คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9 :: I don't want leave you.
Chapter 9 :: I don’t want leave you
สีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดเป็นปมถูกปรับเปลี่ยนให้มันกลับมาเป็นสภาพเดิมเหมือนเมื่อตอนก้าวเดินออกจากห้องไป ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ไร้สายประจำบ้าน หันไปมองดูภรรยาด้วยสายตาเชิงว่ามีอะไรสักอย่างที่อยากจะบอกเธอ โดยไม่อยากให้ลูกสาววัยสิบเอ็ดปีหมาดๆของพวกเขาที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ทำตาใสแป๋วมองผู้เป็นพ่ออย่างอยากรู้ว่ามีอะไรมาเปลี่ยนแปลงวันครบรอบวันเกิดครั้งที่11 ของเธอ ถึงกับต้องขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก ปล่อยให้เธอกับแม่ต้องนั่งคอยอยู่หน้าเค้กก้อนใหญ่
ดีที่ยังไม่เริ่มจุดเทียน..ไม่งั้นมีหวังได้กินเค้กฉาบน้ำตาตาเทียนเป็นแน่..
“มีอะไรเหรอคะ ป๊า?” เสียงใสจากลูกสาวเอ่ยถาม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาดื้อๆ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อย กุมมือนิ่มทั้งสองข้างของเธอเอาไว้อ่อนโยน
“ยูล..ฟังป๊านะลูก ป๊ากับม๊ามีงานด่วนเข้ามา ทางผู้ใหญ่เรียกตัวเราสองคน เรา..ต้องไป ตอนนี้” พยายามใช้คำพูดนิ่มนวลที่สุดกับลูกสาว มันช่วยไม่ได้จริงๆแม้เขาจะไม่อยากทำมันสักเพียงใดก็ตาม แต่ท้ายสุดแล้ว งานมันต้องมาก่อนเสมอ เขารู้ดีว่าตัวเองและคนรักอยู่ในฐานะสำคัญเพียงใดกับตำแหน่งของงานทางด้านต่อสู้เพื่อกฎหมาย คำว่าวันหยุดก็ไม่อาจทำให้พวกเขาใช้ชีวิตปล่อยวางเรื่องงานได้เสมอไปเหมือนคนอื่นๆ เพราะบางครั้ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันในสังคมปัจจุบันเกิดขึ้นได้เสมอ ดั่งเช่นวันนี้..
ทางหัวหน้าโทรมาบอกให้ทราบถึงเหตุด่วน ว่ามีสายสืบรายงานว่าในคืนนี้มีการลักลอบขนส่งยาเสพติดในละแวกไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ๆพวกเขารับผิดชอบอยู่ มันจึงยากที่จะหลีกเลี่ยง..
“ป๊า.. แล้วเค้กของยูลล่ะ” เด็กหญิงดูซึมลงถนัดตาตามที่ผู้เป็นพ่อคาดการณ์เอาไว้ แม่เอื้อมมือขึ้นมาแตะไหล่ลูกสาว พยักหน้าเบาๆให้คนรัก
“ป๊าขอโทษนะยูล แต่ป๊าสัญญาว่าเราสองคนจะไปแค่แป๊บเดียวแล้วจะรีบกลับมา..” พูดจาสำเนียงเอาใจ กระชับมือนิ่มของเด็กน้อยให้เชื่อใจเขา หากแต่มันคงจะใช้ได้ผล ถ้าเหตุการณ์สภาพเดียวกันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เด็กหญิงรู้ทันคำพูดล่อลวงนั้น
“ยูลไม่เชื่อ..ป๊าโกหก ตอนนั้นป๊าก็เคยพูดแบบนี้ บอกยูลว่าแป๊บเดียวจะกลับมา แต่ป๊าก็ปล่อยให้ยูลรอตั้งนาน”
“งั้นป๊ามีข้อแม้ให้.. สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ยูลอยากไปเที่ยวไหน ป๊ากับม๊าก็จะพายูลไปทุกที่เลย .. แต่วันนี้ยูลต้องเชื่อป๊านะ รอป๊ากับม๊าอยู่ในบ้าน ห้ามไปไหน ห้ามเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านเด็ดขาด” ยกข้อแม้ขึ้นมาล่อ ซึ่งคราวนี้มันได้ผล รอยยิ้มบางๆฉายออกแทนที่น้ำตาใสๆ
“ค่ะ..แต่ป๊าต้องสัญญากับยูลนะคะ ว่าจะกลับมาเป่าเค้กด้วยกัน แล้วก็พายูลไปเที่ยวด้วย”
“อื้ม..ป๊าสัญญา” นิ้วก้อยเรียวเล็กเอื้อมเกี่ยวกับนิ้วก้อยของพ่อ แทนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ด้วยกัน โดยเด็กน้อยไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า .. พ่อกับแม่ของเธอได้ผิดสัญญาที่ได้ให้ไว้อีกครั้ง ซ้ำยังเป็นสัญญาที่ไม่สามารถย้อนเวลาเพื่อกลับมาแก้ตัวได้อีกแล้ว ... ตลอดชีวิต ..
