล้ว ยังจะมาน้ำมันหมดอีก ป่านนี้ยุนอาคงเลิกเรียนแล้วสินะ .. เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็หยิบมือถือออกมาโทรไปบอกก่อนดีกว่าว่าอาจจะไปรับสายหน่อย
‘แบทเตอรี่อ่อน’
โฮกกก กก ก~! หญิงสาวแทบจะทึ้งผมตัวเอง ยังดีที่เธอห่วงภาพพจน์มากกว่าสิ่งอื่นใด ทำไมต้องมาหมดในเวลาแบบนี้ด้วยนะ นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าเวลาซวยก็ต้องซวยให้รู้แล้วรู้รอดไป ยังไงซะ เธอก็เลือกโทษยัยประธานบริษัทนั่นคนเดียว! ว่าแล้วก็เดินลงจากรถเผื่อหาใครบางคนที่เดินผ่านไปผ่านมา อย่างน้อยอาจจะเป็นตัวช่วยได้
ปริ๊นน.. ปริ๊นนนน น..
“กรี๊ดด ด..” คราวนี้เจสสิก้าได้ร้องกรี๊ดออกมาจริงๆ เธอหมุนตัวกลับไปมองตัวต้นเหตุที่บังอาจบีบแตรใส่ ก็เจอเข้ากับรถแอสตัน มาร์ตินฉาบสีดำไปทั่วทั้งคัน หญิงสาวจ้องมองรถคันนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จะชนก็ไม่ได้ชนสักหน่อยจะมาบีบแตรใส่หาสวรรค์วิมานอะไรยะ เดี๋ยวแม่หยิบคัตเตอร์มากรีดรอบรถซะเลยนี่
“นี่คุณ! ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ แล้วจอดรถขวางทางแบบนี้หมายความว่ายังไง”
แต่แล้วเจ้าของรถที่โผล่หน้าออกมาก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ใช่เปลี่ยนใจเลิกกรีดรถหรอกนะ แต่เปลี่ยนไปเป็นเอาก้อนหินมาปาใส่เอาให้เจ็บทั้งคนทั้งรถเลยนี่แหละ!
“ถามแล้วไม่ตอบ อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้ฉันไม่ควรรู้ในฐานะเจ้านายอีกน่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริงแล้ว..”
“อันที่จริงแล้วอะไร มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ”
“น้ำมันฉันหมดพอดีน่ะ รถมันเลยต้องจอดค้างแบบนี้” อันที่จริงไม่ได้อยากตอบคำถามยูริสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่ตอบไปก็เผื่อว่าเขาจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง (ได้ข่าวว่าเมื่อครู่ทำอะไรกับเขาไว้ เจสสิก้า?)
“ทำไมไม่เติมน้ำมันให้มันดีๆก่อนล่ะ คุณนี่..เบ๊อะ จริงๆ”
“ว่าไงนะ!”
“ขึ้นรถสิ บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” เจสสิก้าอ้าปากค้างกับคำอาสาของยูริ ไม่น่าเชื่อ .. ยัยนี่คิดว่าตัวเองกำลังทำคุณบูชาโทษอยู่หรือเปล่านะ?
“ไม่ล่ะ..ฉันต้องไปรับใครบางคนอีก”
“งั้นเดี๋ยวฉันพาไปเอง วันนี้ฉันว่าง ถือซะว่าฉันไถ่โทษที่ทำให้คุณรอเกือบห้าชั่วโมงแล้วกันนะ”
“ว่างมากขนาดนั้นแล้วทำไมถึงปล่อยให้ฉันรอได้ล่ะ .. คุณไปเถอะ ฉันมาเอง กลับเองได้” คำเสนอของยูริเล่นเอาเธอปฏิเสธไม่ลง แต่เล่นตัวสักหน่อยก็ยังดี..
“โอเค..ฉันไปละ โชคดีนะ”
เจสสิก้าอ้าปากเหวอค้าง เมื่อยูริขับรถแล่นผ่านตัวเธอไปอย่างไร้เยื่อใย แม่คุณเธออยากจะกรี๊ดดังๆออกมาให้ได้ยินไปอีกสักสี่กิโลเมตร ไม่รู้จักคำว่าเล่นตัวนิดเล่นตัวหน่อยหรือไงกันนะ! ประธานบริษัทนี้แย่ที่สุด!!
กริ๊งง ง..
“มาสักทีสินะ คิม แทยอน!”
