ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    <<หนี้แค้นในหัวใจ>>

    ลำดับตอนที่ #24 : เชื่อมั่น...ห่วงใย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 124
      0
      18 ต.ค. 49

    ตอนที่ 24 เชื่อมั่น...ห่วงใย
     


    หลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลราวอาทิตย์ ทอฝันก็ได้รับอนุญาตจากแพทย์เจ้าของไข้ให้สามารถกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ วันนี้จึงเป็นวันที่ทอฝันจะกลับบ้าน บ้านที่ตัวของเธอนั้นไม่เคยยอมรับสักทีว่ามันคือบ้าน



    “ถึงแล้วล่ะ” เมื่อสิ้นเสียงของชายหนุ่ม ทอฝันก็มองผ่านหน้าต่างรถไปยังภาพเบื้องหน้าซึ่งเป็นบ้านเสถียรวงศ์ที่เพิ่งได้รับการซ่อมแซมหลังจากโดนไฟไหม้เสียหายไปบางส่วน ทอฝันมองบ้านตรงหน้าอย่างคุ้นเคยแต่ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ



    “แปลกจัง...” เธออุทานเสียงเบา



    “แปลกอะไรเหรอฝัน?” ตุลยดาที่นั่งอยู่ด้านข้างถามขึ้น



    “เปล่าค่ะ...แค่รู้สึกคุ้นๆ แต่มันก็ดูเศร้าพิลึกยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน”



    “แต่ต่อไปนี้มันจะไม่เศร้าแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะฝัน” ตุลยดาบีบมือของทอฝันอย่างให้กำลังใจ การกระทำของผู้เป็นอาทำให้ทอฝันรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด หญิงสาวมองเข้าไปภายในและพยายามทบทวนความทรงจำ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก



    ครู่หนึ่งต่อมา รถยนต์สีเงินของวิธวินท์ก็เคลื่อนตัวมาหยุดจอดที่บริเวณทางเข้าตัวบ้าน ทั้งลูกตาล บุหงา แม่ยม ป้าน้อม เพลิน ต่างก็ยืนรอรับอยู่ที่หน้าบ้าน ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าเบิกบานเมื่อเห็นหญิงสาวอ่อนวัยเดินลงมาจากรถ



    “ฝัน” เสียงของบุหงาดังขึ้นเป็นเสียงแรก ตามด้วยเสียงของแม่ยม ผู้สูงวัยทั้งสองเดินตรงเข้ามาหาทอฝัน บุหงาก้าวขึ้นไปกอดทอฝันเอาไว้แนบอก สัมผัสอันแสนอบอุ่นนั้นทำให้ทอฝันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา



    “คุณยาย” เธอเรียกขึ้น



    “ดีขึ้นไหม...ยายอยากจะไปรับเราที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ”



    “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่คุณยายมารอที่บ้าน ฝันก็ดีใจแล้ว” หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ



    “โธ่!...แม่คุณของยาย” บุหงากอดทอฝันแน่นขึ้นอีก หญิงชรารู้สึกเหมือนกับว่าทอฝันยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดก็ตาม อย่างน้อยทอฝันก็ยังเป็นหลานสาวที่น่ารักและอ่อนโยนเช่นนี้เสมอ ไม่ต่างจากธราธาร บุตรสาวคนโตที่เสียชีวิตไปนานแล้ว



    บุหงาค่อยๆ คลายอ้อมแขนและเดินจูงมือหลานสาวเข้าไปในบ้าน ทั้งสองและคนที่เหลือต่างทยอยเข้ามานั่งพักผ่อนในห้องรับแขก ทอฝันยังคงมองไปโดยรอบอย่างสนใจ และสายตาของเธอก็มาหยุดอยู่ที่เด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้างโซฟากับป้าน้อม



    “ลูกตาลใช่ไหมจ๊ะ?” ทอฝันเอ่ยทักขึ้น เธอมองที่เด็กหญิงตัวน้อยพลางยิ้มออกมา เห็นทีว่าเด็กหญิงคนนี้คงจะเป็นน้องสาวของเธอที่วิธวินท์ได้เล่าให้ฟังเป็นแน่ เมื่อคิดได้อย่างนั้น ทอฝันจึงเดินเข้าไปหาลูกตาลก่อนที่จะก้มตัวลงไปกอดเด็กหญิงเอาไว้



    “ตัวเล็กน่ารักจัง”



    “พี่ฝัน” ลูกตาลเรียกพี่สาวของเธออย่างดีใจ เด็กหญิงพอจะรู้บ้างว่าพี่สาวของเธอเพิ่งออกจากโรงพยาบาลและไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก



    “ชื่อหนูน่ารักดีจัง พี่ชอบนะ”



    “หนูก็ชอบค่ะ พี่จำไม่ได้เหรอคะว่าพี่เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้หนู?” ลูกตาลเบิกตาคู่กลมโตนั้นอย่างแปลกใจกับคำพูดของทอฝัน



    “ขอโทษนะจ๊ะ พี่คงจำอะไรหลายอย่างไม่ได้ไปอีกนานเลย” เมื่อพูดประโยคนี้ สีหน้าของทอฝันก็เริ่มจะเศร้าอีกครั้ง แต่ก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไปจากใบหน้าของทอฝัน ลูกตาลก็รีบพูดขึ้นเสียก่อน



    “งั้นไปที่สวนกันนะคะ พี่ชอบไปอยู่ที่นั่นเสมอเลย ลองไปดูกันนะคะ พี่อาจจะจำอะไรได้มากขึ้นก็ได้” ลูกตาลยื่นมือเล็กๆ ของเธอให้ทอฝันจับ จากนั้น ทั้งสองพี่น้องก็พากันเดินไปที่สวนโดยมีวิธวินท์เดินตามไปด้านหลัง



    เมื่อทอฝันและลูกตาลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าม้านั่งที่ทอฝันชอบมานั่งอยู่เป็นประจำ ทอฝันก็รู้สึกเหมือนมีภาพอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมาในมโนภาพของเธอ



    “พี่เห็นฝันหลับอยู่เลยเอาหนังสือออกให้”



    “ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมไม่นอนในห้องล่ะ เดี๋ยวไม่สบายไป ที่ประชุมจะรอเก้อผู้บริหารคนใหม่นะ”



    สิ่งที่ทอฝันเห็นก็คือภาพตัวเธอกับวิธวินท์ ดูชายหนุ่มจะเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมตัวทอฝันที่เธอเห็นนั้นถึงได้ดูเย็นชาและมีสีหน้าเฉยชาอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น



    “โอ๊ย!” เธออุทานขึ้นเบาๆ พลางเอามือกุมที่ศีรษะอีกครั้ง เธอพยายามจะนึกเรื่องต่างๆ ให้ออก แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด แต่ความเจ็บนั้นไม่ได้เกิดที่ศีรษะ หากแต่เป็น...หัวใจ



    “พี่ฝัน เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” เด็กหญิงร้องถามขึ้น



    “เปล่าจ้ะ ขอพี่นั่งพักแป๊ปนึงนะจ๊ะ” หญิงสาวตอบก่อนที่จะค่อยๆ เดินไปนั่งบนม้านั่งตัวเดิมนั้น



    “หนูไปเอาน้ำมาให้นะคะ” ลูกตาลบอกก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป



    ทำไมนะ ทำไมถึงรู้สึกเจ็บแปลบได้ล่ะ หรือว่าแต่ก่อนจะเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือว่าอะไรกันแน่?



    ทอฝันพยายามคิด แต่หญิงสาวก็ไม่สามารถรู้คำตอบของสิ่งที่เธอสงสัยได้ มันคงต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าที่เธอจะจำเรื่องราวทุกอย่างได้



    ในระหว่างนั้น คุณยายบุหงาที่เพิ่งจะคุยเรื่องสัพเพเหระกับตุลยดาเสร็จ ก็เดินออกมาหาหลานสาวของตน หญิงชราเดินมาเรื่อยๆ พลางมองไปรอบๆ บุหงาไม่ได้มาที่บ้านเสถียรวงศ์นี้นานมากแล้ว หรือถ้าจะว่ากันตามตรง เธอก็เคยมาแต่ในฐานะแขกเท่านั้น จึงไม่รู้เส้นทางในบ้านหลังนี้อย่างละเอียดเท่าใดนัก



    “เอ...อยู่ไหนนะ?”



    “หาฝันอยู่เหรอครับ?” วิธวินท์ที่ยืนอยู่ที่บริเวณนั้นถามขึ้น เมื่อเห็นหญิงชราเดินมาด้วยท่าทางแปลกๆ มองซ้ายทีขวาที



    “จ้ะ...เห็นยัยฝันไหมล่ะพ่อคุณ”



    “อยู่ทางโน้นครับ คุณยาย...เดี๋ยวผมพาไปนะครับ” เขายิ้มให้กับหญิงชราและเดินเข้าไปพยุงคุณยายบุหงา



    “ขอบใจนะพ่อคุณ” คุณยายบุหงากล่าวอย่างนึกชอบในตัวชายหนุ่มที่มีความสุภาพและอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ดังเช่นเขา



    “จริงสิ เจอตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ถามเลย พ่อคุณเป็นญาติคุณศักดิ์เหรอ?” บุหงาถามขึ้นอย่างนึกได้ เมื่อวานนี้ ตอนที่หญิงชราไปเยี่ยมทอฝัน ก็ได้พบกับวิธวินท์ซึ่งเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยอย่างพอดิบพอดี



    “เปล่าครับ คุณพ่อผมกับคุณอาศักดิ์ท่านเป็นเพื่อนรักกันน่ะครับ”



    “อ้อ! จ้ะ แล้วชื่ออะไรล่ะพ่อคุณ” บุหงาถามต่ออย่างเริ่มสนใจ



    “วิธวินท์ครับ”



    “วิธวินท์เหรอ? ก็ดีนะ ความหมายดีเหมือนกัน...เอ๊ะ วิธวินท์? ใช่คนที่แต่ก่อนเล่นกับยัยฝันบ่อยๆ หรือเปล่า?” บุหงายิ้มบางๆ ขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม แต่สักพัก หญิงชราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเคยได้ยินชื่อของวิธวินท์มาก่อน



    “ใช่ครับ คุณยายจำผมได้ด้วยเหรอครับ?” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะถาม อันที่จริงแล้ว ตัวเขานั้นเคยเจอบุหงาแค่ 2 ครั้งก็เท่านั้นเอง และมันก็ผ่านมาได้10 กว่าปีแล้ว จึงไม่คิดว่าคุณยายบุหงาจะจำเขาได้



    “ก็จำไม่ค่อยได้หรอก แต่ได้ยินชื่อเราอยู่บ่อยๆ…ก็ยัยฝันน่ะสิ พอเลิกร้องไห้เรื่องแม่ ก็หันมาถามหาแต่พี่วินท์อะไรของแกอยู่ทั้งวัน ยัยฝันเล่าให้ฟังว่าเคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ ยังเคยเอารูปที่ถ่ายด้วยกันมาให้ยายดูด้วยนะ” คุณยายบุหงาพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างสดชื่นเมื่อนึกถึงทอฝันในวัยเด็กที่ช่างพูดช่างเจรจา แต่คนที่เป็นสุขใจมากกว่ากลับกลายเป็นวิธวินท์ ชายหนุ่มรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดของคุณยายบุหงา คำพูดนั้นทำให้เขารู้สึกว่าทอฝันไม่เคยลืมเขา ไม่เคยลืมเพื่อนเล่นสมัยเด็กคนนี้



    ...ฝัน...  หรือว่าทอฝันจะยังไม่ลืมเขาอย่างที่พูด??



