ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SNSD] You are my dream that comes true. (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3 :: Selfish boy

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 54




    Chapter 3 :: Selfish boy




                 “วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะทุกคน  โปรดอย่าลืมโปรเจ็คสำคัญที่ได้สั่งไป  ส่งก่อนวันศุกร์หน้านะคะ” เสียงกล่าวครั้งสุดท้ายของอาจารย์ประจำวิชาบ่งบอกถึงช่วงเวลาสิ้นสุดของการเรียนในวันนี้  นักศึกษาหลายคนบิดขี้เกียจแบบไม่เกรงใจอาจารย์ที่เดินออกไป  บางคนเก็บข้าวของหลายๆอย่างที่เกลื่อนเต็มโต๊ะ  แต่สำหรับ ซอจูฮยอน แล้ว นอกจากจะเก็บของบนโต๊ะ เธอยังมีหน้าที่ประจำหลังเลิกเรียนในทุกๆคาบคือปลุกเพื่อนสนิทที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทุกครั้งเมื่อการเรียนการสอนผ่านไปได้สักสิบห้านาที


                สถิติการเรียนก่อนหลับที่ดีที่สุดของอิม ยุนอาคือ 35นาทีตั้งแต่เริ่มสอน ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะและหลับไปอย่างง่ายดายราวกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาอย่างนั้นแหละ
    !?


                “ยุน ยุน เลิกเรียนแล้ว ตื่นเถอะ” นิ้วเรียวจิ้มสองสามทีที่ไหล่บาง จะมีสักวิชาไหมที่ยุนอาไม่หลับ ถึงตอนนั้นเธอคงจะต้องสร้างเรือลำใหญ่ไว้รอแบบโนอาห์ได้เลย เพราะฝนคงตกติดต่อกันเป็นเดือนๆจนน้ำท่วมโลก


                “อืม..” ยุนอาลืมตาปรือ ยกตัวขึ้นนั่งนวดท้ายทอยอ้าปากหาวไม่เกรงใจคนมอง


                “เมื่อไหร่เธอจะตั้งใจเรียนสักทีนะ” ซอฮยอนพยายามปั้นสีหน้าให้ดุทีสุด แต่เชื่อเถอะ มันไม่น่ากลัวเลยสักนิด อย่างน้อยก็ในสายตายุนอาคนหนึ่งล่ะ


                “ก็มันน่าเบื่อนี่ แล้วฉันก็ง่วงด้วย”


                “ทำอย่างกับตอนกลางคืนไม่ได้นอน” ปากก็บ่น ส่วนมือคอยเก็บของที่ไม่รู้จะเอาออกมาวางบนโต๊ะเพื่ออะไรของยุนอา เพราะยังไงก็ต้องหลับอยู่ดี


                “ก็.. แอบจริงนะ” ยุนอายิ้มกริ่ม เสียงพูดแผ่วเบาเนื่องจากความเขินอาย


                “เดี๋ยวนี้ไปนอนที่คอนโดพี่สิก้ามาเหรอ?” ถามไปทั้งๆที่รู้คำตอบ มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของอิม ยุนอากระตือรือร้นนักถ้าเทียบกับการเรียนอันแสนน่าเบื่อแล้ว


                หญิงสาวรู้เรื่องทุกอย่างของเพื่อนสนิทคนนี้  แม้กระทั่งเรื่องที่ทำให้เธอเจ็บ เรื่องที่ทำให้เธอแอบเก็บเอาไปร้องไห้ตามลำพังบ่อยครั้ง


                ใช่แล้ว..ซอ จูฮยอน แอบรัก อิม ยุนอา..


