คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : มหานครมนตรา และป่ามนตรามายา
มหานครมนตรา และป่ามนตรามายา
ร่างที่นอนเปื้อนเลือดและโคลนอยู่บนพื้นในวงเวทเคลื่อนย้าย ทำเอาผู้ดูแลวงเวทถึงกับตกใจ
“เฮ้ย อะไรนะ วิจิตรส่งเจ้าหน้าที่พยาบาลมาด่วน มีผู้เล่นผ่านวงเวทเคลื่อนย้ายมาในสภาพบาดเจ็บหมดสติ” ผู้ดูแลวงเวทรีบพูดกรอกเข้าไปในวงจรสื่อสารบนนาฬิกาข้อมือ สร้างความโกลาหลไปทั้งอาคารบริการผู้เล่น เพราะไม่เคยมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
.........
“สรุปว่ามีผู้เล่นสายเนโครแมนเซอร์เข้าไปถล่มเมืองฟอร์มยับเยิน จนหมดสภาพเมืองไป NPC ประจำเมืองฟอร์มก็ตายทั้งหมด” แกรนด์จีเอ็ม เอลเดอร์ กล่าวสรุปเมื่อได้สอบถามข้อมูลจากอนันต์ที่ได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว พร้อมทำหน้าหนักใจ
“สั่งการไปยังเมืองทุกเมืองให้เพิ่มกำลังป้องกันอาคารผู้เล่นระดับสูงสุด พร้อมอาวุธต่อต้านซอมบี้และอันเดทระดับสูง ส่งกองกำลังพิเศษผ่านวงเวทเคลื่อนย้ายไปเมืองฟอร์ม” เอลเดอร์สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่สื่อสาร
การทำลายเมืองทั้งเมืองรวมถึงอาคารบริการผู้เล่นถือว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงยิ่ง หากเขาทราบว่าเป็นฝีมือของใครก็จะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายไปยังผู้เล่นได้ แต่เนื่องจาก NPC ประจำเมืองตายไปทั้งหมด ไม่สามารถยืนยันผู้โจมตีได้ จึงได้แต่คิดหาวิธีป้องกันแทน
“สำหรับคุณอนันต์ ขอบคุณที่ส่งข่าวมาให้ทางเราได้รับทราบ เราจะดำเนินการต่อเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ของสิ่งนี้ถือเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยที่ทางเราขอมอบให้ น่าจะเหมาะกับสายอาชีพนักปรุงยาอย่างคุณอนันต์มากที่สุด” เอลเดอร์ยื่นส่งเมล็ดพืชหายากหลายชนิดส่งให้กับอนันต์ ชายหนุ่มค้อมหัวรับเมล็ดพืชเหล่านั้นเอาไว้ ก่อนที่จะเดินออกไปจากอาคารบริการผู้เล่น