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    “...จะพายัยฝันเยี่ยมคุณแม่เหรอ?” ตุลยดาร้องถามขึ้นอย่างประหลาดใจกับคำพูดของวิธวินท์ ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้งเป็นการตอบรับ



    “ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ คุณดา” ยศสวินที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นว่าการที่ทอฝันจะไปเยี่ยมรัตนาที่โรงพยาบาลเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรอย่างที่ตุลยดาคิด



    “ไม่เป็นอะไรที่ไหนละคะ...ยิ่งเห็นคุณแม่ ยัยฝันก็ยิ่งจะจำเรื่องเก่าๆ ได้น่ะสิคะ ดาล่ะกลัวจริงๆ ว่าถ้าเกิดยัยฝันจำได้ขึ้นมา...”



    ตุลยดาพูดขึ้นมาอย่างเป็นกังวล คำพูดของเธอทำให้คนรอบข้างทั้งวิธวินท์ ยศสวินและศักดิ์ชัยต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาพร้อมกันในทันที ทุกคนต่างจำได้ดีถึงปฏิกิริยาและการกระทำของทอฝันต่อรัตนา หญิงสาวมองรัตนาด้วยแววตาที่เย็นชาอยู่ตลอดเวลาและไม่เคยมีวี่แววว่าสิ่งเหล่านั้นจะลดลงเลยแม้แต่น้อย



    “แต่ถ้าเราไม่ให้ไป ฝันก็ต้องสงสัยแน่ๆ...ผมว่าเราให้ฝันไปเยี่ยมคุณแม่ก็ดีเหมือนกัน...อะไรจะเกิด มันก็คงเลี่ยงไม่ได้” ศักดิ์ชัยบอกพลางถอนหายใจอย่างเตรียมใจยอมรับกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต



    “งั้นก็ไปเถอะนะ วันนี้อาว่าง เดี๋ยวอาจะไปด้วยแล้วกัน...ว่าแต่ยัยฝันหายไปไหนแล้วล่ะ”



    “ขึ้นไปแต่งตัวน่ะครับ เดี๋ยวคงจะลงมา” วิธวินท์ตอบสั้นๆ แม้ตัวเขาเองจะหนักใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้รับคำขอจากทอฝัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธเธออย่างไรดีถึงจะเหมาะสมที่สุด



    เวลาผ่านไปได้สักสิบนาที ทอฝันก็เดินลงมายังห้องรับแขก วันนี้หญิงสาวสวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีครีมและกระโปรงสีน้ำตาลมีระบายแซมด้วยลูกไม้ ผมยาวดำขลับเป็นมันถูกปล่อยสยายอย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มหวานๆ ปรากฏขึ้นมาบนพวงแก้มสีชมพูอย่างช้าๆ เมื่อเธอเห็นทุกคนในห้องรับแขก



    “จะไปเยี่ยมคุณย่าจริงๆ เหรอฝัน?” ตุลยดาถามขึ้น



    “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับสั้นๆ



    “ไหวแน่นะลูก...ฝันเพิ่งกลับมาพักที่บ้านได้ไม่นาน ร่างกายคงยังไม่แข็งแรงเท่าไร” ศักดิ์ชัยพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงพลางมองที่บุตรสาวอย่างชั่งใจ



    “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณพ่อ ฝันไหวค่ะ” ทอฝันตอบพลางยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นพ่อ คำว่าพ่อที่ทอฝันเปล่งออกมานั้น ตัวหญิงสาวอาจไม่รู้ก็ได้ว่ามันทำให้ศักดิ์ชัยรู้สึกเป็นสุขเพียงใด เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำๆ นี้ ไม่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น หากแต่แววตาที่ทอฝันมองยามที่เรียกเขาว่าพ่อ มันก็ทำให้เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าทอฝันยอมรับเขาเป็นพ่อ เพราะมันเป็นคนละแววตากับที่ทอฝันเคยมองเขาก่อนหน้านี้ แววตาของทอฝันในเวลานั้นจ้องมองมายังเขาอย่างเจ็บปวดและตอกย้ำให้นึกถึงเรื่องราวที่น่าเศร้าในอดีต มันเป็นแววตาที่ศักดิ์ชัยไม่อยากและไม่กล้าที่จะมองมากที่สุด



    “งั้นเราก็ไปกันเถอะนะ” ยศสวินพูดสรุป ก่อนที่ทุกคนจะเดินไปขึ้นรถที่หน้าบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลซึ่งรัตนาพักรักษาตัวอยู่นั้น



    เนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ไม่ห่างจากบ้านเสถียรวงศ์นัก เพียง 20 นาที สมาชิกในบ้านเสถียรวงศ์และวิธวินท์ก็เดินทางมาถึง โดยที่ต่างคนก็ต่างมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ทั้งตุลยดาที่กังวลจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ ยศสวินที่ยืนหน้าเครียดไม่ต่างกัน ศักดิ์ชัยที่มีสีหน้ากังวลและปนไปด้วยความหวัง รวมถึงวิธวินท์ที่เหลือบมองทอฝันไม่รู้ตั้งกี่ครั้งเพื่อสังเกตและเตรียมตัวรับกับเหตุการณ์ที่เกิด คนสุดท้ายก็คือทอฝันที่ยังดูประหม่าและตื่นเต้นโดยปราศจากความเครียดเหมือนเช่นคนอื่นๆ



