ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    <<หนี้แค้นในหัวใจ>>

    ลำดับตอนที่ #9 : ความรู้สึก

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 48


    ตอนที่ 9 ความรู้สึก



        

    “ทอฝันน่ะใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่หลานของคุณหรอกค่ะ”

        

    “ยัยฝัน...” บุหงาเรียกขึ้นอย่างตกใจในคำพูดของหลานสาว แม้ว่าทอฝันจะเคยพูดเช่นนี้แล้วหลายครั้งก็ตามที

        

    “ฉันไม่ถือหรอกคุณบุหงา แค่หลานยอมกลับมาฉันก็ดีใจแล้ว ทอฝัน...หลานเหมือนแม่มากเหลือเกินรู้ไหม...เรื่องแม่ธรา ย่าไม่รู้ว่าหลานจำได้แค่ไหน แต่ย่าขอโทษนะหลาน...” ผู้เป็นย่าเอ่ยอย่างสำนึกผิด แต่มีหรือที่คนอย่างทอฝันจะให้อภัย

        

    “เก็บคำขอโทษของคุณเอาไว้เถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการ ไม่อยากฟัง อย่านึกว่าคำขอโทษของคุณจะทำให้ฉันยกโทษ เลิกแล้วต่อกันเหรอ ไม่มีทางหรอกค่ะ”

        

    “เข้าใจย่าเถอะทอฝัน ย่ารู้ว่าผิดแต่มันก็สายไปแล้ว ถ้ามีอะไรที่พอจะลบล้างความผิดที่ย่าทำไปได้ ย่าก็จะทำ ย่าจะทำทุกอย่างเลย หลานบอกย่ามาสิ ย่าจะทำ” รัตนาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว บุตรชายคนเล็กมองหน้ามารดาอย่างซึ้งใจ รู้ว่าท่านละทิฐิทั้งปวงแล้ว ยอมทุกอย่างขอเพียงได้หลานสาวคนเดียวกลับมาเท่านั้น

        

    “ได้...ฉันจะอภัยให้คุณก็ได้ ถ้าคุณทำอะไรให้ฉันอย่างนึงได้สำเร็จ ฉันจะลืมทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมาให้หมดเลย” หญิงสาวยิ้มเยาะอย่างไม่เชื่อว่ารัตนาจะสำนึกผิดจริง เธอคิดว่าเพราะเสถียรวงศ์ขาดทายาท รัตนาจึงต้องการเธอ ซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียว

        

    เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างยิ้มยินดี คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง แต่ผิดคาด มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นต่างหาก แล้วคำพูดคำต่อไปก็ทำให้สีหน้ายินดีของทุกคนจางหาย “ถ้าคุณทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาได้ ฉันก็จะทำอย่างที่พูด ว่าแต่...คุณทำได้ไหมละคะ?”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

        

    ระหว่างนั้นเอง ศริมนซึ่งแยกกับเพื่อนๆ แล้วจึงรีบมาที่บ้านเสถียรวงศ์ หญิงสาวร้อนใจอยากไปถึงเร็วๆ จึงรีบเร่งคนขับรถ แต่ความรีบก็นำมาซึ่งอุบัติเหตุจนได้ “เอี๊ยด!!” เสียงรถหยุดกระทันหัน ทำให้ศริมนเกือบหน้าคว่ำด้วยความที่นั่งไม่เรียบร้อย เธอมองไปเบื้องหน้าและเห็นว่ามีคนมาเดินขวางทางรถของเธอ หญิงสาวลงจากรถในทันทีเพื่อต่อว่าผู้ขวางทางนั้น

        

    “นี่นาย หัดเดินให้มันดูทางหน่อยสิยะ ไม่มีตาหรือไง ถ้ารถฉันหยุดไม่ทัน แล้วนายตายไปจะว่าไงหะ ฉันไม่ว่างมากที่จะมารับผิดชอบชีวิตนายหรอกนะ เข้าใจที่ฉันพูดไหม อย่านิ่งสิ...นี่.....อ้าว! คุณ...” ศริมนด่าเป็นชุดโดยไม่มองหน้าชายผู้เคราะห์ร้าย แต่เมื่อเธอสบตากับเขา ชายหนุ่มตรงหน้ากลับกลายเป็นมาซายะไปได้

        

