คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CH1 : คุณ...เป็นใครเหรอคะ?
CHAPTER 1
ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ถนนสายเล็กที่ถูกสร้างขึ้นตัดผ่านป่าไม้แทบจะไม่เคยมีรถคันไหนแล่นมาเกือบ20ปีแล้ว นี่เป็นค่ำคืนแรกที่ได้ยินเสียงล้อบดกับถนน รถBMWคันหรูสีขาวซึ่งตัดกับความมืดมิดกำลังแล่นไปตามถนนสายเงียบสงัด มันก็คงจะไม่มีอะไรที่น่าสงสัยหากรถคันนั้นไม่ได้ขับเซไปมาอย่างกับคุมตัวเองไม่อยู่....
“คุณคิม เกิดอะไรขึ้นหน่ะ?” เสียงชายวัยกลางถามพลางชะโงกมองดูถนนผ่านกระจกรถ
“แย่แล้วครับคุณผู้ชาย! เหมือนรถจะเบรคแตกครับ! ทางตรงข้างหน้าเป็นหน้าผา ผมคิดว่าเราคงเบรคไม่ทันแล้วครับ!” ชายฝั่งคนขับส่งเสียงอย่างตกใจพลางพยายามบังคับมือที่กำพวงมาลัยไม่ให้สั่น แต่ดูเหมือนมันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“อะไรนะ!?” ดีมาร์ค ฮวัง ถามอย่างตกใจ เขาหันไปมองภรรยาข้างกาย ซึ่ง เอเรล ฮวัง ก็กำลังมองมาหาเขาด้วยความตกใจเช่นกัน ชายวัยกลางกำหมัดแน่น เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของภรรยาก่อนจะมองเลยไปทางเบาะหน้าข้างคนขับซึ่งเป็นเบาะที่ ทิฟฟานี่ ฮวัง ลูกสาววัย19ปีเพียงคนเดียวของเขากำลังหลับอยู่ ดีมาร์คหันมาหาเอเรลอีกรอบ เขาวางมือหนาไว้บนมือบางของภรรยาก่อนจะกุมมันแน่น
“เอเรล....คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมจะพูดว่าอะไร”
“ค่ะ...ฉันรู้” เอเรลยิ้มบางๆให้ผู้เป็นสามีก่อนบีบมือของเขากลับ
“เราจะช่วยให้ลูกรอด” ดีมาร์คยิ้มบางๆ เขาหันกลับไปหาคนขับรถ
“คุณคิม อีกกี่เมตรจะถึงหน้าผา”
“อะ..อีกประมาณ500เมตรครับ” ชายชราผู้เป็นคนขับตอบด้วยเสียงสั่น เขากำพวงมาลัยแน่นก่อนตัดสินใจพูดต่อ
“คุณผู้ชายครับ อย่าห่วงเลยนะครับ ถึงพวกเราจะต้องตาย แต่ผมเชื่อว่าคุณหนูเธอจะต้องรอดแน่ครับ พระเจ้าจะคุ้มครองเธอ”
“ครับ พระเจ้าจะต้องคุ้มครองเธอ” ดีมาร์คหันหน้าไปทางกระจก เขาเห็นว่ารถกำลังแล่นไปใกล้หน้าผามากยิ่งขึ้น ดีมาร์คโน้มตัวไปกอดลูกสาวของตนไว้ เอเรลวางมือไว้บนหัวของทิฟฟานี่อย่างแผ่วเบา หล่อนลูบมันด้วยความเอ็นดู
“ทิฟฟานี่ ถ้าลูกตื่นมา ลูกอาจจะไม่ได้เจอพ่อกับแม่อีกแล้ว แต่ขอให้จำเอาไว้นะลูก พ่อและแม่จะอยู่ข้างลูกเสมอ จงเข้มแข็งให้เหมือนพ่อ และอ่อนโยนให้เหมือนแม่ อย่าลืมนะฟานี่” ดีมาร์คพูดก่อนจะกอดร่างเด็กสาวให้แน่นกว่าเดิม
“…ทิฟฟานี่...ลูกรู้ใช่มั้ยจ๊ะ ว่าแม่หน่ะ รักลูกที่สุดเลยนะ เด็กดีของแม่” เอเรลพูด หล่อนก้มลงจรดริมฝีปากไว้บนหน้าผากของลูกสาว
“คุณผู้ชายครับ คุณผู้หญิงครับ!” คนขับรถคิมพูดได้แค่นั้นเพียงเสี้ยววินาที รถคันหรูก็ดิ่งลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง ล้อบดเบียดกับหน้าผาที่แถบจะตั้งฉากกับพื้นดิน ก่อนที่ตัวรถจะเหวี่ยงและเสียหลักพลิกกลิ้งไปตามดินแถบหน้าผา ก่อนที่ตัวรถจะตกลงกระแทกพื้นดินอย่างแรง ตามด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
มีเพียงเสียงแผ่วเบาที่ลอยมากับสายลม...