ป๊า..ม๊า.. ยูลรอป๊ากับม๊ากลับมานานเกินไปแล้วนะคะ รู้ไหม ...
ไหนสัญญาที่ป๊าบอกว่าจะกลับมา .. สัญญาที่ว่าจะพายูลไปเที่ยว .. เราจะเป่าเค้กด้วยกันอีกครั้ง ..
ป๊าผิดสัญญา.. ป๊าโกหก .. ยูลไม่เชื่อแล้ว ..
“คุณยูริ .. คุณยูริ ..”
“ยูล..ยูล นี่ยูล!”
“โอ๊ย!” ยูริสะดุ้งเฮือก น้ำตาเล็ด มือลูบบริเวณต้นขาป้อยๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดระบม ดวงตาคู่เข้มหันไปมองตัวต้นเหตุที่หยิกเธอเข้าเต็มๆ แต่เจสสิก้ากลับเมินหน้าหนีเพื่อส่งยิ้มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้กับแขกลูกค้าชั้นผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
จริงสิ..นี่พวกเธอกำลังประชุม เพื่อคุยเกี่ยวกับโปรเจ็คของลูกค้าอยู่นี่นา
แต่ไม่เห็นต้องถึงขนาดหยิกซะเนื้อแดงเลย .. โหดร้ายยที่สุด...
“คุณยูริ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าค่ะ..แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ร่างสูงส่งยิ้มแห้งๆ ให้ลูกค้าหุ่นอาเสี่ยได้วางใจ เมื่อเห็นว่ายูริไม่เป็นอะไรก็พลอยโล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะเมื่อครู่กว่าจะเรียกยูริให้คืนสติได้กลับมาได้ ใช้เวลานานพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าประธานบริษัทอย่างควอนยูริจะเหม่อลอยในเวลาประชุมสำคัญๆเช่นนี้ ซ้ำยังตกอยู่ในภวังค์ ห้วงลึกสุดซะด้วย ไม่รู้ว่าเจสสิก้าใช้วิธีไหน คุณประธานบริษัทถึงสะดุ้งโหยง ส่งเสียงร้องดังลั่นซะขนาดนั้น..
“ผมจะบอกว่า ผมพอใจกับโปรเจ็คนี้มากๆ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าหัวหน้าฝ่ายออกแบบคนใหม่จะยังปรับตัวไม่ได้ซะอีก ที่ไหนได้.. ไอเดียยอดเยี่ยมกว่าคนเก่าเสียอีก!” ส่งสายตาชื่นชมไปยังเจสสิก้า หญิงสาวยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและวางตัวอย่างเหมาะสมไม่ได้แสดงอาการหลงระเริงกับคำพูดจนเกินเหตุ จนยูริที่นั่งอยู่ข้างๆแอบชื่นชมไม่ได้ แม้ว่าจะยังไม่หายเจ็บใจรอยฝากเต็มๆรักจากสาวเจ้าเมื่อครู่ก็เถอะ..