                แต่เธอก็เข้าใจในความสัมพันธ์นี้ ความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันจะก้าวข้ามเส้นบางๆของคำว่าเพื่อนสนิทไปได้  ถึงกระนั้นก็ตาม เธอเคยลองคิดจะตัดใจ สุดท้ายก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อเธอยังคงยืนอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา ยืนมองความเป็นไปที่แสนเจ็บปวดนี้...ยังคงรัก ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้...ยังคงรักทั้งๆที่เขามีคนรักอยู่แล้วทั้งคน


              ฉันคงแทนที่รุ่นพี่อย่าง เจสสิก้า จอง ไม่ได้เลยสินะ...


                “ใช่  อ้ะ..เดี๋ยวใกล้เวลาพี่สิก้าจะมารับฉันแล้ว รีบไปกันเถอะซอ” ยุนอาคว้ากระเป๋าจากมือเพื่อน แต่ซอฮยอนยังคงนั่งนิ่ง แววตาดูเหม่อลอย


                “ซอ ซอ เฮ้
    ! ซอ”


                “ห..หะ? อะไรเหรอ”


                “ทำไมหมู่นี้เธอเหม่อบ่อยจังนะ .. ไปกันเถอะ เดี๋ยวสักพักพี่สิก้าก็มารับฉันแล้ว” ยุนอาไม่ติดใจอะไรแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวคว้ามือเพื่อนสนิท เพียงกระตุกเบาๆร่างบางก็ทำตามอย่างง่ายดาย 


                รู้สึกเขินอายกับการกระทำนั้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ที่ทำให้ใจของเธอหวั่นไหว ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าคำว่าเพื่อนเลย..


     

     


                “เธอชื่อ จอง ซูยอนสินะ?”


                “ใช่ค่ะ”


                “แล้วทำไมถึงต้องมีวงเล็บว่าเจสสิก้าด้วยล่ะ” ร่างสูงเอ่ยปากถามไปตามความจริงที่ตนสงสัย แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาดูไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่


                “มันเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของฉัน  เท่านี้แหล่ะ  คุณอย่ารู้มากไปกว่านั้นเลย”


                “ทำไมจะรู้ไม่ได้ล่ะ ในเมื่อคุณมาสมัครงาน แล้วฉันคือเจ้านายของคุณ ฉันต้องรู้ในทุกๆเรื่องที่คุณเป็น” ยูริกล่าว พร้อมกับยิ้มย่องเมื่อเห็นว่าตนถือไพ่เหนือกว่า


                “ไม่จำเป็น  เจ้านายนะ ไม่ใช่แม่  เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะบอก”


                เลขานุการสาวที่คอยยืนจดการพูดคุยระหว่างคนสองคนถึงกับอ้าปากค้าง  แม่เจ้าคุณเธอช่างกล้าพูด  เป็นอย่างนี้เจ้านายของเธอคงจะรับเข้าทำงานหรอก


                “นี่คุณ  ไม่คิดจะนับถือฉันสักนิดหรือไง  ถึงยังไงอำนาจการตัดสินใจจะรับคุณเข้าทำงานมันอยู่ในมือฉันแล้วนะ” ยูริกระตุกยิ้ม มองใบหน้าไม่ยอมคนของเจสสิก้า ท่าทางแบบนี้เธออยากจะรู้เหลือเกินว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง


                “เจ้านายที่ปล่อยให้ฉันรอเกือบห้าชั่วโมงน่ะเหรอ  แถมพอมาถึงยังชนฉันซะกระเด็นก้นกบแทบหัก  ช่างเป็นเจ้านายที่แย่สิ้นดี”


                “นี่เธอ
    !” ยูริอ้าปากค้างตามเลขานุการไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเจอไม้เด็ดกว่าของเจสสิก้า  ทำไมนะ..ทุกครั้งที่เธอมีปากเสียงกับใครเธอจะชนะคนๆนั้นทุกครั้งไป  แต่คราวนี้ดูเหมือนจะแพ้ยังไงชอบกล


