คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1 :: This smile ..
Chapter 1 :: This smile..
“มีคนข้ามถนนอยู่ตรงหน้า!”
“ห๊ะ!”
เอี๊ยดดดด ดด ด !!!
โครมมม ม!!
ทว่ามันสายไปเสียแล้ว .. ร่างบางของผู้เคราะห์ร้ายนั้น ถูกชนด้วยกระโปรงรถอย่างจังแม้เท้าของคังอินจะเหยียบเบรกเสียมิดก็ตาม และด้วยแรงชนนั้นเอง ทำให้ร่างบางลอยกระเด็นออกไป นอนจมกองเลือด ลมหายใจรวยริน...
คังอินหน้าฟุบกับพวงมาลัยด้วยแรงเบรก เช่นเดียวกับแทยอน ดีที่มีเข็มขัดนิรภัยช่วยรั้งไว้ไม่ให้ใบหน้า และศีรษะชนจนแรงเกินไป เป็นร่างเล็กที่รวบรวมสติได้ก่อน มองออกไปข้างนอกรถเพื่อมองหาผู้เคราะห์ร้าย ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักแบบไม่ปราณี เธอพบว่าร่างบางนั้นนอนแน่นิ่งท่ามกลางกองเลือดสีแดงข้น ที่เริ่มจะโดนสายฝนสาดเข้าใส่จนเริ่มกลายเป็นเพียงสีใสๆมากเข้าไปทุกที
“แทยอน! จะทำอะไร” คังอินคว้าแขนแทยอนที่ทำท่าจะลงไปจากรถ ร่างเล็กมีท่าทีร้อนรน เธออยากจะลงจากรถไปช่วยหนึ่งชีวิตที่ถูกแขวนไว้อยู่บนเส้นด้ายนั่นเหลือเกิน หรือบางทีเส้นชีวิตของเธอคนนั้นอาจจะถูกตัดขาดไปแล้วก็เป็นได้
“จะไปดูคนนั้นไง เราขับรถชนเขานะ”
“ย...อย่าไปเลย เขาไม่เป็นไรหรอก รีบไปกันเถอะ” คังอินพูดตะกุกตะกัก ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแฝงไปด้วยความกลัว แต่เขากลับมารู้ตัวว่าทำพลาดมหันต์ เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาผิดหวังจากร่างเล็ก และมือบางที่แกะการเกาะกุมไปจากแขนเธอ
“ไม่คิดเลยนะ ว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้..” ทันทีที่พูดจบประโยคร่างเล็กก็พาตัวเองลงจากรถและไม่หันกลับมามองเขาอีก คังอินมองหญิงสาวที่วิ่งเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่ง ก่อนที่เขาจะรีบลงจากรถตามเธอไป สายฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องนั้นเย็นเฉียบไปทั่วร่าง ในขณะที่แทยอนคุกเข่าลงข้างๆร่างบางนั้น
“คังอิน เธอยังไม่ตาย เราต้องรีบพาเธอไปโรงพยาบาลนะ” แทยอนประคองศีรษะคนเจ็บ ส่งสายตาขอร้องมาทางเขา
ชายหนุ่มมองร่างของผู้เคราะห์ร้ายแล้วแทบจะเบือนหน้าหนี ใบหน้านั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้สายฝนช่วยชำระเลือดสีแดงสดนั่นให้อยู่แล้วก็ตาม
“คังอิน! เราต้องพาเธอไปโรงพยาบาลนะ เดี๋ยวนี้!!”
ร่างบางถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้น พร้อมด้วยคู่กรณีทั้งสองคน ..คังอินและแทยอนนั่งหน้าซีดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ต่างจากเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด แต่คนทั้งสองก็มีเรื่องให้คิดมากพอที่จะไม่ใส่ใจมัน
ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของคนทั้งคู่ ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบนั้น ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งแสงไฟสีแดงจากห้องฉุกเฉินเปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงเปิดประตูทำให้แทยอนหันไปมอง นายแพทย์ในชุดกาวน์เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“คุณหมอคะ คนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะ?” ร่างเล็กลุกขึ้นทันควัน ยิงคำถามใส่คุณหมอหนุ่มที่มองเธอกลับมาเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะบอกข่าวอาการของคนเจ็บกับเธอดีหรือไม่
“คุณเป็นอะไรกับคนเจ็บครับ?”
