ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    <<หนี้แค้นในหัวใจ>>

    ลำดับตอนที่ #20 : Shall We Dance?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 107
      0
      15 ต.ค. 48

    ตอนที่ 20 Shall We Dance?

        

    เมื่อครอบครัวเสถียรวงศ์และสองพี่น้องตระกูลสุธรรมรพีเข้ามาภายในงาน ยังเหลือเวลาอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มงาน ประธานผู้บริหารเดอ ลุกซ์และดีแอนด์แอลกำลังยืนต้อนรับแขกบางส่วนอยู่ หลังจากที่แขกชุดนั้นแยกตัวไปแล้ว วิธวินท์จึงพาทั้งหมดเข้าไปทักทาย

        

    “...ครับ ยินดีมากครับที่อุตส่าห์มา เชิญครับ เชิญ...”

        

    “สวัสดีครับ คุณลุง...” ชายหนุ่มยกมือสวัสดีคุณสุขุม อเนกองค์ ประธานผู้บริหารดีแอนด์แอล วิธวินท์ค่อนข้างที่จะรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะสุขุมเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของพัฒนา และมักจะได้พบปะเจอกันอยู่บ่อยครั้ง

        

    “มางานลุงด้วยเหรอ? แล้วนายพัฒน์ล่ะ ไม่ได้มาด้วยหรือ?” ชายวัยกลางคนตบบ่าบุตรชายของเพื่อนของสนิทสนม

        

    วิธวินท์ยิ้มน้อยๆ ให้ชายสูงวัยกว่าก่อนจะตอบอย่างสุภาพ “คุณพ่อติดงานด่วนครับคุณลุง ท่านฝากขอโทษคุณลุงด้วยครับที่มาไม่ได้...คุณแม่ก็ไม่สะดวกด้วย ผมกับยัยออมเลยมาเป็นตัวแทนครับ หวังว่าคุณลุงคงไม่ถือ”

        

    “ฮ่าๆ...จะไปถงไปถืออะไรกันเล่า แค่มาก็ดีแล้ว ยังดีกว่าไอ้เจ้าภพ ไม่รู้มันจะมาหรือเปล่า ลุงล่ะเบื่อจริงๆ เรื่องงานน่ะไม่สน สนแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง” สุขุมเปรยถึงทายาทเพียงคนเดียวซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดกิจการดีแอนด์แอลของเขาหรือก็คือ...นายพงศ์ภพ อเนกองค์...

        

    “ผมว่ายังไงก็คงมาแหละครับ” ชายหนุ่มช่วยพูดแทนเพื่อนสนิทของเขา แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันมากก็ตาม แต่นิสัยก็แทบจะไม่เหมือนกันเลย เพราะพงศ์ภพเป็นคนหนุ่มหัวสมัยใหม่ ชอบทำตัวเป็นเพลย์บอยจีบผู้หญิงไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยจริงจังสักราย

        

    “อ้าว!...คุณศักดิ์ชัย คุณยศสวิน มาด้วยเหรอครับ?” สุขุมหันไปทักทายสองนักธุรกิจที่เคยร่วมมือกันมานาน คนทั้งสองยิ้มให้เขาอย่างเสียมิได้ ตุลยดาฉีกยิ้มอ่อนๆ ให้กับเขาก่อนจะกล่าวแนะนำผู้บริหารคนใหม่ของเสถียรวงศ์ให้ประธานดีแอนด์แอลได้รู้จักอย่างเป็นทางการ

        

    “สวัสดีค่ะ หวังว่าคุณสุขุมยังจะจำดิฉันได้ ดิฉัน ตุลยดาค่ะ ส่วนคนนี้...ทอฝัน หลานสาวดิฉันเอง คุณสุขุมคงจะพอรู้บ้างแล้วว่าทอฝันเข้ามาฝึกงานเพื่อเป็นผู้บริหารคนใหม่ของเรา”