‘ลาก่อน ทิฟฟานี่ลูกรัก’
.
.
.
.
.
.
ห่างไกลออกไปจากซากรถที่ถูกเผาไหม้นั้น มีนัยตาสีฟ้าสนิทจ้องมองเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน ในอ้อมแขนของเขามีร่างของเด็กสาวนอนสลบอยู่ ร่างเล็กค่อยๆกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเพื่อที่จะช้อนตัวเด็กสาวให้ถนัดมากกว่าเดิม ผิวขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดปูดโนนออกมา ร่างกายเย็นเฉียบบวกกับแรงมหาศาลที่มีมากกว่ามนุษย์เกือบสิบเท่ายิ่งทำให้เขาดูหน้าเกรงขาม นัยตายังคงสงบนิ่ง ร่างเล็กก้มลงมองร่างบางที่มีแผลตามลำตัว ใบหน้าหวานซบอยู่ตรงข้างๆลำคอของเขา เด็กสาวพึมพำเสียงเบา
“...คุณพ่อ....คุณแม่....” มือบางกำแขนเสื้อของร่างเล็กแน่น นัยตาสีฟ้ามองดูคนในอ้อมกอด ก่อนจะออกแรงที่ขาเพียงเล็กน้อย ร่างเล็กนั้นก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าสายตาของมนุษย์ธรรมดาคงมองไม่ทัน...
เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาที ร่างเล็กก็หยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ เขากระชับอ้อมแขนและเดินเข้าไปช้าๆ จนมาหยุดอยู่หน้าประตู นัยตาสีฟ้าเพ่งไปที่บานประตูเพียงแปปเดียวมันก็เปิดออกเอง ร่างเล็กก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พบสายตาของร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังมองมาที่ตน… คนๆนั้นค่อยๆเอ่ยปากถามร่างเล็ก
“พี่แทยอน...ไปพาใครมาหน่ะ?”
.
.
.
.
.
.
.
ห่างไกลออกมาจากบ้านหลังใหญ่ มีหมู่บ้านซึ่งมากด้วยกระท่อมเล็กหลายสิบกระท่อมอยู่รวมกัน กลุ่มชายชรากำลังนั่งก่อไฟโดยมีกระท่อมนับสิบล้อมรอบ กลุ่มเด็กเล็กและผู้หญิงทั้งหลายกำลังช่วยกันทำอาหาร ดูรวมๆแล้วเหมือนหมู่บ้านชนบทขนาดเล็กที่ทุกคนกำลังช่วยกันทำอาหารเย็นอย่างขยันขันแข็ง
“เฮ้ เธอได้กลิ่นอะไรรึเปล่า? ฉันว่ามันเหมือนกลิ่นไหม้เลยนะ” เด็กผู้ชายพูดกับเพื่อนพลางขยับจมูกสูดกลิ่นฟุดฟิด
“ฉันว่ากลิ่นฟืนจากกองไฟรึเปล่า” เด็กผู้หญิงอีกคนว่าพลางขยับจมูกดมตาม
“แต่ฉันว่ากลิ่นมันมาจากที่ไกลๆนะ” เด็กผู้ชายคนนั้นเถียงกลับไป
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเด็กๆ?” แต่อยู่ดีๆก็มีเสียงนุ่มเอ่ยถามเด็กทั้งสอง
“พี่แทงกู!” เด็กน้อยทั้งสองมองคนที่เพิ่งมาร่วมบทสนทนาใหม่พลางตะโกนเรียกชื่ออย่างดีใจ
“พี่แทงกูครับ ผมได้กลิ่นเหมือนกลิ่นไหม้มาจากที่ไกลๆเลย” เด็กผู้ชายกระตุกชายเสื้อของร่างเล็กอย่างตื่นเต้น
“งั้นเหรอ...เอ....งั้นพี่ว่าพี่น่าจะไปดูสักหน่อยนะ” แทงกูยิ้มให้เด็กๆอย่างเอ็นดู พลางลูบหัวเบาๆก่อนจะเดินออกจากวงสนทนา
“ไง.....มีอะไรงั้นเหรอ” ร่างสูงที่ยืนพิงต้นไม้อยู่หันมาถามคนที่ทำหน้าเครียด
