คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CH6 : ได้เวลาสงครามแล้ว...
CHAPTER 6
เสียงฝีเท้าของคนสองคนที่ย่ำพื้นดินยังคงดังติดต่อกันไปเรื่อยๆ หลังจากที่เดินออกจากบ้านมา ทั้งแทยอนและทิฟฟานี่ต่างก็ยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันสักคำ มือของร่างเล็กยังคงกุมมือของเด็กสาวไว้แน่น ทิฟฟานี่เองก็ไม่รู้ว่าแทยอนจะพาเธอไปที่ไหน รู้เพียงแค่ว่าสองขายังคงเดินตามเขาไปเรื่อยๆอย่างเชื่อฟัง มือบางที่เคยถูกกอบกุมอยู่เพียงฝ่ายเดียวเริ่มขยับไปกอบกุมมือเล็กกลับ ทิฟฟานี่สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่มาจากมือของแทยอน แม้มือของเขาที่กุมมือเธอไว้จะไม่ได้ทำให้ร่างกายเธออบอุ่น แต่มือของเขายามที่กระชับมือบางของเธอมันทำให้เธออุ่นใจอย่างแปลกประหลาด หลังจากที่เดินมานานสักพัก แทยอนก็ค่อยๆชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ก่อนจะพาทิฟฟานี่เลี้ยวเข้าไปยังสถานที่เล็กๆแห่งหนึ่ง ใบหน้าหวานค่อยๆกวาดตามองบริเวณทั่วรอบก่อนจะหันไปมองใบหน้าของคนร่างเล็กที่หันมายิ้มบางๆให้เธอ
แทยอนพาเธอมา....สนามเด็กเล่น....
ทิฟฟานี่ไม่เคยรู้เลยว่าบริเวณใกล้ๆบ้านของแทยอนนั้นจะมีสนามเด็กเล่นอยู่แถวนี้ด้วย รอยยิ้มกว้างถูกระบายเต็มใบหน้าของร่างบาง
“ชอบมั้ย”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเริ่มบทสนทนาหลังจากเธอทั้งสองต่างเงียบกันมานาน ทิฟฟานี่พยักหน้าพลางยิ้มอย่างน่ารัก แทยอนจูงมือทิฟฟานี่ให้เดินตามมาก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ชิงช้าตัวหนึ่ง
“อยากนั่งมั้ย” แทยอนถาม ซึ่งทิฟฟานี่ก็ตอบรับโดยการรีบไปนั่งชิงช้าตัวนั้นทันที แทยอนหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินตามไปแล้วใช้สองมือช่วยแกว่งชิงช้าให้เด็กสาว
“ทำไมคุณแทยอนถึงพาเค้ามาทีนี่หล่ะคะ” คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวทิฟฟานี่มาตลอดตั้งแต่มาถึงที่นี่ถูกถามออกไป คนร่างเล็กเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาปล่อยมือจากโซ่ชิงช้า ก่อนจะอ้อมตัวมาด้านหน้าเด็กสาว แล้วค่อยๆย่อตัวลงนั่งยองๆให้ระดับสายตาตรงกัน แทยอนยังคงยิ้มแล้วมองใบหน้าหวานของทิฟฟานี่
“เพราะว่าที่นี่มันเป็นที่ๆฉันเคยมากับแม่ตอนเด็กๆหน่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากปากแทยอน ร่างบางก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ แต่ดูเหมือนคนร่างเล็กจะอ่านใจเธอออก เขาขำเบาๆอย่างที่มักจะทำ ก่อนจะใช้สองมือประคองใบหน้าของเธอ ทิฟฟานี่สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่เริ่มแผ่มายังสองแก้ม เด็กสาวจ้องมองนัยตาสีฟ้าของคนตรงหน้า นัยตาที่สะท้อนเพียงใบหน้าของเธอ
“ฉันมักจะมาที่นี่...กับคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจ”
แทยอนพูดต่อ มือของเขายังคงแนบเข้ากับสองแก้มของเธอ แต่สักพักคนตัวเล็กก็ทำในสิ่งที่ทิฟฟานี่ไม่คิดว่าเขาจะทำ เด็กสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
แทยอนเคลื่อนใบหน้าเข้ามา...ก่อนจะวางแนบหน้าผากของตนเองเข้ากับหน้าผากมนของทิฟฟานี่...