“ฉันเป็น...เอ่อ..คู่กรณีของเขาค่ะ” แทยอนตอบ เหลือบตามองคังอินที่ซุกหน้าเข้ากับฝ่ามือไปได้สักพักแล้ว
“ตอนนี้คนเจ็บปลอดภัยแล้วครับ ดีที่คุณนำตัวเขามาส่งโรงพยาบาลได้ทัน เพราะถ้านำตัวเขามาส่งช้า อาการอาจจะแย่กว่านี้ หมอทำแผลและใส่เฝือกที่แขนซ้ายให้เรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ที่เหลือคือรอวันที่ฟื้นตัวครับ อีกสักพักทางพยาบาลจะพาคนเจ็บไปพักที่ห้อง”
“งั้นเหรอคะ” โล่งอกไปที..
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ” แทยอนโค้งตัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ มองนายแพทย์เดินจากไปจนลับตา ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป็นบุรุษพยาบาลที่เดินออกมาพร้อมกับเตียงรถเข็น
คนตัวเล็กมองร่างบางที่นอนหลับอยู่บนนั้น ศีรษะของหญิงสาวมีผ้าพันแผลพันอยู่โดยรอบ ใบหน้านั้นนิ่งสนิทและซีดเผือดเล็กน้อย ผ้าบางขนาดใหญ่ห่มตัวจนถึงไหล่จนมองไม่เห็นเฝือกที่แขนขวา
ขาของแทยอนก้าวตามร่างบนรถเข็นไป ลืมที่จะเรียกปลุกคนที่ฟุบหน้าลงกับฝ่ามือนั่นเสียสนิท หญิงสาวยืนรออยู่หน้าห้องจนบุรุษพยาบาลเดินออกมาจึงจะเดินเข้าไป
“คิดจะทำอะไรน่ะ”
เสียงทุ้ม พร้อมกับสัมผัสที่รั้งแขนเธอไว้ไม่ให้เข้าไปในห้อง ร่างเล็กหันไปมองต้นเหตุที่ยืนขมวดคิ้วส่งสายตาปรามราวกับเธอจะเข้าไปถอดสายน้ำเกลือคนในห้องเสียอย่างนั้น
“ฉันก็ ..จะเข้าไปหาเขาไง”
“แค่นี้ก็พอแล้วนะแท เราพาเขามาส่งโรงพยาบาล จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเข้าไปหา หรือดูแลอะไรขนาดนั้นก็ได้”
“ยังไงฉันก็จะเข้าไปหาเขา เข้าไปดูว่ามีอะไรที่พอจะติดต่อญาติพี่น้องของเขาได้บ้าง หายไปเป็นคืนอย่างนี้ ต้องมีคนเป็นห่วงและตามหาเขาบ้างแหละ .. นายอย่าใจร้ายไปหน่อยเลย เราเป็นคนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้นะ คิมยองอุน!”
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อเต็มจริงๆของเขาจากปากร่างเล็ก เปิดช่องว่างให้เธอดึงแขนออก แต่เขาก็รั้งแขนเธอไว้ได้อีกครั้งก่อนที่มือบางจะผลักประตูห้องพักเพื่อเดินเข้าไป
“ปล่อยฉันนะ! คนใจร้าย!”