    “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มซึ่งจำเธอได้เช่นกันกล่าวทักเป็นภาษาญี่ปุ่น

        

    “หวัดดีค่ะ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวรีบก้มหัวขอโทษทันทีด้วยความอาย ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เจอชายหนุ่มคนนี้ เธอถึงต้องรู้สึกว่าตัวเองแปลกๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันหนอ

        

    “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มไม่ถือสาศริมน แม้จะรู้สึกตลกกับท่าทางเมื่อครู่ของหญิงสาวอยู่บ้างก็ตาม

        

    “อยู่แถวนี้เหรอคะ”

        

    “ไม่ใช่ครับ ผมแวะมาทำธุระเป็นเพื่อนของเพื่อนผม แล้วคุณละครับ”

        

    “ฉันมาบ้านคุณอาค่ะ เมื่อกี้ขอโทษจริงๆ นะคะ”

        

    “ไม่เป็นไรครับ” สองหนุ่มสาวยืนมองหน้ากันไปมาโดยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ขณะนั้นคนขับรถที่รออยู่นานจึงเรียกคุณหนูของเขา เพราะเห็นว่าเลยเวลานัดมามากแล้ว

        

    “คุณหนูครับ รถไม่เป็นอะไรหรอกครับ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ไปต่อกันเลยไหมครับ” เขาชะโงกหน้าถามออกมาจากหน้าต่างรถ

        

    “จริงด้วย ขอโทษนะคะ ฉันคงต้องไปทำธุระต่อ ไปก่อนนะคะ” ศริมนกล่าวอำลาชายหนุ่มที่เธอยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อแล้วรีบขึ้นรถไป แต่ทันทีที่ขึ้นรถ หญิงสาวก็นึกออกว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง เจอกันมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่รู้จักกันเลย หันไปอีกที ชายหนุ่มสุดฮอตคนนั้นก็หายไปแล้ว

        

    ...ยัยออมเอ๊ย! โง่จริงๆ เลย ลืมถามอีกแล้ว น่าจะชวนเขาไปในบ้าน จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าตกลงยูเมมิกับพี่ทอฝันเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า โง่งั่งชะมัดเลย...

        

    ศริมนทุบศีรษะตัวเองด้วยความเจ็บใจ คนรับรถหันมามองคุณหนูจอมเฮิ้ยวของเขาเล็กน้อย ก่อนจะขับรถต่อไป เลยจากบริเวณนั้นไปอีกหน่อย มาซายะกำลังเดินเล่นแก้กลุ้มอยู่เพียงลำพัง เขาไม่ได้สังเกตหรือหันมาสนใจว่ารถของศริมนไปทางไหน ถ้าเขาสังเกตสักนิด เขาอาจจะรู้อะไรมากกว่านี้และเร็วขึ้นก็เป็นได้



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&

        

    “นั่งกันก่อนเถอะค่ะ คุณแม่” ตุลยดาค่อยๆ เข้าไปประคองรัตนาให้ไปนั่งที่โซฟารับแขก จังหวะนั้นเอง ทอฝันก็ยกมือขึ้นไหว้ตุลยดา

        

    “สวัสดีค่ะ อาดา” คำทักทายของทอฝันทำให้ตุลยดาน้ำตาซึม สมัยที่ทอฝันยังอยู่บ้านหลังนี้ เวลาที่ธราธารไม่ว่าง ตุลยดามักจะมาเล่นกับเด็กน้อยเสมอ ทำให้ก่อเกิดความผูกผันไม่น้อยเลยทีเดียว

        

    “ฝันของอา โตขึ้นเยอะเลย อาดีใจนะที่เราจำอาได้”

        

    “แต่กลับจำลุงไม่ได้ คุณทำกับผมอย่างนี้ได้ยังไง ดา” ยศสวิน ซึ่งบัดนี้กลายเป็นชายวัย 56 ปีพูดขึ้นอย่างหยอกเย้า นิสัยของเขาไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นนิสัยตั้งแต่ 1 ขวบยัน 100 ปีเลยทีเดียว

        

    “ฝันจำลุงยศได้อยู่แล้วล่ะค่ะ ลุงยศกับอาดาดีกับฝันเสมอ” หญิงสาวจงใจเน้นคำว่าดีเป็นพิเศษ เพื่อตอกย้ำผู้เป็นย่าและพ่อของเธอ

        

    “จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกอาดากับลุงยศอยู่เลย โตแล้วน่าจะเรียกป้าได้แล้วมั้ง”

        

    “คุณยศสวิน เรื่องเก่ายังไม่หมดเลยนะ” ตุลยดาหันมาเขม่นสามี แม้จะทะเลาะกันบ่อยครั้ง แต่สำหรับคนใกล้ตัวนั้นรู้ดีกันทุกคนว่าสองคนนี้น่ะ ...คู่กัดคู่กัน...