อนันต์ค่อนข้างแปลกใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย ที่เมื่อตอนบาดเจ็บสาหัส จิตของเขานึกถึงมหานครแห่งนี้ เมืองที่เขาไม่เคยมาเลยสักครั้ง เขามีปมฝังใจลึกๆ อยู่ว่าอยากจะเรียนเวทมนตร์ไว้สักหลายบท นอกเหนือจากเวทมนตร์พื้นฐานที่เขามี ประกายอัคคี หยาดวารี และเคลื่อนวาโย ซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่หาได้ง่ายแต่น้อยคนคิดจะเรียนรู้
เขายอมเสียเวลาตามหาและเรียนรู้เวทเหล่านี้เพราะคิดว่า สิ่งเล็กๆ เหล่านี้มีประโยชน์มาก เขาใช้ประกายอัคคีช่วยในการจุดไฟ ใช้หยดวารีในการสร้างน้ำขึ้นมาใช้ในงานอาชีพ ใช้เคลื่อนวาโยในการปั่นผสมวัตถุดิบให้เข้ากัน และใช้ในการแพร่กระจายตัวยาออกไปไกลๆ
มหานครมนตรา เป็นมหานครหนึ่งในห้าแห่งของทวีปฮีเลียส มหานครอีกสี่แห่งคือ มหานครปราชญ์ มหานครอักขระ มหานครกายา และมหานครมนัส มหานครมนตราเป็นเมืองรูปวงแหวนซ้อนกันเป็นชั้นๆ ชั้นที่อยู่ด้านในจะมีอาคารสูงกว่าอาคารด้านนอก ด้านในสุดเป็นอาคารทรงกระบอกสีขาวมีลวดลายเป็นเกลียวสูงถึงระดับเมฆ เรียกว่าหอคอยวงเมฆา เพราะว่าเมฆทั้งหลายจะหมุนวนเป็นวงล้อมรอบหอคอย
อาคารทุกหลังสร้างมาจากหินอัคนีอันแข็งแกร่งขัดจนเป็นมันวาววับ พื้นถนนเป็นพื้นหินขัดเรียบ กว้างขวางพอที่จะให้รถวิ่งไปแบบหน้ากระดานได้ถึง 6 คัน ผู้คนแน่นขนัด ส่วนใหญ่ที่เดินทางผ่านไปมาล้วนแต่งชุดนักเวทเป็นหลัก มีผู้ที่แต่งชุดแบบอื่นเพียงประปราย มีวงเวทน้ำพุอยู่กลางแยกต่างๆ ซึ่งจะพวยพุ่งน้ำพุขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เมื่อตกลงกระทบพื้นก็จะสลายหายไป ตามขอบถนนก็จะมีโคมไฟเวทตั้งเป็นแถวคอยส่องแสงสว่างแก่เส้นทางในเวลากลางคืน ดูช่างพิสดารสมเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เขาสังเกตเห็นผู้คนมากมายจ้องมองประกาศที่ลอยอยู่ในอากาศข้างผนังอาคารหลังหนึ่ง บางคนก็ใช้มือจิ้มลงไปบนประกาศใบนั้น ชายหนุ่มเกิดความสนใจจึงเดินเข้าไปร่วมกับนักเวทมุงเหล่านั้น
... ประกาศ รับสมัครประลองเวทมนตร์ประจำปี XXXX
ตั้งแต่วันที่ XX เดือน XXX - วันที่ XX เดือน XXX
... ประเภทที่รับสมัคร
-
ประเภทบุคคลทั่วไป ใช้เวทไม่เกินคลาส 3 (ลงชื่อสมัคร)
-
ประเภทนักเวทมือใหม่ ใช้เวทไม่เกินคลาส 5 (ลงชื่อสมัคร)
-
ประเภทนักเวทระดับกลาง ใช้เวทไม่เกินคลาส 7 (ลงชื่อสมัคร)
-
ประเภทนักเวทระดับสูง ไม่จำกัดคลาส (ลงชื่อสมัคร)
.....