“ขอบคุณค่ะ แต่ความจริงผลงานนี้ฉันก็สานต่อจากคุณดากองที่ค้างไว้อยู่ ฉันเองก็แค่เอามาปรับเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองค่ะ”
“แค่คุณจางฮีชอบแบบนี้ ดิฉันก็วางใจค่ะ .. นึกว่าจะต้องหาคนใหม่มาแทนซะแล้ว” ประโยคหลังแผ่วเบาลงให้แค่เจสสิก้าได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้น จนแล้วจนรอดก็ยังไม่หยุดนิสัยกวนๆแบบนี้ได้สักที ช่วยไม่ได้.. ควอนยูริคนนี้แสดงออกอย่างอื่นไม่เป็นนี่นา!
“โอเค ผมตกลงครับคุณยูริ เริ่มโปรเจ็คนี้ได้เลย”
“ขอบคุณมากๆค่ะคุณจางฮี ที่ไว้ใจบริษัทเราตลอดมา ทางเราจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด” ยูริลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปจับมือหนาของอีกฝ่ายเขย่าไปมาตามธรรมเนียม จางฮีปล่อยมือจากร่างสูงเพื่อไปจับมือกับเจสสิก้าและคนอื่นๆต่อ.. เป็นอันจบการประชุม ที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ยูล.. ที่พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไงน่ะ” ทันทีที่ผู้คนเริ่มทยอยออกไปจากห้อง เจสสิก้าก็โพล่งขึ้นมาทันควัน .. อย่านึกว่าพูดกระซิบเบาๆแล้วจะไม่ได้ยินนะ เรื่องแบบนี้ ล้อเล่นกันได้ซะที่ไหน
“หืม..เรื่องไหน?” แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง มือระวิงอยู่กับการเก็บของบนโต๊ะเข้ากระเป๋า ร่างบางทนไม่ไหวจับไหล่เขาให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ
อาา... หัดชั่งใจซะมั่งสิยูริ หัวใจบ้าบอนี่ก็เต้นแรงเกินไปแล้วนะ .. ยังดีที่เสียงพูดคุยด้านนอกของลูกค้าและพนักงานบริษัทคนอื่นๆยังดังพอ มันอาจจะช่วยกลบเสียงเต้นแรงของหัวใจไม่ให้ร่างบางได้สัมผัสถึงมันง่ายๆก็ได้
“ก็เรื่องที่บอกว่าจะหาคนใหม่แทนฉันไง อะไรกัน นึกว่าจะไม่หยุดกวนฉันแล้วซะอีก .. เธอนี่มัน.....”
“ใครว่าฉันกวน ฉันพูดจริงต่างหาก...” ฟู่..เก็บอาการหน่อยยูริ เธอจะแสดงความประหม่าแบบนั้นออกไปไม่ได้เด็ดขาดนะ
“ควอน ยูริ! ฉันจริงจังนะ!”
“โอ๋ๆๆ ล้อเล่นหน่าสิก้า อย่าทำหน้างั้นสิ” ร่างสูงเอื้อมมือขึ้นบีบจมูกโด่งรั้นของอีกฝ่ายส่ายไปมาเบาๆอย่างหยอกล้อ ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เจสสิก้าจะเข้าไปติดอยู่ในลิฟต์กับยูริ จนรู้ว่าแท้จริงแล้วจิตใจ เธอคงวีนแตกไปแล้ว แต่เหตุการณ์ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนั่นช่วยทำให้เธอรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่เธอคิดอคติไปในตอนแรก .. ในทางกลับกัน ชีวิตของยูริชวนให้น่าเห็นใจมากกว่า เจอเหตุการณ์เลวร้ายขนาดนั้น ยังฝืนยิ้มได้จนถึงวันนี้ ถ้าเป็นเธอ คงทนไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว
“อืม.. ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก”
“ฮะๆๆ ไหนตอนมาสัมภาษณ์งานบอกว่าไม่แคร์บริษัทนี้ เพราะบริษัทอื่นก็จองตัวเธอเยอะแยะไปหมด .... อ๋าา.. ฉันล้อเล่นหน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ยูริรีบกลับคำพูดกวนๆ ทันควัน เมื่อร่างบางตวัดสายตาขุ่นเคืองเข้าใส่ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกจากห้องประชุม โดยไม่ลืมทิ้งท้ายประโยคกึ่งงอนเอาไว้ เพื่อแฝงอาการ ’เถียงไม่ออก’
“ยูล..บ้า ไม่พูดด้วยแล้ว”
“สิก้า.. ฉันล้อเล่นนนหน่า อย่างอนกันสิ...~”
ชเว ซูยองคอยมองลอดผ่านแผ่นติดฟิล์มของกระจกรถเป็นรอบที่สิบของวันนี้ เป้าหมายของเธอคือร้านกาแฟซันชาย .. อันที่จริงเธอควรจะมาที่นี่ตั้งแต่หลายวันที่แล้ว แต่หญิงสาวจำเป็นต้องรอให้แน่ใจก่อนว่ารอยฝากรักเต็มเบ้าตาของยัยกระรอกนั้นหายดีพอไม่ให้เป็นที่อับอาย เพราะแค่นายคิบอมล้อเลียนเธอเรื่องนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่เว้นวันหยุดราชการ ก็แทบอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปเมืองจีน
ไปนั่งคู่กับแพนด้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าขอบตาใครจะดำกว่ากันแน่!