        

    “อย่าไปฟังเขานะฝัน เรียกอาว่าอาอย่างเดิมดีแล้ว ส่วนลุงของเราน่ะ เรียกปู่ไปเลยก็ได้นะ”

        

    “ค่ะๆ” ทอฝันยิ้มรับ

        

    “จริงสิฝัน จำนายวินท์ได้หรือเปล่า ตอนเด็กๆ เล่นด้วยกันบ่อยจะตายไป ดูสิ ตอนนี้พี่วินท์ของเราโตเป็นหนุ่มหล่อ สาวๆ ติดตรึมเลยนะ” ตุลยดาแนะนำ

        

    “จำไม่ได้ค่ะ....สวัสดีค่ะ คุณวิธวินท์ คุณลุง” หญิงสาวกล่าวทักทายวิธวินท์และพัฒนาที่นั่งอยู่ด้านข้างศักดิ์ชัย โดยไม่สนใจที่จะทักทายศักดิ์ชัยและรัตนาแต่อย่างใด

        

    “คุณแม่สบายดีเหรอครับ?” ศักดิ์ชัยหันไปถามบุหงา หญิงชรามองหน้าลูกเขยแวบหนึ่งก่อนจะตอบว่า “สบายดี คุณศักดิ์กับคุณรัตนาสบายดีเหรอ?” บุหงาทักอย่างเสียมิได้ ศักดิ์ชัยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อสังเกตว่าสรรพนามที่ผู้เป็นมารดาของภรรยาเรียกเขาไม่เป็นกันเองเหมือนแต่ก่อน กลับใช้คุณเข้ามานำหน้า แสดงถึงความห่างเหินได้อย่างชัดเจน

        

    “ฉันสบายดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะคุณบุหงา ขอบคุณที่ช่วยดูแลหลานให้นะคะ ต่อไป ฉันจะดูแลหลานทอฝันให้ดีที่สุดค่ะ แล้วนี่คุณบุหงาจะพักอยู่ด้วยกันไหมคะ” น้ำเสียงที่เคยห้วนและแข็งกระด้างเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้บุหงาลดความโกรธเคืองในอดีตลงไปมาก อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่ารัตนาเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง

        

    “ยัยฝันเป็นหลานของฉันเหมือนกัน อย่าเกรงใจเลยค่ะ ส่วนเรื่องที่พัก ฉันอยู่ที่บ้านเดิมไม่ได้ย้ายเข้ามาด้วย แต่ยังไง ฉันก็ขอฝากหลานด้วยนะคะ”

        

    “สบายใจได้ค่ะ...ทอฝัน หลานเล่าให้ย่าฟังหน่อยสิว่าตอนอยู่ที่นู่นเป็นยังไงบ้าง สุขสบายดีไหม” รัตนาเอ่ยถามเพราะอยากคุยกับหลานสาวมิใช่สาเหตุอื่น

        

    “นับว่าเป็นช่วงที่มีความสุขมากเลยค่ะ ไม่มีใครคอยจับผิด ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครดุด่า ไม่มีใครมาดูถูกให้เสียใจ แล้วก็ไม่ต้องเจอหน้าใครบางคนด้วยค่ะ” หญิงสาวตอบประชดรัตนาทุกคำ ซึ่งทุกคนในที่นั่นต่างก็รู้ดี

        

    “อย่าประชดย่าอีกเลยนะ”

        

    “เจ็บปวดใช่ไหมคะ แค่นี้มันยังน้อยไป คุณควรจะคิดถึงตอนที่คุณทำกับแม่ฉันบ้าง มันเจ็บ...แค่ไหน ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ ยังไม่ถึงเสี้ยวของที่คุณเคยทำกับแม่ฉันเลย” ทอฝันเอ่ยอย่างไม่ปรานี เธอตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่มีวันใจอ่อนให้กับคนๆ นี้อีกแล้ว

