คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CH4 : ชื่อที่สลักอยู่บนแหวน
CHAPTER 4
ความมืดมิดภายใต้ผืนฟ้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่กลับมีแสงไฟจากห้องๆหนึ่งที่ยังคงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางยามรัตติกาล
‘อ้อ...แล้วฉันก็ไม่กินอาหารร่วมกับพวกเลือดผสมด้วย ยิ่งพวกครึ่งคนครึ่งแวมไพร์ ฉันยิ่งเกลียดเลยหล่ะ’
แทยอนยังคงนั่งอยู่ภายในห้อง เขานอนไม่หลับ แต่อันที่จริงควรจะพูดว่าเขาไม่ต้องนอนมากกว่า ร่างเล็กนั่งเคี้ยงข้างกับเตียงนอนซึ่งมีเด็กสาวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าร่างบางอยากได้รับการพักผ่อน นัยตาสีฟ้าจดจ้องไปยังใบหน้าหวาน ในหัวสมองของเขากำลังครุ่นคิดเรื่องที่ห้องอาหารเมื่อตอนเย็น คำพูดของเจสสิก้ายังคงเล่นเหมือนฟิล์มขาวดำที่ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมา แทยอนรู้ถึงเหตุผลของหล่อน เหตุผลที่เจสสิก้าเกลียดมนุษย์
เจสสิก้าเกลียดที่มนุษย์ฆ่าพ่อแม่ของหล่อน เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษย์
เช่นเดียวกับที่แทยอนเกลียดเจสสิก้า เกลียดที่หล่อนฆ่าแม่ของเขา เกลียดที่หล่อนฆ่าเพียงเพราะว่าแม่ของแทยอนเป็นมนุษย์....
ร่างเล็กหลับตา เขาค่อยๆวางหน้าผากไว้บนแขนของตัวเองที่พาดอยู่บนเตียงของเด็กสาว พยายามข่มความทรงจำอันเลวร้ายของตัวเองออกไป แทยอนกำหมัดแน่น ตั้งแต่วันที่แม่ของแทยอนตาย ร่างเล็กก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน เงียบ นิ่ง เยือกเย็น นั่นคือเขาในตอนนี้...
ความทรงจำในวัยเด็กเพียงนิดเดียวที่แทยอนจำได้คือพ่อของตนเองเป็นแวมไพร์ แม่เป็นมนุษย์ และตัวเองเป็นแวมไพร์เลือดผสม แทยอนมีความสุขกับวัยเด็กของตนเองมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง ครอบครัวของแทยอนเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ พ่อของแทยอนรู้ว่าแม่ของแทยอนนั้นแอบไปมีคนอื่น เขาจึงปลิดชีวิตตัวเองลงไปด้วยน้ำมือของเขาเอง ตายด้วยความโศกเศร้า ไม่เหลือแม้แต่คราบของแวมไพร์ผู้น่าเกรงขาม แทยอนมารู้ทีหลังว่าผู้ชายอีกคนของแม่เป็นมนุษย์หมาป่า และทั้งสองยังมีลูกด้วยกัน แต่แน่นอนว่าแทยอนไม่เคยเกลียดหรือโทษแม่ที่ทำให้พ่อต้องตาย เพราะร่างเล็กรู้ว่าในใจของแม่นั้นก็รักพ่อมากไม่ต่างไปจากตัวเองเลย จนถัดมาอีกสามปี ความสูญเสียก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง ..... ท่ามกลางสนามรบของหมาป่าและแวมไพร์ แม่ของแทยอนตายที่นั่น รวมทั้งมนุษย์หมาป่าที่เป็นสามีใหม่ของหล่อนก็ต้องจบชีวิตลงด้วยเช่นกัน
แทยอนจำภาพที่ผู้หญิงคนนั้นใช้เล็บของหล่อนตวัดเข้าที่คอแม่ของเขาได้
จำภาพผู้หญิงที่เป็นแวมไพร์คนนั้นได้
จำภาพเจสสิก้าจองที่ฆ่าแม่ของตัวเองได้....
