ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SNSD] You are my dream that comes true. (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 2 :: Tatae & Miyoung

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 54




    Chapter 2 :: Taetae & Miyoung




                “อะไรนะคะคุณหมอ!  เธอความจำเสื่อมงั้นหรือคะ!?”


                “ครับ จากการที่เราเอ็กซเรย์สมองของเธอ ทำให้รู้ว่าเธอมีร่องรอยการถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักจากอุบัติเหตุ เป็นเหตุให้เธอความจำเสื่อม เธอจะจำอะไรไม่ได้เลยครับ” นายแพทย์อธิบายอย่างใจเย็น  ร่างเล็กหันไปมองหน้าสบตากับเพื่อน ต่างฝ่ายต่างกระพริบตาปริบๆใส่กัน  ..เธองานเข้าแล้วล่ะ คิมแทยอน..


     

                “แทยอน  อย่าเดินออกไปให้ไกลนักนะลูก ระวังตัวด้วย แล้วเดี๋ยวพ่อตามไป”


                “ค่าา..”


             
    คิม จินยงยืนมองดูลูกสาววัย 5ขวบของเขาวิ่งออกนอกประตูรั้วบ้านไปแบบไม่สนใจใคร และดูไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น  ก็เป็นซะแบบนี้แหละ เขาถึงได้ถูกตราหน้าว่าเลี้ยงลูกสาวราวกับลูกชาย


                ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ .. เด็กคนนี้ พลัดพรากจากอ้อมอกแม่มาตั้งแต่แบเบาะแล้ว .. อารมณ์อ่อนโยนแบบผู้หญิงเคยมีกับเขาที่ไหนกัน ในเมื่อมีพ่อคอยเลี้ยงดูมาตลอดเช่นนี้


                เด็กหญิงตัวเล็กเดินกระโดดเริงร่าไปตามทาง ซึ่งจุดหมายของเธอคือ สวนสาธารณะข้างๆบ้านที่ประจำ เธอมักจะมาที่นี่บ่อยๆกับผู้เป็นพ่อในช่วงเย็นๆ  แต่ในเมื่อวันนี้มีเพื่อนของพ่อมาเยี่ยมที่บ้าน และคงจะมีงานด่วนจริงๆถึงยอมปล่อยให้เธอเดินมาก่อนเพียงคนเดียว
      ..  อาจจะดูอันตรายกับการปล่อยเด็กตัวเล็กให้เดินออกมาจากบ้านโดยไม่มีผู้ปกครองคอบเดินตามเหมือนเด็กคนอื่น แต่เชื่อเถอะว่าเด็กอย่างคิม แทยอนพอใจที่จะไปไหนต่อไหนคนเดียวมากกว่าที่จะมีคนอื่นอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เด็กๆนี่แหละ..


                “.. ใครมานั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ?” แทยอนมองไปทางชิงช้าตัวโปรดของเธอ ซึ่งตอนนี้ถูกเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ตัวเล็กพอๆกับเธอจับจองอยู่  ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆก็ทำให้แน่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ  เพราะในละแวกนี้ถือได้ว่าแทยอนคุมหมด  ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโตกว่าก็ล้วนแต่รู้จักเธอกันทุกคน


                “เธอ...อ้าว เธอร้องไห้นี่นา” ประโยคถูกเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังร้องไห้จนน้ำตาเปรอะแก้มไปหมด ดวงตาและจมูกแดงบนใบหน้านวลใสนั่น  เด็กตัวเล็กล้วงเข้าไปในกระเปากางเกงดึงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ผู้ที่กำลังร้องไห้


                “เช็ดน้ำตาซะสิ ร้องไห้แบบนี้ไม่น่ารักเลยรู้เปล่า”


                เด็กน้อยลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมรับผ้าเช็ดหน้าจากแทยอนมาเช็ดน้ำตา เจ้าของผ้าเช็ดหน้าทิ้งตัวลงนั่งชิงช้าตัวข้างๆ ดวงตาใสจ้องมองเด็กขี้แยที่กำลังร้องไห้ใส่ผ้าเช็ดหน้าของเธอไม่ยอมหยุด