“กลับบ้านไปพักผ่อนหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแทยอน ขืนเข้าไปในสภาพนี้พยาบาลที่ยืนอยู่ตรงนั้นต้องเข้ามาไล่เธอแน่”
คังอินพยักเพยิดไปทางพยาบาลสาวตรงเคาน์เตอร์ ที่เมินหน้าหนีทันทีเมื่อเห็นว่าคนสองคนที่แอบสังเกตมองกลับมา แทยอนก้มลงมองสภาพเสื้อเปื้อนเลือดของตัวเอง .. มันก็จริงอย่างที่ร่างสูงพูด เพราะถึงแม้พยาบาลคนนั้นจะไม่เข้ามาไล่ แต่ร่างบางข้างในห้องนั้นอาจจะติดเชื้อก็เป็นได้
ด้วยเหตุผลนั้น คนตัวเล็กจึงยอมกลับก่อนแต่โดยดี แม้ภายในใจแล้วเธอรู้สึกเป็นห่วงร่างบางที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อคนนั้นแค่ไหนก็ตาม..
รถแอสตัน มาร์ตินคันสีดำสนิท หยุดจอดอย่างสง่างามหน้าตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านระฟ้า ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาอย่างชื่นชม ที่มากไปกว่านั้นคือเจ้าของรถที่ก้าวลงจากรถด้วยท่าทีสง่างามไม่แพ้กัน
เท่ซะไม่มีล่ะ ควอน ยูริ...
“สวัสดีครับ คุณยูริ” ผู้รักษาความปลอดภัยโค้งตัวงามๆให้กับหญิงสาวที่โค้งตัวตอบเช่นกัน
“ลุงคะ ฉันบอกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ต้องเรียกฉันแบบนั้น ฉันยังเด็กกว่าลุงตั้งเยอะนะ” ยูริพูดทีเล่นจริง รอยยิ้มที่ชวนให้ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ต่างหลงใหลนั้นฉายอยู่บนใบหน้าสวยรูปไข่
“ลุงไม่กล้าเรียกประธานบริษัทเป็นอย่างอื่นหรอกครับ”
“ฉันเพิ่งจะมาเป็นได้ไม่นาน อีกอย่างอาจจะแค่ชั่วคราวด้วยซ้ำ ..”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะครับ คุณยูริเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน แต่ก็ช่วยสานต่อบริษัทนี้ได้ดีทีเดียว ดีไม่ดี อาจจะดีกว่าเก่าด้วยซ้ำ”
“พูดแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิคะลุง” ลุงยามยิ้มกว้างจริงใจ ก้าวขึ้นรถคำสีดำนั้นเพื่อขับไปจอดอีกที่หนึ่งตามหน้าที่ทุกวันที่เขาทำมาเสมอ ทำให้ยูริได้แต่เฝ้ายิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าบริษัทไป
“คุณยูริคะ”
“ว่าไงคะ?” ร่างสูงหยุดเดินตามเสียงเรียก หันไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้าเขินอายแบบนั้นเกิดขึ้นกับพนักงานทุกคนที่เข้ามาคุยตัวต่อตัวกับเธอแบบนี้ .. ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเกรงกลัวในฐานะที่เธอเป็นประธานบริษัทหรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่
“วันนี้มีคนที่สมัครงาน จะมาสัมภาษณ์ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณยูริจะรับหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์เองเลยหรือเปล่าคะ?”
“เขาสมัครเป็นตำแหน่งอะไรล่ะ?”
“ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการออกแบบค่ะ”
“อืม..โอเค ฉันจะรับสัมภาษณ์เขาเอง ขอบคุณมากนะที่แจ้งข่าว” โปรยยิ้มหวานขอบคุณหนึ่งทีเล่นเอาพนักงานสาวเก้อเสียจนทำอะไรไม่ถูก ก็บอกไปแล้วไงว่ารอยยิ้มแบบนั้นน่ะ ชวนใจละลายจริงๆเลย ให้ตายสิ..