                “ทำไมหรือคะ  คุณจะไม่รับฉันเข้าทำงานก็ได้ ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว .. แต่เรื่องที่บริษัทนี้ปล่อยให้ฉันนั่งรอสัมภาษณ์นานแสนนานเนี่ย จะหลุดออกไปจากปากฉันเมื่อไหร่นี่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน  บริษัทออกจะใหญ่  สำหรับเรื่องแค่นี้คงไม่เปื้อนมือสักเท่าไหร่หรอกมั้งคะ” เจสสิก้ายิ้มเย็นๆ ทำเอาอีกสองคนที่ยืนฟังอยู่หลังเย็นวาบ


                “คิดจะมัดมือชกเหรอ”


                “แล้วแต่จะคิดค่ะ ฉันเหนื่อยที่จะพูดแล้ว  แล้วอีกอย่าง ฉันมีธุระที่จะต้องไปทำอีก  คงไม่มีเวลามาสัมภาษณ์นานๆเหมือนที่นั่งรอคุณประธานบริษัทหรอกนะคะ หวังว่าฉันจะได้รับข่าวดีจากจดหมายของทางบริษัทคุณเร็วๆนี้นะคะ  ขอตัวค่ะ” พูดจบ สาวเจ้าก็ลุกขึ้นยืนโค้งตัวเล็กน้อย ยังคงรักษายิ้มเย็นเยือกนั้นไว้ได้อย่างดีก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คนสองคนนั่งแข็งทื่อราวกับถูกทิ้งไว้ที่ขั้วโลกเหนือ


                “หนอย..แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เจสสิก้า จอง
    !

     


     

                หลังจากที่เดินออกมาจากบริษัทแล้ว เจสสิก้าหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นแบบไร้เสียงอยู่ในกระเป๋าเธอออกมารับ แม้จะแปลกใจอยู่เล็กๆที่ว่าผู้ที่โทรมานั้นไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานพอสมควร


                “ลมอะไรหอบให้เธอโทรมาล่ะเนี่ยซู มีอะไรกับฉันหรือเปล่า?” หญิงสาวทักทายเสียงปลายสายอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ แต่แล้วเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้อารมณ์เธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง


               
    [ “สิก้า  ..ฟานี่ อยู่กับสิก้าหรือเปล่า?” ]


                “ไม่นะ เมื่อวานสิก้าไม่เจอฟานี่เลย   เกิดอะไรขึ้นเหรอซู?”


               
    [ “งั้นก็แย่แล้วล่ะ ฟานี่ยังไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ออกตามหากันอยู่  สิก้าพอจะรู้ไหมว่ามีที่ไหนที่ฟานี่พอจะไปอยู่ได้บ้าง” ]


                “นึกไม่ออกเลย เอางี้แล้วกันซู  ถ้าได้ข่าวฟานี่เมื่อไหร่ฉันจะโทรไปบอก เดี๋ยวจะช่วยตามหาอีกแรง”


               
    [ “ขอบคุณมากนะสิก้า” ]


                “ไม่เป็นไร ฟานี่ก็เพื่อนฉัน” นิ้วเรียวกดปุ่มวางโรศัพท์ ก่อนจะบ่นพึมพำสองสามประโยคเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ


                “เธอจะหายตัวไปไหนได้ยังไงกันนะ ทิฟฟานี่..”

               


     

                นิ้วเรียวกดวางสาย สีหน้ายังคงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด  ชเว ซูยองเดินกลับเข้าไปในห้องที่เธอขอเดินออกมาเพื่อติดต่อไปหาเพื่อนสนิทของทิฟฟานี่อย่างเจสสิก้า  ..  สีหน้าผิดหวังของเธอ บอกข่าวร้ายให้กับผู้ที่รอคอยอยู่ในห้องได้เป็นอย่างดี


                “เป็นอย่างไรบ้างซูยอง  ฟานี่อยู่กับหนูสิก้าหรือเปล่า?” ชายวัยต้นชราเอ่ยปากถาม แม้จะรู้ถึงคำตอบนั้นลึกๆจากใบหน้าของหญิงสาวแล้วก็ตาม