“เด็กๆพวกนั้นบอกว่าได้กลิ่นไหม้มาจากที่ไกลๆหน่ะ อันที่จริงฉันเองก็ได้กลิ่น แกคิดว่าไงหล่ะยูริ ลองไปดูกันหน่อยมั้ย” แทงกูถามเพื่อนซี้พลางยักคิ้วให้อย่างกวนๆ ยูริยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เอางั้นก็ได้ น่าสนุกดีนี่ ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานแล้ว” ร่างสูงว่าพลางบีบข้อนิ้วตัวเองจนได้ยินเสียงกระดูกดัง
“แต่ว่า...ถ้าเราสองคนไปแล้วปล่อยทุกคนไว้ที่นี่จะไม่เป็นไรเหรอ เกิดมีคนมาบุกรุกหล่ะ” แทงกูถามขึ้น ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ขยับยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ใครมันจะกล้ามาบุกหมู่บ้านของมนุษย์หมาป่าเล่า”
.
.
.
.
.
.
“พี่แทยอน....ไปพาใครมาหน่ะ?” ร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาเลิกคิ้วอย่างสงสัยพลางใช้นัยตากวาดมองร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของร่างเล็ก
“ไม่มีอะไรหรอก....ก็แค่มนุษย์หน่ะ” แทยอนตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหันหลังให้ร่างสูงแล้วทำท่าจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
“แค่มนุษย์? พี่จะไปช่วยมนุษย์ทำไม ไม่เห็นหล่อนจะเกี่ยวอะไรกับพี่สักหน่อย” แทยอนชะงักฝีเท้าเมื่อฟังประโยคนั้น ร่างเล็กหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูงบนโซฟาอีกรอบ สายตากร้าวกราดจ้องไปยังคนเบื้องหน้า
“อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง...ยุนอา...” ใบหน้าของแทยอนยังคงความนิ่งสงบ เว้นแต่น้ำเสียงโทนต่ำที่พร้อมจะบีบหัวใจคนฟังให้หวาดกลัว ยุนอายกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงว่าจะไม่เถียงแล้ว พลางล้มตัวลงนอนบนโซฟา
“ก็แค่ลองถามดูเฉยๆ ไม่เห็นต้องโกรธเลยนี่น่า” ยุนอาบ่นขมุบขมิบ แทยอนมองร่างสูงเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจ…
ร่างเล็กเดินมาจนถึงหน้าห้องๆหนึ่ง ลังเลเล็กน้อยว่าจะทำยังไงดี ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากเรียก คนข้างในห้องก็โผล่พรวดเปิดประตูออกมาซะก่อน
“อ้าว...พี่แทยอนคะ ฉันกำลังจะลงไปหาพอดี เห็นพี่หายไปข้างนอกซะนาน แล้วนั่น...ใครเหรอคะ” ซอฮยอน เอ่ยถามผู้เป็นพี่ของตน พลางก้มลงมองเด็กสาวในอ้อมกอดแทยอน
“พี่ฝากทำแผลให้เด็กคนนี้ที” แทยอนไม่ตอบ แต่กลับเอ่ยสิ่งที่อยากให้ช่วยออกไป ซอฮยอนยิ้มเล็กน้อย
“ได้สิคะ งั้นพี่แทยอนช่วยอุ้มเธอเข้ามาในห้องหน่อยสิ” แทยอนอุ้มร่างบางเข้าไปในห้องของน้องสาว แล้วค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ซอฮยอนกำลังค้นตู้เก็บของเพื่อหากล่องปฐมพยาบาล
“ว่าแต่พี่คะ...เด็กคนนี้ชื่ออะไรเหรอ” ซอฮยอนถามร่างเล็กขณะเปิดกล่องพยาบาลและเตรียมอุปกรณ์ทำแผล แต่เมื่อเห็นว่าแทยอนเอาแต่เงียบไม่ตอบ คนเป็นน้องจึงเงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กที่กำลังจดจ้องร่างที่นอนอยู่บนเตียง แต่สักพักเขาก็ละสายตาออกมา....
