ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาณาจักรพฤกษามหาเวท (ออนไลน์)

    ลำดับตอนที่ #2 : เรียนรู้ และหลบหนี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.93K
      28
      18 ก.ย. 56

    เรียนรู้ และหลบหนี

     


              รอบบริเวณที่อนันต์เดินผ่าน สภาพภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เริ่มจากพื้นที่เป็นเนินเตี้ยสลับกับหุบเขา ต้นไม้เริ่มหนาแน่นกว่าเดิม แต่ละต้นสูงขึ้นใหญ่ขึ้น มีต้นไม้ต้นเล็กๆ งอกแซมไปทั่ว บนคบและกิ่งของต้นไม้ใหญ่ มีต้นมอส เฟิร์น กล้วยไม้ กาฝาก สับปะรดสีขึ้นอยู่เต็มไปหมด บนพื้นดินก็เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ อากาศชื้นและเย็นจนกลายเป็นไอหมอกเกาะบนเส้นผม ขน และขนตาของเขาพราวจนต้องสวมฮูด และต้องยกผ้าขึ้นเช็ดหน้าเป็นระยะๆ เพื่อเช็ดไอหมอกที่เกาะอยู่บนใบหน้าและขนตาออกไป

              ไอหมอกเริ่มหนาแน่นขึ้นจนมองไม่เห็นในระยะไกลกว่า
    10 เมตร แน่นอนว่าหมอกเหล่านี้ล้วนเป็นพิษซึ่งเขาสามารถจำแนกแยกแยะองค์ประกอบของพิษได้อย่างชำนาญ เขาต้องก้มมองทิศทางทุกๆ สิบนาที ซึ่งทุกครั้งเขาก็จะพบว่ามันเบนออกไปจากเป้าหมายหลายองศาทีเดียว นอกจากเสียงฝีเท้าของเขาแล้วก็มีแต่ความเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงลมพัดผ่าน จนเขาไพล่นึกไปถึงช่วงเวลาที่ออกธุดงค์เพื่อแสวงหาความสงบของจิตในป่าอุทยาน

              จิตของเขารวมตัวด้วยความเคยชิน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ เหมือนสูดลมหายใจยามเช้าอย่างสดชื่น ก่อนที่จะผ่อนออกมาด้วยความผ่อนคลาย เหมือนกับการหายใจออกอย่างโล่งอกเมื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสร็จไปแล้ว


     

              เมื่อก้าวเดินไปพร้อมการสูดหายใจแบบพิเศษนี้ดำเนินไปสักพักด้วยสติที่เต็มเปี่ยม อนันต์ก็สังเกตเห็นกระแสหมอกมีลักษณะต่อเนื่องกันเป็นเส้นสายมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยความสนใจในปรากฏการณ์พิเศษ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเดินตามกระแสหมอกไปเพื่อดูต้นตอแห่งปรากฏการณ์ประหลาดนี้ เมื่อเขาก้มดูแผนที่ เขาก็แปลกใจเป็นอย่างมากที่ว่า เขากำลังเดินมุ่งเข้าไปยังใจกลางของป่าโดยแทบไม่มีองศาที่พลาดออกไปจากเส้นทางเลย


     

              อนันต์พบตัวเองยืนอยู่ในที่โล่งกว้างขนาดสนามฟุตบอล ซึ่งไม่สมควรจะมีในป่าที่เบียดเสียดไปด้วยต้นไม้ใหญ่

              ใจกลางของที่โล่งกว้างนี้เป็นต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่เหมือนประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่หลากพันธ์หลายสิบต้นนำมามัดติดกันแล้วปลูกลงไปบนพื้น ขนาดลำต้นถ้าให้คนตัวโตๆ จับมือกันนำแขนไปโอบรอบก็คงไม่ต่ำกว่าสิบห้าคน ดูๆ แล้วเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า
    10 เมตร

              ใบของต้นไม้ใหญ่หนาทึบและแผ่กว้างออกไปรอบพื้นที่ รากขนาดใหญ่งอกออกมาจากลำต้นแผ่กระจายไปทั่วจนดูแทบไม่มีที่ว่างให้ต้นไม้ใดๆ งอกออกมาได้ ตามซอกหลืบของรากมีต้นว่านต่างๆ เฟิร์น กล้วยไม้ ประชันกันออกดอก บนรากและลำต้นเขียวขจีไปด้วยมอสและตะไคร่น้ำ บนกิ่งก็เต็มไปด้วยกล้วยไม้ เฟิร์น มอส ว่าน สับปะรดสี ไอหมอกพิษกระจายเป็นเส้นสายมาจากใบของต้นไม้ยักษ์ลอยลงมาบนพื้นแล้วเคลื่อนเป็นสายหมอกหายลับไปตามช่องว่างระหว่างต้นไม้รอบบริเวณ