หลังจากเรื่องราวครั้งนั้นจบลง แทยอนก็ถูกแวมไพร์ที่ชนะในสงครามพาตัวไปอยู่ด้วย ภายหลังจึงได้รู้ว่าบ้านที่รับตัวเองไปอยู่คือบ้านของยุนอากับซอฮยอน ซึ่งซอฮยอนเองก็เป็นแวมไพร์ที่ถูกพ่อแม่ของยุนอารับเลี้ยงมาเช่นกัน อีกทั้งทางครอบครัวของยุนอาเมื่อรู้ว่าแทยอนเป็นแวมไพร์เลือดผสม พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรและยังคงดูและร่างเล็กเป็นอย่างดี
แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี พ่อและแม่ของยุนอาก็ถูกฆ่าตายที่สนามรบ ทั้งสามคนจึงต้องเติบโตมาด้วยการเอาชีวิตรอดตั้งแต่เด็ก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ยุนอาก็ได้ไปเจอแวมไพร์ผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพากลับบ้านมารักษาตัว วินาทีแรกที่แทยอนเห็นแวมไพร์คนนั้น เขาก็จำได้ในทันที
เจสสิก้าจอง...
ในตอนนั้นแทยอนบอกยุนอาว่าให้ปล่อยทิ้งไว้ซะ แต่คนร่างสูงกลับปฏิเสธพร้อมทั้งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ร่างเล็กที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะอย่างเย้ยหยัน
แวมไพร์คนนี้หน่ะเหรอที่ช่วยชีวิตยุนอาเอาไว้...
แวมไพร์คนที่ฆ่าแม่ของฉันหน่ะเหรอ......
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่คืน เจสสิก้าก็ฟื้นขึ้นมา แทยอนยังจำได้ ประโยคแรกที่หล่อนพูดกับตัวเอง ประโยคที่แทยอนแทบจะฆ่าเจสสิก้าให้ตายตรงนั้น
‘อ้าว? เธอมันแวมไพร์เลือดผสมคนนั้นนี่ ไม่ได้ตายไปพร้อมแม่หรอกเหรอ’
ใช่... แทยอนเป็นแวมไพร์เลือดผสม ส่วนเจสสิก้า ยุนอา และซอฮยอนเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ แวมไพร์เลือดผสมก็ยังคงมีพละกำลังที่เหนือกว่ามนุษย์เหมือนเลือดบริสุทธิ์ เพียงแต่แทยอนจะควบคุมพละกำลังของตัวเองไม่ค่อยได้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาสู้กันกับแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ แทยอนแทบจะฆ่าคนๆนั้นได้อย่างสบายๆ
หลังจากนั้น ยุนอาก็ตัดสินใจที่จะให้เจสสิก้าอยู่บ้านหลังนี้ด้วยเนื่องจากอยากขอบคุณหล่อนที่เป็นคนช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ ดังนั้นแทยอนกับเจสสิก้าจึงต้องมาอยู่บ้านหลังนี้ร่วมกันอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนเด็กคนที่เป็นลูกของแม่แทยอนและมนุษย์หมาป่าคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งแทยอนทั้งในตอนนั้นและตอนนี้ก็ไม่เคยคิดที่จะตามหา
แทยอนไม่อยาก...จะผูกพันกับใครทั้งสิ้น แม้แต่คนที่ร่วมสายเลือดด้วยกันอย่างเด็กคนนั้นก็ตาม
เพราะความผูกพันดีแต่จะทำร้ายตัวเอง รั้นแต่จะทำให้ความแค้นที่มีอยู่ภายในใจถดถอยลง...