        

    “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างนบนอบ ทอฝันเงยหน้าขึ้นมองสุขุมอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

        

    “ครับ...จำได้สิครับ แม่หนูคนนี้เองนั่นเองที่เป็นผู้บริหารคนใหม่” สุขุมรับไหว้พลางมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา “นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ ที่คุณศักดิ์ชัยพาลูกสาวมางานสังคมแบบนี้ ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าคุณมีลูกสาว”

        

    “ใช่ครับ ทอฝันเพิ่งกลับมาได้ไม่นานน่ะครับ” ศักดิ์ชัยตอบสั้นๆ อย่างสุภาพ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของสุขุมที่ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวของเขา

        

    “แล้วหนูทอฝันนี่อายุเท่าไรแล้วเหรอครับ? คงจะเด็กทีเดียว”

        

    “22 ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

        

    “......อืม ดีนะครับที่คุณมีลูกมาช่วยบริหารงานแบบนี้ ไม่เหมือนลูกชายผมเลย อายุก็ 25 แล้ว ไม่เคยคิดจะเข้าบริษัทจริงๆ จังๆ สักที เอาแต่เที่ยวเล่น ผมล่ะอยากได้คนมาจัดการเจ้าลูกชายผมคนนี้ซะจริงๆ” สุขุมกล่าวขึ้นกับศักดิ์ชัยอย่างมีความหมายแอบแฝง...

        

    ระหว่างนั้นเอง พิธีกรประจำงานก็ประกาศเริ่มงานเลี้ยงเปิดตัวรีสอร์ทแห่งใหม่ของเครือดีแอนด์แอล แขกผู้ร่วมงานทุกคนต่างก็หันมาที่เวทีพร้อมกันในทันใด

        

    “และตอนนี้นะคะ ดิฉันขอเชิญคุณสุขุม อเนกองค์ ผู้บริหารสูงสุดของดีแอนด์แอลขึ้นมากล่าวอะไรกับพวกเราหน่อยค่ะ เชิญค่ะ...” พิธีกรสาวกล่าวเชื้อเชิญ สุขุมจึงขอตัวขึ้นไปกล่าวเปิดงาน

        

    “ขอตัวสักครู่นะครับ...” เขาพูดขึ้นก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่น

        

    “ขอบคุณมากครับ ก่อนอื่น ผมคงต้องขอขอบคุณท่านผู้เกียรติทุกท่านที่ให้เกียรติเสียสละเวลาอันมีค่ามาร่วมในงานเลี้ยงเปิดตัวรีสอร์ทแห่งใหม่ของดีแอนด์แอลนะครับ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ดีแอนด์แอลสามารถทำโครงการนี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่งานนี้คงจะสำเร็จเสร็จสิ้นไม่ได้ ถ้าขาดความร่วมมือและกำลังสนับสนุนจากทุกท่าน และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมและดีแอนด์แอลจะขอก้าวต่อไปเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคมเรื่อยๆ ครับ....ขอบคุณครับ” สุขุมโค้งตัวลงพลางกล่าวขอบคุณ ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นอีกครั้ง

        

    “ค่ะ....ลำดับต่อไปนะคะ ขอเชิญทุกท่านร่วมรับประทานอาหารกันได้เลยค่ะ และสำหรับท่านใดที่ไม่อยากนั่งเฉยๆ วงดนตรีของเราก็พร้อมแล้วนะคะ เชิญได้เลยนะคะ ฟลอร์ของเราพร้อมสำหรับทุกท่านค่ะ เชิญค่ะ” พิธีกรสาวกล่าวขึ้น ก่อนที่ผู้ร่วมงานทั้งหลายจะแยกย้ายกันไปตักอาหารเพื่อรับประทานที่โต๊ะของตน แม้เวลาจะผ่านไปได้สักครู่ใหญ่ๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่มีแขกคู่ใดเข้าไปเปิดฟลอร์เลยสักคน

        