     

              หลายสิบนาทีที่อนัตน์ยืนตะลึงอยู่กับความยิ่งใหญ่ของต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเป็นเหมือนเจ้าแห่งป่า เมื่อรู้สึกตัวเขาจึงค่อยเดินถอยออกมาจากบริเวณนั้น


     

              ...ถ้าเราจะปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้ตรงกลางที่ว่างนั้น มันคงไม่งอกแน่ๆ เลย ลองสังเกตธรรมชาติของป่านี้สักพักก่อน แล้วค่อยปลูกต้นไม้แทรกลงไปเพื่อศึกษาผลกระทบจากการปลูกไม้แปลกปลอมเข้าไปในป่า.. เขาคิดในใจ


     

               อนันต์กางเต็นท์ไว้ที่รอยต่อระหว่างต้นไม้ยักษ์กับป่าใหญ่ ทุกๆ วันหลังจากอาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหารเช้าแล้ว เขาก็จะก้าวเดินเข้าไปในป่าใหญ่ด้วยสติที่เต็มเปี่ยม เขาทำการวัดและบันทึกความเกี่ยวพันต่างๆ ระหว่างต้นไม้แต่ละต้น เขาวัดขนาดต้น นับจำนวนกิ่งใหญ่ๆ ประเมินจำนวนใบ นับจำนวนรากแขนง และรายละเอียดอื่นๆ อีกมาก โดยไม่สนใจความกว้างใหญ่ของป่า

              ตกเย็นเขาก็อาบน้ำสวดมนต์ฝึกสมาธิก่อนเข้านอน เหมือนตอนที่เป็นพระภิกษุเมื่อหลายปีก่อน การงดอาหารเที่ยงและเย็นทำให้เขามีอาหารประทังชีวิตยาวนานไปถึงสามเดือนทีเดียว เขาพยายามเดินให้เงียบทำให้ป่าซึ่งเงียบสงัดยิ่งเงียบยิ่งขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาเปิดดูเมนูก็พบว่าตนเองมีทักษะก้าวไร้เสียงระดับ
    7 ซึ่งเป็นทักษะประจำตัวนินจา มาอย่างไม่รู้ตัว


     

              เมื่อเขาอยู่ในป่าหมอกมายามาได้เกือบสองเดือน ออฟไลน์ไปก็หลายครั้ง ขณะนี้เขาจับกระแสไอหมอกได้อย่างชัดเจนว่ามันเคลื่อนที่ออกจากต้นไม้ยักษ์กลางป่าแล้วถ่ายเทไปยังต้นไม้ทุกต้นที่อยู่ในป่าแห่งนี้

              เขาเริ่มจับสัมผัสของพลังแฝงที่ละเอียดอ่อนแทรกอยู่ในหมอกได้ พลังนี้ถ่ายเทเข้าไปยังตัวเขาด้วย ครั้งแรกก็เพียงเล็กน้อย แล้วค่อยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพลังนี้ถ่ายเทเข้าไปในตัวเขาผ่านผิวหนังแล้วก็จะเคลื่อนเข้าไปตามแขน ขา ศีรษะ ลำตัว สู่อวัยวะภายใน ก่อนที่จะสูญสลายไป เขาเก็บความแปลกใจนี้ไว้เงียบๆ แต่เขาเพิ่มช่องวัดขึ้นมาอีกช่องหนึ่งในบันทึกข้อมูลเพื่อบันทึกความสัมพันธ์ระหว่างพลังนี้กับต้นไม้แต่ละต้น เขาเรียกพลังนี้ว่า พลังธรรมชาติ


     

              วันเวลาผ่านมากว่าสามเดือน วันนี้เป็นวันที่เสบียงที่เขารับประทานเหลือเป็นมื้อรองสุดท้าย เขาตัดสินใจออกจากป่าหมอกมายาเพื่อไปหาซื้อเสบียงเพิ่มเติม เขาเก็บเต็นท์ มองไปยังต้นไม้ยักษ์อย่างอาวรณ์


     

              ...มนุษย์น้อย...อย่าเพิ่งจากไป... มีเสียงดังขึ้นในจิตของเขา ด้วยความรู้สึกหลอน เขาจึงมองไปรอบๆ


     

               ...ข้าคือมหาพฤกษา..ผู้ให้พลังแก่ป่า...ก้าวเข้ามาหาข้าใกล้ๆ...ก่อนสิ... เสียงในจิตดังขึ้นอีกครั้ง เขามองเข้าไปยังต้นไม้ยักษ์กลางป่าอย่างแปลกใจ ทดลองคิดในใจตอบกลับไป


     

              ...ท่านมีธุระอะไรกับผมรึครับ... เขาค่อยๆ ก้าวไปยังมหาพฤกษาอย่างช้าๆ ด้วยสติ


     

               ...ข้าเห็นเจ้ามานานหลายเดือน...คงมาเพื่อสำรวจอะไรสักอย่าง...ข้ามองเห็นเจตนา  ที่ดีต่อต้นไม้...ข้ามองเห็นความเป็นเพื่อน...พี่..น้อง..กับบรรดาต้นไม้ทั้งหลาย...แม้กระทั่งต้นไม้เล็กๆ..เจ้าก็ยังทนุถนอม..อย่างรู้คุณค่า...