                “หยาา
    ~ แทให้ผ้าเช็ดหน้าเธอไปเช็ดน้ำตานะ ไม่ใช่ให้ร้องไห้ใส่ผ้าเช็ดหน้า” แทยอนคว้าผ้าเช็ดหน้ามาจากมืออีกฝ่าย การกระทำอย่างนั้นเกือบจะทำให้คนขี้แยร้องไห้หนักกว่าเดิม แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้นเมื่อแทยอนลงมือเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายซะเอง


                “อย่าร้องไห้เลยนะ พ่อแทบอกว่าคนร้องไห้น่ะไม่สวย ไม่น่ารัก แล้วตอนนี้เธอก็ไม่น่ารักมากๆด้วย”


                เด็กน้อยที่ถูกกล่าวหาทำปากแบะ เตรียมจะร้องไห้อีกครั้ง


                “อ๊ะๆ แทล้อเล่นหน่า  อย่าร้องไห้อีกล่ะ รู้ไหม..” เด็กหญิงตัวเล็กกว่ายิ้มกว้าง หลังจากเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว


                “เธอเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้เหรอ?  ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”


                พยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ ก่อนจะชี้ไปทางบ้านของตัวเอง  แทยอนมองตาม รอยยิ้มแบบเด็กๆฉายบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าบ้านของเด็กทีเพิ่งรู้จักนี้อยู่ห่างจากบ้านของเธอแค่สองหลังคาเรือนเอง


                “อยู่ใกล้บ้านแทเลย บ้านแทอยู่หลังนั้นน่ะ  ว่าแต่..เธอชื่ออะไรเหรอ?”


                “เค้าชื่อ มิยอง..”


                “ชื่อน่ารักจัง มิยอง  ..  ส่วนฉันชื่อ.....”


                “แทแท..ใช่ไหม?” มิยองชิงพูดเสียก่อน ก็เจ้าตัวเล่นเรียกสรรพนามเป็นชื่อตัวเองเสียแบบนั้น ใครฟังก็รู้หมดแล้วว่าชื่ออะไร


                “แทแทเหรอ?  ที่จริงแล้วฉันชื่อแทยอนน่ะ แต่เรียกแบบนั้นก็ได้ น่ารักดี”


                “โอเค แทแท..” รอยยิ้มตาหยีเผยให้เห็นบนใบหน้าของมิยอง มันดูสดใสเสียจนผู้ที่กำลังมองนั้นไม่อาจแน่ใจได้ว่าเมื่อครู่นี้คนตรงหน้าเพิ่งจะหยุดร้องไห้มาหมาดๆ


                “มิยองยิ้มน่ารักจัง ทำยังไงน่ะ สอนแทแทบ้างสิ” เด็กตัวเล็กทำหน้าอ้อน ในขณะที่ผู้ถูกอ้อนอย่างมิยองได้แต่ทำหน้างง


                “ยิ้มเหรอ?  เค้าก็ยิ้มปกตินะ”


                “ไม่จริงอ่า มิยองยิ้มน่ารักจะตาย .. ก็มิยองน่ะ ยิ้มแบบนี้...” แทยอนพยายามเลียนแบบยิ้มตาปิด แต่มันกลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างๆขึ้นมาซะงั้น


                “หัวเราะอะไรอ่า..”


                “แทแท ทำหน้าตลก”


                “มิยองอาา
    ~” เสียงหัวเราะน่ารักแทบจะรวมเป็นเสียงเดียวกัน เวลาผ่านไปนานพอดูกว่าที่เด็กทั้งสองคนจะหยุดหัวเราะได้


                “เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม?”


                “ใช่แล้ว  มิยองเป็นเพื่อนของแทแท แล้ว แทแทก็เป็นเพื่อนของมิยอง  เราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วนะ” เด็กน้อยยิ้มกว้างให้กับเพื่อนใหม่ที่ยิ้มตาหยีตอบกลับมา แล้วนั่นคือจุดเริ่มต้นมิตรภาพของคนทั้งคู่ โดยที่เด็กทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า คำว่าเพื่อนที่กล่าวออกมานั้น บนโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้เลย..


     


              แท..


              แทแท..


                เฮือก
    !