                “ฟานี่ไม่ได้อยู่กับสิก้าค่ะคุณลุง  สิก้าบอกว่าเมื่อวานนี้ไม่ได้เจอกับฟานี่เลย .. ใจเย็นก่อนนะคะ ฟานี่อาจจะไปเที่ยวที่ไหนแล้วแบทเกิดหมด โทรบอกข่าวพวกเราไม่ได้ก็ได้”


                “ไม่มีทางหรอก ฟานี่ไม่เคยทางทำแบบนั้น .. ฟานี่ต้องบอกพ่อก่อนว่าจะไปไหน จะไปทำอะไร แต่คราวนี้หายไปไหนไม่รู้เกือบวันแล้ว” ฮวัง จินโม ทรุดใบหน้าลงกับฝ่ามือ สร้างความลำบากใจให้กับอีกหลายๆคนที่ยืนอยู่ในห้อง


                “ท่านอย่าได้กังวล เราจะตามหาคุณหนูให้พบครับ” ชายหนุ่มในชุดดำท่าทางน่าเกรงขามกล่าวออกมา  สีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกถึงความมั่นใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของผู้เป็นพ่อดีขึ้นเลย


                “นายแน่ใจอย่างนั้นหรือ คิบอม”


                “แล้วแต่ท่านจะเชื่อใจครับ พวกผมพร้อมเสมอ” น้ำเสียงทุ้มยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจที่มีให้กับนายของเขา


                “ถ้าอย่างนั้น..ตามหาลูกสาวฉันให้เจอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ตามหาให้เจอ
    !

     




                ประตูห้องถูกผลักออกจากตัวเบาๆ  มือบางของแทยอนคว้ามือของผู้ที่จะมาอยู่ร่วมกับเธอจูงเข้าห้องไป   ร่างบางสอดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชม เพราะมันดูเป็นระเบียบ ทั้งยังดูสบายตามากทีเดียว


                “หลังบานกระจกใหญ่ๆนั่นห้องครัวนะ ระวังเดินชนกระจกล่ะ เพราะฉันก็ชนมันบ่อยอยู่เหมือนกัน” คนตัวเล็กเกาแก้มเขินๆให้กับความโก๊ะที่ได้บอกมิยองไป  ร่างบางยิ้มกว้างให้กับท่าทางนั้น


                “ส่วนนี่ก็  ห้องนอนฉันเอง มีห้องน้ำอยู่ในตัว  เธอนอนที่นี่แล้วกันนะ” แทยอนผลักบานประตูเผยให้เห็นห้องนอนเล็กๆ กะทัดรัด  สีและของตกแต่งภายในห้องดูเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเตียงนอนขนาดใหญ่   เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ ทำไมถึงนอนเตียงใหญ่ขนาดนี้ได้กันนะ?


                “แล้วแทแทล่ะ”


                “ฉันจะนอนข้างนอกน่ะ จะได้ไม่รบกวนมิยอง” ตอบตามความคิดที่คิดไว้เผื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเธอคิดว่าร่างบางคงต้องการการพักผ่อนแบบสบายๆมากกว่า เนื่องจากร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก


                “ไม่เอาอ่ะ เค้าไม่นอนคนเดียวหรอกนะ” มิยองปล่อยมือตัวเองจากแทยอน เพื่อเปลี่ยนมาเป็นเกาะแขนร่างเล็กแทน  ซึ่งคนตัวเล็กไม่ได้ปฏิเสธอาการออดอ้อน แต่กลับแอบเมินหน้าหนี เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอเขินแค่ไหน ..
     ไม่ใช่สิ เธอไม่ได้เขิน แค่ไม่คุ้นกับการกระทำนี้ต่างหากล่ะ!