              ...ข้ามองเห็นความต้องการที่จะช่วยผืนป่าในโลกแห่งเจ้า...ข้าขอให้เจ้าอยู่...รับรู้ถึงพลัง..ใช้มันแทนอาหาร...แทนเครื่องนุ่งห่ม..แทนที่อยู่อาศัย..แทนยารักษาโรค...เป็นส่วนหนึ่งของป่า...ในกระแสแห่งพลัง...เจ้าจะไม่หิว..ไม่เหนื่อย..ได้รับการปกป้อง..ไม่มีความเจ็บป่วย..เจ้ายินดีที่จะอยู่ฝึกฝนพลังหรือไม่... มหาพฤกษาส่งเสียงในจิต เขารับรู้ได้ว่าเป็นเสียงในจิตชัดเจน โดยไม่ได้คิดไปเอง


     

              ..ผมยินดีครับ แต่ว่าผมกำลังจะออกไปซื้ออาหาร ไม่นานก็กลับมา... อนันต์ตอบด้วยความคิด


     

              ...ถ้าเจ้าออกไปตอนนี้...พลังที่ข้าค่อยๆ..ถ่ายทอดออกไปให้เจ้านานกว่าสองเดือน...ก็จะสูญสลาย...เจ้าจะต้องตั้งต้นฝึกฝนใหม่..จงเชื่อมั่นในป่าแห่งนี้...ใช้พลังแทนอาหาร..เข้ามาหาข้าสิ..แตะทั้งสองมือกับลำต้นข้าไว้...ข้าจะถ่ายทอดวิธีการโคจรพลังให้...ชื่อของพลังนี้เรียกว่า..ปราณธรรมชาติ... มหาพฤกษากล่าวให้เขาได้คิด


     

              ...ตกลงครับ... เขาตัดใจไม่ออกไปซื้ออาหาร ยื่นมือไปแตะลำต้นของมหาพฤกษา ด้วยสติที่ฝึกฝนผ่านมา เขารับรู้ถึงกระแสพลังที่ถ่ายเทเข้ามายังฝ่ามือ ฝ่าเท้า


     

               ...ค่อยๆ..บังคับพลังให้เคลื่อนผ่านบริเวณผิวหนังของเจ้าไปยังกระหม่อม..เมื่อพลังอยู่ที่กระหม่อมให้พลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในกระโหลก..สมอง..กระดูก..กล้ามเนื้อ..อวัยวะภายใน..กระจายออกไปยัง..ลำตัว..แขน..ขา..แล้วเคลื่อนออกไปยังผิวหนังวนเวียนเป็นวัฏจักร...ช้าๆ..อย่างนั้นแหละ..วนไปแต่รอบๆ...เรื่อยไป..เรื่อยไป.. มหาพฤกษากล่าว

              ชายหนุ่มหลับตาควบคุมพลังจึงไม่เห็นกระแสหมอกที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางจากต้นไม้ทุกต้นหายเข้าไปในร่างกายของเขา จนร่างของเขาเปียกชุ่มโชกไปด้วยไอหมอก


     

              เป็นเวลากว่าสามวันที่เหตุการณ์นี้ดำเนินไป ชายหนุ่มค่อยลืมตาขึ้นมา ร่างของเขามีกระแสพลังคล้ายหมอกพวยพุ่งออกไปยังต้นไม้แต่ละต้นรอบๆ ตัวอย่างบางเบา เขาเดินออกไปจากมหาพฤกษาอย่างมีสติ ใช้สติเป็นตัวขับเคลื่อนพลังของเขาให้ดำเนินไปตลอดเวลาแม้จะนอน นั่ง หรือเดิน รู้สึกเหมือนพลังในร่างกายที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย


              นอกจากนี้เขาไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ด้วยพลังนี้เขารู้ว่าเขาสามารถรับพลังจากแสงอาทิตย์มาเป็นอาหารได้โดยตรงเช่นเดียวกับต้นไม้ แม้เมื่อไม่มีแสง เขาก็ยังสามารถขอพลังจากต้นไม้มาหล่อเลี้ยงร่างกายของตนเองได้ด้วย