“ไม่เห็นเลยแฮะ..จะใช่ฟานี่จริงๆหรือเปล่านะ”
ซูยองพึมพำเบาๆ เมินหน้ากลับมามองรูปภาพในมือ ซึ่งเป็นรูปที่เธอได้รับมาจากคุณลุงจินโม หลังจากที่ทางสายสืบส่งรูปของวันที่พวกเขาเห็นว่าทิฟฟานี่เดินเข้าไปในร้านกาแฟกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง แต่ในรูปนี้กลับจับภาพได้แค่ใบหน้าของคนตัวเล็กคนเดียว เพราะคนที่คิดว่าเป็นทิฟฟานี่หันหลังให้กล้องพอดี
ดวงตาหรี่เล็กลง เพ่งมองใบหน้าในภาพนิ่งนั้นเป็นรอบที่ยี่สิบ แต่แล้วเสียงแหวๆดังแสบหูมาแต่ไกล ดึงความสนใจจากหญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง ที่หน้าประตูร้าน..หญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่งใช้มือดันประตูไว้ พลางก้มศีรษะขึ้นลงเป็นพัลวันให้กับใครสักคนภายในร้าน ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังบานประตูกระจก
อ้าว! อย่าเพิ่งเข้าไปสิ!
ดูเหมือนฟ้าจะเป็นใจให้ซูยองเสียเหลือเกิน เมื่อร่างเล็กหมุนตัวกลับมาแว้บหนึ่งเพราะประตูร้านปิดหนีบมือเธอเข้าอย่างจัง หญิงสาวใช้สายตาเหยี่ยวอันรวดเร็วแสกนใบหน้าของคนตัวเล็ก เทียบกับรูปถ่ายในมือ..
ใช่เลย! เธอคนนี้ล่ะ ไม่ผิดแน่!
ว่าแต่...ทำไมถึงได้มาคนเดียวล่ะ? หรือว่า พวกเธอและสายสืบจะคาดเดาอะไรพลาดไปเสียแล้ว...
แทยอนเดินเลี่ยงหลบพายุซุนคยูมาหลังร้าน ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าคู่กรณีเลิกตามเธอเพราะต้องไปรับลูกค้า หมู่นี้ซันนี่อารมณ์เสียบ่อยมาก แต่เธอก็พอเข้าใจถึงต้นเหตุอารมณ์คุกรุ่น ไม่รับแขกของเจ้าตัวมาจากอะไร จึงไม่โกรธเลยถ้าซันนี่จะตวาดแหวใส่ยามเธอทำอะไรผิด หรือไม่ก็ยามที่เธอไม่มาทำงานและมาทำงานสายดั่งเช่นเมื่อครู่นี้
“โดนซันมันเล่นมาอีกล่ะสิแท” ฮโยยอนแซวคนมาใหม่ มือกำลังง่วนอยู่กับแก้วกาแฟตรงหน้าอย่างรู้ดี ไม่ต้องถามก็รู้ว่าแทยอนเจออะไรมาถึงทำหน้าเป็นหมาโดนโดนกระรอกไล่กัด แถมเสียงตวาดแหวของซันนี่ก็ดังลั่นไปทั่วร้าน ดีนะที่ลูกค้าไม่เตลิดเปิดเปิงหนีกันไปหมดซะก่อน อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลานี้จะมีแต่ลูกค้าประจำที่มักคุ้นเคยกับปรากฎการณ์แสงอาทิตย์แผดเผาเช่นนี้
แทยอนไม่ตอบ เดินมาหันหลังกอดอกพิงเคาน์เตอร์ข้างๆอย่างหน่ายๆ จนฮโยยอนเริ่มรู้สึกว่าคนตัวเล็กเริ่มมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ไม่ใช่ว่าเพิ่งโดนซันนี่แหวมาหรอก เพราะจุดนี้แทยอนโดนบ่อยชาชินซะแล้ว ..