    “เข้าไปสิลูก” ศักดิ์ชัยบอกทอฝัน เมื่อทั้งหมดเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของรัตนาแล้ว



    “ค่ะ” ทอฝันรับคำ และเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตูอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะถูกเปิดออก
    ภายในห้องพักผู้ป่วยนี้ดูเงียบสงบและมีสภาพห้องไม่ต่างจากห้องที่ทอฝันเคยนอนพักอยู่มากนัก หญิงสาวค่อยๆ เดินนำหน้าเข้าไปยังเตียงนอนผู้ป่วยซึ่งมีรัตนานอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่นั้น



    “คุณย่า...” ทอฝันเอ่ยเรียกเสียงเบา และรีบเดินตรงเข้าไปด้านข้างเตียงนอนผู้ป่วย รัตนาหรือคุณย่าของเธอนั้นเป็นหญิงชราที่มีรูปร่างค่อนข้างผอม ผมบนศีรษะก็เกือบจะขาวโพลนเสียทั้งหมด ใบหน้าของรัตนาดูซีดเหลือเกินในสายตาของทอฝัน หญิงสาวค่อยๆ เหลือบมองไปยังข้อมือของรัตนาที่ยังคงต้องรับน้ำเกลือจากสายยางที่ห้อยระยางอยู่อย่างเศร้าสร้อย



    “คุณย่าคะ” ทอฝันเรียกขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดใดจากรัตนา



    “คุณย่าท่านต้องนอนพักน่ะฝัน อย่าเพิ่งเรียกท่านเลยนะ” เสียงของตุลยดาดังขึ้นมาพร้อมๆ กับสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่ของทอฝัน



    “คุณย่าเป็นอะไรเหรอคะ? อาดา” ทอฝันหันมาถามตุลยดาอย่างสงสัยก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของรัตนาเอาไว้ มือของหญิงชราช่างเย็นเหลือเกิน



    “ไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะ ตอนนี้คุณย่าท่านปลอดภัยแล้ว อย่ากังวลไปเลยนะ”



    “ใช่แล้วล่ะฝัน ทำใจให้สบายนะ ไม่ต้องคิดมากหรอก” ยศสวินปลอบใจทอฝันอีกคนเขายังไม่กล้าอธิบายสิ่งใดให้ทอฝันได้รู้มากเกินไปนัก สิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้สำหรับทอฝันคงเป็นการได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างมากกว่าที่จะได้รับรู้ทุกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต



    “วันนี้เรากลับกันก่อนดีไหมลูก...คุณย่าท่านจะได้พักผ่อน” ศักดิ์ชัยพูดขึ้นอีกคน แต่ก็ดูเหมือนว่าทอฝันยังอยากอยู่ที่นี่ต่อมากกว่าที่จะกลับไปในเวลานี้



    “ฝันอยากอยู่กับคุณย่าต่ออีกหน่อยค่ะ ได้ไหมคะ?” ทอฝันถามด้วยแววตาวิงวอน ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกเช่นนี้ได้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยากเหลือเกิน



    ตุลยดา ยศสวิน และศักดิ์ชัยมองที่แววตาวิงวอนนั้นอย่างหนักใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี นี่เป็นโชคชะตากำลังเล่นตลกกับพวกเขาหรืออย่างไรถึงได้ให้เผชิญกับภาวะที่ตัดสินใจได้ยากเช่นนี้



    ลา ล้า ล่า ล่า ล้า ล้า ลา...” เสียงโทรศัพท์มือถือของตุลยดาดังขึ้นราวกับจงใจจะทำลายบรรยากาศที่ดูตึงเครียดนั้น






    “ฮัลโหล...อืม...งั้นเหรอ?...อืม...ขอบใจมากนะ...เข้าใจแล้ว เธอเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน...อืม...จ้ะ...ขอบใจนะ” ตุลยดากดปิดโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทางที่ดูแช่มชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก



    “อาว่าเราคงต้องกลับกันแล้วล่ะ...นี่เลขาของดาโทร.มาบอกว่าเลขามิสเตอร์กิลเบิร์ตเพิ่งโทร.มาเมื่อเช้า บอกว่าจะขอทบทวนสัญญากันอีกครั้ง แล้วตอนบ่ายวันนี้ มิสเตอร์กิลเบิร์ตก็จะเข้ามาเซ็นสัญญาด้วยเลย แต่พวกเราต้องกลับไปที่บริษัทก่อน เพราะต้องประชุมผู้ถือหุ้นเรื่องสัญญาให้เรียบร้อยก่อนที่จะเจอกับมิสเตอร์กิลเบิร์ตบ่ายนี้” ประโยคแรกนั้น ตุลยดาหันไปบอกทอฝัน ส่วนประโยคที่เหลือ เธอก็หันไปบอกยศสวินกับศักดิ์ชัยด้วยความยินดีเป็นที่สุด



    “ขอบใจนะฝัน ในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดีจนได้” ตุลยดาหันไปกอดหลานสาวอย่างดีใจโดยที่ลืมไปว่าทอฝันไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ เลยในตอนนี้



    “ขอบคุณฝันเรื่องอะไรเหรอคะ? อาดา” หญิงสาวถามขึ้นอย่างงงงวย



    “จริงสินะ ฝันคงยังจำไม่ได้ ...แต่เอาเป็นว่า ฝันช่วยอาเอาไว้มากเลยนะ” ตุลยดาพูดขึ้นอีกครั้งพลางยิ้มให้หลานสาว แม้ว่าทอฝันจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่เธอก็ยิ้มตอบตุลยดาอย่างยินดี