     

              ...บัดนี้พลังปราณธรรมชาติของเจ้าสมบูรณ์แล้ว..เจ้าสามารถที่จะอยู่แห่งหนใดก็ได้..หากเจ้าต้องการก็สามารถเดินทางออกไปจากป่าได้...ขออย่าได้ลืมที่จะโคจรพลังปราณอย่างน้อยวันละครั้ง..แค่นั้นก็พอแล้ว... มหาพฤกษากล่าวออกมาในความคิด ก่อนที่จะปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบเช่นเดิม


     

              ดังนั้นชีวิตของชายหนุ่มจึงวนเวียนอยู่ในป่าแห่งนั้น เขาค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างพืชแต่ละต้นผ่านทางกระแสพลังว่า พืชแต่ละต้นมีกระแสพลังเชื่อมโยงกับพืชต้นอื่นอยู่ กระแสพลังของต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีความแปลกแยกต่อกัน ไม่เหมือนกับพลังของมหาพฤกษา บางกระแสก็เข้ากัน บางกระแสก็ไม่สามารถเข้ากันได้

              เป็นสาเหตุที่พืชหลายๆ ชนิดเมื่อปลูกรวมกันแล้วจะมีหลายชนิดที่เติบโตร่วมกับพืชอื่นได้ดี ขณะที่พืชบางสายพันธ์กลับทำให้พืชอื่นแคระแกรนไม่เติบโต เขาไม่รีรอที่จะบันทึกเข้าไว้ในเอกสารของเขาเลยแม้แต่น้อย


     

              เมื่อเวลาผ่านไปสี่เดือน เขาก็เข้าไปขอปลูกเมล็ดพันธุ์ที่เขานำมาด้วยกับมหาพฤกษา


     

              ...อย่างนั้นรึ..เชิญปลูกตามสะดวก..พืชแห่งป่านี้รู้ดีอยู่แล้วว่าพืชชนิดใดเป็นมิตรหรือปรปักษ์...พวกพืชเหล่านั้นจะช่วยดูแลพืชของเจ้าให้เอง...เจ้าคอยเก็บเกี่ยวความรู้ของเจ้าเถอะ... คือคำตอบของมหาพฤกษา ชายหนุ่มหว่านเมล็ดพันธุ์มากมายไปทั่วบริเวณป่า


     

              ย่างเข้าเดือนที่ห้า ก็เกิดต้นไม้จากเมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านไว้ขึ้นมา บางเมล็ดก็ไม่งอก บางต้นก็เหี่ยวเฉาตายไป บางต้นก็แคระแกรน บางต้นก็โตมาเป็นไม้เล็กๆ มีอยู่สามต้นที่โตสูงใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวพันกับกระแสพลังที่ถ่ายเทไประหว่างต้นไม้ทั้งสิ้น ซึ่งเขาก็สามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างไม่มีพลาด


     

              เมื่อเวลาผ่านไปอีกจนครบปี เขาก็ไปร่ำลามหาพฤกษา


     

              ...ผมขอบคุณมากที่ให้ความรู้ต่างๆ แก่ผมอย่างมากมาย งานวิจัยของผมครั้งนี้คงจะสำเร็จไปด้วยดีอย่างแน่นอน อยู่ที่นี่ผมมีความสุขมาก ต้นไม้ทุกๆ ต้นเหมือนเป็นญาติพี่น้องที่ผมจะไม่ลืมเลย... ชายหนุ่มส่งกระแสความคิดไปยังมหาพฤกษา


     

              ...ข้ายินดีที่จะได้ช่วยพี่น้องของข้าที่อยู่ยังโลกเบื้องนอก...เจ้าอาจคิดว่ากระแสพลังแบบนี้ที่โลกเบื้องนอกคงไม่มี...แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้าน่าจะคิดผิด...หากมีเวลาที่โลกเบื้องนอก..ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ถ่ายทอดกระแสพลังนี้ให้กับเจ้า...แต่ข้าอยากให้เจ้าลองฝึกฝนดู...เจ้าอาจพบกระแสพลังที่โลกเบื้องนอกก็เป็นได้...ชื่อของกระแสพลังนี้ชื่อว่า..กระแสพลังวิญญาณพิภพ...