        

    ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อทายาทเพียงคนเดียวของเสถียรวงศ์พูดจบ คำพูดของเธอนั้นแม้จะไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก แต่ความหมายของมันก็บาดลึกเข้าไปภายในใจ รัตนาอาจเป็นคนที่น่าเห็นใจมากที่สุดในเวลานี้ เพราะถูกกดดันอย่างหนักจากหลานสาวแท้ๆ ที่แสดงออกว่าเกลียดตนเอง แต่ถ้าย้อนนึกไปถึงสิ่งที่รัตนาเคยทำลงไปในอดีต มันก็สมควรกับผลกรรมที่ได้รับในวันนี้แล้วไม่ใช่หรือ อาจจะเรียกว่าน้อยไปด้วยซ้ำ คุณธรรมและเหตุผลเกิดความขัดแย้งในจิตใจของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เธอคนนั้น ...ทอฝัน... ก็เช่นกัน

        

    “ไปเดินดูรอบๆ บ้านหน่อยไหมฝัน...ลูกไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว” ศักดิ์ชัยเอ่ยขึ้นโดยหวังว่าจะช่วยแก้สถานการณ์ได้ ทอฝันลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะสั่งให้จัดตกแต่งบ้านเสียใหม่เพื่อต้อนรับเธอโดยเฉพาะ รูปที่ประดับตามฝาผนังต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นรูปของเธอและแม่ทั้งสิ้น ทอฝันมาหยุดชะงักอยู่กับรูปภาพหนึ่ง มันเป็นภาพเดียวกันกับที่เธอมีอยู่และดูมันเสมอ

        

    ...ภาพธราธารที่ยิ้มแย้มอย่างสดใส...

        

    หญิงสาวหยิบกรอบรูปภาพนั้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่มองรูปนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ต่างจากแววตาที่จ้องมองรัตนาโดยสิ้นเชิง “แม่คะ” หญิงสาวอุทานเสียงแผ่วเบา เธอหยิบรูปแม่ขึ้นมากอดไว้อย่างหวงแหน ใจของเธออ่อนลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นรูปของผู้เป็นที่รัก เสียแต่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสียก่อน...รูปใบหนึ่งตกลงมาจากกรอบรูปที่เธอถือเอาไว้

        

    รูปของหญิงสาวหน้าตาสวยแต่นัยน์ตาแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาผู้หนึ่งถ่ายรูปในชุดแต่งงานสีขาวของร้านตัดชุดชื่อดัง เครื่องประดับราคาแพงและงดงามถูกประดับตกแต่งไว้รอบ ผมที่รวบขึ้นไปมีดอกไม้สีชมพูแซมอยู่ โดยรวมแล้วนับว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ดูน่าหลงใหลมากคนหนึ่ง ด้านหลังของเธอคือศักดิ์ชัยเมื่อ 17 ปีที่แล้วในชุดทักซิโด้ ...รูปในวันแต่งงานของคนทั้งคู่...แต่คนที่ยืนเคียงข้างศักดิ์ชัยกลับไม่ใช่ธราธาร แม่ของเธอ



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    “แม่น้อม ไปจัดมาอีกชุดหนึ่ง” รัตนากล่าวแก่ป้าน้อมซึ่งกำลังจัดโต๊ะรับประทานอาหารอยู่

        

    “จะมีใครมาอีกเหรอครับคุณแม่” ยศสวินถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะปกติครอบครัวของเขาก็มีกันอยู่แค่นี้ ถ้ามีแขกน่าจะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านมากกว่า

        

    “คนพิเศษจ๊ะ ตาศักดิ์มานั่งได้แล้ว เราด้วยตายศ” รัตนาหันไปเรียกลูกชายคนเล็กที่กำลังเล่นกับลูกสาวตัวน้อยของเขาอย่างสนุกสนาน เมื่อเด็กน้อยเดินตามบิดาไป ก็ถูกผู้เป็นย่าทำหน้าดุใส่

        

    “เอ๊ะ! แม่ทอฝัน ที่นั่งของเราน่ะอยู่กับแม่ของเรานะ”

        

    “ก็ฝันนั่งระหว่างพ่อกับแม่นี่คะ” เด็กน้อยเถียงโดยไม่ได้ตั้งใจ

        