                จู่ๆร่างบางก็สะดุ้งเฮือก พลอยทำให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆตกใจตามไปด้วย


                “เป็นอะไรหรือเปล่า”


                คนเจ็บเงียบ ไม่ตอบ สายตาสาดส่องมองไปรอบๆห้องสีขาวสะอาดแห่งเดิมกับเมื่อตอนที่เธอหมดสติไป อาการปวดตุ้บๆที่ศีรษะยังคงระบมอยู่ไม่หาย จนสายตามาหยุดอยู่ที่คนข้างๆ


                แทยอนกระพริบตาปริบๆมองคนเจ็บ เมื่อสักครู่ก่อนที่คนตรงหน้าจะตื่นเธอได้ยินเสียงเรียกชื่อ
    แทแทเบาๆ ก่อนที่เธอจะตกลงปลงใจคิดเสียว่าหูฝาด เพราะอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่ได้สนิทและรู้จักถึงขนาดเรียกชื่อเธอได้หรอก


                “ปวดหัวเหรอ?” ความกังวลใจแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อร่างบางเอื้อมมือไปแตะศีรษะตัวเองด้วยใบหน้านิ่วเล็กน้อย


                “แย่แล้วแท..ไม่ว่าหมอหรือพยาบาลก็บอกว่าเธอคนนี้ไม่มีของอะไรที่บอกว่าเป็นใครติดตัวมาเลย” ยูริรีบตะบึ่งเข้ามาบอกข่าว จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนเจ็บนั้นตื่นแล้ว


                “เธอ.. พอจะนึกออกบ้างไหมว่าตัวเองเป็นใคร?” คนตัวเล็กเอ่ยปากถามร่างบาง


                ..นั่นสินะ..แล้วฉันเป็นใครกันล่ะ?.. ผู้ถูกซักไซ้ก้มหน้านิ่ง คิดทบทวนคำถามนั้นด้วยสมองที่ว่างเปล่า ไม่มีข้อมูลใดๆพอให้เธอนึกออกได้เลย แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง


                แต่ทำไม..ทั้งๆที่ไม่รู้จักแม้แต่ตัวเอง แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่อยู่ใกล้ๆคนตัวเล็กนี้เหลือเกิน ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแท้ๆ .. ความรู้สึก มันคอยพร่ำบอกจิตใจว่า ผูกพัน อย่างบอกไม่ถูก


                “ถามอะไรอย่างนั้น ก็หมอเขาบอกอยู่ว่าความจำเสื่อม คนความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้หรอกหน่า” ร่างสูงก้มลงกระซิบเบาๆที่หูเพื่อนเพราะไม่อยากให้ร่างที่นอนอยู่ได้ยินจนเสียกำลังใจ


                “ฉัน..ไม่รู้หรอก  ไม่มีอะไรอยู่ในหัวฉันเลย”


                คำตอบของร่างบางเป็นไปตามที่ยูริกล่าวไว้  สองเพื่อนสนิทมองหน้ากันอีกครั้งแบบไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่ความคิดวูบหนึ่งของแทยอนก็ทำให้เพื่อน รวมทั้งร่างบางตกใจไม่น้อย


                “เอางี้ไหม  เธอ ไปอยู่กับฉันนะ”


                “ห่ะ..ห๊า  อะไรนะไอ้คุณแท” ยูริทำหน้าเหวอ หันไปมองแทยอนที่ทำตาเป็นประกายรอคอยคำตอบจากร่างบางที่ยังอึ้งไม่หายกับคำเชิญชวน


                “ให้ฉันไปอยู่กับเธอ..?”


                “ใช่แล้ว เธอได้ยินไม่ผิดหรอก .. ดีกว่าให้เธออยู่ฟื้นความทรงจำที่ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ในโรงพยาบาลน่าเบื่อๆแบบนี้  ไปอยู่กับฉัน ฉันจะช่วยเธอเอง” แทยอนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำอุทานจากยูริ ต่างจากที่ทำเป็นได้ยินทุกคำที่ร่างบางพูดอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน


                “เอ่อ..ขอโทษนะคะ ขอตัวยัยนี่สักครู่  มานี่เลยคุณคิม แทยอน” ยูริทำการดับฝันเพื่อน คว้าแขนเล็กๆลากออกมานอกห้อง ไม่สนใจเสียงค้านของร่างที่ถูกลาก ทิ้งให้ร่างบางมองการกระทำของคนทั้งคู่ด้วยความงงงวย


                “ปล่อยฉันนะ ไอ้ลิง
    ! ไอ้เพื่อนบ้า!