แต่ดูเหมือนคนอย่างควอน ยูริจะชินเสียแล้วกับท่าทีของพนักงานบริษัทเหล่านั้น เธอขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ทักทายพนักงานทุกคนที่เดินผ่านอย่างเป็นกันเองตามปกติ ทันทีที่มาถึงห้องทำงาน ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ วางแฟ้มประวัติของผู้มาสมัครงานคนใหม่ที่เพิ่งรับมาจากเลขาหน้าห้อง .. บิดขี้เกียจ อ้าปากหาว ไม่มีมาดของประธานบริษัทที่เพิ่งเก๊กจนหน้าปวดเมื่อครู่ เธอจำเป็นต้องเก๊กมาดนิ่งแบบนั้นทุกๆวัน เหนื่อยเสียยิ่งกว่างานที่ทำจริงๆอีก
นิ้วเรียวเอื้อมไปเปิดแฟ้มประวัติตรงหน้าเอื่อยๆเพื่อดูรายละเอียดแบบผ่านตา แต่รูปภาพของผู้มาสมัครก็ทำให้สายตาหยุดอยู่กับที่เพื่อมองใบหน้านั้นให้ชัดๆ ก่อนจะเลื่อนลงมาเพื่อดูชื่อ
“จอง ซูยอน .. งั้นเหรอ”
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ร่างสูงที่กำลังชื่นชม ..อ่า..ไม่สิ กำลังอ่านรายละเอียดของผู้มาสมัครเป็นหัวหน้าฝ่ายการออกแบบอย่างละเอียดคนนี้ต้องละสายตาแบบขัดไม่ได้ ใครกันนะช่างโทรมาขัดจังหวะเสียจริง
‘แทยอน’
ตาคมเบิกโตกว้างกว่าที่เคยเป็น ผีหมาจะหลอกลิงกลางวันแสกๆก็คราวนี้แหละ เป็นปีเป็นชาติเพื่อนอย่างคิมแทยอนไม่เคยคิดจะติดต่อโทรหาเธอก่อนสักที นอกจากเธอจะเป็นฝ่ายโทรหาซะเอง หรือมีเรื่องด่วนและสำคัญจริงๆ แต่ก็นั่นล่ะ..เรื่องสำคัญๆของคนตัวเล็กก็เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกิน เพราะเจ้าตัวสามารถเก็บและแก้ปัญหาได้เองโดยไม่ต้องพึ่งใครเลยน่ะสิ แต่มันกลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้ยูริดีใจเลยแม้แต่น้อย.. เมื่อคิดถึงเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เพื่อนอย่างเธอทั้งคู่ต้องห่างเหินกันขนาดนี้ ..
นิ้วเรียวกดวางโทรศัพท์มือถือหลังจากที่เธอโทรไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทเสร็จเรียบร้อย แทยอนถอนหายใจเบาๆที่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องพึ่งคนอื่นจนได้ ..มันช่วยไม่ได้จริงๆนี่นา..
หญิงสาวร่างเล็กนอนไม่หลับ ไม่ว่าจะพยายามข่มตาสักแค่ไหนก็ตาม เธอหมดความอดทนกับการนอนเมื่อรู้ว่าเธอนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงนานถึงสามชั่วโมง
เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ? จะฟื้นขึ้นหรือยัง? แล้วจะทำตัวยังไงเมื่อจู่ๆก็พบว่าตัวเองไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาล?
สามวันแล้วที่คิม แทยอนนอนไม่ค่อยหลับ หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลในวันนั้น คังอินทำเธอลำบากใจเมื่อถือโอกาสมารับ-ส่งทุกวันเช้าเย็นไปร้านSun Shy จนเธอไม่มีโอกาสปลีกตัวไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาล หลายครั้งที่เธอพยายามพูดถึงเรื่องนี้ แต่คังอินแกล้งทำหูทวนลมไม่ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปเลย แถมหมู่นี้ซันนี่แหวใส่เธอบ่อยโทษฐานเหม่อลอยในเวลาทำงาน จนเทกาแฟล้นถ้วยบ่อยครั้ง นี่ยังไม่นับครั้งที่เธอสะดุดขาตัวเองล้ม จนกาแฟหกใส่ลูกค้า .. ดีนะที่เป็นกาแฟเย็น
แสงสว่างยามเช้าส่องผ่านบานหน้าต่างแผ่นใหญ่ใส ที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียงภายนอก กระทบร่างของผู้ที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนานมาแล้วถึงสามวันสามคืน บางทีร่างนั้นอาจไม่ต้องการที่จะตื่นขึ้นมาอีกเลยด้วยซ้ำ .. แต่เมื่อแสงสว่างเริ่มสอดส่องผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท รวมไปถึงความรู้สึกสัมผัสอบอุ่นที่ปลายมือ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกตัว สัมผัสนี้มัน ..อบอุ่นเหลือเกิน..