“เธอชื่อ....ทิฟฟานี่ ฮวัง” เสียงนุ่มทว่ากลับหนักแน่นเอ่ยชื่อของคนบนเตียง ซอฮยอนเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยเล็กน้อย นี่...พี่แทยอนสนใจเรื่องชื่อของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่...
“พี่ไปช่วยเธอไว้เหรอคะ” เสียงของคนเป็นน้องยังคงถามต่อ แต่แทยอนกลับเลี่ยงที่จะตอบ
“รีบทำแผลเถอะ” พูดจบก็เดินเปิดประตูออกจากห้องไป ทิ้งให้ซอฮยอนมองตามอย่างงุนงง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เพลิงที่เคยลุกไหม้รถคันหรูได้ดับไปสักพักแล้ว แต่ยังคงเหลือซากแห่งความโหดร้ายทิ้งไว้....เสียงย่ำเท้าของหมาป่าขนสีขาวทว่ากลับมีนัยตาสีทองดังขึ้นอย่างติดต่อกัน มันกำลังเดินวนดมกลิ่นไปมาแถบๆซากรถ ก่อนตัวมันจะค่อยๆกลายร่างของกลับคืนเป็นคน แทงกูบิดแขนเล็กน้อยเป็นเชิงยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเบนสายตามองหมาป่าขนสีดำข้างๆที่กำลังกลายสภาพกลับมาเป็นคนร่างสูงเหมือนเดิม
“ไง...ได้เรื่องอะไรบ้างไหม” ยูริถามคนตัวเล็กพลางใช้เท้าเตะซากประตูรถให้เปิดออก แต่เหมือนร่างสูงจะออกแรงเยอะไปนิด ประตูรถจึงกระเด็นไปไกลกว่าที่คิดประมาณสามเมตร ทั้งสองมองเข้าไปในตัวรถ และก็ได้เห็นซากศพของคนที่ถูกไหม้เกรียมอยู่ภายใน
“ฉันได้กลิ่นมนุษย์...” แทงกูพูด
“ก็ไม่แปลกนี่ ศพไหม้ตายคาที่ขนาดนี้” ยูริเข้าไปจ้องศพใกล้ๆ ก่อนจะถอยออกมา แทงกูจึงเอ่ยต่อ
“แต่ฉันสงสัย....พวกมนุษย์จะนั่งรถมาแถวนี้ทำไม ใครๆก็รู้ว่าแถวนี้มันอันตราย”
“คงหลงทางมามั้ง” ร่างสูงยักไหล่อย่างไม่สนใจ แต่แทงกูกลับทำหน้าเครียด
“แล้วก็...มีอีกเรื่องที่ฉันสงสัย” คนร่างเล็กขยับเข้าไปในตัวรถ เขาเริ่มสำรวจศพด้วยสายตา
“ฉันว่าฉันได้กลิ่นมนุษย์ที่มาทั้งหมดสี่คน” แทงกูหันมามองยูริด้วยสายตาเคร่งเครียด แต่แววตาของร่างสูงกลับออกอาการสงสัย
“แล้วไง...”