                 “แต่ว่าฉันนอนดิ้นมากๆเลยนะ กลัวว่าจะไปทับเฝือกของมิยองเข้าน่ะสิ”


                “ยังไงเค้าก็ไม่กล้านอนคนเดียวอยู่ดี  เรานอนด้วยกันไม่ได้เลยเหรอแทแท”


                “ก...ก็ได้” ในที่สุดคิม แทยอนก็ทนลูกอ้อนนั้นไม่ไหว  ก็เล่นทั้งสายตา น้ำเสียง ยังไม่รวมถึงมือที่คอยเขย่าแขนเธอเบาๆ ใครทนไหวก็เตรียมตัวไปเป็นอนุสาวรีย์แทนเทพีสันติภาพได้เลย
    !


               
    Rrrr.. Rrr..


                เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เกือบทำให้สองคนที่ยืนอยู่ภายในห้องเงียบตกใจ  แทยอนเดินดุ่มๆตรงไปรับโทรศัพท์  แต่แล้วเสียงปลายที่ดังทะลุหูราวกับว่าคุยกันคนละฝั่งฝากสนามฟุตบอล จนแทยอนต้องกางแขนออกเพื่อป้องกันไม่ให้หูอื้อก่อนวัย


               
    [ “คิม แทยอน! วันนี้เป็นบ้าอะไรของเธอถึงไม่มาทำงานฮะ! โทรไปกี่ครั้งๆก็ไม่ยอมรับสาย อยากโดนดีนักหรือไง” ]


                “ใจเย็นสิซันนี่ ฉันขอโทษ พอดีวันนี้ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ” แทยอนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแห้งๆ หน้าหดเล็กเหลือสองเซ็นต์ อันที่จริงแล้วส่วนสูงก็คงจะหดสั้นลงไปอีกสามสี่เซ็นติเมตรในสายตาของมิยอง


               
    [ “มีธุระไปทัวร์สวรรค์วิมานอะไรก็โทรมาบอกกันสิยะ! เดี๋ยวแม่กระโดดงับหัว” ]


                “ซุนคยูอาาา~ เดี๋ยวฉันไปๆ อีกสักพักนึงน้า อย่าเพิ่งทำอะไรฉันเลยย~” บีบน้ำตาจีบปากจีบคอให้น่าสงสารที่สุดใส่โทรศัพท์ แต่กลับสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆให้กับคนที่ยืนฟังอยู่ด้วย


               
    [ “อีกสามสิบนาที! ถ้าเธอยังไม่มานะแทยอน เตรียมโลงไว้ได้เลย!]


                “เจ้าค่ะ คุณเจ้านายบังเกิดเกล้า”


               
    [ “เธอว่ายังไงนะ!]


                “อ่ะ..เปล๊า เปล่าๆ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”


               
    [ “งั้นก็แล้วไป” ]


                แทยอนวางสายโทรศัพท์ ร่างกายเธอแทบจะล้มทั้งยืนได้อยู่แล้ว เป็นปีเป็นชาติเธอไม่เคยเห็นซันนี่โหดขนาดนี้มาก่อน ก็แค่หยุดงานไปแล้วไม่ได้โทรไปบอกเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้เลย  คิม แทยอนล่ะเครียดด


                “มิยอง.. คือว่าฉันจะต้องไปทำงานน่ะ เธอจะ..”


                ประโยคต่อไปที่ว่า
    จะอยู่คนเดียวได้ไหม? ของแทยอนถูกกลืนลงคอไปทันทีเมื่อเห็นสายตาของร่างบาง ถึงยังไงซะ ฉันคงปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก


                “..ไปด้วยกันกับฉันไหม?”


                “ไปสิ” มิยองยิ้มตาหยีด้วยความดีใจ วิ่งร่าเข้ามาเกาะแขนร่างเล็กที่ต้องเบือนหน้าหนีเพราะความเขินอีกแล้ว ..ตกลงเธอเขินจริงๆเหรอเนี่ย แทยอน?


                “แต่เธอห้ามกระโดด ห้ามวิ่ง ห้ามทำอะไรผาดโผนเหมือนเมื่อกี้อีกนะ  ฉันกลัวว่าเธอจะเจ็บหนักกว่าเดิม  แล้วเธอก็ต้องเชื่อฟังฉันนะ เข้าใจไหม?”