    “พี่วินท์....อืมๆ” หญิงสาวผู้อ่อนวัยมองหน้าพี่ชายพลางส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้วิธวินท์ทำอะไรบางอย่าง “ฟลอร์ยังว่างนะ...พี่ทอฝันก็ว่างด้วย” ศริมนบอกใบ้แก่พี่ชาย ชายหนุ่มมองไปที่ทอฝันซึ่งกำลังนั่งพูดคุยกับสุขุมอยู่นั้นก่อนจะส่ายศีรษะช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

        

    “ได้ยังไงกันเล่า พี่วินท์จะรอให้พี่ทอฝันมาขอพี่เต้นรำหรือไง? รีบไปเลย เดี๋ยวก็อดเต้นกับพี่ทอฝันกันพอดี” เมื่อเห็นน้องสาวพยักเพยิดเช่นนั้น วิธวินท์จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนเพื่อไปขอหญิงสาวเต้นรำ แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้าง เมื่อ...



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

        

    ขณะที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปด้วยดีนั้นเอง ผู้สืบทอดกิจการบริษัทดีแอนด์แอลก็กำลังเดินเข้ามาในงานพร้อมกับเพื่อนของเขา ชายหนุ่มทั้งสองได้เจอกันที่หน้าห้องจัดเลี้ยงเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน

        

    “Very glad to see you!!” พงศ์ภพเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนของเขาพลางตบบ่าของชายหนุ่มอย่างสนิทสนม

        

    “Me too. ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นายยังไม่เปลี่ยนเลยนะ แต่ก็ดูดีขึ้นเยอะ” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวตอบ แม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่คนทั้งคู่ก็ยังจดจำกันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าความเป็นเพื่อนของคนทั้งสองจะไม่ได้เริ่มต้นด้วยคำว่ามิตร แต่มันก็จบลงด้วยคำว่ามิตรภาพได้ในที่สุด



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

        

    เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้ง แขกผู้ร่วมงานพากันจับคู่เต้นรำอย่างสนุกสนาน โดยมีคู่เปิดฟลอร์ที่เต้นรำเคียงคู่กันอย่างงามสง่าเป็นจุดเด่นของงานไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายชายผู้เปิดฟลอร์นั้นจะไม่ได้รู้สึกสนุกสนานไปกับจังหวะดนตรีเท่าไรนัก

        

    “เวนดี้ดีใจจังค่ะที่วินท์มางานนี้ พิธีกรก็ดูจะเหมือนจะรู้ใจเวนดี้เลยนะคะ ที่เชิญให้เราเป็นคู่เปิดฟลอร์” ยุบลวดีพูดขึ้นพลางยิ้มหวานปานน้ำผึ้งให้ชายหนุ่ม “ใครๆ เขาก็จับตาดูคู่ของเราทั้งนั้นเลย เวนดี้ว่าแล้วเชียวว่าเวนดี้น่ะคิดไม่ผิดที่เลือกซื้อชุดนี้มา จุดเด่นของงานถึงหนีไม่พ้นเวนดี้อีกตามเคย”

        

    “เดี๋ยวเพลงนี้จบแล้ว ผมจะไปนั่งคุยกับคุณอานะครับ พอดีมีเรื่องที่ต้องคุยกับท่าน” ชายหนุ่มตัดบทอย่างสุภาพที่สุด

        

    “ได้ยังไงคะ อย่างน้อยก็ต้องสัก 2-3 เพลง ถ้าวินท์ไปนั่งคุยกับคุณลุง แล้วเวนดี้ล่ะคะ จะให้เวนดี้ทำอะไร เวนดี้อุตส่าห์เลือกชุดมางานนี้เต็มที่ วินท์จะให้เวนดี้นั่งเฉยๆ เนี่ยนะคะ เวนดี้คิดว่าคุณลุงคงไม่ชอบแน่ถ้าวินท์ทำแบบนั้นกับเวนดี้” หญิงสาวพูดอย่างเอาแต่ใจพลางขู่วิธวินท์อย่างเด็กๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าทำเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มจะไม่กล้าปฏิเสธเธออย่างเด็ดขาด ซึ่งมันก็ได้ผล...