              ...ส่วนนี่ข้ามอบให้แก่เจ้า..ไม้เท้าพฤกษา..ดูดน้ำจากอากาศและสังเคราะห์แสงได้..ไม่ต้องกลัวว่ามันจะตาย..ถ้ามันอดมากๆ...ก็จะดูดพลังของเจ้ามาเป็นอาหารเอง...ความสามารถของมัน..มันจะแสดงให้เห็นเองในโอกาสภายหน้า...โชคดี..อนันต์.... มหาพฤกษากล่าว

              กิ่งไม้เป็นสีน้ำตาลอมเขียวคดๆ งอๆ เหมือนไม้เท้าของเซียน ยาวกว่าระดับศีรษะ เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเกือบเท่าข้อมือ ตกลงมาปักฉึกบนพื้นตรงหน้าของเขา มีใบเล็กๆ คล้ายใบหลิวติดอยู่ตรงยอด สามสี่ใบ มีตะไคร่น้ำเกาะส่วนด้านล่างเกือบเต็ม


     

              ชายหนุ่มถือไม้เท้าเดินออกจากป่าหมอกมายาอย่างช้าๆ ใช้สติควบคุมพลัง ใช้พลังควบคุมร่าง ใช้ร่างควบคุมกระแสพลังวิญญาณพิภพ กระแสพลังจากตัวเขาก็เชื่อมโยงตัวเขาเข้ากับต้นไม้รอบกายอย่างรวดเร็ว กระแสพลังจากตัวเขาขณะนี้กินรัศมี 5 เมตร


     

              เมื่อเขาเดินเข้าไปในป่าอสรพิษ ก็พบว่าต้นไม้มากมายถูกโค่นล้ม ชายมากมายหลายคนกำลังปลุกซากศพงูขึ้นมาเป็นซอมบี้ ด้วยความไม่พอใจที่ป่าไม้ถูกทำลาย ชายหนุ่มเดินไปทางด้านเหนือลมโดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว จากทักษะก้าวไร้เสียงที่ขณะนี้พัฒนาไปเป็นก้าวสะกดสำเนียงระดับ 3ซึ่งสามารถซ่อนเสียงของตนเองไว้ในเสียงอื่น และบิดเบือนการรับรู้ทางเสียงของอีกฝ่ายได้ เขาเปิดฝาขวดแก้วกระจายพิษร้ายไร้สีออกไปตามลมอย่างรวดเร็ว


     

              “อ๊อกๆ โอ๊ก” เกือบทุกคนเกิดการคลื่นเหียนวิงเวียน หายใจไม่ออก ล้มตายลงไปอย่างรวดเร็ว งูซอมบี้ที่ถูกคนเหล่านั้นควบคุมฟุบร่างลงกับพื้น เหลือเพียงชายห้าคนที่มีผิวซีดเขียวราวซากศพ ต่างพากันหันมองไปรอบบริเวณ ชายคนหนึ่งชี้มือมาทางอนันต์ ทั้งหมดสั่งซอมบี้ที่ตัวเองควบคุมพุ่งตัวเข้าไปหาอนันต์อย่างรวดเร็ว


     

              ...เผ่าอันเดทรึ ถึงมีความสามารถในการต่อต้านพิษทุกชนิด...งั้นก็ต้องใช้ไอ้นี่... ชายหนุ่มคิดในใจ เปิดขวดอีกขวดหนึ่งขึ้น ไอสีขาวมีประกายสีเงินปลิวว่อนครอบคลุมไปทั้งซอมบี้และผู้บังคับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


     

              ..ประกายอัคคี... เขาร่ายเวทในใจ เวทพื้นฐานที่ใครๆ ก็ใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักเวท ถูกจุดขึ้นบนมือของเขา ประกายไฟดวงเล็กห้าดวงพุ่งวาบกระจายเข้าไปกลางฝูงซอมบี้อย่างรวดเร็ว


     

              “ฟุ่บ” เปลวไฟสีขาวลุกโชติช่วงลุกลามไปจนทั่ว ไอน้ำมันผสมผงฝุ่นแมกนีเซียมที่เขาโปรยไปเมื่อโดนประกายไฟก็ลุกไหม้ก็ให้ความร้อนสูง บรรดาซอมบี้ทั้งหลายรวมถึงบรรดาเนโครแมนเซอร์เผ่าอันเดททั้งหลายต่างก็ถูกไฟคลอกตายไปจนหมดสิ้น อนันต์เดินจากไปอย่างเงียบๆ ทิ้งความย่อยยับไว้เบื้องหลัง


     

              อนันต์พบความเสียหายกินบริเวณกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ป่าอสรพิษที่กลายเป็นพื้นที่เตียนโล่ง แม้กระทั่งเมืองฟอร์มก็ไม่เหลือสภาพเมืองแต่อย่างใด เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากปรักหักพังแห้งแล้ง ต้นไม้เหี่ยวเฉาโค่นล้ม กลิ่นซากอสุภตลบอบอวล แม้กระทั่งอาคารผู้เล่นยังถูกทำลายจนไม่เหลือซาก ไม่พบชาวบ้านในเมืองแม้แต่คนเดียว เขาก้าวเดินไปอย่างเงียบกริบ ท่ามกลางเสียงลมแรงพัดหวีดหวิว ฝุ่นคละคลุ้งใบไม้ปลิวว่อน