อนันต์ตาเป็นประกายแวววาว เขาเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ น่าจะเพียงพอสำหรับเขาที่จะรับเควสในเมืองมาฝึกฝนเวทมนตร์และเข้าร่วมการแข่งขัน เขากดนิ้วลงไปใน (ลงชื่อสมัคร) ของประเภทบุคคลทั่วไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีข่าวสารแจ้งผ่านนาฬิกาของเขาว่าเขาได้สมัครเข้าแข่งขันเวทมนตร์ประเภทบุคคลทั่วไปเรียบร้อยแล้ว
เขาเปิดดูเวปบอร์ดเพื่อดูว่ามีเวทพื้นฐานที่ไม่เกินคลาส 3 อะไรให้เล่าเรียนบ้าง พบว่าเวทย์ประกายอัคคี หยาดวารี และเคลื่อนวาโย ที่เขาใช้อยู่เป็นประจำนั้นเป็นเวทคลาส 0 ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นคลาส 1จากการใช้งานบ่อย ซึ่งเวทคลาส 0 ที่เหลือได้แก่ ประกายสายฟ้า เกล็ดหิมะ สะเก็ดหิน เวทคลาส 0 คือเวทที่ใช้ฝึกสร้างธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า และความเย็น
หมัดเพลิง ดรรชนีสายฟ้า ฝ่ามือสายลม ดรรชนีสายน้ำ หัตถ์น้ำแข็ง หมัดหิน เป็นเวทคลาส 1 ซึ่งเป็นเวทสำหรับเปลี่ยนส่วนของร่างกายบางส่วนให้เป็นธาตุ
บอลเพลิง ศรน้ำ กำแพงหิน แส้สายฟ้า มีดสายลม โล่น้ำแข็ง เป็นเวทคลาส 2 ทั้งหมดเป็นเวทสำหรับสร้างธาตุในระยะห่างจากร่างกายออกมา
ส่วนร่างอวตารเพลิง ร่างอวตารน้ำ ร่างอวตารหิน ร่างอวตารสายฟ้า ร่างอวตารสายลม ร่างอวตารน้ำแข็ง เป็นเวทคลาส 3 ซึ่งใช้ผนึกพลังธาตุเข้าสู่ร่างกาย และจะได้คุณสมบัติของธาตุนั้นๆ ซึ่งสามารถที่จะคงสภาพร่างอวตารได้ตราบเท่าที่ต้องการ แลกกับการสูญเสียพลังเวททั้งหมด และไม่สามารถฟื้นฟูพลังเวทได้ขณะใช้งานร่างอวตาร และมีการหน่วงเวลาการฟื้นฟูเวทนาน 30 นาที
เวททุกระดับนั้นจะต้องรับเควสจากสถาบันเวทมนตร์ ยกเว้นเวทคลาส 0 จะหาอ่านได้ง่ายๆ จากห้องสมุด แต่ผู้เล่นแทบทุกคนจะไม่เรียนเวทคลาส 0 เพราะเขาจะพบเพียงว่ามันควบคุมบังคับไม่ได้ และมีพลังเพียงน้อยนิด จึงไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์เช่นใด ในเวปบอร์ดเรียกเวทเหล่านี้ว่า เวทขยะบ้าง เวทลองเล่นบ้าง ผู้เล่นสายอาชีพทั้งหมดมักจะใช้เวทคลาส 1 และ 2 สำหรับทำงาน เพราะมีปริมาณพลังมากกว่าต่อการสร้างแต่ละครั้ง
ชายหนุ่มร่ำเรียนเวทคลาส 0 ด้วยความจำเป็นบังคับเมื่อประมาณ 75 ปีเกมที่แล้ว (24 ปีในเกม เท่ากับ 1 ปีโลกจริง) เพราะเขาต้องการใช้ไฟอย่างเร่งด่วนแต่กลับหาซื้อชุดไฟไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรีบเข้าไปในห้องสมุด แล้วรีบอ่านจดจำเวทมาได้ 3 บท ก่อนที่จะเข้าไปทำภารกิจอาชีพในป่า จนค้นพบเคล็ดลับการเลื่อนคลาสสำหรับเวทคลาส 0 เขาตัดสินใจที่จะร่ำเรียน ประกายสายฟ้า เกล็ดหิมะ สะเก็ดหิน เพราะเขาค้นพบว่าเวทคลาส 0 มีการใช้งานที่มีความยืดหยุ่นสูงสุด เมื่อเปลี่ยนขั้นก้าวเข้าสู่ 10 ระดับถัดไปแล้วเวทระดับ 0 ก็จะสามารถเลื่อนคลาสได้