                “เข้าใจค่ะ”


                “ดีมาก งั้นเราไปกันเถอะ”

     

     



                กรี๊ดดดดด ดด ด
    ~~!!!  เจสสิก้าทำได้เพียงแค่กรีดร้องดังๆในใจเท่านั้นเมื่อพบว่ารถของเธอดันน้ำมันหมดซะนี่ เพิ่งขับออกจากบริษัทยังไม่ถึงทางออกเลย นี่เธออุตส่าห์มั่นใจแล้วนะว่าน้ำมันมีมากพอจนไปถึงวันพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมมันถึงหดแห้งหมดถึงเช่นนี้เล่า!


                รอยัยประธานนั่นก็เกินเวลามานานแล้ว ยังจะมาน้ำมันหมดอีก ป่านนี้ยุนอาคงเลิกเรียนแล้วสินะ  .. เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็หยิบมือถือออกมาโทรไปบอกก่อนดีกว่าว่าอาจจะไปรับสายหน่อย


               
    แบทเตอรี่อ่อน


                โฮกกก กก ก
    ~!  หญิงสาวแทบจะทึ้งผมตัวเอง ยังดีที่เธอห่วงภาพพจน์มากกว่าสิ่งอื่นใด ทำไมต้องมาหมดในเวลาแบบนี้ด้วยนะ นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าเวลาซวยก็ต้องซวยให้รู้แล้วรู้รอดไป  ยังไงซะ เธอก็เลือกโทษยัยประธานบริษัทนั่นคนเดียว! ว่าแล้วก็เดินลงจากรถเผื่อหาใครบางคนที่เดินผ่านไปผ่านมา อย่างน้อยอาจจะเป็นตัวช่วยได้


              ปริ๊นน.. ปริ๊นนนน น..


                “กรี๊ดด ด..” คราวนี้เจสสิก้าได้ร้องกรี๊ดออกมาจริงๆ เธอหมุนตัวกลับไปมองตัวต้นเหตุที่บังอาจบีบแตรใส่  ก็เจอเข้ากับรถแอสตัน มาร์ตินฉาบสีดำไปทั่วทั้งคัน  หญิงสาวจ้องมองรถคันนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


                จะชนก็ไม่ได้ชนสักหน่อยจะมาบีบแตรใส่หาสวรรค์วิมานอะไรยะ  เดี๋ยวแม่หยิบคัตเตอร์มากรีดรอบรถซะเลยนี่


                “นี่คุณ
    ! ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ แล้วจอดรถขวางทางแบบนี้หมายความว่ายังไง”


                แต่แล้วเจ้าของรถที่โผล่หน้าออกมาก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจกะทันหัน  ไม่ใช่เปลี่ยนใจเลิกกรีดรถหรอกนะ  แต่เปลี่ยนไปเป็นเอาก้อนหินมาปาใส่เอาให้เจ็บทั้งคนทั้งรถเลยนี่แหละ
    !


                “ถามแล้วไม่ตอบ  อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้ฉันไม่ควรรู้ในฐานะเจ้านายอีกน่ะ”


                “ไม่ใช่อย่างนั้น อันที่จริงแล้ว..”


                “อันที่จริงแล้วอะไร  มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ”


                “น้ำมันฉันหมดพอดีน่ะ รถมันเลยต้องจอดค้างแบบนี้” อันที่จริงไม่ได้อยากตอบคำถามยูริสักเท่าไหร่หรอก แต่ที่ตอบไปก็เผื่อว่าเขาจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง (ได้ข่าวว่าเมื่อครู่ทำอะไรกับเขาไว้ เจสสิก้า?)


                “ทำไมไม่เติมน้ำมันให้มันดีๆก่อนล่ะ คุณนี่..เบ๊อะ จริงๆ”


                “ว่าไงนะ
    !