ปลายจมูกของเขาคอยคลอเคลียอยู่แถวๆปลายจมูกของเธอ ทิฟฟานี่มองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างเคอะเขิน แอบสังเกตเห็นรอยยิ้มของเขาทั้งๆที่ใบหน้าเราใกล้กันขนาดนี้
“รู้รึยังว่าทำไมฉันถึงพาเธอมา” แทยอนพูดขึ้น เขาใช้ปลายนิ้วโป้งลูบวนข้างแก้มใสของคนตรงหน้าเบาๆ
“เพราะเวลาที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันมักจะรู้สึกสบายใจ และเป็นตัวของตัวเองเสมอ”
เสียงนุ่มของเขายังคงเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ เด็กสาวได้แต่นั่งฟังถ้อยคำที่ทำให้เธอใจเต้นอย่างนี้ สักพักคนร่างเล็กก็ค่อยๆขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ สายตาของเขาค่อยๆเลื่อนลงมาจนถึงริมฝีปากอิ่มของร่างบาง ทิฟฟานี่มองแทยอนที่กำลังเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ด้วยความเขินอาย แค่เพียงลมหายใจกั้น ริมฝีปากของทั้งสองก็จะประกบกัน เพียงแต่ถ้าไม่มีนิ้วเรียวของใครบางคนมากั้นไว้ แทยอนก้มลงมองนิ้วมือของร่างบางที่กำลังกั้นระหว่างริมฝีปากทั้งสอง ทิฟฟานี่ใช้นิ้วของตนดันให้คนตัวเล็กออกห่างด้วยความเคอะเขินถึงขีดสุด ใบหน้าของร่างบางแดงก่ำ เธอหลบนัยตาสีฟ้าคู่นั้น
“คะ...คุณแทยอน...คนบ้า...อย่าฉวยโอกาสสิคะ...” เด็กสาวใช้มือตีเข้าที่ไหล่ของเขาอย่าลืมตัวพลางบ่นพึมพำเบาๆ เธอไม่กล้ามองหน้าเขาเพราะรู้ว่าคนตัวเล็กต้องแอบลอบยิ้มอยู่แน่ๆ
“เขินเหรอ?”
“คะ...ใครเขินคะ...มะ...ไม่มีสักหน่อย”
ร่างบางตอบไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเรียกรอยยิ้มจากแทยอนได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กค่อยๆยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะโน้มตัวลงมาจรดริมฝีปากเข้ากับหน้าผากมน ทิฟฟานี่มองค้อนคนขี้แกล้งที่ยักคิ้วให้เธอ
“งั้นขอแค่นี้ก่อนละกัน...เด็กดื้อ” ก่อนที่ร่างบางจะได้เอ่ยอะไรไปก็มีบางอย่างตามมากระทบหน้าผากของเธออีกรอบ แทยอนดีดหน้าผากมนของเด็กสาว ก่อนที่ร่างเล็กจะต้องถอยหนีเมื่อเห็นว่าทิฟฟานี่ทำท่าจะดีดคืน
“เอ้า วิ่งตามฉันให้ทันสิ” พูดจบคนเย็นชาแต่ขี้เล่นก็วิ่งหนีร่างบาง เรียกให้ทิฟฟานี่มองค้อนคนตัวเล็กพลางออกวิ่งตาม
“คุณแทยอน! มาให้เค้าดีดบ้างเลย อย่าหนีนะคะ!”
.
.
.
.
.
“แทงกู ไม่เป็นอะไรนะ?” ร่างสูงเดินฝ่าความมืดเข้ามาในห้องของเพื่อนตัวเล็ก หลังจากกลับมาจากบ้านของแทยอน แทงกูก็เอาแต่ปิดปากเงียบ ไม่ยอมคุยกับใครเลย เอาแต่มานั่งอยู่ในห้องนอนคนเดียว ไฟก็ไม่เปิด
“ยูริ...ฉันขออยู่คนเดียว...”