อนันต์ค้นพบความลับของการเลื่อนคลาสโดยบังเอิญเมื่อ 30 ปีก่อน โดยขณะที่เขาร่ายเวทประกายไฟระดับ 10 ที่มีความร้อนสูงเพื่อใช้จุดฟืนขณะที่อยู่ในป่า บังเอิญเขาเผลอจ่ายพลังเวทมากเกินเพราะเหม่อลอยคิดว่ายังไม่ได้จ่ายพลังเวท ทำให้เกิดประกายไฟระดับ 10 สองดวงลอยออกมา และชื่อเวทประกายไฟได้เปลี่ยนเป็นเวทประกายอัคคี คลาส 1 ระดับ 1 แทน ปัจจุบันเวทประกายอัคคีของเขาอยู่ที่ระดับ 7 ส่วนเวทหยดน้ำเปลี่ยนเป็นเวทหยาดวารีขณะนี้อยู่ที่ระดับ 3 เวทสายลมเปลี่ยนเป็นเคลื่อนวาโยขณะนี้อยู่ที่ระดับ 10
เขารู้ว่า เมื่อใช้เวทครบจำนวนที่กำหนดไว้ ระดับก็จะเลื่อนขึ้นไป 1 ระดับไปจนกระทั่งถึง 10 ระดับ และจะเลื่อนสู่คลาสถัดไปก็ต่อเมื่อเขาจ่ายพลังเวทมากขึ้นกว่าเดิม โดยไม่รู้ว่าเมื่อถึงระดับ 10 แล้วจะต้องร่ายเวทที่ระดับ 10 อีกหลายครั้งจนครบจำนวนที่ระบบกำหนดไว้ จึงจะสามารถทำตามเงื่อนไขเพื่อเลื่อนคลาสได้
เวทคลาสสูงยิ่งสูงเท่าไร การที่จะร่ายเวทแต่ละครั้งมักจะยุ่งยากมีเงื่อนไขมาก บางเวทอาจจะต้องใช้สิ่งของประกอบเพื่อทำพิธี ดังนั้นจะร่ายบ่อยๆ ร่ายเล่นๆ เช่นเดียวกับเวทในคลาสต่ำแล้วมักจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งการเลื่อนคลาสก็ยังมีกฏเกณฑ์มากมายและเป็นความลับ ทำให้นักเวทระดับสูงแทบไม่ค่อยมีใครที่รู้จักวิธีเลื่อนคลาสเลย ผู้ที่รู้ก็จะมักจะเป็นนักเวทติดอันดับต้นๆ ของเกม จึงทำให้การเลื่อนคลาสเวทเป็นความลับที่มีคนรู้ไม่กี่คนเท่านั้น
หลังจากที่ค้นหาเวทที่จะเรียนจากเวปบอร์ดเสร็จแล้ว เขาก็เข้าไปในห้องสมุดร่ำเรียนเวททั้งสามตามที่ต้องการ ก่อนที่จะเดินทางออกไปยังป่านอกเมือง
...เจ้าต้องการฝึกเวทรึ..ให้ข้าช่วยเอาไหม... เสียงไม้เท้าพฤกษาดังขึ้นแบบไม่มีสัญญาณ ชายหนุ่มมองไปที่ไม้เท้าด้วยความแปลกใจ ปากก็รีบตอบ
“ขอบคุณครับ กำลังต้องการอยู่พอดี” อนันต์กล่าวขึ้นมา ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าต้องคิดตอบกลับในใจ ก็ได้ยินเสียงขึ้นว่า
...งั้นเจ้าต้องตั้งสติให้ดี..ผนึกปราณธรรมชาติขึ้น..มองหากระแสพลังวิญญาณพิภพ..แม้ว่ามันจะเล็กน้อย..ก็จงเดินตามไป..เราจะหาที่ฝึก..ที่มีกระแสพลังวิญญาณพิภพสูงสุด..เจ้าจะได้ใช้เวทเป็นไว... เสียงแหบทุ้มของไม้เท้าดังขึ้นมา ชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดเดินป่าเอนกประสงค์จึงสูดลมหายใจตั้งสติถึงพลังปราณที่โคจรอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ภายในร่าง
เพียงชั่วอึดใจเขาก็จับกระแสพลังในร่างได้ เขาติดตามพลังออกไปยังผิวหนัง สัมผัสถึงพลังที่แพร่กระจายอยู่นอกกาย กระแสพลังที่อยู่ภายนอก กระแสพลังวิญญาณพิภพของสถานที่นี้ไม่มีสายหมอกประกอบด้วย จึงทำให้ยากที่จะรับสัมผัส แต่เมื่อเขาตั้งสติและใช้พลังปราณธรรมชาติที่เป็นพลังร่วมของกระแสพลังวิญญาณแห่งพิภพ เขาก็รู้สึกได้ถึงปริมาณและทิศทางของพลัง เขาเดินตามกระแสพลังวิญญาณแห่งพิภพไปราวกับถูกสะกดจิต
เขาเดินตามกระแสพลังไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ปราณธรรมชาติและกระแสพลังวิญญาณแห่งพิภพทำให้เขากลมกลืนกับสภาพแวดล้อม แม้สัตว์อสูรดุร้ายที่คอยจ้องโจมตีผู้เล่นก่อน ก็ยังปล่อยให้เขาเดินผ่านไปโดยไม่รู้สึกว่าเขาเป็นผู้เล่นแต่อย่างไร จนทำให้ผู้เล่นหลายคนที่มาต่อสู้กับสัตว์อสูรต้องมองอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ เมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มในชุดเดินป่าเอนกประสงค์เดินฝ่าเข้าไปกลางฝูงหมาป่าเลือดโดยไม่มีหมาป่าตัวไหนสนใจเขาเลย
ป่าที่เขาเข้ามาถึงขณะนี้เรียกว่า ป่ามนตรามายา เป็นป่าที่มีพืชเวทมนตร์สำหรับนำไปใช้ประกอบพิธีเวทสำหรับใช้เวทคลาส 4 ขึ้นไปอยู่มากมาย แต่ค่อนข้างเข้ามายากเพราะต้องผ่านป่าอสูรเวทมาก่อน ในป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยกับดักเวทที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครสร้างขึ้น มีอสูรเวทระดับสูง และโกเล็มจำนวนมาก เข็มทิศและแผนที่ใช้ในป่านี้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีมิติและเส้นทางวกวนเปลี่ยนแปลงจนไม่เคยมีใครเข้าไปถึงใจกลางของป่าแห่งนี้ได้มาก่อน
ชายหนุ่มก้าวเดินไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด เขาสัมผัสถึงกระแสพลังวิญญาณแห่งพิภพที่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะที่ก้าวเดินไป เมื่อเขาก้าวไปตามกระแสพลัง บางครั้งเหมือนว่าจะชนต้นไม้ข้างหน้า แต่เมื่อก้าวลงไปตามกระแสพลัง กลับเห็นเป็นช่องทางเดินให้เดินไปได้อีกก้าว และอีกก้าวไปเรื่อยๆ บางครั้งเห็นสัตว์อสูรอยู่ตรงหน้าแต่เมื่อเดินเฉียดข้างตัวไป ก็จะพบเส้นทางเดิน จนในที่สุดเขาก็มาถึงที่แห่งนี้ ที่ตั้งของมหาพฤกษาแห่งป่ามนตรามายา
...สวัสดีครับ ท่านคงเป็นมหาพฤกษา ของป่าแห่งนี้... ชายหนุ่มทักทาย เบื้องหน้าของเขาเป็นต้นไม้สูงที่มีแต่ลำต้นและกิ่งก้าน ที่ดูเหมือนกับสร้างขึ้นมาจากผลึกสีใสนับล้านชิ้น แต่ละชิ้นสะท้อนให้เห็นถึงต้นไม้รอบบริเวณและตัวของเขาเอง เขาสัมผัสถึงกระแสพลังวิญญาณแห่งพิภพ ที่แผ่ออกมาจากต้นไม้อย่างรุนแรง เช่นเดียวกับมหาพฤกษาแห่งป่าหมอกมายา
...ยินดีต้อนรับ..เจ้าหนุ่มน้อยคนแรกที่ฝึกปราณธรรมชาติสำเร็จ..ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากป่าหมอกมายา..เจ้าหมอกมายามันส่งข่าวสารผ่านกระแสวิญญาณพิภพว่ามีคนฝึกปราณธรรมชาติสำเร็จที่นั่นคนหนึ่ง..พวกเราทั้งหมดสามารถรับรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ใดได้ตลอดผ่านทางกระแสวิญญาณพิภพ..และเมื่อวันก่อนข้าก็พบว่าเจ้าอยู่ในเมืองมหามนตรา...