“แต่ในรถคันนี้มีศพ....แค่สามศพเองนะ” พอจบประโยคของแทงกู ยูริก็ร้องอ๋อขึ้นมา
“ที่สำคัญ...คนที่หายไปรู้สึกจะเป็นผู้หญิง....ฉันได้กลิ่นของเธอ”
“ถ้างั้นผู้หญิงคนนั้นหายไปไหนหล่ะ แกจะบอกว่าหล่อนเหาะออกไปก่อนที่รถจะระเบิดรึไง”
“ฉันไม่รู้” แทงกูขมวดคิ้ว เว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“แต่ฉันคิดว่าถ้าเธอออกจากรถมาได้ เธอก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้นะ”
“เฮ้ๆ...คิมแทงกู....คิดถึงหลักความเป็นจริงนิดนึงนะเพื่อน หล่อนเป็นมนุษย์นะ ถ้าเกิดหนีออกมาได้จริงก็คงมีแผลเต็มตัวอยู่ดี หล่อนไม่ใช่มนุษย์หมาป่าแบบพวกเราที่แผลมันจะหายภายในไม่กี่นาที ดังนั้นถ้าหล่อนรอดออกมาจากรถจริง หล่อนก็ต้องอยู่แถวๆนี้สิ ไม่มีทางไปไหนได้ไกลหรอก แต่นี่....เราไม่เห็นเจอผู้หญิงคนนั้นเลย” ยูริมองร่างเล็กที่ยังคงเดินสำรวจรอบๆตัวรถ
“รู้สึกว่าจะถูกตัดสายเบรคแฮะ” แทงกูพึมพำขึ้นเบาๆ ยูริจึงได้แต่ทำหน้าเซ็ง
“นี่ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้แกได้ฟังบ้างไหมเนี่ย” ร่างสูงบ่นขมุบขมิบ ก่อนจะมองแสงตะวันที่ค่อยมืดลงเรื่อยๆแล้วเอ่ยต่อ
“เอาเป็นว่านี่มันก็ค่ำแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
“เอางั้นก็ได้” แทงกูพยักหน้า
ร่างกายของทั้งสองค่อยๆมีเล็บงอกออกมาจากนิ้วมือและเท้า ก่อนขนจะเริ่มปกคลุมทั่วตัว และกลายสภาพเป็นหมาป่า ทั้งสองวิ่งไต่หน้าผาไปจนถึงข้างบนสุดและกระโดดขึ้นไป ในขณะที่กลายร่างกลับเป็นมนุษย์เช่นเดิมแล้ว ยูริที่กำลังจะออกวิ่งอีกครั้งแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนกำลังก้มลงดมอะไรสักอย่าง
“อะไรหน่ะแทงกู” ร่างสูงเดินมาหาคนร่างเล็ก
“ฉันได้กลิ่นมนุษย์....กลิ่นเดียวกับผู้หญิงที่หายไป...” แทงกูขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด
“อะไรนะ” ยูริดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเพื่อดมกลิ่นที่แทงกูบอก
“จริงด้วยแฮะ..” ร่างสูงอุทานเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาคนร่างเล็กอย่างไม่เข้าใจ
“แต่จะเป็นไปได้ไง ฉันไม่ได้กลิ่นหล่อนตามพื้นบริเวณรอบๆตัวรถ หรือตามทางที่พวกเราปีนหน้าผาขึ้นมาเลยนะ ถ้าหล่อนออกจากตัวรถแล้วปีนขึ้นมาบนนี้ ฉันก็ต้องได้กลิ่นสิ” ยูริขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“แต่ฉันว่ามีสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นอีกนะ” แทงกูเอ่ยขึ้น พลางเงยหน้ามองยูริ แววตาของเขาดูเคร่งเครียด
“ฉันได้กลิ่นอีกกลิ่นหนึ่งที่ปะปนกับกลิ่นของผู้หญิงคนนั้น” แววตาร่างเล็กดูเรียบนิ่ง เขาไม่เหมือนคิมแทงกูที่ยูริเคยรู้จักเลยสักนิด ร่างสูงรอฟังเพื่อนของตนพูดต่อ แทงกูกำลังเครียด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ยูริรับรู้ได้ในตอนนี้
“นี่ยูริ....ฉันจำกลิ่นนี้ได้นะ....และคิดว่าแกก็น่าจะจำได้” ร่างเล็กยืนขึ้นก่อนจะหันหน้ามาหาร่างสูงอย่างจริงจัง ประโยคที่หลุดจากปากของแทงกู ทำให้แววตายูริส่อประกายตกใจอย่างทันที
“กลิ่นของคิมแทยอน...ยังไงหล่ะ” ร่างเล็กสบตากับร่างสูงอย่างครุ่นคิด ใช่...คิมแทยอน คนที่หน้าคล้ายคลึงกับแทงกูอย่างกับฝาแฝด แต่พวกเราสองคน กลับแตกต่างและตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
“อะไรนะแทงกู...แกบอกว่าแกได้กลิ่นของ....คิมแทยอน...ไอ่พวกแวมไพร์บ้านั่น...มันมาที่นี่ทำไม!”