ร่างเล็กสะดุ้งออกจากภวังค์ความทรงจำในอดีต เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวบนเตียง นัยตาสีฟ้าทอดมองร่างบางที่ค่อยๆยกมือขึ้นมาขยี้ตาตนเองอย่างน่ารัก ก่อนจะค่อยๆปรือตามองแทยอน
“คุณแทยอน...ยังไม่นอนเหรอคะ” เสียงหวานใสปนงัวเงียดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เด็กสาวค่อยๆยันตัวเองขึ้นเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่งหลังพิงหัวเตียง
“ฝันร้ายเหรอ” แทยอนไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยคำถามกลับไปเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของเด็กสาวมีเหงื่อผุดพราย และสีหน้ายังดูไม่ค่อยดีนัก ทิฟฟานี่ที่ได้ยินคำถามก็พยักหน้าเบาๆ
“เค้าแค่ฝันร้ายหน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เด็กสาวยิ้มให้ พลางมองใบหน้าของแทยอนที่ขมวดคิ้วแน่นจนหางคิ้วแทบจะชนกัน ร่างบางเอื้อมมือไปสัมผัสตรงใบหน้าขาวของแวมไพร์ ใช้นิ้วมือนวดวนแถวๆขมับ ก่อนจะยิ้มกว้าง
“ไม่เอาไม่ทำหน้าเครียดนะคะ เค้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย คุณแทยอนอย่าเครียดเลยนะ” แทยอนมองใบหน้าหวานของคนตรงหน้า เขายิ้มเล็กน้อย
“ไม่ง่วงเหรอ” เด็กสาวส่ายหน้า ร่างเล็กยกมือขึ้นดีดหน้าผากทิฟฟานี่เบาๆ
“เด็กดื้อ” ตามด้วยรอยยิ้มบางๆ เด็กสาวกุมหน้าผากพลางบึนปากใส่คนข้างๆ
“คุณแทยอนดื้อกว่าเค้าอีก”
“เถียงเหรอ” แทยอนถามพร้อมทำท่าจะดีดอีกรอบจนทิฟฟานี่ต้องล้มตัวนอนแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงจมูก
“เค้าไม่เถียงแล้ว” เด็กสาวพูดเสียงอู้อี้ใต้ผ่าห่ม ร่างเล็กหัวเราะเบาๆ เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินมานาน เขาอ้อมมาอีกฝั่งของเตียง พลางล้มตัวลงนอนตาม
“งั้นนอนด้วยละกัน” พูดจบเขาก็ดึงตัวเด็กสาวมากอด ให้หน้าผากแนบชิดคลอเคลียจนเด็กสาวใจสั่น มือข้างหนึ่งสอดเข้าได้คอของร่างบางเพื่อให้เป็นหมอนหนุน ส่วนอีกข้างก็รั้งเอวทิฟฟานี่ให้แนบชิด
“นอนได้แล้วเด็กดื้อ” เสียงหนุ่มเอ่ย เขายังคงคลอเคลียหน้าผากตัวเองไว้กับหน้าผากของร่างบาง ทิฟฟานี่ก้มหน้างุดเมื่อรู้ตัวว่าโดนอีกคนแกล้งเข้าแล้ว เด็กสาวบ่นงึมงำด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งมันเป็นประโยคที่ทำให้คนฟังยิ้มไม่หยุด
“คุณแทยอนดื้อกว่าเค้าอีก”
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอาไงดี” ร่างสูงทั้งสองคนยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นใหญ่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ดวงตาของทั้งสองจดจ้องไปยังบ้านหลังหรูเบื้องหน้า
“มาถึงนี่แล้วทั้งที เข้าไปทักทายหน่อยเป็นไง” ร่างสูงอีกคนยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน พลางทำท่าจะกระโดดลงจากกิ่งไม้
“มันมีตั้งสามคน เรามีแค่สอง ถ้าเกิดปะทะกันขึ้นมา แน่ใจว่าเราจะสู้ไหวเหรอซูยอง” ยูริเอ่ยถามเพื่อนของตน ซูยองทำเพียงยิ้มมุมปาก
“ถ้าบอกเรื่องน่าสนใจที่เราเพิ่งเจอมาให้มันฟัง มันคงไม่ทำอะไรเราหรอก” พูดจบร่างสูงก็กระโดดลงพื้นดิน ตามด้วยร่างของยูริที่โดดตามลงมา