“แทงกู...ฟังฉันหน่อยเถอะ ทุกคนเขาเป็นห่วงแกนะ แกรู้บ้างมั้ย”
“ยูริ...ฉันบอกว่าอยากอยูคนเดียว…” แทงกูยังคงดื้อรั้นไม่ยอมฟังคนร่างสูง ยูริได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขามองแผ่นหลังคนตัวเล็กสักพัก
“งั้น...ไว้อยากเล่าเมื่อไหร่ค่อยเรียกฉันละกัน” เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมๆกับที่ความเงียบเข้ามาเยือนอีกครั้ง แทงกูนั่งก้มหน้า มือทั้งสองของเขากำไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือด
“แม่...แทงควรทำยังไงดี...” คนตัวเล็กยกมือสองข้างขึ้นมายันหน้าผากไว้
“พี่แทยอน...” แทงกูพึมพำชื่อพี่ของตัวเอง แววตาของเขาสั่นระริก
“ฉันควรทำยังไง...ถ้าเกิดฉัน...รักผู้หญิงคนเดียวกับพี่ขึ้นมา...”
.
.
.
.
.
.
“เป็นยังไงบ้างยูริ?” เสียงของซันนี่เอ่ยถามเมื่อเห็นคนร่างสูงที่กลับออกมาจากห้องของแทงกู ยูริถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ ทำให้คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน
“ฉันคิดว่ามันคงตกใจหน่ะ ก็เรื่องแบบนี้ใครจะไปตั้งตัวทัน” ฮโยยอนออกความเห็น ก่อนที่ซูยองจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ก็จริงนะ ขนาดตอนแรกที่ฉันรู้ฉันยังตกใจเลย”
“แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะ” ยูริขมวดคิ้ว เขาคิดว่ามีเหตุผลอื่นอีก เหตุผลที่ทำให้แทงกูเป็นแบบนี้
“หมายความว่ายังไงยูริ?” ซันนี่ถามกลับ หล่อนปิดหนังสือในมือลงพลางจ้องคนตัวสูงอย่างขอคำตอบ
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก” ยูริตอบกลับไป ก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าบ้าน
“ใครมาเอาเวลานี้เนี่ย” ซูยองบ่น ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะไปเปิดประตูแต่กลับถูกยูริจับแขนไว้ ร่างสูงจึงหันกลับไปมอง
“อะไรเล่ายูริ?” ซูยองถาม แต่ก็ต้องสะดุดใจเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนตัวสูง ยูริขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาซีดเผือด
“ซูยอง...อย่าเปิดประตูนะ”
“ยูริ...เกิดอะไรขึ้น?” ซูยองยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ร่างสูงจะสื่อ ยูริบีบแขนเพื่อนของตนแน่นขึ้น
“ฉันได้กลิ่น...”
“ได้กลิ่น?...แกได้กลิ่นอะไรยูริ” เป็นซันนี่ที่เอ่ยออกมาอย่างฉงน พร้อมกับฮโยยอนที่ลุกขึ้นมาสมทบด้วย
“ฉันได้กลิ่น...พวกแวมไพร์”
“หา?...งั้นก็อาจจะเป็นพวกแทยอนก็ได้นี่ แกจะตกใจอะไรกันเล่า” ซูยองถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่...ไม่ใช่กลิ่นพวกแทยอน...” ยูริส่ายหน้า เขายังคงมองไปที่บานประตูที่ถูกเคาะอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“นี่มัน...กลิ่นแวมไพร์ต่างถิ่น...”
“อะไรนะ!?” ทุกคนต่างอุทานขึ้นอย่างพร้องเพรียง ซูยองหันไปมองบานประตูที่เหมือนว่าเริ่มจะพังลงเรื่อยๆจากแรงเคาะของคนข้างนอก
“ยูริ มันมากันกี่คน?” ฮโยยอนถาม นัยตาของคนตัวเล็กเปลี่ยนเป็นสีทองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“จากกลิ่น...ฉันคิดว่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน”
“ห้ะ? อะไรนะ? ยี่สิบคน!” ซันนี่โพล่งขึ้นอย่างตกใจ ยูริทำเพียงพยักหน้า เขากวาดสายตามองเพื่อนทุกคนที่เหลือ
“ซันนี่ ไปตามแทงกูออกมาเร็ว! ส่วนคนที่เหลืออยู่กับฉัน” ซันนี่พยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งตรงไปที่ห้องของแทงกู เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับบานประตูไม้ที่ใกล้จะพังลงเต็มที
“ซูยอง ฮโยยอน พร้อมนะ?” ยูริสูดหายใจ เขามองไปยังประตูเบื้องหน้า
“ได้เวลาสงครามแล้ว!”