                “บอกฉันมาให้หมด แกคิดว่าแกกำลังจะทำอะไร” ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท คำถามแรกก็ถูกยิงเข้าใส่คนตัวเล็ก


                “ก็พาเขาไปอยู่กับฉันไง  ..อย่ามองฉันอย่างนั้นสิไอลิงกัง  ฉันกำลังทำดีนะ  ไม่ได้ทำผิด”


                “ฉันรู้ๆ  แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่แกควรจะเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบนะ .. แกเล่าให้ฉันเองไม่ใช่หรือไง ว่าคนที่ขับรถชนน่ะคือคังอิน แล้วตอนนี้หมอนั่นอยู่ไหน แม้แต่ค่ารักษาพยาบาลที่บอกว่าจะจ่ายก็ยังไม่ทำอย่างที่พูด โผล่หัวมาเยี่ยมคนเจ็บสักครั้งก็ไม่เคย  แต่กลับเป็นแก แทยอน ที่คอยมาเยี่ยม มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ไหนจะพาเขากลับไปอยู่บ้านแกอีก  ..แกคิดว่าแกกำลังทำอะไรอยู่หะ” ประโยคสวดร่ายยาวของยูริไม่ได้ทำให้แทยอนล้มเลิกความคิดนั้นแม้แต่น้อย แต่ก็ก้มหน้าลงรับฟังคำสวดของเพื่อน


                “ก็ฉัน..สงสารเขานี่นา  เขาไม่มีใครเลยนะยูล  เราจะปล่อยให้เขาติดอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้เหรอ” ร่างเล็กตรงเข้ากอดแขนเพื่อน พร้อมกับทำหน้าตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์


                “หยุดทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว นอกจากฉันจะไม่เห็นใจแกแล้ว ยังสมเพชแกอีก”


                “ไอ้ลิงปังคุง
    !!

     





                “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าจะให้ฉันรออีกนานไหม?”


                หญิงสาวที่นั่งอยู่ประจำที่โต๊ะเลขานุการหน้าห้องประธานหนาวเย็นวาบทั่วทั้งหลังเมื่อได้ฟังคำถามอันเย็นยะเยือกของผู้ที่มาติดต่อสัมภาษณ์งานที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าประธานนั้นรับหน้าที่สัมภาษณ์เธอคนนี้เอง  แต่เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้..

     


                “เออๆ เดี๋ยวฉันไปเดี๋ยวนี้แหละ”


                เสียงเครียดๆของควอน ยูริดังเล็ดลอดมาจากข้างในห้อง ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะเปิดออกตามด้วยร่างสูงที่ดูรีบร้อนเสียเหลือเกิน


                “คุณควอนคะ .. จะไปไหนหรอคะ?” เลขานุการสาวรีบร้องทักทันที เมื่อเห็นเจ้านายกดลิฟต์อย่างเร่งร้อน


                “ฉันมีธุระน่ะ”


                “แต่คุณควอนมีติดสัมภาษณ์คนมาสมัครงานภายในอีกสิบห้านาทีนี้นะคะ” หญิงสาวก้มลงมองดูนาฬิกา ความจริงแล้วมันเหลืออีกแค่สิบนาทีด้วยซ้ำ


                “บอกให้คนนั้นรอไปก่อน เดี๋ยวฉันมา”


                “แต่...”


                ไม่ทันแล้ว .. ร่างสูงก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออก และแทบจะปิดไปในทันที

     


                “ว่ายังไงคะ?  จะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่กัน นี่มันก็ปาไปสี่ชั่วโมงแล้วนะ” เสียงเย็นๆนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แล้วราวกับว่ามันมีอิทธิพลอย่างประหลาดพอที่จะทำให้คอของเลขานุการนั้นแห้งผาก และตีบตัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก


                “เอ่อ..คือ..” นี่ฉันกำลังจะโดนแช่แข็งงั้นเหรอ?