“แล้ว..มิยองไม่มาด้วยเหรอ หรือว่านั่งรออยู่ข้างนอก?”
“มิยอง...อยู่บ้าน ไม่ได้มาด้วย” แทยอนตอบเสียงเรียบ สร้างความแปลกใจให้ฮโยยอนไม่น้อยจนต้องวางมือจากกาแฟหันมามองหน้าเพื่อนตัวเล็ก ก็ตั้งแต่วันที่เพื่อนของเธอได้พาร่างบางมาแนะนำ ทั้งสองคนก็แทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างกันและกันเกินสองเมตรเลย หลายวันที่ผ่านมานี้เวลาแทยอนเดินรับเมนูหรือเสิร์ฟของตามโต๊ะ ก็จะหนีบหมีติดไปด้วยราวกับเงาตามตัวจนลูกค้าบางคนอดแซวไม่ได้ แต่บางครั้งแทยอนก็เป็นฝ่ายบอกให้อีกฝ่ายนั่งคอยที่หลังร้าน แล้วเจ้าตัวก็คอยหาโอกาสแว๊บไปหาบ้างเวลาซันนี่เผลอ
แต่วันนี้กลับบอกว่ามิยองไม่มาเนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อแทยอนเองก็หวงร่างบางอย่างกับอะไรดี มาบอกว่ามดมีกระดูกสันหลังยังน่าเชื่อกว่าอีก..
“เกิดอะไรขึ้น งอนกันเหรอ? หรือว่ามีคนรู้จักมิยองมาเจอเข้าก็เลยรับกลับไป?” เดาไปเรื่อยเปื่อยตามความน่าจะเป็น ทำเอาแทยอนถึงกับสะอึก ถึงแม้ว่าข้อหลังมันจะถูกแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ
“มิยองเขา ..งอนฉันอยู่”
“ไปทำอะไร เขาถึงงอนเข้าให้ล่ะแทยอน” ฮโยยอนหัวเราะในลำคอ รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้แทยอนซื่อแค่ไหน .. ดูจากช่วงหลายๆเดือนก่อนหน้านี้ คนที่พวกเธอเพิ่งจะมีเรื่องกับเขาไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอย่างคังอิน รายนั้นดูจะติดใจในหญิงสาวตัวเล็กพอๆกับติดใจในรสชาติกาแฟ แต่คนซื่อบื้ออย่างแทยอนก็ไม่เคยรู้ตัวสักทีว่าที่คังอินแวะมาทุกวันจนกลายเป็นลูกค้าประจำไปโดยปริยายนั้นมีเหตุผลแฝงคือตามจีบเธออยู่ จนถึงวันเกิดเรื่อง พวกเธอก็ไม่ได้เจอกับคังอินอีกเลย..
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ..”
ช่วงเย็นของเมื่อวาน..
“ฉันกลับก่อนนะซัน ฮโย” คนตัวเล็กหันไปส่งยิ้มให้เพื่อนสองคน มือซ้ายโบกมือลา ส่วนมือขวาจูงมือมิยองเอาไว้ จนอีกสองสาวเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
ทำอย่างกับว่าอีกคนจะหายวับไปเสียอย่างนั้นแหละ!!