    “ยินดีด้วยนะครับ อาดา คุณลุง” วิธวินท์น้อมตัวลงแสดงความยินดีกับผู้สูงวัยทั้งสาม



    “ขอบใจจ้ะ...งั้นพวกเราคงต้องไปกันแล้วล่ะ” ตุลยดาพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ



    “ได้ยังไงกันล่ะคุณดา จะปล่อยยัยฝันทิ้งไว้ที่นี่ได้ยังไง” ยศสวินติงขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางยินดีจนเกินเหตุของผู้เป็นภรรยา



    “ใครว่าดาจะทิ้งยัยฝันไว้นี่ละคะ เราไปส่งยัยฝันก่อนแล้วค่อยไปบริษัทก็ได้นี่”



    “ไม่ทันหรอกครับ พี่ดา...เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่สองคนเข้าบริษัทไปก่อน ผมจะไปส่งฝันที่บ้านแล้วค่อยตามไปที่บริษัททีหลัง”ศักดิ์ชัยแย้งขึ้นเมื่อเห็นว่าถ้าต้องเดินทางย้อนไปส่งทอฝันที่บ้านก่อนจะไม่ทันเวลาเข้าประชุมผู้ถือหุ้น แต่จะให้ทิ้งทอฝันไว้ที่โรงพยาบาลตามลำพังก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน



    “จะเอาอย่างนั้นเหรอ? อืม....ก็ได้นะ งั้นศักดิ์รีบไปส่ง....” ตุลยดานิ่งคิดสักครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของศักดิ์ชัย แต่ก่อนที่ตุลยดาจะพูดจบประโยค วิธวินท์ก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน



    “ถ้ายังไง เดี๋ยวผมไปส่งฝันให้ดีไหมครับ?”



    “แต่วันนี้วันทำงาน เราก็ต้องไปทำงานที่บริษัทเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ตุลยดาย้อนถาม



    “ไม่เป็นไรครับ คุณอา...วันนี้ไม่มีนัดด่วนอะไร ผมต้องเข้าไปเซ็นอนุมัติบางอย่างที่บริษัทเท่านั้นเองครับ” วิธวินท์ตอบพลางอธิบายให้ผู้สูงวัยทั้งสามเข้าใจ



    ศักดิ์ชัยมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนที่จะพยักหน้าอย่างช้าๆ เป็นเชิงอนุญาต แม้ว่าเขาจะอยากไปส่งบุตรสาวถึงบ้าน เพื่อให้ได้เห็นกับตาว่าเธออยู่ในที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่เมื่อบุคคลตรงหน้าคือวิธวินท์ ชายหนุ่มที่เขารู้จักเป็นอย่างดีและเชื่อมั่นวิธวินท์ก็ห่วงใยทอฝันมากไม่ต่างจากตัวเขา ผู้เป็นพ่อจึงรู้สึกไว้ใจและยอมที่จะฝากบุตรสาวไว้กับชายหนุ่มคนนี้



    “งั้นอาฝากฝันด้วยนะวินท์” ศักดิ์ชัยเอ่ยขึ้นพลางเดินเข้าไปใกล้บุตรสาว



    “พ่อไปก่อนนะฝัน ลูกกลับกับพี่วินท์เขาได้ใช่ไหม?” ศักดิ์ชัยลูบศีรษะทอฝันเบาๆ พลางยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู



    “ค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวพูดพลางยิ้มตอบพ่อของเธอ ทอฝันรู้สึกว่าผู้เป็นพ่อนั้นดูจะเป็นห่วงเป็นใยเธอเสียเหลือเกิน คอยดูแลทุกย่างก้าวอย่างไม่ละสายตา ราวกับว่ากลัวว่าทอฝันจะหายวับไปกับตาอย่างไรอย่างนั้น



    หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงแต่ชายหนุ่มและหญิงสาว กับผู้ป่วยอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องพักนั้น วิธวินท์มองทอฝันที่กำลังจดจ้องรัตนาด้วยแววตาเศร้าสร้อยอยู่สักครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปใกล้ตัวทอฝัน



    “อย่าห่วงท่านให้มากเลย คุณหมอบอกว่าคุณย่าท่านปลอดภัยดีแล้ว”



    “ฝันทราบค่ะ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี...ฝันห่วงคุณย่า ดูท่านก็อายุมากแล้วยังต้องมานอนเจ็บแบบนี้อีก นี่ถ้าฝันไม่ได้ความจำเสื่อมก็คงดีไม่น้อย” ทอฝันพูดขึ้นก่อนจะค่อยๆ วางมือของรัตนาลงข้างลำตัวของหญิงชราอย่างแผ่วเบา หญิงสาวหันไปมองหน้าวิธวินท์ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังหน้าต่างด้านข้างเตียงนอน



    “ทำไมล่ะ?” ชายหนุ่มถามอย่างแปลกใจพลางมองตามทอฝันที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง



    “ถ้าฝันจำอะไรได้บ้าง ฝันคงจะรู้สึกผูกพันกับคุณย่ามากกว่านี้ คงจะดูแลท่านได้อย่างดี แล้วเมื่อคุณย่าตื่น ฝันก็คงจะพูดคุยอะไรต่อมิอะไรด้วยได้บ้าง”