        

    สายตาหลายคู่จ้องมองไปที่ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟลอร์เต้นรำ รวมทั้งบุตรสาวของศักดิ์ชัยก็ด้วย หญิงสาวมองภาพนั้นอย่างรู้สึกแปลกๆ ในใจ ทอฝันไม่รู้จักผู้หญิงที่เต้นรำคู่กับวิธวินท์มาก่อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็ห่างเหินกันมานาน เวลา 10 ปี อาจนำพาให้เขาสนิทสนมกับคนอื่นก็เป็นได้

        

    ...นี่เราคิดอะไร เขาเต้นกับคนอื่นก็เรื่องของเขาสิ ไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย... หญิงสาวสลัดความคิดนั้นออกไปก่อนจะหันไปสนใจมองคู่เต้นรำคู่อื่นแทน โดยหารู้ไม่ว่า มีใครบางคนกำลังจ้องมองเธออย่างสนใจอยู่จากอีกมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง

        

    เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ตัวทอฝัน เมื่อมองผ่านรองเท้าที่ถูกขัดจนเป็นเงางามขึ้นไป ก็จะเห็นได้ถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดทักซิโด้ ในมือทั้งสองข้างมีแก้วไวน์อยู่ เขามองแก้วไวน์ในมือด้านซ้ายพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะเดินมาหยุดที่โต๊ะของประธานผู้บริหารดีแอนด์แอล

        

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นว่ามีเงาๆ หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกคุ้นเคยบังเกิดขึ้นภายในจิตใจของทอฝัน แต่ก่อนที่เธอจะเห็นใบหน้าของเจ้าของเงานั้นอย่างชัดเจน เขาก็พูดขึ้นกับทอฝันเสียก่อน

        

    “Shall We Dance?”

        

    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    ขณะที่วงดนตรีเล่นเพลงถัดไปนั้น คู่เต้นรำคู่ใหม่ที่ดูสวยสง่าไม่แพ้คู่ของยุบลวดีก็ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างพริ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีได้อย่างสวยงาม ดึงดูดสายตาของแขกผู้ร่วมงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

        

    “ยังเต้นเก่งเหมือนเดิมเลยนะ” คู่เต้นรำของทอฝันพูดขึ้นอย่างชื่นชมพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านไปในอดีต เมื่อครั้งที่เขาและเธอยังเป็นนักเรียนนักศึกษา นึกถึงงานเลี้ยงเมื่อจบการศึกษาอย่างเป็นสุข

        

    “ซะที่ไหนล่ะ เธอต่างหากที่เก่ง คงเต้นมากับสาวๆ เยอะล่ะสิท่า” หญิงสาวกลบความเขินอายด้วยการหยอกล้อเพื่อนหนุ่มตรงหน้า คำพูดของเธอที่ดูจะทำให้กลายเป็นเรื่องตลกกลับผิดคาดไป เมื่อใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏให้เห็นถึงความจริงจังอย่างชัดเจน

        

    “ไม่หรอก...คนที่ฉันจะเต้นด้วยมีแค่คนสำคัญเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้” เขาตอบพลางส่งสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกไปให้ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยอ่านมันออกเสียที ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว

        

    “แค่คนสำคัญเองเหรอ?....หมายความว่าฉันเป็นคนสำคัญเหรอ?....” ทอฝันนิ่งคิดอย่างไตร่ตรอง “คงเป็นเพราะเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง.....เธอก็เป็นคนสำคัญของฉันเหมือนกัน ก็เราเป็นเพื่อนรักกันนี่ เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งญาติสนิทเลยก็ว่าได้” คำกล่าวของหญิงสาวทำให้หัวใจที่เต้นรัวอยู่เมื่อสักครู่ของชายหนุ่มแทบจะหยุดชะงักลงในทันที

        

    ...ในที่สุด เธอก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันอยู่ดีสินะ...