“อืม..ดูแลตัวเองบ้างล่ะ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ดูแลหมี .. เลี้ยงดูดีแบบนี้ เดี๋ยวมิยองเขาก็อ้วนท้วนสมบูรณ์จนไม่อยากคืนความทรงจำพอดีหรอก” ฮโยยอนแซวเล่นไปตามประสา หากแต่สีหน้าของแทยอนแลดูเศร้าลงไปถนัดตา ... มิยองคืนความทรงจำงั้นเหรอ ...
ฉันจะดูเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าฉันไม่อยากให้ถึงวันที่ความทรงจำของเธอกลับมา ..มิยอง เพราะนั่นอาจหมายถึงช่องว่างระหว่างเรา ความห่างเหินที่อาจจะตามมา เธออาจกลายเป็นใครสักคนที่ฉันไม่อาจรู้จัก ช่วงชีวิตที่เธอเคยเป็นมาอาจทำให้เราต้องเจ็บปวด เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันคิดถึงผู้ชายคนที่อ้างว่าเป็นแฟนเก่าของเธอ หัวใจมันก็คอยต่อต้านเมื่อนั้น
ถ้าเป็นไปได้..ฉันอยากรั้งตัวเธอไว้แบบนี้.. ทำในสิ่งที่หัวใจต้องการมากกว่าความถูกต้องและความจริงที่ควรจะเป็น...
ไม่รู้ทำไม..ฉันถึงได้รู้สึกผูกพันกับเธอขนาดนี้ มิยอง...
“เอาเถอะหน่า ฉันไปก่อนนะ ..ปะ มิยอง”
ตัดบทเบี่ยงประเด็นเอาดื้อๆ แทยอนเดินจูงมือหมีน้อยในความดูแลออกจากร้านเดินเรื่อยมาจนถึงป้ายรถ
ประจำทางดั่งเช่นทุกวัน ร่างบางแอบมองคนตัวเล็กที่คอยเขย่งเท้า ชะเง้อหน้ามองดูรถเมล์ ดูท่าทางคงจะเป็นช่วงเวลาที่แทยอนดูตัวสูงที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็ดูสูงกว่าเดิมเป็นกองเลยทีเดียว..
“รถเมล์มาแล้วมิยอง” น้ำเสียงใสเอ่ยขึ้นแบบเดิมทุกวันเมื่อเห็นรถประจำทางคันสีเหลืองขับเข้ามา แทยอนจับมือมิยองแน่นกว่าเดิมพาเดินขึ้นรถประจำทางไป วันนี้ดูคนจะแน่นกว่าทุกๆวันจนเหลือที่นั่งเพียงที่เดียว
“มิยองนั่งสิ ฉันยืนเอง” แทยอนเอ่ยปากบอกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ไม่เอาหรอก แทแทตัวเล็กกว่าเค้า แทแทนั่งเถอะ”
“แต่มิยองไม่ค่อยจะแข็งแรงนะ ยืนแล้วเดี๋ยวล้มเอา .. ให้ฉันยืนน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ก็เค้าอยากยืนเป็นเพื่อนแทแทนี่” มิยองยังคงยืนกรานปฏิเสธ แทยอนเห็นความดื้อดึงจากสีหน้าและน้ำเสียงถึงกับคิดหนัก และแล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
คนตัวเล็กหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะ ก่อนจะรวบตัวคนดื้อมานั่งตัก ส่งผลให้หมีน้อยความจำเสื่อมใบหน้าแดงฉ่า ยิ่งลมหายใจอุ่นๆของแทยอนที่คอยเป่าเข้าออกอย่างสม่ำเสมอรดต้นคอเธอ ก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเริ่มไม่ปกติขึ้นมาดื้อๆ โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า ราวกับเลือดกำลังสูบฉีดอย่างหนัก ป่านนี้คงแดงไปไหนต่อไหนแล้ว ดีนะที่นั่งหันหลังให้แทยอนอยู่..