     

              “ตึกๆๆๆ โอ้วววว อ๊าาาา” เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาจากทุกทิศทาง เห็นร่างคนท่าทางพิกลพิการร่างกายขาดวิ่น บางร่างก็มีแต่โครงกระดูก ต่างเดินเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้าขัดเขิน ต่างส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับปีศาจจากนรก เขาเหวี่ยงระเบิดเพลิงแมกนีเซียมออกไปทุกทิศทุกทาง


     

              “บรึมๆๆๆ” เปลวไฟลุกโชติช่วงเหมือนกำแพงไฟ โดยมีฝูงซอมบี้เป็นเชื้อเพลิง มันไหม้เป็นตอตะโกล้มลงภายใต้กองไฟ ขณะที่พวกที่อยู่ด้านหลังก็เบียดเสียดเดินเข้ามาในกองไฟอย่างไม่เกรงกลัว ชายหนุ่มขว้างระเบิดเพลิงแมกนีเซียมระลอกสองออกไป ขยายขอบเขตของการเผาไหม้ออกไปอีกชั้น

              เมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออีกครั้ง ชายหนุ่มก็หน้าเครียด เพราะระเบิดเพลิงของตนเองหมดลงแล้ว ขณะที่ฝูงซอมบี้พากันทะลักฝ่ากำแพงไฟมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ตัวไหนที่ไฟยังไหม้ไม่ทันก็จะฝ่าพ้นทะเลเพลิงออกมาในสภาพไฟลุกท่วมตัว


     

              อนันต์ปาขวดเถาวัลย์หนามลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล เถาหนามขนาดข้อมือสามต้นงอกขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว มันเลื้อยออกไปทั่วพร้อมกับแตกกิ่งก้านอย่างรวดเร็ว มันเลือกพุ่งเข้ารัดพันซอมบี้ที่ฝ่าทะเลเพลิงอ่อนโทรม และไฟบนตัวมอดดับไปแล้ว หนามนับสิบทิ่มแทงเข้าไปในร่างของซอมบี้อย่างง่ายดาย ดูดเลือดเนื้อที่ยังหลงเหลือของเหล่าซอมบี้โดยไม่ปราณี พร้อมกับขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ

              เมื่อกำแพงเพลิงมอดดับ เถาวัลย์หนามก็ขยายขอบเขตออกไปจนสุดสายตา ดอกสีม่วงเข้มบานออกส่งกลิ่นหอมจรุง ซอมบี้ที่ถูกดูดเลือดเนื้อไปจนเหลือโครงกระดูกขาว พากันดิ้นรนอยู่ในกรงเถาวัลย์หนาม อนันต์เทน้ำยาสีแดงขวดหนึ่งลงไปบนรากเถาวัลย์ มันคือน้ำยาคงสภาพ ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เถาวัลย์หนามออกผล และชะลอการแก่ของเถาวัลย์ แต่เถาวัลย์ก็จะสูญเสียความสามารถในการแตกกิ่งก้านสาขา และการรัดพันสิ่งมีชีวิตอย่างรวดเร็วไปด้วยเช่นกัน


     

              ...แย่แล้ว ซอมบี้พวกนี้เหลือแต่โครงกระดูกก็ยังไม่ตาย เถาวัลย์หนามคงทำได้เพียงยับยั้งไว้สักพักใหญ่ ผู้ควบคุมฝูงซอมบี้ก็ไม่เห็นสักคน ทำอย่างไรดี... ชายหนุ่มคิดหาทางรอดในใจอย่างร้อนรน


     

              ...มา..ให้ข้าช่วย..แตะตัวข้าลงไปบนเถาวัลย์..ถ่ายทอดพลังปราณธรรมชาติเข้ามาที่ตัวข้าอย่างช้าๆ.. ไม้เท้าในมือของชายหนุ่มส่งเสียงทุ้มต่ำขึ้นในใจของชายหนุ่ม เขาไม่ลังเลที่จะแตะไม้เท้าลงไปบนเถาวัลย์ พร้อมกับค่อยๆ ถ่ายเทปราณธรรมชาติเข้าไป


     

              เถาวัลย์หนามเกิดการเปลี่ยนแปลง มีรากจำนวนมากเกิดขึ้นบนเถาวัลย์หนามเข้ารัดพันโครงกระดูกทุกส่วนของซอมบี้ แทรกรากเข้าไปในข้อต่อแล้วแยกโครงกระดูกออกเป็นชิ้นย่อยๆ ร้อยยึดไว้กับพื้นดิน หลั่งกรดออกมาย่อยกระดูกเหล่านั้นให้เปื่อยผุพังไป เหมือนรากโพธิ์ รากไทร ที่งอกเข้าไปในพื้นอิฐ