        

    “แต่ฉันอยากรู้จริงๆ เลย....คำพูดปริศนาของเธอเมื่อตอนนั้นมันหมายความว่ายังไงนะ? ใครกันแน่ที่เธอชอบ” ทอฝันย้อนนึกถึงเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินทางมาที่ประเทศไทย เพื่อจัดการกับสิ่งที่ติดค้างในจิตใจที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน

        

    “ใครบอกเธอไม่ทราบว่าฉันอยากฮอต ถ้าความฮอตความป๊อปของฉันทำให้เธอคนนั้นชอบฉันก็ดีหรอก” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าที่เจื่อนลง แม้ว่าจะเป็นขวัญใจสาว แต่หญิงสาวคนที่เขาชอบมานานนั้นกลับไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบเขาบ้างเลย

        

    “ไม่น่าเชื่อว่าอย่างหนุ่มสุดฮอตสุดสมบูรณ์แบบเหมือนเจ้าชายอย่างนิชิมูระ มาซายะจะชอบคนที่เขาไม่ชอบตัวเอง ใครน้าผู้หญิงคนนั้น ฉันรู้จักไหม” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ชายหนุ่มมองเธอด้วยสีหน้าที่จริงจังก่อนจะตอบว่า “รู้จักสิ รู้จักดีเชียวล่ะ ไม่มีใครรู้จักดีเท่าเธออีกแล้ว”


        

    “แล้วเธอเคยเต้นรำกับผู้หญิงคนที่ว่าไหม?” คำถามนี้ทำให้ชายหนุ่มเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาพลางจ้องหน้าหญิงสาวอย่างมีความหมาย “เคยสิ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันอยากจะเต้นด้วยอย่างจริงจัง แค่คนเดียว...คนเดียวเท่านั้น”

        

    ระหว่างนั้น การพูดคุยอย่างสนิทสนมของคนทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของวิธวินท์อยู่ตลอดเวลา หญิงสาวที่แทบจะไม่เคยยิ้มให้กับเขาเลย พยายามหลีกหนีทุกครั้งที่พบหน้ากลับยิ้มอย่างร่าเริงได้เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนนั้น หรือว่าคู่เต้นรำคนนี้กันแน่ที่ทำให้ทอฝันเปลี่ยนไป ความสงสัยและสั่นคลอนเกิดขึ้นตามธรรมชาติของจิตใจ ส่งผลให้ชายหนุ่มมองคู่เต้นรำที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนฟลอร์อีกคู่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้สนใจคู่เต้นรำของตนเองเท่าไรนัก

        

    “วินท์คะ...มองอะไรคะ?” ยุบลวดีถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ใบหน้าของเธอบึ้งตึงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม “วินท์คะ...วินท์” เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้งพร้อมใบหน้าที่บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิมเป็นสองเท่า



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

        

    ขณะที่คนหนุ่มสาวเต้นรำอยู่นั้น ก็เป็นเวลาของการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องธุรกิจกันของเหล่าผู้บริหารระดับสูงทั้งหลาย สุขุมเดินไปทักทายและพูดคุยกับแขกผู้ร่วมงานหลายต่อหลายคน พอเดินกลับมาที่โต๊ะของตนเองอีกที ก็พบว่าบุตรชายที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวายให้กับตัวเขานั้นนั่งรออยู่ด้วยท่าทางที่เซ็งจัด

        

    “ขอบใจที่อุตส่าห์มา...” สุขุมเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจระคนยินดีที่เห็นว่าบุตรชายมาร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวรีสอร์ทแห่งใหม่ของเขาด้วย “ไม่น่าเชื่อว่าแกจะยอมมางานแบบนี้...ไหนเคยบอกว่าไม่ชอบ ไม่อยากมาไม่ใช่หรือไง?”