แต่ระยะทางก็ไม่ได้โหดร้ายกับร่างบางมากนัก ไม่นานทั้งสองคนก็เดินจูงมือกันบนถนนซอยทางเข้าคอนโดของแทยอน เพียงแต่วันนี้กลับไม่เหมือนวันก่อนๆ เมื่อมีความเงียบเข้ามาแทนที่ ไม่มีเสียงพูดคุยจากคนทั้งคู่ แม้ว่าลึกๆในใจแล้วมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมายเหลือเกิน
ทั้งสองคนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาถึงหน้าห้องเมื่อไหร่ แทยอนปล่อยมือจากร่างบางเพื่อไขกุญแจเข้าห้อง ยังคงไม่มีคำพูดระหว่างกัน จนกระทั่ง..
“แทแท / มิยอง” ชื่อของอีกฝ่ายดังออกมาจากปากพร้อมๆกัน ต่างคนต่างมองหน้ากัน แต่กลับเป็นเพียงมิยองแค่ฝ่ายเดียวที่อมยิ้ม
“แทแทพูดก่อน..”
“ฉัน...” แทยอนก้มหน้านิ่งไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง หากแต่กลับกลายเป็นว่าคำพูดของเธอเปลี่ยนไปจากที่คิดไว้โดนสิ้นเชิง “...มิยอง .. ฉันลองเอากลับมาคิดดูว่า ผู้ชายที่เข้ามาช่วยเราในวันนั้น ฉันคิดว่าเขาอาจจะรู้จักเธอดี บางทีเขาอาจช่วยทำให้ความทรงจำเธอกลับคืนมาได้”
ถึงจะโหดร้ายต่อจิตใจของตัวเธอเองเกินไป..แต่เธอพูดในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะคิมแทยอน ทั้งๆที่ควรตระหนักไว้อยู่เสมอ แต่ทำไมเวลาที่หวนคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจถึงรับมันไม่ได้เสียทุกครั้ง
นี่ฉัน..กำลังคิดอะไรอยู่..
“แต่เค้าไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นนี่แทแท..”
“นั่นเป็นเพราะว่าเธอความจำเสื่อมต่างหากล่ะมิยอง ผู้ชายคนนั้นบอกว่าเป็นแฟนเก่าเธอ เขาอาจจะพาเธอไปหาครอบครัวได้ แน่นอนว่าตอนนี้ครอบครัวคงจะเป็นห่วงเธอมากๆแล้วด้วย”
แล้วเธอล่ะ..เธอไม่ห่วงฉันเหรอแทยอน ทำไมคำพูดของเธอในตอนนี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักไสอย่างไรชอบกล .. ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอคงเหนื่อยกับคนความจำเสื่อมอย่างมิยองคนนี้มากสินะ .. ใช่สิ คนไม่รู้จักกันแท้ๆ อาจจะเรียกได้ว่าแทยอนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย แต่กลับรับคนอย่างเธอมาดูแล แล้วก็ดูแลอย่างดีเสียด้วย แทยอนทำให้เธอไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตนี้ว่างเปล่าอย่างที่ควรเป็น ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกเดียวดาย อ้างว้างในห้วงความทรงจำอันว่างเปล่าเช่นนี้
แต่ในตอนนี้..คำพูดของเธอมันกำลังทำร้ายจิตใจฉันเหลือเกิน แทยอน..
“เค้าทำให้แทแทเหนื่อยหรือเปล่า..”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะมิยอง แต่ฉันคิดว่ามันอาจจะดีกว่านี้ถ้าความทรงจำเธอกลับมา เพราะตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าฉันกักตัวเธอเอาไว้อยู่แค่นี้ มันไม่ได้ช่วยให้เธอได้ฟื้นความทรงจำเลยด้วยซ้ำ บางทีเธอไปอยู่กับผู้ชายคนนั้นจะดีกว่าอยู่กับฉัน” เธอพลาดไปแล้วล่ะแทยอน เหตุผลกำกวมของเธอไม่ได้ช่วยทำให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นเลย แต่มันกลับทำให้ความหวังอันน้อยนิดที่ว่าคนตัวเล็กอาจจะแค่พูดออกมาเพื่ออยากให้เธอหายดีพังทลายลง เหลือเพียงไว้แต่ความผิดหวัง เหลือไว้แต่ความคิดที่ว่าเธอคงเบื่อมิยองคนนี้แล้วจริงๆ..