                “ขึ้นรถสิ บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง”  เจสสิก้าอ้าปากค้างกับคำอาสาของยูริ ไม่น่าเชื่อ .. ยัยนี่คิดว่าตัวเองกำลังทำคุณบูชาโทษอยู่หรือเปล่านะ?


                “ไม่ล่ะ..ฉันต้องไปรับใครบางคนอีก”


                “งั้นเดี๋ยวฉันพาไปเอง วันนี้ฉันว่าง  ถือซะว่าฉันไถ่โทษที่ทำให้คุณรอเกือบห้าชั่วโมงแล้วกันนะ”


                “ว่างมากขนาดนั้นแล้วทำไมถึงปล่อยให้ฉันรอได้ล่ะ .. คุณไปเถอะ ฉันมาเอง กลับเองได้” คำเสนอของยูริเล่นเอาเธอปฏิเสธไม่ลง แต่เล่นตัวสักหน่อยก็ยังดี..


                “โอเค..ฉันไปละ  โชคดีนะ”


                เจสสิก้าอ้าปากเหวอค้าง  เมื่อยูริขับรถแล่นผ่านตัวเธอไปอย่างไร้เยื่อใย  แม่คุณเธออยากจะกรี๊ดดังๆออกมาให้ได้ยินไปอีกสักสี่กิโลเมตร ไม่รู้จักคำว่าเล่นตัวนิดเล่นตัวหน่อยหรือไงกันนะ
    ! ประธานบริษัทนี้แย่ที่สุด!!

     

     



              กริ๊งง ง..


                “มาสักทีสินะ คิม แทยอน
    !


                ทันทีที่แทยอนดันประตูร้านเข้าไป ผู้ที่ออกมาต้อนรับเธอก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าของร้านรายใหญ่อย่างซันนี่ที่ปั้นหน้าโหดเตรียมจะเขมือบเธอได้ทุกเมื่อ  แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าแทยอนไม่ได้มาเพียงคนเดียวใบหน้าโหดๆนั้นก็ฉายความสงสัยออกมาแทน


                “พาใครมาด้วยน่ะแทยอน?” ซันนี่ชะเง้อคอมองร่างบางที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแทยอน  คนตัวเล็กคว้ามือผู้ที่อยู่ด้านหลังมากุมไว้ หันไปพยักหน้าให้หนึ่งทีเพื่อให้เธอกล้าเดินออกมายืนเผชิญหน้ากับซันนี่


                “ส..สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ...มิยอง” มิยองโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย แต่ซันนี่ยังคงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย


                “เพื่อนแทเหรอ? แล้วทำไมถึงมีแผล อย่างกับเป็นทหารผ่านศึกมาอย่างนี้ล่ะ” ฮโยยอนที่ตามมาสมทบทีหลังเอ่ยถามเมื่อเห็นสภาพผ้าพันแผลที่ศีรษะและเฝือกที่แขนของมิยอง


                “เอ่อ..คือ..เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังหลังร้านนะ   มิยอง เธอไปนั่งรอฉันที่โต๊ะนั้นก่อน โอเคไหม? เดี๋ยวฉันมา”


                มิยองพยักหน้าเนือยๆ เดินไปนั่งตามที่แทยอนบอก เฝ้ามองคนตัวเล็กพาเพื่อนทั้งสองคนหายเข้าไปในหลังร้าน เธอไม่ชอบเลยเวลาที่อยู่ห่างจากคนตัวเล็กนั่น รู้สึกหวาดกลัวสิ่งรอบข้างผิดปกติ ผิดกับเวลาที่ได้อยู่ข้างๆแทยอน มันรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก..