        

    พงศ์ภพแสดงสีหน้าเบื่อๆ ก่อนจะตอบผู้เป็นพ่อ “คร้าบ....ผมก็ไม่ได้อยากมาหรอก แต่บังเอิญมีธุระนิดหน่อย งานแบบนี้ใครจะอยากมา มีแต่พวกไม่น่าสนใจทั้งนั้น“

        

    “แล้วที่แกสนใจมันเป็นแบบไหน....ดีนักนี่...ข่าวก็เพิ่งลงโครมๆ ว่าแกทำตัวเป็นหนุ่มนักรัก...เฮอะ...ฉันล่ะเบื่อนิสัยแกจริงๆ เลย แก้เท่าไรก็ไม่หายสักที”

        

    “คนที่จะถูกใจพ่อก็มีแต่น้องวดีคนเดียวแหละครับ....”

        

    “เออเว้ย!....ยังไงเขาก็ไม่เคยทำตัวเป็นข่าวกับคนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนแกก็แล้วกัน”

        

    “แต่ก็เป็นข่าวกับคนเดียว เที่ยวควงไปนั่นมานี่ โดยที่อีกฝ่ายเขาไม่ได้เออออไปกับตัวเองด้วยเลย...ผมล่ะสงสารเพื่อนผมจริงๆ เลย ดันมีผู้หญิงอย่างน้องวดี...หลานสาวสุดที่รักของคุณพ่อมาชอบ” พงศ์ภพส่ายศีรษะอย่างระอาเมื่อนึกถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา หญิงสาวที่ชอบทำตัวเป็นเงาตามตัวของเพื่อนรัก

        

    “ทำไมแกถึงได้ชอบไปว่าน้องเขาอย่างนั้นอยู่เรื่อย ถึงเขาจะควงใคร แต่ก็ไม่เคยทำให้เกิดเรื่องเสียหายไม่เว้นแต่ละวันเหมือนแกหรอก...ถ้าแกหาผู้หญิงดีๆ ไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะหาให้แกเอง” ผู้เป็นพ่อออกคำสั่ง

        

    “นี่มันพ.ศ.ไหนแล้ว พ่อยังจะมาคลุมถุงชนอีก ผมไม่เล่นเกมส์หาคู่กับพ่อหรอก อยากจับคู่ก็ไปจับให้ยัยวดีคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมายุ่งกับผม....ชีวิตผม ผมจัดการเองได้” พงศ์ภพพูดขึ้นอย่างขุ่นมัว แม้จะรู้ว่าคำพูดบางคำนั้นแรงเกินไปจนทำให้ผู้เป็นพ่อเงียบไปด้วยความผิดหวังและเสียใจก็ตามที

        

    “ชีวิตเป็นของแกน่ะใช่...แต่อย่าลืมก็แล้วกันว่าฉันเป็นพ่อแก ฉันไม่บ้าขนาดทำร้ายลูกชายตัวเองได้ลงอย่างที่แกชอบคิด ชอบหาว่าฉันเป็น...” สุขุมเอ่ยโดยไม่มองหน้าบุตรชายเพียงคนเดียวเลย ทันทีที่พูดจบ ชายผู้สูงวัยก็เดินออกไปทักทายแขกคนอื่นๆ ต่อ ทิ้งให้พงศ์ภพนั่งคิดอยู่ตามลำพัง



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    เพลงที่สามบรรเลงขึ้น พิธีกรสาวก็ประกาศบางสิ่งบางอย่างให้คู่เต้นรำบนฟลอร์ทราบ “ทุกท่านที่อยู่บนฟลอร์คะ...เพลงที่สามก็เริ่มขึ้นแล้ว ดิฉันอยากจะให้ทุกท่านลองแลกเปลี่ยนคู่กันบ้างนะคะ จะได้ทำความรู้จักและสร้างสีสันเพิ่มเติมให้กับงานด้วยไงคะ”