“เค้าเข้าใจแล้ว การดูแลคนความจำเสื่อมแบบไม่มีจุดหมายมันคงน่าเบื่อมากสินะ แทแท” น้อยใจ..รู้สึกน้อยใจคนตัวเล็กเหลือเกิน ความรู้สึกอัดอั้นประดังเข้ามาจนกลายเป็นน้ำตาใส เอื้อมมือขึ้นปาดน้ำตาออก ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอกำลังจะร้องไห้
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เธอกำลังเข้าใจผิดนะมิยอง”
“ช่างมันเถอะแทแท ต่อจากวันนี้ไปฉันจะพยายามทำตัวไม่ให้น่ารำคาญก็แล้วกัน ..แล้วก็...ฮึก...จะพยายามฟื้นความทรงจำด้วย” ร่างบางอดกลั้นน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป เธอเบี่ยงหลบด้วยการเดินหนีเข้าห้องน้ำแทน ปิดประตูล็อกทำเป็นไม่รู้ถึงเสียงเคาะและเสียงเรียกชื่อเธอจากแทยอนด้านนอก
“มิยอง..เธอเข้าใจฉันผิดนะ เปิดประตูก่อน เฮ้! มิยอง”
หากแต่ร่างบางกลับทรุดตัวลงนั่งพิงประตู ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมากับหัวเข่าชัน .. กลั้นเสียงสะอึกให้แผ่วเบาที่สุด ไม่อยากให้คนข้างนอกได้ยินมัน ไม่อยากให้เธอรับรู้ถึงความอ่อนแอและความเห็นแก่ตัวของฉันในตอนนี้
ขอร้องล่ะแทยอน..อย่าพูดแบบนั้นกับฉันอีก เพราะฉันอยากอยู่กับเธออยู่แบบนี้ ไม่อยากคืนความทรงจำบ้าๆที่เธอเพิ่งเรียกร้อง .. ฉันไม่อยากจากเธอไปไหน ... คิมแทยอน ...
“แล้วเธอก็ปล่อยให้มิยองอยู่ในห้องน้ำอยู่แบบนั้นเหรอ” ฮโยยอนซักถามทันทีที่เห็นว่าแทยอนเล่าจบแล้ว ร่างเล็กส่ายหน้าช้าๆก่อนจะตอบคำถาม
“เปล่า แต่ฉันเผลอหลับไปก่อนหน้าห้องน้ำนั่นล่ะ มิยองคงจะเดินออกมาตอนนั้น .. เพราะพอฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาประมาณห้าทุ่ม ก็เห็นว่ามิยองนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ฉันไม่กล้าปลุกเธอ เลยนอนต่อ .. พอตอนเช้าฉันตื่น แต่มิยองยังนอนหลับอยู่ ฉันลังเลอยู่ว่าจะปลุกดีหรือเปล่าจนมาทำงานสายนี่แหละ”
ฮโยยอนทำหน้าเซ็งสุดขีด จะให้เรียกว่าสมเพชก็ออกจะเกินไปหน่อย ถึงแม้มันจะเกือบๆก็ตาม ซื่อบื้อจริงๆเห็นไหมล่ะ เธอเคยพูดซะทีไหน ดูก็รู้แล้วว่ามิยองคงจะแกล้งหลับเพราะไม่อยากตื่นมาสู้หน้า .. แทยอนเอ้ยย
“เอางี้ เดี๋ยวฉันช่วยคิดวิธีง้อเอง..”
“จริงเหรอ ได้จริงๆเหรอ มันจะได้ผลแน่นะ ฉันล่ะกลัวจริงๆเลย” แทยอนทำตาโตเป็นสุนัขเห็นกระดูกชิ้นใหญ่อยู่บนมือเจ้าของอย่างฮโยยอน อยู่ที่ว่าเจ้าของจะขว้างให้เธอเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง
“ได้ผลสิ ระดับฮโยยอนซะอย่างไม่มีพลาด ก่อนอื่นนะ เธอต้อง.....”
“นี่เธอสองคน! จะคุยกันจนร้านปิดเลยไหม หรือว่าจะรอให้ฉันหักเงินเดือนก่อน!”
ความคิดเห็น