    “ฉันบอกให้นั่งไหนก็นั่งสิ เดี๋ยวนี้เถียงผู้ใหญ่น่ะ แม่เราไม่เคยสอนหรือไง ชักจะเอากันไปใหญ่แล้ว วันนี้น่ะฉันสั่งให้นั่งระหว่างแม่เรากับลุงเรา เข้าใจไหม๊” รัตนาขึ้นเสียงกับหลานสาวอย่างขัดใจ พลางกล่าวโทษไปถึงลูกสะใภ้ที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ที่ครัว

        

    เมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะแล้ว ก็ยังเหลือเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว คือด้านข้างศักดิ์ชัยซึ่งว่างเอาไว้ แต่ไม่นาน บุคคลปริศนาก็ปรากฏตัวขึ้น

        

    “สวัสดีค่ะ คุณป้า พี่ศักดิ์” เสียงแหลมๆ ของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น เธอคือ บุษราคัม ลูกสาวคนเดียวของพันเอกวชิระ และคุณหญิงสายสวาท นิติธรรมนิตย์ เพื่อนรักของรัตนา

        

    “มาแล้วเหรอ หนูบุษ ตาศักดิ์ จำน้องได้ไหม หนูบุษราคัมไงจ๊ะ คนที่แม่เคยมาดหมายเอาไว้ น้องเขาอุตส่าห์มาเยี่ยมเรา” ศักดิ์ชัยมองหญิงสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มารดาหวังจะให้แต่งงานกันแล้วยิ้มให้ แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก




    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&



    “รูปนี้....” ทอฝันหันกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับถือรูปใบนั้นเอาไว้ในมือ

        

    “นี่เหรอที่บอกว่าสำนึกผิด อยากจะไถ่โทษ นี่เหรอ...เอารูปแม่มาบังหน้า ที่แท้พวกคุณก็ยังให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากกว่าแม่ฉัน คนหลอกลวง...คนหลอกลวง” หญิงสาวแผดเสียงอย่างแค้นเคือง รูปนี้เป็นเครื่องหมายแสดงได้ดีกว่าสิ่งใดๆ ทั้งนั้น

        

    “ใจเย็นๆ นะทอฝัน พ่ออธิบายได้”

        

    “ไม่...ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรทั้งนั้น พวกคุณรักผู้หญิงคนนี้มากกว่าแม่ฉัน พวกคุณแล้วก็ผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกันฆ่าแม่ฉัน การตายของแม่ไม่ใช่อุบัติเหตุ มันเป็นเรื่องจงใจ เจาะจงกับแม่โดยเฉพาะ พวกคุณมันฆาตกร ทำไม...แม่ฉันทำอะไรผิด ตอบมาสิ ตอบมา แม่เคยทำอะไรให้พวกคุณเจ็บช้ำน้ำใจบ้างไหม ตอบมา...”

        

    “ฝัน เงียบซะนะ ใจเย็นเอาไว้” บุหงาเข้ามาปลอบหลานสาว

        

    “ผู้หญิงคนนี้อยู่ไหน ทำไมไม่ออกมาสู้หน้าฉันล่ะ ออกมาสิ แม่ฉันตายไปแล้ว เธอก็ได้ทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่ออกมาล่ะ” ทอฝันตะโกนร้องเรียก แต่ถึงจะเรียกดังแค่ไหน คนที่เธออยากพบก็ไม่ออกมาอยู่ดี ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

        

    เมื่อเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง บุหงาก็ขอตัวลากลับ เธอหันมามองหลานสาวอย่างเป็นห่วง กลัวว่าความแค้นบังตา ทำให้หญิงสาวทำได้ทุกอย่าง

        

    “ฟังยายนะฝัน...อดีตที่ขมขื่นก็ลืมมันซะ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่สดใส ความแค้นไม่เคยให้คุณกับใคร อภัยเท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุข ยายเห็นว่าย่าของเราท่านก็คิดได้จริงๆ โกรธผู้ใหญ่น่ะไม่ดีหรอก ยายรู้ว่าฝันเข้าใจที่ยายพูด” บุหงาถามย้ำเมื่อเห็นหลานสาวนิ่งไป

        