     

              ...เมืองนี้คงกลายเป็นป่าเถาวัลย์ไปแทนแล้ว.. อนันต์คิดขณะก้าวเดินไปบนลำต้นเถาหนาม รองเท้าบูทของเขาช่วยให้เหยียบไปบนหนามได้โดยไม่ถูกทิ่ม พยายามเดินไปที่ตั้งของอาคารบริการผู้เล่น เพื่อหาดูว่าจุดเคลื่อนย้ายยังอยู่หรือไม่


     

              บริเวณอาคารบริการผู้เล่นซึ่งกลายเป็นซากไปแล้ว อนันต์ต้องตะลึงเมื่อพบว่ารอบๆ บริเวณเป็นช่องว่าง มีซากเถาวัลย์ฉีกขาดเป็นท่อนเล็กๆ ซอมบี้ตัวสูงกว่า 3 เมตรแปดตัวกำลังพากันฉีกกระชากเถาวัลย์ออกเป็นชิ้นๆ โดยมีซอมบี้ที่มีร่างกายปกติคอยช่วย มีชายผิวซีดเขียวสวมชุดนักเวทสามคนยืนอยู่ใจกลางวงข้างๆ วงเวทเคลื่อนย้าย คอยออกคำสั่ง


     

              หนึ่งในสามชายสวมชุดนักเวท เหลือบมองมาเห็นอนันต์เข้าพอดี ชายคนนั้นตะโกนก้อง ซอมบี้ฝูงหนึ่งหันมาทางอนันต์แล้วเดินกรูกันเข้ามาหาทันที ชายในชุดนักเวทที่เหลืออีกสองคนพอรู้ตัวก็สั่งให้ฝูงซอมบี้ของตัวเองเดินมาโจมตีอนันต์บ้าง

             เขาขว้างขวดแก้วบรรจุเถาวัลย์หนามไปบริเวณกลางฝูงซอมบี้ทันที เถาวัลย์อันตรายงอกออกมาปกคลุมทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเข้าใกล้ซอมบี้ตัวใหญ่ก็จะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นโดยไม่สามารถต้านทานได้ ชายหนุ่มรู้ว่าควรทำอย่างไร เขายกไม้เท้าแตะไปบนเถาวัลย์หนามที่แผ่มาถึงบริเวณเขาอยู่แล้วถ่ายเทปราณธรรมชาติออกไปทันที


     

              เถาวัลย์หนามแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เถาวัลย์หนามที่ถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆ เมื่อเข้าใกล้ซอมบี้ตัวใหญ่กลับมีเส้นใยเชื่อมกับเถาวัลย์เส้นหลัก ทุกครั้งที่ซอมบี้ใหญ่ฉีกกระชากเถาวัลย์เส้นใยเหล่านี้ก็จะพอกพูนรัดพันไปบนลำตัวของซอมบี้ยักษ์เหล่านั้น จนพวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าลง

              ขณะเดียวกันเนโครแมนเซอร์ทั้งสามต่างพากันร่ายเวท กรีดข้อมือให้เลือดไหลลงไปเป็นวงเวทบนพื้น เลือดไหลออกจากวงเวทเป็นเส้นเล็กๆ แตกแขนงออกไปทั่วมุ่งเข้าหาซอมบี้ทุกตัวที่ถูกเถาวัลย์หนามรัดพันไว้


     

              “ครืด ครืน” แผ่นดินตรงกลางวงเวทแตกออกเป็นช่องใหญ่ และปริแตกขยายออกไปทั่วจนพื้นดินสั่นสะเทือน ซอมบี้ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็กถูกดูดจมลงไปในแผ่นดิน ขณะเดียวกันเถาวัลย์หนามก็แผ่ขยายไปรัดพันเนโครแมนเซอร์สองคนที่ยืนอยู่ ส่วนเนโครแมนเซอร์คนที่สามอาศัยจังหวะที่เถาวัลย์หนามยังแผ่ไปไม่ถึง กระโดดลงไปในช่องว่างของแผ่นดินในทันที


     