        

    เมื่อได้ยินพิธีกรพูดขึ้นดังนั้น ทายาทแห่งเครือดีแอนด์แอลที่นั่งเบื่อนั่งเซ็งอยู่เมื่อครู่ก็กลับมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากทันที เขาลุกขึ้นอย่างไม่รอช้าและเรียกสาวน้อยที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักให้ออกไปที่ฟลอร์ด้วย

        

    “ยัยออม ไปกับพี่เร็ว” พงศ์ภพดึงตัวศริมนให้ลุกขึ้นไปกับเขา แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ศริมนก็ยอมลุกขึ้นตามเขาไปจนได้ ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดกลางฟลอร์เต้นรำในขณะที่กำลังมีการเปลี่ยนคู่เต้นรำ...

        

    “อ๋อ!...รู้แล้ว เข้าใจแล้วว่าพี่ภพคิดอะไรอยู่ ออมรู้ทันหรอกน่า” หญิงสาวทำเสียงเจ้าเล่ห์ ศริมนพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนของพี่ชายจะต้องพาเธอมาที่ฟลอร์ในตอนนี้ จากอุปนิสัยส่วนตัวของพงศ์ภพแล้ว มันมีเหตุผลอยู่เพียงประการเดียวเท่านั้น

        

    “รู้แล้วก็ช่วยหน่อยสิ” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อน แต่มีหรือที่คำพูดเพียงเท่านั้นจะทำให้ศริมนยอมช่วยได้ หญิงสาวพยักหน้ารับแกนๆ ไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับมีอีกเป้าหมายหนึ่งแทน เธอรับปากว่าจะช่วย แต่ไม่ได้บอกสักคำว่าจะช่วยพงศ์ภพ

        

    “ถ้าเบื่อจะกลับไปนั่งก็ได้นะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่เรียบเฉยแต่สวยหวานของหญิงสาว ตั้งแต่ทอฝันมาเต้นคู่กับเขา ดูเธอจะไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อครู่เอาเสียเลย รอยยิ้มที่น่ารักของทอฝันหายไปอีกแล้ว หายไปทุกครั้งที่เธอเจอเขา

        

    “.................” หญิงสาวไม่พูดสิ่งใดออกไป เพียงแต่คงเต้นรำต่อไปด้วยความประหม่า ทอฝันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ เธอจะต้องรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย แล้วทำไมหัวใจของเธอจะต้องเต้นรัวด้วย เพราะอะไรกันแน่...สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หญิงสาวไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้กับเขา เธอกำลังกลัวอะไรบางอย่างงั้นหรือ??

        

    ท่าทางตลอดจนสีหน้าและแววตาของพี่ชายและหญิงสาวในอ้อมแขนของพี่ชายนั้นตกอยู่ในสายตาของศริมนตลอดมา หญิงสาวยิ้มให้กับความสำเร็จของตนเอง แผนการจับคู่ของเธอได้ผลดีเกินคาด ไม่ใช่ดีกับพี่ชายเท่านั้น แต่มันยังส่งผลเกื้อหนุนมาถึงตัวของเธอเองด้วย

        

    “ฉันคิดว่าคุณคงไม่มาแล้วซะอีก” ศริมนเอ่ยขึ้นกับคู่เต้นรำของเธอ

        

    เขายิ้มน้อยๆ ที่เคยละลายหัวใจใครต่อใครมาหลายคนให้กับหญิงสาว ศริมนยิ้มตอบพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน ความบังเอิญทั้งสองนำพาให้เขามางานเลี้ยงนี้ได้

        

    “380 บาทค่ะ” พนักงานยื่นของให้กับศริมนพลางบอกราคา หญิงสาวตอบรับแล้วจึงหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าเป้ขึ้นมา แต่เธอหาไม่เจอ ไม่มีกระเป๋าสตางค์