    “เข้าใจค่ะ แต่ฝันไม่รับปากนะคะ” หญิงสาวตอบผู้เป็นยาย แม้จะเข้าใจ แต่ก็ทำไม่ได้

        





    “พี่นั่งด้วยได้ไหม” เสียงอบอุ่นของชายหนุ่มดังขึ้น

        

    “เชิญค่ะ เก้าอี้ไม่มีเจ้าของนี่คะ” หญิงสาวตอบ ทำให้วิธวินท์ถอนหายใจออกมา ตั้งแต่ทอฝันกลับมา เธอก็ทำตัวเย็นชากับเขาตลอดเวลา ไม่เรียกแทนตัวเองว่าฝันเหมือนเก่า ไม่เรียกเขาว่าพี่อีกครั้ง มีแต่สรรพนาม “ฉัน, คุณ” ตลอดเวลา หรือว่าเวลา 17 ปีทำให้ทอฝันลืมเขาจริงๆ

        

    “ฝันพูดแรงเกินไป ยังไงท่านก็เป็นย่าของฝัน พี่อยากให้ฝันเลิกเคียดแค้นท่านซะ ความแค้นมีแต่โทษ ไม่เคยทำประโยชน์ให้ใครหรอก”

        

    “คุณไม่เคยได้ยินหรือคะ บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ” หญิงสาวแค่นหัวเราะ เธอยังคงยืนยันความคิดเดิมอย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

        

    “ที่ฝันพูดน่ะมันก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่าท่านเป็นคุณย่า...”

        

    “หมายความว่าถ้าเป็นย่า เป็นพ่อ เป็นญาติของเรา ไม่ว่าเขาจะผิดแค่ไหน ทำชั่วมากน้อยเท่าไรก็หายกัน คนผิดก็คือผู้น้อยเสมอ ผู้ใหญ่ไม่เคยผิดงั้นสิคะ...โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม คนที่ได้ก็ต้องได้ตลอดไป คนที่สูญเสียก็ต้องเสียตลอดไปใช่ไหม??” วิธวินท์อึ้งไปกับคำถามนี้ของทอฝัน ที่หญิงสาวพูดมาทั้งหมดนั้นก็ถูก คนผิดไม่ใช่เธอ

        

    “มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าฝันควรจะอภัยให้ท่าน ฝันก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าคุณย่าท่านเสียใจแล้วก็คิดได้กับการกระทำที่ผ่านมา ฝันก็ควรจะอภัย” ชายหนุ่มถอนหายใจ ทำไมเรื่องราวมันถึงยุ่งเหยิงอย่างนี้ก็ไม่รู้

        

    “คำว่าเสียใจ หรือการคิดได้ ทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เขาทำกรรมไว้ ก็ต้องชดใช้กรรม” หญิงสาวยังคงเถียงต่อไป

        

    “แล้วถ้าแก้แค้นสำเร็จ อาธราจะฟื้นขึ้นมาเหรอ มันก็เหมือนกัน ในเมื่อทั้งสองแบบก็ไม่ทำให้อาธราฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้ เราก็ควรเลือกทางที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ? แล้วทำไม...”

        

    “ก็เพราะการแก้แค้นคือหนทางที่ดีที่สุดไงคะ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขอตัว” หญิงสาวลุกขึ้น ไม่อยากจะคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าอีก ไม่รู้ทำไม อยู่กับเขา ใจเธออ่อนลงทุกที แต่เธอจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด

        

    “พี่ขอถามเธออีกครั้ง ฝันลืมทุกอย่างสมัยเด็กแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

        

    “ฉันขอยืนยันคำเดิม...ใช่คะ ลืมหมดแล้ว ยกเว้นเรื่องของแม่เท่านั้น” หญิงสาวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้จะเป็นการทำร้ายจิตใจของวิธวินท์ที่เฝ้ารอคอยเพื่อนสมัยเด็กก็ตามที

        

    “ถ้าพี่จะขอให้ฝันเรียกแทนตัวเองว่าฝัน แล้วเรียกพี่ว่าพี่เหมือนเดิมจะได้ไหม อย่างไรก็ตาม...ครั้งหนึ่ง เราก็เคยสนิทกันมาก” วิธวินท์ถามด้วยสีหน้าวิงวอน หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ

        

    “ฉันขอตัวค่ะ คุณวิธวินท์”



    &&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×