                “ไม่มีคำแก้ตัวสินะ บริษัทนี้มันยังไงกัน แย่ที่สุด
    !” เจสสิก้า จอง เดินปึงปังกลับไปนั่งที่เดิมของเธอ  ถึงจะต่อให้ต้องนั่งรอจนหงุดหงิดนานแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่ตัดสินใจกลับบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดสักที .. ก็บริษัทดีๆแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆนี่นา .. ถึงแม้มันจะดูไร้ความผิดชอบสิ้นดีก็เถอะ!!


                “ให้ฉันรอนานขนาดนี้ ถ้าไม่รับเข้าทำงานล่ะก็ ... มีตาย
    ..!” เสียงพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง แต่อาจจะเป็นเพราะความเงียบ ทำให้ผู้ที่อยู่ในละแวกนั้นแอบได้ยินได้ไม่ยาก ซึ่งก็คือเลขานุการสาวผู้รับเคราะห์เจอรังสีน้ำแข็งเข้าไปเต็มๆทั้งๆที่ไม่ผิดสักนิด..


     



                “ดีจังเลยนะ ที่คุณหมอให้กลับบ้านได้เลย  อันที่จริงแล้วฉันไม่ชอบโรงพยาบาลมากๆเลยน่ะ”


                ตลอดระยะทางกลับบ้านนั้น  คนสมหวัง(?)อย่างแทยอนก็ถือโอกาสชวนเพื่อนใหม่คุยไปตลอดทางบนรถของยูริ ที่จำใจรับบทเป็นสารถีขับรถพาเพื่อนไปส่งบ้าน


                “ฉันเกรงใจเธอจัง..” คนเจ็บพูดเอื่อยๆ อันที่จริงแล้วเธอฟื้นตัวยังไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด เธอจึงบอกกับคุณหมอว่าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้นอนหยอดน้ำเกลือต่ออีกหลายคืน


                “ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ..ฉันแค่อยากช่วยเธอน่ะ” แทยอนพูดเนือยลงเมื่อนึกถึงเหตุผลที่คนข้างๆต้องเป็นแบบนี้


                “ขอบคุณนะ เธอใจดีจังเลย”


                “เรียกฉันว่าแทยอนก็ได้ ยังไงต่อจากนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแล้วนะ   ว่าแต่.. เธอก็น่าจะมีชื่ออยู่เหมือนกัน  แกคิดว่าไงบ้างยูล” คนตัวเล็กชะเง้อหน้าถามคนที่โดนทิ้งให้ไปนั่งขับรถอยู่คนเดียวด้านหน้า


                “เพิ่งรู้สึกหรือไง ว่ามีฉันอยู่ด้วย” ยูริพูดหยอก แอบน้อยใจอยู่ลึกๆจริงๆ  พอมีเพื่อนใหม่ล่ะลืมเพื่อนลิงคนนี้เลยนะ หมาแท..


                “โอ๋ๆ ลิงงอนแฮะ .. เอางี้ดีกว่า ฉันจะเรียกเธอว่า มิยอง”


                “มิยองเหรอ..” ร่างบางทวนคำพูดชื่อใหม่ของตัวเองเบาๆ  ให้คนตัวเล็กพยักหน้า รอยยิ้มที่หาได้ยากจากแทยอนฉายอยู่บนใบหน้าอ่อนกว่าวัยของเธอ แล้วมันก็แทบจะหายไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงพูดจากคนข้างหน้า


                “มิยอง  ทำไมชื่อมันดูเชยจังเลยแท เปลี่ยนเห่อะๆ”


                “แกจะไปรู้อะไร ชื่อนี่เพราะจะตายนะ  มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปสิคะ คุณยูริ”


                “รับทราบค่าา
    คุณคิม แทยอน  พอกล้าใช้ทีก็ใช้ใหญ่เลยนะคะคุณเพื่อน”


                “ว่าแต่ว่า.. วันนี้แกไม่ได้ทำงานเหรอยูริ?” เอ่ยปากถามเพื่อน เพราะปกติแล้วเท่าที่แทยอนรู้มา ควอน ยูริเป็นถึงประธานบริษัทเลยทีเดียว งานก็ไม่น่าจะว่างถึงขนาดนี้ เธอถึงไม่อยากรบกวนเพื่อนของเธอยังไงล่ะ


                “งานเหรอ?  เฮ้ย
    ! งาน! สัมภาษณ์! ตายแล้วว ควอน ยูริ!