     

                แทยอนเล่าเรื่องให้เพื่อนทั้งสองคนฟังทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่มียูริเข้ามาช่วย เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเคยรู้จักและเห็นยูริมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้ว่ายูรินั้นสนิทกับแทยอนแค่ไหน


                “ทำไมคังอินถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ” ฮโยยอนเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็นทันทีหลังจากแทยอนเล่าจบ


                “ฉันคิดว่า..เขาอาจจะกำลังสับสนน่ะ  วันนี้ถ้าเขามาที่นี่ฉันจะเป็นคนบอกเขาเอง” แทยอนพูดราวกับจะแก้ตัวให้ อาจจะเป็นเพราะเธอรู้จักกับคังอินมากพอที่จะไม่ตัดสินใจไปในทันทีว่าเขาเป็นคนอย่างไร บางทีเขาอาจจะกำลังสับสนจริงๆ..


                “แล้วสรุปว่ามิยองต้องไปอยู่กับเธองั้นหรือแทยอน” คราวนี้ซันนี่เป็นฝ่ายถามบ้าง แววตาและน้ำเสียงดูเศร้าหมองจนผิดสังเกตในสายตาของฮโยยอน แต่สำหรับแทยอนแล้วกลับไม่รู้สึกอะไรเลย


                “ใช่..ฉันเห็นใจเขาน่ะ แค่ตื่นมารู้ว่าตัวเองความจำเสื่อมไม่มีแม้แต่คนรู้จักก็น่าสงสารพออยู่แล้ว  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ในโรงพยาบาลหรอก คงจะหดหู่มากพอดู”


                “ดีจังเลยนะ งั้นฉันลองวิ่งออกไปให้รถชนจนสมองเสื่อมบ้างดีกว่า เผื่อจะมีใครมาเก็บฉันไปเลี้ยงบ้าง”


                “อย่าพูดอย่างนั้นสิซุนคยู ไม่มีเธอแล้วเราจะเปิดร้านยังไงล่ะ จริงไหมฮโย?” แทยอนพูดหยอกเล่น แต่ฝ่ายที่ได้ยินกลับคิดน้อยใจไปต่างๆนานา ..สำหรับเธอแล้ว แทยอนคงคิดกับเธอได้แค่นี้จริงๆล่ะซุนคยู..


                หญิงสาวแกล้งฝืนแยกเขี้ยวตลกๆอย่างที่เคยทำในทุกๆครั้งก่อนจะเดินออกไปข้างนอกร้านเพื่อหลบสายตา  แทยอนเดินตามออกไป แต่ไม่ได้เดินตามเพื่อนไปหรอก เธอเดินออกไปหาคนที่สั่งไว้ให้นั่งรอต่างหากล่ะ


                “รอฉันนานไหมมิยอง?” แทยอนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้หญิงสาวที่นั่งหน้าหงอย มิยองส่ายหน้าช้าๆเพื่อบอกว่ามันไม่นานเลยสักนิด


                แต่มันเชื่องช้าเอามากๆในความรู้สึกของเธอต่างหากเล่า
    !


                “คิม แทยอน
    ! ฉันเรียกให้เธอมาทำงานนะ ไม่ใช่มานั่งอู้” เสียงแหวดังข้ามหัวลูกค้าแบบไม่เกรงใจใครของซันนี่ กระตุ้นให้แทยอนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


                “เจ้าค่า คุณซุนคยู
    ~  .... นั่งอยู่ตรงนี้แหละนะมิยอง ฉันไม่ไปไหนหรอก แล้วจะเดินผ่านเธอบ่อยๆ”


                แรกๆนั้นมิยองทำปากแบะ  แต่พอแทยอนลูบผมเธอเบาๆด้วยความเอ็นดูนั้นก็ทำให้เธอคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว


                “น่ารักจัง  หมีน้อยของฉัน


                ดีที่ว่าคนที่พูดประโยคหันหลังเดินเข้าไปหลังร้านพอดี ก่อนจะได้เห็นว่าใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่นั้นจากสีขาวใสถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ  พูดแบบนี้ใครก็เขินเป็นทั้งนั้นแหละ..


                กริ๊งง ง..


                “สวัสดีค่ะ ร้านซัน ไชน์ ยินดีต้อนรับค่ะ ... ค..คังอิน..”



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×