ทั้งสองก้าวเท้าเดินมายังบ้านหลังหรูเบื้องหน้าอย่างไม่รีบร้อน ซูยองเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ต่างจากยูริที่แววตาฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ไม่กี่นาที ทั้งสองก็มาหยุดอยู่ที่ประตูบ้านของแวมไพร์ทั้งสาม ซูยองผินใบหน้ามองคนข้างกายพลางยิ้มมุมปาก
“ตามมารยาท มาบ้านเขาเราก็ต้องเคาะประตูใช่มั้ย งั้นแกจะเคาะ หรือให้ฉันเคาะ” ยูริยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงว่าไม่เอา
“โอเค งั้นฉันเคาะ” ซูยองยิ้ม เขายกเท้าข้างขวาขึ้นพลางออกแรงถีบบานประตูเบื้องหน้าให้เปิดออก ประตูไม้กระเด็นหลุดเข้าไปภายในบ้าน แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งสองคนก็สัมผัสถึงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ขนาบข้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน ร่างของยูริและซูยองก็กระเด็นออกไปตามแรงเหวี่ยงของผู้มาใหม่ ทั้งสองกลิ้งไปกระแทกกับบานกระจกในบ้าน ซูยองร้องโอดโอย แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเท้าของใครบางคนเหยียบตรงแถวคอให้นอนลงไปอีกรอบ ร่างสูงจึงทำได้แต่ค่อยๆลืมตามองคนข้างบน
“ไง มาหาเรื่องพวกฉันถึงนี่เลยเหรอซูยอง” เสียงของคนมาใหม่เอ่ยถาม เขาผ่อนแรงตรงเท้าที่เหยียบแถวๆคอซูยองออกเพื่อให้อีกคนได้พูดตอบ
“ไม่เอาน่า พวกฉันแค่มาทักทายเองยุนอา” ซูยองยิ้มมุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน เรียกให้คนฟังเลิกคิ้วอย่างสนใจ
“ทักทาย? ด้วยการที่ให้ฉันต้องจ้างคนมาทำประตูบ้านใหม่อ่ะนะ”
“ฉันลืมบอกไปนี่ว่าฉันเคาะประตูไม่เป็น เนอะยูริ” ร่างสูงเอ่ยพลางพยักเพยิดไปทางด้านหลังยุนอาซึ่งมียูริกำลังเดินมาหาหลังจากตั้งตัวจากการเหวี่ยงได้แล้ว
“อ้าว ฉันลืมเลยนะเนี่ยว่าแกไม่ได้มาคนเดียว” ยุนอาพูดพลางหันหน้ามามองยูริ นัยตาเป็นประกาย ร่างสูงดึงเท้าออกมาจากคอคนข้างล่าง ซูยองจึงอาศัยจังหวะนั่นลุกขึ้น
“พวกเรามีเรื่องจะมาคุยกับแก” ร่างสูงปัดฝุ่นตามตัวออกก่อนจะเดินไปหายูริ ยุนอาถามเสียงหลง
“มาคุย?... กับฉันเนี่ยนะ?” มนุษย์หมาป่าทั้งสองคนพยักหน้า
“เป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวเลยหล่ะ” ยุนอานิ่งฟังทั้งสองคนตรงหน้าพูด คิ้วขมวดน้อยๆอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“เข้ามาในบ้านก่อนละกัน”
ยุนอาพาร่างสูงทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน ซูยองและยูรินั่งลงตรงโซฟาฝั่งตรงข้ามของยุนอา
“แล้วมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันหล่ะ” แวมไพร์ร่างสูงถามขึ้นทันที ยูริจึงหันไปมองหน้าซูยอง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้า แล้วเลื่อนมันไปให้ยุนอา ร่างสูงหยิบมันขึ้นมามองด้วยความสนใจ
“นี่มัน...สร้อยของพี่แทยอนนี่ แต่เดี๋ยวนะ เมื่อตอนเย็นฉันยังเห็นว่าพี่แทยอนสวมมันอยู่เลย”
“ป่าวหรอก นี่หน่ะไม่ใช่ของแทยอน” ยูริส่ายหน้า เขาชี้ไปยังรอยสลักบนสร้อยเส้นนั้น ซูยองจึงพูดเสริม
“แกลองอ่านดีๆสิ ข้อความที่สลักตรงนั้น ไม่ใช่ชื่อแทยอน” ยุนอายกสร้อยขึ้นมาดูอีกครั้ง เขาไล่สายตาอ่านข้อความแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง
“เฮ้ย นี่มัน...” ร่างสูงรีบเงยหน้าขึ้นมาหาคนทั้งสองตรงหน้าอย่างต้องการคำตอบ
“ใช่...นี่หน่ะ เป็นสร้อยของแทงกู” ยูริเอ่ยขึ้น เขายิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของยุนอา
“ไง ฉันบอกแล้วว่าเรื่องที่จะมาคุยหน่ะ ถูกใจแกแน่นอน”
“เริ่มจะสงสัยอะไรบ้างรึยังหล่ะ คุณแวมไพร์” ซูยองเอ่ยขึ้น ซึ่งยุนอาเองก็หันไปมองหน้าอย่างสนใจ
“ทำไมพี่แทยอนกับแทงกูถึงมีสร้อยแบบนี้เหมือนกันได้”
“พวกฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ถึงได้มาที่นี่เพื่อจะมาถามแกนี่ไง”
“มาถามฉัน? ถ้าถามฉันหน่ะ ฉันคงไม่รู้หรอก ทำไมไม่ลองถามพี่สิก้าหรือซอฮยอนดูหล่ะ” ยุนอาเอ่ยพลางสายตายังไม่ละออกจากสร้อยตรงหน้า
“แกจะบ้ารึไง” ซูยองบ่นงึมงำ
“กับเจ๊หน้าโหดที่ชื่อเจสสิก้าอะไรนั่นฉันไม่กล้าถามหรอก โดนปาดคอตายพอดี ส่วนแวมไพร์อีกคนที่ชื่อซอฮยอนอะไรนั่นพวกฉันก็ไม่เคยคุยด้วย มีแต่แกนี่หล่ะที่เคยเจอตอนที่สู้กันเมื่อสองปีก่อน เลยเลือกจะมาถามแกนี่ไง” ร่างสูงร่ายยาวพลางทำท่าขนลุกเมื่อเอ่ยชื่อเจสสิก้า
“แต่ขนาดเลือกแกแล้ว พวกฉันยังโดนเหวี่ยงซะกระเด็นขนาดนี้” ยูริเองก็บ่นตามไปด้วย ยุนอาที่ได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“โทษที ก็ฉันไม่ไว้ใจพวกแก”
“แล้วตอนนี้ไว้ใจรึยังหล่ะ”
“ยัง”
“อ่าว” มนุษย์หมาป่าทั้งสองคนอุทานขึ้นพร้อมกัน พลางหรี่ตาอย่างขุ่นเคือง
“นี่ยังไม่ไว้ใจพวกฉันอีกรึไง”
“ใครจะไปไว้ใจคนที่ถีบประตูบ้านฉันกระเด็นไปขนาดนั้นหล่ะ” ยุนอาเถียงบ้าง ก่อนจะถอนหายใจ
“เอาเป็นว่าถึงฉันจะยังไม่ไว้ใจพวกแก แต่ถ้าเป็นเรื่องสร้อยนี่ ฉันจะลองร่วมมือกับแกดูสักครั้งละกัน” เมื่อได้ยินดังนั้นซูยองก็ดีดนิ้วอย่างถูกใจ
“ต้องอย่างนี้สิ”
“แล้วแกมีอะไรอีกรึเปล่าที่เกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้” ยุนอาเอ่ยถาม ทำให้ยูริต้องหยิบอีกอย่างออกมาจากกางเกง มันคือแหวนเก่าแก่ที่สลักตัวอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้ ว่า ‘KIM JUNG-AH’ ยุนอามองชื่อบนแหวนนั่นอย่างตกใจ
“พวกแกไปเอาแหวนนี่มาจากไหนหน่ะ!?”
“ฉันเจอมันอยู่ในห้องของแทงกูพร้อมสร้อยเส้นนั้น เลยหยิบมาด้วย” ซูยองตอบก่อนที่ยูริจะพูดต่อ
“ชื่อนี้รู้สึกจะเป็นชื่อแม่ของแทงกูหน่ะ”
“อะไรนะ? แม่ของแทงกู?” ยุนอาอุทานเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นตะโกน ท่าทางนั่นมันทำให้ทั้งยูริและซูยองหันมามองหน้ากันด้วยความงงงัน
“แกตกใจอะไรหน่ะ?” ยูริเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว ซึ่งยุนอาก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยประโยคตอบกลับไป
“ชื่อที่สลักอยู่บนแหวนหน่ะ เป็นชื่อแม่ของแทงกูใช่ไหม” ยูริและซูยองต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ยุนอาจึงเอ่ยต่อ และประโยคที่เพิ่งพูดออกมานั้นเป็นประโยคที่ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันแทบจะในทันที...
“แต่ชื่อที่สลักอยู่บนแหวนหน่ะ ก็เป็นชื่อแม่ของพี่แทยอนเหมือนกันนะ”
ความคิดเห็น