แต่แล้วสัมผัสอันอบอุ่นนั้นค่อยๆคลายออกจากมือเธอช้าๆ .. เสียงหัวใจของเธอเรียกร้องให้มันกลับมาเหมือนเดิม ตรงกันข้ามมันห่างเหินและหายไปจนทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ ..
“อย่าไป!” เสียงแหบพร่าเนื่องจากไม่ได้ใช้การมานานร้องเสียงดัง ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นตกใจไม่น้อย
“เธอ.. เธอฟื้นแล้ว!” เสียงร้องด้วยความดีใจนั้น ปลุกให้เธอลืมตาขึ้น แสงแดดสะท้อนเข้าดวงตาจนเธอต้องหยีตาเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพให้เข้ากับมัน
ดวงตาใสที่เริ่มชินกับแสงจ้องมองคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความงงงวย เธอคนนี้เป็นใครกันนะ? ทำไมต้องทำหน้าดีใจอย่างนั้นด้วย? แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วที่นี่มันคือที่ไหน? คำถามมากมายผุดขึ้นราวกับสายฝนที่โปรยลงมาจากฟากฟ้า รวมไปถึงคำถามสุดท้ายที่ถึงกับทำให้เธอต้องยกมือขึ้นแตะศีรษะผ่านผ้าพันแผลหนาๆ ... แล้วตัวเธอเองล่ะ เธอคือใคร??
“ฉัน..” เสียงที่เปล่งออกมายังคงแหบพร่า คอแห้งผากเพราะไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำเกลือที่ต่อเข้ากับเส้นเลือดที่หลังมือ คนตัวเล็กดูเหมือนจะรู้ใจเธอ แก้วน้ำถูกยื่นมาตรงหน้าทันทีก่อนเธอจะพูดจบเสียอีก
“เอ่อ..ลืมหลอดแฮะ” ร่างเล็กเกาแก้มเขินๆ เดินกลับไปใส่หลอดกับแก้วน้ำ ก่อนจะกลับมายื่นน้ำให้เธออีกครั้ง
“ดื่มสิ ดูท่าทางเธอน่าจะหิวน้ำมากๆนะ ฉันไม่ใส่ยาพิษลงไปหรอกหน่า”
ทำตามที่คนตรงหน้าบอกอย่างว่าง่าย น้ำอุ่นๆผ่านปากและลำคอช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยทีเดียว
“เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ร่างบางมองคนที่วางแก้วน้ำลง คว้าเก้าอี้มาตั้ง ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอแทน ใบหน้าเด็กใสนวลนั้นช่วยดึงสายตาของเธอได้ดีเหลือเกิน จนเจ้าของใบหน้าต้องโบกมือไปมาตรงหน้าเพื่อเตือนสติ
“ทำไมถึงจ้องหน้าฉันแบบนั้นล่ะ หรือว่า...เธอเป็นใบ้! เอ๊ะ แต่เมื่อกี้เธอยังพูดอยู่เลยนี่นา”