.
.
.
.
.
.
.
“ซอฮยอน พี่เจสสิก้าเป็นยังไงบ้าง?” เสียงของแวมไพร์ร่างสูงถามพลางเดินเข้ามาในห้องนอนที่บนเตียงมีร่างของเจสสิก้ากำลังหลับอยู่
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ พักอีกสักหน่อยก็น่าจะหาย” ซอฮยอนเอ่ยตอบคนอายุมากกว่าพลางยกถาดยาไปไว้บนโต๊ะ
“แล้วพี่แทยอนกับคุณทิฟฟานี่หล่ะ” ซอฮยอนส่ายหน้า
“ยังไม่กลับมาเลยค่ะ” ยุนอาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ดึกป่านนี้แล้ว หายไปไหนของเขากันนะ” เสียงบ่นงึมงำตามประสาของคนร่างสูงดังขึ้น ก่อนที่เขาจะหยุดชะงักเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างข้างนอกบ้านจากทางหน้าต่าง ยุนอารีบสาวเท้าเข้าไปตรงบานกระจก ก่อนใช้มือเลื่อนเปิดหน้าต่างออก แล้วชะโงกหน้าลงไปดู
“พี่ยุนอา มีอะไรรึเปล่าคะ?” ซอฮยอนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่อยู่ดีๆก็มีท่าทีเปลี่ยนไป
“ซอฮยอน มาดูนี่สิ”
ร่างบางเดินมาที่หน้าต่างพร้อมมองลงไปตามที่ยุนอาบอก ก่อนที่เธอจะเห็นบางอย่างที่ทำให้แววตาเบิกกว้าง กลุ่มคนนับหลายสิบคนกำลังเดินวนเวียนอยู่รอบบ้านของพวกเธอ
ไม่สิ...ไม่ใช่กลุ่มคน...กลุ่มแวมไพร์ต่างหาก...
“พี่ยุนอาคะ...” ยังพูดไม่ทันจบ ซอฮยอนก็ถูกมือของร่างสูงปิดปากเอาไว้
“อย่าพูดเสียงดังนะ” ยุนอาบอกก่อนเขาจะค่อยถอยออกห่างจากหน้าต่าง แล้วปิดมันลงอย่างเงียบที่สุด
“พี่ยุนอาคะ...เมื่อกี้มัน...” ซอฮยอนเอ่ยกับคนเป็นพี่ ซึ่งยุนอาก็พยักหน้าตอบกลับไป
“ใช่...พวกแวมไพร์ต่างถิ่น...” ยุนอาพูดก่อนที่เขาจะไปคว้าเสื้อแจ็กเก๊ตตัวนอกมาสวม
“คนพวกนั้น...มาที่นี่ทำไมกันคะ”
“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มาเยอะขนาดนี้ คงไม่ได้มาทักทายแล้วหล่ะ” ยุนอาขมวดคิ้ว ร่างสูงบิดข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับร่างบางต่อ
“ซอฮยอน ปลุกพี่เจสสิก้าที...”
“แต่ว่าพี่เจสสิก้าเค้า...”
“ไม่มีเวลาแล้ว ปลุกเร็ว!” คนตัวสูงเร่ง เมื่อเขามองผ่านบานกระจกใสแล้วเห็นว่าแวมไพร์กลุ่มนั้นกำลังค่อยๆย่างกรายเข้ามาในตัวบ้านมากขึ้น ซอฮยอนพยักหน้าพลางเรียกคนบนเตียงให้รู้สึกตัว
“เกิดอะไรขึ้น...” เสียงเหนื่อยอ่อนของร่างบางดังขึ้นก่อนที่ยุนอาจะเดินมาหา
“พี่เจสสิก้า รีบลุกเถอะ เราไม่มีเวลาแล้ว” เจสสิก้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ นัยตาของหล่อนจ้องมองใบหน้าของร่างสูง
“มีแวมไพร์ต่างถิ่นอยู่รอบบ้านเลย...แถมเกินสิบคนซะด้วย” ยุนอาอธิบายให้คนบนเตียงเข้าใจ เจสสิก้าเบิกตาโพลงพลางขมวดคิ้ว
“เกินสิบเลยงั้นเหรอ?” ยุนอาพยักหน้า ร่างบางจึงลุกขึ้นจากเตียงโดยมีซอฮยอนคอยช่วยพยุง
“พี่ไหวรึเปล่า” แวมไพร์ร่างสูงเอ่ยถาม เจสสิก้าพยักหน้า หล่อนใช้มือนวดตามลำตัวไปมาก่อนจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“แล้ว...แทยอนกับมนุษย์คนนั้นหล่ะ...”