    วิธวินท์มองกลับมาที่รัตนาก่อนที่จะย้อนมองที่ทอฝันอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่า ทอฝันที่ก่อนหน้านี้จะแสดงออกว่าชิงชังรัตนาเสียเหลือเกินจะกลับมาแสดงความอ่อนโยนและห่วงใยหญิงชราตรงหน้าได้ถึงเพียงนี้ หรือว่านี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงของทอฝัน หรือมันคือความอ่อนโยนที่ทอฝันเคยเก็บเอาไว้เสียลึกจนไม่ยอมแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมากันแน่



    “นี่ฝันพูดอะไรก็ไม่รู้ พี่วินท์อย่าใส่ใจเลยนะคะ พี่วินท์อาจจะเบื่อก็ได้ที่ต้องมานั่งฟังฝันพูดอะไรไปเรื่อย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเลย ทำแต่เพียงนั่งฟังที่เธอพูดเท่านั้น



    “ไม่ใช่หรอก...พี่น่ะชอบฟังเวลาฝันพูด มันทำให้พี่รู้สึกว่าฝันยินดีที่จะให้พี่รับฟังเรื่องต่างๆ ของฝันได้” เขาตอบพลางมองที่ทอฝันอย่างอ่อนโยน สายตาของวิธวินท์ที่มองไปยังทอฝันทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าอายขึ้นอีกครั้ง เธอหลบสายตาเขาอย่างเขินๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด



    “...เห็นพี่วินท์บอกว่าต้องเข้าบริษัทไม่ใช่เหรอคะ? ฝันว่าเราไปกันเลยดีกว่าค่ะ” หญิงสาวพูดตะกุกตะกักพลางก้มหน้าต่ำมองพื้นอย่างไม่กล้าจะสบสายตาตรงๆ กับชายหนุ่มตรงหน้า



    “ไปสิ” ชายหนุ่มยิ้มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของทอฝัน ก่อนที่จะเดินไปหยุดรอทอฝันที่หน้าประตูห้อง



    ทอฝันเดินตามวิธวินท์ไปเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทางนั้น หญิงสาวก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพียงอย่างเดียว จนเมื่อถึงที่จอดรถและเข้าไปนั่งในรถแล้ว ทอฝันก็ยังคงก้มหน้าต่ำอยู่อย่างนั้นจนวิธวินท์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขำๆ



    “กลัวพี่มากเหรอฝัน? เห็นก้มหน้ามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” เขาถามขึ้นพลางมองที่หญิงสาว



    “เปล่านี่ค่ะ ฝันก็แค่ไม่รู้จะมองอะไรเท่านั้นเอง” หญิงสาวตอบทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ซึ่งท่าทางของเธอก็ทำให้วิธวินท์ได้แต่อมยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นขับรถไปยังบริษัทของเขา



    บริษัทที่วิธวินท์ทำงานอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือบริษัท PN จำกัด เป็นธุรกิจของตระกูลสุธรรมรพีที่มีพัฒนาเป็นผู้บุกเบิกและเป็นประธานบริษัทในปัจจุบัน โดยมีวิธวินท์เป็นผู้บริหารระดับสูงที่เตรียมรับช่วงต่อจากผู้เป็นพ่อ บริษัทพีเอ็นนี้เป็นบริษัทใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท ตัวอาคารมีความสูงราว 20 ชั้น และมีพนักงานทำงานอยู่ในแผนกต่างๆ อย่างมากมาย



    รถยนต์ของวิธวินท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดที่ด้านหน้าบริษัท ชายหนุ่มเดินลงจากรถและก้าวไปเปิดประตูให้กับสาวน้อยที่นั่งรถมาคู่กับเขา ก่อนที่จะส่งกุญแจรถให้กับพนักงานคนหนึ่งซึ่งยืนรอรับอยู่ด้านหน้า



    “ไปกันเถอะ ฝัน” ชายหนุ่มบอกพลางยื่นมือให้หญิงสาวจับ ทอฝันค่อยๆ ก้าวออกจากรถด้วยความประหม่า เธอเดินเคียงคู่ไปกับวิธวินท์จนถึงหน้าลิฟท์ โดยตลอดทางนั้นมีเสียงดังเซ็งแซ่พร้อมกับสายตาหลายคู่ของพนักงานสาวๆ ที่จ้องมองมายังเธออย่างสงสัยและแฝงไปด้วยความอิจฉาลึกๆ



    “สวัสดีค่ะ/ครับ ท่าน” เสียงทักทายดังขึ้นรอบตัวของทอฝันและวิธวินท์ คนเหล่านั้นพูดพลางยิ้มต้อนรับวิธวินท์อย่างให้ความเคารพ บ้างก็มองมายังทอฝันพลางยิ้มบ้าง ซุบซิบกันบ้าง



    ห้องทำงานของวิธวินท์อยู่ที่ชั้นบนสุดของบริษัท ชายหนุ่มจูงมือทอฝันให้เข้าไปในห้องทำงานกับเขา ท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงานสองสามคนที่นั่งทำงานอยู่ด้านหน้าห้องนั้น



    “นี่ห้องทำงานพี่เอง ฝันนั่งอยู่ที่โซฟาตรงนั้นก่อนก็ได้นะ” วิธวินท์พาทอฝันมาหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟารับแขกซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทำงานของเขามากนัก



    “เชิญนั่งพะย่ะค่ะ องค์หญิง” ชายหนุ่มโค้งตัวลงและผายมือเชิญให้ทอฝันนั่งลง



    “ได้โปรดไปสวนสนุกกับผมเถิดครับ เจ้าหญิง”



    เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังก้องขึ้นในโสตประสาทของทอฝัน เธอรู้สึกเหมือนกับว่าคำพูดประโยคนี้ได้ล่องลอยมาจากที่แสนไกล ทอฝันพยายามจะนึกให้ออกว่ามันเป็นเสียงของใคร มันเป็นเพียงเสียงลวงหรือเป็นเสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อนแล้วกันแน่