              “ครืดดด ครืนนน” แผ่นดินยิ่งสั่นสะเทือนและขยายช่องแตกใหญ่ขึ้น มือสีเขียวซีดขนาดใหญ่กว่า 2เมตรผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เถาวัลย์หนามบริเวณนั้นฉีกขาดกระจุยกระจายไปในทันที มือยักษ์นั้นตบยันไปบนพื้นดึงเอาส่วนศีรษะ ไหล่ ลำตัว และแขนอีกข้างออกมาจากพื้นอย่างช้าๆ อนันต์ซึ่งตกตะลึงอยู่ในตอนแรก รีบวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นโดยทันที แต่แผ่นดินที่สั่นสะเทือนและต้องเดินบนลำต้นของเถาวัลย์หนามทำให้เขาก้าวไปได้อย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ตามเขาก็หนีออกไปได้ระยะทางกว่า 100 เมตร


     

              “ครืนนน ควากกกก” โกเล็มซากศพขนาดยักษ์สูงกว่า 20 เมตร ยืนขึ้นเต็มตัวบนพื้นดิน มันกระชากเถาวัลย์หนามเข้าไปหาตัว เพื่อให้อนันต์ที่เดินอยู่บนเถาวัลย์ถอยหลังเข้าไปหา

              เขาร่วงลงไปบนเถาวัลย์หนาม ถูกหนามทิ่มแทงเข้าไปในร่างหลายแห่ง ตกลงไปบนพื้นบริเวณรอยแยกของเถาวัลย์ที่ถูกกระชาก กลิ้งคลุกฝุ่นหลายตลบ พยายามปักไม้เท้ายึดพื้นไว้ เขาเห็นเนโครแมนเซอร์คนสุดท้ายยืนอยู่บนศีรษะของโกเล็มซากศพ ชี้มือมาที่เขา กรงกระดูกสีขาวงอกขึ้นมาจากพื้นล้อมร่างของเขาไว้จนไม่สามารถที่จะวิ่งหนีไปในทิศทางใดได้


     

              ...ถ่ายพลังเข้าไปในตัวข้า..เร็วเข้า.. เสียงไม้เท้าดังขึ้นมาในจิต ชายหนุ่มรีบถ่ายเทปราณธรรมชาติเข้าไปในไม้เท้าอย่างรวดเร็ว หมอกสีขาวพวยพุ่งออกมาหนาแน่น ชายหนุ่มฉุกใจรีบล้วงขวดยาสร้างหมอกหลากหลายชนิดปาลงไปบนพื้นทันที

              หมอกหลากสีพวยพุ่งครอบคลุมไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันไม้เท้าพฤกษาก็มีเถาวัลย์งอกออกมาคลุมร่างของเขาไว้แล้วฉุดเขาลงไปใต้ดินพร้อมกับตัวไม้เท้าอย่างรวดเร็ว


     

              “ตูม ตูม ตูม ผั้วะ” เสียงโกเล็มซากศพเดินเข้ามาใกล้ มันใช้ฝ่ามือตบลงไปบนกรงกระดูกขาวอย่างแม่นยำจนกรงกลายเป็นเศษกระดูกกระจายเกลื่อนไปทั่วบริเวณ อนันต์ที่เคลื่อนอยู่ใต้ดินในเปลือกของเถาวัลย์ยังรู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยของหนักๆ จนแทบจะขย้อนเอาทุกสิ่งที่อยู่ภายในออกมา


     

              ...ช่วยพาผมไปที่วงเวทเคลื่อนย้ายทีนะครับ... เขาส่งกระแสความคิดบอกไม้เท้าพฤกษาด้วยสติที่เหลือเพียงริบหรี่ ไม้เท้าซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ใต้ดินก็ตอบรับด้วยการเคลื่อนเปลี่ยนทิศทางไปในทันที เขาพยายามประคองสติที่รางเลือนไว้ไม่ให้หมดสติไปก่อน ด้วยจิตที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

              ในขณะที่ร่างกายของเขาซึ่งถูกกระแทกบอบช้ำปางตายหมดสภาพไปไม่สามารถรับรู้สิ่งใดๆ ผ่านการสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน การรับรส หรือกลิ่น เขากลับคงสติไว้ได้อย่างน่าแปลกใจ รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ผ่านใต้ดินไปอย่างเชื่องช้าผ่านทางจิต รับรู้ถึงกระแสปราณธรรมชาติที่ไหลวนเวียนผ่านอยู่ในร่างกายไปมาอย่างบางเบา เขายังรับรู้ถึงกระแสพลังที่กระจายออกไปจากผิวหนังไปทั่วบริเวณและวนกลับเข้ามาในร่างกายเป็นวัฏจักรอันพิสดาร


     

              ...ถึงแล้ว.. ไม้เท้าพฤกษาส่งกระแสความคิดเข้ามาในจิตของเขา


     

               “ไป.. มนตรา.. มหานคร..” ชายหนุ่มพยายามใช้จิตบังคับปากให้พูดออกมา ทั้งที่ไม่ได้รับสัมผัสสิ่งใด




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×