“ยังไม่กลับมาเลยค่ะ” เป็นซอฮยอนที่ตอบกลับไปแทน เจสสิก้าหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
“ทีเวลาแบบนี้ไม่เคยจะอยู่เลยนะ” หล่อนพูด แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ยุนอาก็ทำมือส่งสัญญาณว่าให้พูดเบาๆ ก่อนที่จะลอบมองออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง
“พวกมันเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้ว”
“งั้นจะเอายังไงหล่ะ จะสู้หรือถอย” เจสสิก้าถาม ยุนอาหันมายิ้มพลางตอบ
“ก็ต้องสู้สิ” เจสสิก้าลอบหัวเราะ
“งั้นก็ไปกันเถอะ” ยุนอาพยักหน้า เขาเปิดหน้าต่างออก เจสสิก้าเองก็มายืนข้างๆกัน ร่างบางหันมาหาซอฮยอนที่เดินตามมา พร้อมเอ่ยสั่ง
“ซอฮยอน เธอไม่ต้องไป” คนอายุน้อยสุดขมวดคิ้วพลางกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกร่างบางพูดตัดหน้าเสียก่อน
“ไปตามแทยอนกลับมาที่นี่ซะ” คำพูดประโยคนั้นยิ่งทำให้ซอฮยอนไม่เข้าใจกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่ซอฮยอนเท่านั้น แม้แต่ยุนอาเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เจสสิก้าต้องการจะสื่อ
“ฉันเองก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่ก็ต้องพูดตามความจริงนั่นหล่ะว่าแทยอนเก่งกว่าฉัน” เจสสิก้าพูดก่อนจะมองหน้าคนอีกสองคนที่เหลือ
“พวกเราไม่ชนะแน่ หากไม่มีไอ่แวมไพร์เลือดผสมนั่น” แม้จะไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้นัก แต่ในช่วงเวลาแบบนี้มันก็ไม่มีทางเลือกแล้ว หล่อนมองหน้าซอฮยอน
“ในระหว่างนี้ ฉันกับยุนอาจะถ่วงเวลาไว้ให้ก่อน เธอรีบไปตามแทยอนมาซะ เข้าใจมั้ย?” คำสั่งรัวและยาวออกมาจากปากร่างบาง ซอฮยอนพยักหน้าทันที
“เข้าใจแล้วค่ะ...พี่สองคนระวังตัวด้วยนะคะ”
“เธอเองก็เหมือนกัน” ยุนอาพูดพลางยิ้มให้ เมื่อตกลงกันเสร็จ ร่างสูงก็บอกให้ซอฮยอนรีบหนีไปทางหลังบ้านก่อนที่แวมไพร์พวกนั้นจะตามทัน
หลังจากที่แยกกันเรียบร้อย ตอนนี้ก็เหลือแค่เจสสิก้ากับยุนอาเพียงสองคนเท่านั้น
“พี่เจสสิก้า พร้อมมั้ย?” ยุนอาถามพลางหันไปมองใบหน้าของคนข้างๆ เจสสิก้ายักไหล่พลางยิ้ม
“พร้อมอยู่แล้ว”
“งั้นไปกันเถอะ” แวมไพร์ร่างสูงเอ่ย เขาค่อยๆยันตัวเองขึ้นไปนั่งยองๆบนขอบหน้าต่างก่อนจะยิ้มมุมปาก
“ได้เวลาสงครามแล้ว...”
ความคิดเห็น