    “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มด้านข้างตัวทอฝันถามขึ้น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่พลางทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง



    “เปล่าค่ะ...เหมือนมีอะไรผ่านเข้ามาในหัว แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก” หญิงสาวตอบก่อนที่จะค่อยๆ นั่งลงบนโซฟารับแขกนั้น เธอยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่มเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรและพูดต่อไปว่า “พี่วินท์ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ...พี่วินท์ต้องทำงานไม่ใช่เหรอคะ? ฝันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” หญิงสาวพูดย้ำเพื่อให้วิธวินท์สบายใจและกลับไปนั่งทำงานของเขา



    “ก๊อก...ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้องทำงานของชายหนุ่มหลังจากที่เขาเริ่มต้นทำงานไปได้สักประมาณ 5 นาที



    “เชิญครับ” เขาพูดขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองที่ประตู ครู่หนึ่งต่อมา หญิงสาวร่างเล็กท่าทางคล่องแคล่วว่องไวก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มเอกสารสองสามอย่างในมือ



    “นี่เป็นเอกสารจากฝ่ายบริการลูกค้าให้บอสเซ็นค่ะ แล้วก็เอกสารเตรียมเข้าประชุมวันนี้ค่ะ” เธอยื่นแฟ้มเอกสารที่ต้องเซ็นอนุมัติให้วิธวินท์ และวางอีกสองแฟ้มที่เหลือไว้ด้านข้าง



    “ประชุมเหรอ?” วิธวินท์ถามขึ้นพลางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ



    “ค่ะ...แต่ไม่ใช่ประชุมอะไรมากหรอกค่ะ นี่บอสยังไม่ทราบเหรอคะ?” เลขาสาวพูดขึ้นพลางทำหน้าตกใจเมื่อเห็นว่าวิธวินท์ยังไม่รู้



    “ยัง...ไหนคุณบอกว่าวันนี้มีแต่เซ็นอนุมัติงานไม่ใช่เหรอ?”



    “ตายจริง...สงสัยแอนลืมโทร.ไปบอกบอสว่าทางฝ่ายบริหารขอเลื่อนเวลาเป็นวันนี้แน่ๆ เลย ต้องใช่แน่ๆ....แฮะๆๆ” เลขาสาวนามว่าแอนเริ่มทำหน้าเสียเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่ได้โทร.ไปบอกวิธวินท์ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงนัดประชุมครั้งนี้



    “เอาเถอะ แต่คราวหลังระวังหน่อยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตัดบทอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เท่าไรนัก เห็นทีว่าเรื่องหลงๆ ลืมๆ ของแม่เลขาสาวคนนี้คงจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำมากกว่า



    “ค่า...” แอนรับคำเสียงอ่อย



    “อันนี้ผมเซ็นเสร็จแล้ว เท่าที่ดูก็เรียบร้อยดี...ไว้คุณช่วยบอกให้คนของฝ่ายบริการลูกค้ามาพบผมพรุ่งนี้ด้วยนะ...ส่วนเรื่องประชุม คุณช่วยไปเตรียมเอกสารเพิ่มเกี่ยวกับงบประมาณปีล่าสุดแล้วเอามาให้ผมดูก่อนเข้าประชุมด้วย” ทอฝันมองภาพวิธวินท์พูดด้วยท่าทีเป็นการเป็นงานและเคร่งขรึมกับเลขาสาวแล้วก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มที่คอยเป็นห่วงเป็นใยและมองเธอด้วยสายตาที่แสนจะอ่อนโยนจะมีมุมขรึมๆ แบบนี้กับเขาบ้าง



    “ค่ะ...งั้นแอนจะรีบไปทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แอนทำท่าตอบรับด้วยมาดนิ่งสุดๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป



    หลังจากที่แอนเดินออกจากห้องไปแล้ว วิธวินท์ก็ยังคงนั่งตรวจเอกสารที่จะใช้ในการประชุมต่อไปอย่างเงียบๆ แต่สักพักหนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงแววตาของใครคนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง และสายตาของเขาก็ประสานเข้ากับนัยน์ตาคู่งามของหญิงสาวตรงหน้าอย่างพอดิบพอดี แต่เพียงไม่นาน นัยน์ตาคู่งามนั้นก็หลบวูบลงต่ำไปเสียเฉยๆ



    “มีอะไรหรือเปล่าฝัน?” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำที่ฟังดูอบอุ่นเช่นเคย



    “เปล่าค่ะ” หญิงสาวตอบพลางหันหน้าหนีไปอีกทาง ใจของสาวน้อยเต้นรัวขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะโดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก รู้แต่เพียงว่าเหมือนจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้พบกับคนตรงหน้านี้



    “ฝัน...” ชายหนุ่มเรียกขึ้น



    “คะ?” ทอฝันตอบรับพลางหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ



    “เดี๋ยวพี่ต้องเข้าประชุม...น่าจะเกือบชั่วโมง.........ฝันอยากกลับบ้านเลยไหม? พี่จะได้ไปส่งฝันที่บ้านก่อน”



    “ไม่เป็นไรค่ะ เทียวไปเทียวมาเสียเวลาออก...เดี๋ยวพี่วินท์ประชุมเสร็จแล้วค่อยกลับก็ได้นี่คะ” ทอฝันพูดพลางยิ้มบางๆ ให้กับชายหนุ่มตรงหน้า