คำพูดตลกไม่ตั้งใจของร่างเล็ก สามารถทำให้เธอเผยรอยยิ้มออกมา ..คนอะไรกัน ถ้าไม่รู้ว่าซื่อแค่ไหน ก็น่าจะเป็นพวกตลกหน้าตายมืออาชีพได้เลย
แต่แล้วหัวใจของคนตัวเล็กกลับกระตุกวูบเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า
.. เพราะรอยยิ้มแบบนี้ .. เป็นแบบเดียวกันกับรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเธอตลอดเวลา
.. รอยยิ้มที่เธอไม่มีวันลืมมันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม
.. รอยยิ้มที่สามารถทำให้หัวใจเล็กๆหวั่นไหวทุกครั้งที่ได้สัมผัส
.. รอยยิ้มของ ..... ฮวัง มิยอง
“อ๊ะ!” รู้สึกตัว ตื่นจากภวังค์เมื่อร่างบางเริ่มเลียนแบบโบกมือไปมาตรงหน้าเธอบ้าง รอยยิ้มตาหยีถูกฉายอยู่บนใบหน้าอีกครั้ง
“เธอ..ตลกจัง”
น้ำเสียง สดใสขึ้นมากหลังจากที่ได้ดื่มน้ำ คนตัวเล็กลูบแก้มไปมาอย่างเขินอาย น้อยคนนักที่จะได้เห็นเธอทำอะไรแบบนั้น ถ้าไม่นับเพื่อนสนิทแล้ว ก็เหลืออยู่แค่สองคนเองแหละ
แล้วหนึ่งในนั้นก็คือคนตรงหน้านี่เอง..
“แท ฉันจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แล้วนะ อ้าวนั่น...”
เสียงพูดของผู้มาใหม่ดึงความสนใจจากคนทั้งคู่ไป แทยอนหันไปมองเพื่อนรักที่เดินอาดๆเข้ามายืนข้างๆเธอ
“เพิ่งฟื้นเหรอ?” คำถามดูจะส่งไปให้เพื่อนมากกว่าที่จะถามคนบนเตียงนอน ซึ่งคำตอบที่ได้ไปคือพยักหน้าเบาๆครั้งเดียว
ร่างบางเอียงคอเล็กน้อยกับการกระทำของคนทั้งคู่ ในที่สุดคำถามที่ถูกเก็บไว้นานก็เอ่ยออกไป
“คุณสองคน..คือใครกันคะ?”
“แกยังไม่บอกเขาหรือไงแท” คำถามของเพื่อนคราวนี้ แทยอนได้แต่ส่ายหน้าเอื่อย พร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้งๆกลับไป
“ฉันชื่อยูริ .. ควอน ยูริน่ะ แต่จะเรียกยูลเฉยๆก็ได้ เป็นเพื่อนของเจ้าหมานี่เองน่ะ” ผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยแนะนำตัวเองก่อน
แทยอนกระทุ้งสีข้างเพื่อนเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาไม่พอใจไปให้ แต่กลับทำให้ร่างบางได้หัวเราะเบาๆ ด้วยความชอบใจ
“ส่วนฉันชื่อแทยอน คิม แทยอน”
“แทยอน .. ” ร่างบางทวนชื่อนั้นอีกครั้ง “แทยอน .. ทะ แท...”