“ฉันคิดว่าผู้หญิงคนที่หายไป อาจจะอยู่กับแทยอนก็ได้” แทงกูอธิบาย แต่กลับถูกยูริสวนขึ้นมาเสียก่อน
“แทงกู แกกำลังจะบอกฉันว่ามันช่วยมนุษย์คนนั้นไปงั้นเหรอ” ร่างสูงถามอย่างไม่เชื่อ แต่คนร่างเล็กกลับพยักหน้าแทนคำตอบ
“มันจะช่วยมนุษย์ทำไมกัน” ยูริยังคงไม่หายสงสัย
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าแทยอนไม่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นหรอก”
“แกพูดเหมือนกับรู้จักไอ่แวมไพร์นั่นดีนักหล่ะ” ร่างสูงบ่น แต่แทงกูทำเพียงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา
“ต้องรู้สิ....เพราะคิมแทยอน...เป็นคนที่ฉัน...ไม่อยากจะแพ้มันแม้แต่ครั้งเดียว”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พี่คะ ฉันทำแผลให้เด็กคนนั้นเสร็จแล้ว พี่จะขึ้นไปดูหน่อยมั้ยคะ” ซอฮยอนเดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อมาบอกพี่ของเธอ แทยอนมองหน้าร่างบางเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆวางหนังสือในมือลงแล้วเดินขึ้นบันไดไป
“นี่ ซอ ผู้หญิงคนนั้นคือใครหน่ะ” เสียงยุนอาถามขึ้นมาพลางบึนปากอย่างอยากรู้
“ฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าพี่แทยอนไปช่วยเธอมา”
“โหย...พี่แทยอนเนี่ยน่า....ไม่เคยจะบอกฉันมั่ง”
“ไม่ใช่ว่าพี่ยุนอาไปพูดอะไรไม่เข้าหูพี่แทยอนจนพี่เขาอารมณ์เสียหรอกเหรอคะ” ซอฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ เมื่อเห็นยุนอาสะดุ้งกับประโยคของเธอ
“ปะ...เปล่าสักหน่อย”
.
.
.
.
.
.
เสียงบานประตูถูกเปิดและปิดเบาๆ ร่างเล็กปล่อยมือจากลูกบิดและเดินตรงมาที่เตียงนอนของคนที่กำลังหลับอยู่ นัยตาสีฟ้าจ้องใบหน้าหวาน แทยอนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆเตียงนอน เขาเริ่มสำรวจร่างกายของเด็กสาวตรงหน้า ร่างบางมีผ้าพันแผลพันรอบหัว ตามนิ้วมือมีพลาสเตอร์ยาติดอยู่ มือข้างซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผลเช่นกัน รอยช้ำตรงบริเวณหัวเข่าและขาถูกทายาอย่างเรียบร้อย ตอนนี้ร่างบางอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งเพียงตัวเดียว คิดว่าซอฮยอนคงจะเปลี่ยนชุดเพื่อให้ร่างบางนอนได้สบายตัวขึ้น
ใบหน้าขาวใสของร่างเล็กยังคงนิ่งเฉย แทยอนค่อยๆเอื้อมมือไปวางบนกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาล ปลายนิ้วเกลี่ยผมหน้าม้าเบาๆ ก่อนที่วินาทีถัดมาเขาจะรีบดึงมือตัวเองออก เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงเริ่มขยับตัว ร่างบางปรือตาขึ้นมาช้าๆ กระพริบตาเล็กน้อย ก่อนสายตาของเด็กสาวจะจ้องมายังคนที่อยู่ร่วมห้อง แทยอนยังคงรักษาสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มจะพยายามลุก ร่างเล็กจึงเอื้อมมือมาโอบรอบเอวบางแล้วค่อยๆพยุง ออกแรงเพียงนิดเดียวร่างบางก็นั่งอยู่ในท่าหลังพิงหัวเตียง เด็กสาวเอียงคอมองร่างเล็กอย่างน่ารัก เธอมองมือคนที่กำลังกอดเอวเธออยู่ แทยอนที่เพิ่งนึกได้ก็รีบดึงมือตัวเองออก ทั้งสองคนสบตากัน แต่ก็ยังไม่มีใครเริ่มพูดอะไร มีเพียงความเงียบที่เป็นตัวสื่อสาร ถัดมาไม่กี่วินาที เสียงหวานของเด็กสาวก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน…
“คุณ....เป็นใครเหรอคะ”
❀ Supercell
ความคิดเห็น