                “สัมภาษณ์? แกเป็นประธานบริษัทไม่ใช่หรือไง จะต้องสัมภาษณ์อะไรอีก?”


                “ไม่ใช่อย่างนั้น  ..  เอ้า ถึงแล้วๆ ขอโทษนะที่ส่งได้แค่นี้ ฉันต้องรีบแล้วล่ะ” ยูริจอดรถคันงามของเธอหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง แต่แทยอนยังคงมองเพื่อนทำท่าทีเลิ่กลั่กไม่ได้รีบร้อนลงจากรถอย่างที่ยูริต้องการ


                “เป็นอะไรของแก?” แต่ดูจากท่าทีแล้ว คิมแทยอนคงอยากจะแกล้งเพื่อนเสียมากกว่า ให้มันได้อย่างนี้สิ
    !


                “อ๊ากก.. ฉันไม่อยากถีบแกลงจากรถนะเว่ย ตายๆๆ ตายแน่ๆ” ยูริแทบจะทึ้งผมตัวเอง  แต่เพื่อนตัวแสบก็ยังไม่สะทกสะท้าน  ถึงจะไม่ได้เจอกันนานพอสมควรแต่ไม่ต้องมาคิดถึงกัน ถึงขนาดต้องจัดงานอำลาอาลัยกันหรอกนะ   โฮกก ก
    ~ ลิงอยากฆ่าหมา


                “แทแท..รีบลงกันเถอะ อย่าแกล้งยูลเขาเลย” ร่างบางที่นั่งเฉยอยู่นานจับมือแทยอนกระตุกเล็กน้อย  คนตัวเล็กก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกครองไว้ แอบอมยิ้มเล็กๆ


                “เอางั้นก็ได้ ขอให้โชคดีนะเพื่อน  ฉันไปละ” แทยอนยิ้มกวนอวัยวะเบื้องล่างเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินลงจากรถตามมิยองไป


                “ขอบคุณมากๆนะคะ” ร่างบางโค้งศีรษะลงเล็กน้อยให้ยูริที่โค้งตอบเธอจากในรถ  ก่อนที่รถแอสตัน มาร์ตินคันสีดำสนิทจะแล่นด้วยความเร็วสูงห่างคนทั้งสองไปจนลับสายตา..


     



                “ใจเย็นนะคะคุณ อย่าเพิ่งรีบไปเลยค่ะ อีกประเดี๋ยวท่านประธานก็จะกลับมาแล้ว” เลขานุการเจ้าเก่า วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังหญิงสาวเพื่อไม่ให้เธอเดินไปกดเรียกลิฟต์กลับ


                “มันจะไม่มากไปหน่อยหรือไง ให้ฉันนั่งรอตั้งห้าชั่วโมงกว่า
    ! นอกจากประธานแล้ว บริษัทนี้มันไม่มีตัวแทนพอที่จะมาสัมภาษณ์ฉันเลยหรือไง!” เจสสิก้าตวาดแหวใส่อย่างเหลืออด หลังจากที่นั่งทนรากงอกเป็นหัวไชเท้านานกว่าห้าชั่วโมง  ถึงจะอยากได้งานจากบริษัทนี้แค่ไหนก็ตาม แต่ปล่อยให้คนสวยรอนานขนาดนี้ ไม่ทงไม่ทำงานมันแล้ว!!


                “เดี๋ยวท่านประธานจะมาแล้วจริงๆค่ะ เมื่อครู่ท่านโทรมาบอกฉันเอง รออีกหน่อยนะคะ”


                “ไม่รงไม่รอแล้ว ฉันจะไปสมัครงานที่บริษัทอื่น
    ! พอกันที!” เจสสิก้าเดินเลี่ยงเบี่ยงตัวหลบหญิงสาวอีกคน ตรงไปยังลิฟต์ที่เปิดออกพอดี แต่ด้วยความที่รีบมากไปหน่อย จึงทำให้เธอชนเข้ากับผู้ที่กำลังเดินออกมา ร่างของทั้งสองคนล้มลงไปคนละทิศละทาง


                “โอ๊ยย” เสียงร้องโอดครวญจากทั้งสองคนดังขึ้นทันทีที่บั้นท้ายกระแทกเข้ากับพื้น


                “ท่านประธาน
    !




     





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×