ทันทีที่แทยอนดันประตูร้านเข้าไป ผู้ที่ออกมาต้อนรับเธอก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของร้านรายใหญ่อย่างซันนี่ที่ปั้นหน้าโหดเตรียมจะเขมือบเธอได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าแทยอนไม่ได้มาเพียงคนเดียวใบหน้าโหดๆนั้นก็ฉายความสงสัยออกมาแทน
“พาใครมาด้วยน่ะแทยอน?” ซันนี่ชะเง้อคอมองร่างบางที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแทยอน คนตัวเล็กคว้ามือผู้ที่อยู่ด้านหลังมากุมไว้ หันไปพยักหน้าให้หนึ่งทีเพื่อให้เธอกล้าเดินออกมายืนเผชิญหน้ากับซันนี่
“ส..สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ...มิยอง” มิยองโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย แต่ซันนี่ยังคงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“เพื่อนแทเหรอ? แล้วทำไมถึงมีแผล อย่างกับเป็นทหารผ่านศึกมาอย่างนี้ล่ะ” ฮโยยอนที่ตามมาสมทบทีหลังเอ่ยถามเมื่อเห็นสภาพผ้าพันแผลที่ศีรษะและเฝือกที่แขนของมิยอง
“เอ่อ..คือ..เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังหลังร้านนะ มิยอง เธอไปนั่งรอฉันที่โต๊ะนั้นก่อน โอเคไหม? เดี๋ยวฉันมา”
มิยองพยักหน้าเนือยๆ เดินไปนั่งตามที่แทยอนบอก เฝ้ามองคนตัวเล็กพาเพื่อนทั้งสองคนหายเข้าไปในหลังร้าน เธอไม่ชอบเลยเวลาที่อยู่ห่างจากคนตัวเล็กนั่น รู้สึกหวาดกลัวสิ่งรอบข้างผิดปกติ ผิดกับเวลาที่ได้อยู่ข้างๆแทยอน มันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก..
แทยอนเล่าเรื่องให้เพื่อนทั้งสองคนฟังทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่มียูริเข้ามาช่วย เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเคยรู้จักและเห็นยูริมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้ว่ายูรินั้นสนิทกับแทยอนแค่ไหน
“ทำไมคังอินถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ” ฮโยยอนเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็นทันทีหลังจากแทยอนเล่าจบ
“ฉันคิดว่า..เขาอาจจะกำลังสับสนน่ะ วันนี้ถ้าเขามาที่นี่ฉันจะเป็นคนบอกเขาเอง” แทยอนพูดราวกับจะแก้ตัวให้ อาจจะเป็นเพราะเธอรู้จักกับคังอินมากพอที่จะไม่ตัดสินใจไปในทันทีว่าเขาเป็นคนอย่างไร บางทีเขาอาจจะกำลังสับสนจริงๆ..
“แล้วสรุปว่ามิยองต้องไปอยู่กับเธองั้นหรือแทยอน” คราวนี้ซันนี่เป็นฝ่ายถามบ้าง แววตาและน้ำเสียงดูเศร้าหมองจนผิดสังเกตในสายตาของฮโยยอน แต่สำหรับแทยอนแล้วกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
“ใช่..ฉันเห็นใจเขาน่ะ แค่ตื่นมารู้ว่าตัวเองความจำเสื่อมไม่มีแม้แต่คนรู้จักก็น่าสงสารพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ในโรงพยาบาลหรอก คงจะหดหู่มากพอดู”
“ดีจังเลยนะ งั้นฉันลองวิ่งออกไปให้รถชนจนสมองเสื่อมบ้างดีกว่า เผื่อจะมีใครมาเก็บฉันไปเลี้ยงบ้าง”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิซุนคยู ไม่มีเธอแล้วเราจะเปิดร้านยังไงล่ะ จริงไหมฮโย?” แทยอนพูดหยอกเล่น แต่ฝ่ายที่ได้ยินกลับคิดน้อยใจไปต่างๆนานา ..สำหรับเธอแล้ว แทยอนคงคิดกับเธอได้แค่นี้จริงๆล่ะซุนคยู..
หญิงสาวแกล้งฝืนแยกเขี้ยวตลกๆอย่างที่เคยทำในทุกๆครั้งก่อนจะเดินออกไปข้างนอกร้านเพื่อหลบสายตา แทยอนเดินตามออกไป แต่ไม่ได้เดินตามเพื่อนไปหรอก เธอเดินออกไปหาคนที่สั่งไว้ให้นั่งรอต่างหากล่ะ
“รอฉันนานไหมมิยอง?” แทยอนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้หญิงสาวที่นั่งหน้าหงอย มิยองส่ายหน้าช้าๆเพื่อบอกว่ามันไม่นานเลยสักนิด
แต่มันเชื่องช้าเอามากๆในความรู้สึกของเธอต่างหากเล่า!
“คิม แทยอน! ฉันเรียกให้เธอมาทำงานนะ ไม่ใช่มานั่งอู้” เสียงแหวดังข้ามหัวลูกค้าแบบไม่เกรงใจใครของซันนี่ กระตุ้นให้แทยอนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“เจ้าค่า คุณซุนคยู~ .... นั่งอยู่ตรงนี้แหละนะมิยอง ฉันไม่ไปไหนหรอก แล้วจะเดินผ่านเธอบ่อยๆ”
แรกๆนั้นมิยองทำปากแบะ แต่พอแทยอนลูบผมเธอเบาๆด้วยความเอ็นดูนั้นก็ทำให้เธอคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว
“น่ารักจัง หมีน้อยของฉัน”
ดีที่ว่าคนที่พูดประโยคหันหลังเดินเข้าไปหลังร้านพอดี ก่อนจะได้เห็นว่าใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่นั้นจากสีขาวใสถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ พูดแบบนี้ใครก็เขินเป็นทั้งนั้นแหละ..
กริ๊งง ง..
“สวัสดีค่ะ ร้านซัน ไชน์ ยินดีต้อนรับค่ะ ... ค..คังอิน..”
ความคิดเห็น