เสี้ยววินาทีนั้น ภาพของชายหนุ่มที่กำลังหันหลังให้เธอก็ปรากฏขึ้นราวกับเป็นภาพหลอน ใบหน้าและคำพูดอันเย็นชานั้น ย้อนกลับเข้ามากรีดหัวใจบอบบางอีกครั้ง
“...อ๊ะ!” มือข้างที่ไม่ได้สวมเฝือกเอื้อมขึ้นแตะศีรษะที่จู่ๆก็ปวดแปล๊บขึ้นมา ส่งผลให้คนอีกสองคนตกใจถลาเข้ามาหาเธอ
“เธอ..เป็นอะไรไป” ร่างเล็กถามเลิ่กลั่ก ในขณะที่คอยประคองร่างสั่นเทา ร่างบางก้มหน้าลงสะกดความเจ็บปวดภายในหัวไว้ แต่มันกลับไม่เป็นผลเลย
“ฉัน...เจ็บ” เสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่เม้มแน่นจนแทบจะเปลี่ยนเป็นสีซีด
“ยูล เรียกหมอมาเร็วเข้า” แทยอนหันไปบอกเพื่อน ยูริพยักหน้า วิ่งโลดออกจากห้องไป
“เจ็บ..” หญิงสาวพิงร่างกายที่เริ่มอ่อนแอกับไหล่เล็กของอีกคนที่ประคองเธออยู่ ก่อนที่สติของเธอจะเริ่มเลือนหายไปช้าๆ โดยมีเสียงเรียกเธอจางแผ่วเบาตามกันไป
รถโฟล์คสวาเกน สีเขียวอ่อนจอดทาบนิ่งสนิทหน้าตึกขนาดใหญ่ ที่ถูกขึ้นชื่อว่าเป็นตึกของคณะเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง นักศึกษาใหม่ๆต่างพากันมองดูรถคันหรู พลางหันหน้าไปซุบซิบกับเพื่อน แต่สำหรับนักศึกษารุ่นเก่าๆ ปีสูงขึ้นไปแล้ว จะรู้สึกชินตาไปเสียแล้วกับรถคันนี้
แต่สำหรับเจสสิก้านั้นดูจะชินไปเสียแล้วกับการถูกผู้คนจ้องมองขนาดนี้ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเธอเรียนจบซะอีก จนตอนนี้เธอเรียนจบแล้วแต่ก็ยังไม่วายที่จะกลับเข้ามาพัวพันกับมหาวิทยาลัยนี้อีกครั้ง ..เหตุผลน่ะเหรอ? คนที่หลับอยู่ข้างๆเธอคงมีคำตอบดีๆให้แน่นอน
“ตื่นสิคะ ถึงแล้วนะ”
“อืม..” คนหลับขยับกายเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมตื่น ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ก็คงจะต้องลองไม้เด็ดอีกแล้วล่ะ จอง ซูยอน..
“ฮัลโหลค่ะ.. ตอนนี้เหรอคะ? สิก้ามาส่งน้องสาวที่มหา’ลัยอยู่ค่ะ .. ค่ะ อีกสักครึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะ”
“พี่สิก้า!”
สำเร็จแล้ว! คนข้างกายสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นนั่ง สายตากร้าวจ้องมองมาทางเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือการแกล้งคุยกับมือตัวเอง สายตานั้นกลับดูน่ากลัวและเดาทางไม่ถูกหนักกว่าเดิมเสียอีก
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ก็พี่ไม่รู้จะทำยังไงนี่นา... อุ๊บ!” คำแก้ตัวของเจสสิก้าถูกปิดลงด้วยริมฝีปากของคนที่ถูกยั่วโมโห ก่อนจะถูกปลดปล่อยอย่างรวดเร็ว
“อิม ยุนอา!” เจสสิก้าตีไหล่คนร่างสูงเบาๆ แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายนั้นได้ใจ
“พี่ยั่วฉันเองนะ พี่สิก้า” จมูกโด่งสวยได้รูปเลื่อนลงมาที่ซอกคอขาวเนียน จนคนถูกลงโทษรู้สึกจั๊กจี้ ดันไหล่ร่างสูงออกไป
“ไปเรียนไปแล้ว เดี๋ยวพี่ต้องไปสัมภาษณ์งานอีกนะ”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ ตอนเย็นเจอกันนะคะ พี่สิก้า” ยุนอาเลื่อนหน้าไปจุ๊บปากอีกฝ่ายเร็วๆ ใบหน้ากรุ่มกริ่มนั้นแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดแม้จะลงรถไปแล้วก็ตาม
“ยัยเด็กบ้า..” เจสสิก้าลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองกลังจากที่โดนคนรักฉวยโอกาสหลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวขับรถออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งหน้าไปยังบริษัทที่นัดสัมภาษณ์เธอเอาไว้..
ความคิดเห็น