        

    ...ตายแล้วยัยออมบ๊อง ดันลืมทิ้งไว้ที่บ้าน แล้วจะทำไงดีเนี่ย เงินก็ไม่มี ในเป้ก็มีไม่ถึงร้อยซะด้วยสิ แล้วจะทำไงเนี่ย ต้องซื้อของขวัญให้ยัยเพซะด้วยสิ...ทำไงดีๆ เงินก็ไม่มี จะกลับไปเอาเงินที่บ้านก็ไม่ได้ซะด้วย ถ้ากลับไปมีหวังต้องมีคนมาซื้อตัดหน้าแน่ๆ ยิ่งเหลือแค่ชิ้นเดียวอยู่ด้วย จะทำไงดี ใครก็ได้ช่วยฉันที...

        

    “380 บาทค่ะ” พนักงานสาวกล่าวขึ้นอีกครั้ง ยิ่งทำให้ศริมนหน้าซีดกว่าเดิม เครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่เต็มไปหมด เธอควรทำอย่างไรกัน?

        

    “ขอบคุณค่ะ รับมา 500 บาทนะคะ” พนักงานสาวเอ่ยปากขอบคุณพลางรับเงินในมือของลูกค้า ศริมนเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ เขามาซื้อของเหมือนเธอ หรือว่า...

        

    “คุณ...” ศริมนเรียกอย่างตื่นเต้นและยินดีในเวลาเดียวกัน






    ศริมนยิ้มไม่หุบจนมาซายะสังเกตได้ ชายหนุ่มมองใบหน้าอ่อนวัยนั้นอย่างเอ็นดู พลางคิดไปว่ารอยยิ้มของผู้หญิงแต่ละคนล้วนมีเสน่ห์ต่างกันออกไปไม่มีใครซ้ำแบบกัน ความเป็นหนุ่มฮอตของชายหนุ่ม ทำให้เขาได้รับรอยยิ้มจากหญิงสาวมากมาย แต่ในบรรดานั้นไม่มีใครเลยที่จะทำให้เขารู้สึกเป็นสุขได้มากเท่ากับรอยยิ้มของหญิงสาวอันเป็นที่รักเพียงผู้เดียวเท่านั้น รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนและอ่อนหวานน่ารักนั้น แต่วันนี้ รอยยิ้มที่ดูร่าเริงและสดใสของสาวน้อยตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีได้ไม่ต่างกัน

        

    “ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศนี้ถึงได้รับสมญานามว่าสยามเมืองยิ้ม” มาซายะพูดขึ้นเบาๆ กับหญิงสาว

        

    “ทำไมคะ?” ศริมนถามเสียงซื่ออย่างประหลาดใจ

        

    “ก็เพราะคนไทยยิ้มสวยมาก”

        

    “คุณทราบได้ยังไงคะว่าคนไทยยิ้มสวย ไหนบอกว่าไม่เคยมาที่นี่ไม่ใช่หรือคะ?” ศริมนเหลือบมองมาซายะอย่างสงสัย ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอแต่ก็ไม่พูดสิ่งใดออกมา

        

    “ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มา”

        

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่อยู่แล้ว” เขาตอบ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด ศริมนก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เจอกับชายหนุ่มในวันนี้

        

    “เหรอคะ?....คุณคงรู้จักใครสักคนในงานแน่ๆ เลย” หญิงสาวเดา ซึ่งความคิดของเธอนั้นถูกต้องแล้ว เพื่อนสนิทของมาซายะอยู่ในงานนี้ อีกทั้งยังอยู่ห่างจากเธอไม่เท่าไรด้วย...



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

    เฮ้อ!...ในที่สุดก็จบตอนที่ 20 สักที ครบ 100% แล้วค่ะ ขออภัยเป็นอย่างยิ่งในความล่าช้านะคะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×