    “เอางั้นเหรอ?...อืม ถ้าอย่างนั้น ระหว่างที่พี่ไปประชุม พี่จะให้แอนเขาเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนฝันแล้วกันนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างเอาใจ ถึงแม้ว่าทอฝันจะบอกออกมาอย่างนั้น แต่วิธวินท์ก็ยังอดห่วงแม่สาวน้อยของเขาไม่ได้



    “ไม่ต้องหรอกค่ะ รบกวนเธอเปล่าๆ...ฝันอยู่คนเดียวได้ค่ะ อยู่ได้จริงๆ” หญิงสาวตอบพลางย้ำเพื่อให้วิธวินท์สบายใจ ซึ่งชายหนุ่มก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มรับ



    หลังจากนั้นเกือบชั่วโมง วิธวินท์ก็ลุกขึ้นหยิบเอกสารสองสามอย่างและเตรียมจะเดินออกจากห้องทำงาน โดยก่อนที่จะออกจากห้องนั้น เขาก็หันไปพูดสองสามคำกับทอฝัน ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าและยิ้มบางๆ ให้กับเขาเช่นเคย



    “ก๊อก...ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องทำงานของวิธวินท์ หลังจากที่ชายหนุ่มออกไปได้แล้วสักพัก ทอฝันเอียงศีรษะมองที่ประตูอย่างแปลกใจก่อนที่จะตอบรับให้คนด้านนอกเข้ามาภายในห้องได้



    ครู่หนึ่ง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับปรากฏร่างเล็กที่ดูคล่องงานของแม่เลขาสาวหน้าห้อง แอนเดินเข้ามาด้วยท่าทีไม่ค่อยมั่นใจ เธอยิ้มแหยๆ ให้ทอฝันก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้



    “...เอ่อ...” แอนอ้ำอึ้ง เหมือนมีเรื่องจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกมา



    “มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ทอฝันถามออกไปเมื่อเห็นท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของแอนที่แสดงออกมา



    “คือว่า...คุณเป็นแฟนของบอสหรือเปล่าคะ?” แอนพูดออกมาอย่างเร็วด้วยเสียงอันดัง



    “คะ?” ทอฝันขมวดคิ้วมองแอนอย่างงงๆ กับคำถามของเลขาสาว ซึ่งแอนก็มองที่เธออย่างสงสัยเช่นกัน แต่แอนก็เป็นฝ่ายละสายตาก่อน หญิงสาวเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของวิธวินท์พลางหยิบกรอบรูปใบเล็กที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของโต๊ะขึ้นมาก่อนที่จะเดินกลับมาและยื่นมันให้กับทอฝัน



    ทอฝันมองที่แอนอย่างแปลกใจก่อนที่จะรับกรอบรูปนั้นขึ้นมาดู ในกรอบรูปใบเล็กนั้น ปรากฏภาพเด็กชายและเด็กหญิงน่าตาน่ารักคู่หนึ่งกำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่ด้วยกันที่ริมชายหาด  โดยเด็กชายนั้นน่าจะอายุมากกว่าเด็กหญิงสักหน่อยด้วยขนาดความสูงที่แตกต่างกันพอสมควร หญิงสาวมองที่เด็กชายในรูปพลางคิดเปรียบเทียบว่าถ้าพ่อหนูในรูปโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็คงจะเป็นชายหนุ่มเจ้าของห้องทำงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ที่คิดเช่นนี้คงเป็นเพราะรอยยิ้มอันแสนอ่อนโนและอบอุ่นของชายหนุ่มที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเด็กนั่นเอง



    หญิงสาวยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดว่าเด็กชายในรูปคงจะเป็นวิธวินท์ เธอหันกลับมามองที่เด็กหญิงในรูปให้ชัดๆ และพยายามจะนึกว่าเด็กคนนี้คือใครในปัจจุบัน ในตอนแรกทอฝันคิดว่าน่าจะเป็นศริมน เพราะเธอเป็นน้องสาวของวิธวินท์ ถ้าจะถ่ายรูปด้วยกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อพิจารณาเด็กหญิงในรูปให้ดีๆ แล้ว ทอฝันก็เผลอบอกกับตัวเองว่าเด็กหญิงในรูปไม่น่าจะใช่ศริมน อะไรบางอย่างกำลังบอกเธอว่าเด็กผู้หญิงในรูปก็คือคนที่มองรูปอยู่ในเวลานี้ หรือก็คือตัวเธอนั่นเอง



    “แอนว่านะ คุณต้องเป็นแฟนบอสแน่ๆ เลย...และถ้าลางสังหรณ์ของแม่หมอแอนไม่ผิดล่ะก็ เด็กผู้หญิงในรูปก็ต้องเป็นคุณแน่ๆ” แอนค่อยๆ แสดงสีหน้ามั่นใจออกมาทีละน้อย



    “ทำไมละคะ? อาจจะเป็นน้องสาวพี่วินท์ก็ได้นี่คะ” ทอฝันพูดพลางก้มหน้าลงมองที่เด็กผู้หญิงในรูปอีกครั้ง



    “ถึงคุณจะไม่ใช่เด็กผู้หญิงในรูป แล้วคุณก็อาจจะไม่ใช่แฟนบอส แต่คุณก็ต้องสำคัญกับบอสมากๆ แน่ๆ อันนี้น่ะรับรองว่าชัวร์ไม่มั่วนิ่ม” คราวนี้ แอนพูดขึ้นอีกด้วยท่าทีที่มั่นใจยิ่งกว่าเดิม เธอมองทอฝันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “บอสน่ะ ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่ห้องทำงานเลยนะคะ มีคุณมาเป็นคนแรกนี่แหละค่ะ”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&


    ขอโทษที่หายไปนานค่ะ แล้วจะรีบมาอัพต่อนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×