...ฮ่าฮ่า..ข้าหวังอยู่เหมือนกันว่าจะได้พบกับเจ้า..และก็ได้พบแล้วในบัดนี้..เมื่อเจ้าได้รับการยอมรับจากป่าหมอกมายา..ข้าก็ถือว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกันเช่นกัน..ว่าแต่..เจ้าเข้ามาที่ป่าแห่งนี้..มีกิจธุระสิ่งใดหรือ... มหาพฤกษากล่าวได้ยินด้วยจิตเป็นน้ำเสียงก้องสะท้อน
...ผมมาหาที่ฝึกฝนพลังเวทครับ ขออนุญาตอยู่ฝึกฝนสักสองอาทิตย์นะครับ... ชายหนุ่มขออนุญาต
...ฮะฮะฮ่า..ยินดี..ยินดี..ข้าจะช่วยสอนเจ้าเอง..พร้อมเมื่อไรก็บอกหละ...ฮะฮะฮ่า... มหาพฤกษาหัวเราะเสียงก้อง
...ถ้าท่านว่าง เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยก็ได้ครับ... อนันต์กล่าวตอบ
...ฮ่าฮ่า..ข้าว่างเสมอหละ..งั้นก็เริ่มเลยนะ..ก่อนอื่นเจ้ามีความเข้าใจในเรื่องปราณ..จิต..และเวท..อย่างไร... มหาพฤกษาสอบถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
...ปราณคือพลังที่เสริมพลังจิตครับ ส่วนเวทย์คือพลังที่ถูกจิตควบคุมครับ ดังนั้นปราณที่เสริมเข้าไปในจิตจึงชนะจิตล้วนๆ ส่วนจิตล้วนๆ ก็สามารถเข้าไปปั่นป่วนชนะพลังเวทที่ต้องใช้จิตบังคับ ส่วนเวทที่มีพลังมากกว่าก็จะชนะปราณครับ... ชายหนุ่มตอบตามความเข้าใจที่ไปอ่านพบในเวปบอร์ดมา
...ฮ่ะฮ่าๆ..นี่เจ้าคงจะไปอ่านเวปบอร์ดมาละสิเนี่ย..ตอบเหมือนที่เขียนไว้ในเวปบอร์ดเลย...ข้าละขำจริงๆ...ฮ่าฮ่าฮะ.. มหาพฤกษาหัวเราะด้วยความขำคำตอบของชายหนุ่มเบื้องหน้า
...?!!!??... ชายหนุ่มอึ้งพลางคิดในใจว่ามหาพฤกษาอ่านเวปบอร์ดได้ด้วย
...เอาละ..ข้าจะอธิบายให้ฟัง..เรื่องของปราณ..จิต..และเวท...ปราณและเวทนั้นก็คือพลัง..ปราณคือพลังที่ถูกขับเคลื่อนอยู่ในร่างกาย...เวทคือพลังที่ถูกขับเคลื่อนอยู่นอกร่างกาย..ทั้งหมดนั้น..อาศัยเจตนาซึ่งเป็นความมุ่งมั่นคอยควบคุมอยู่..จิตนั้นถ้าจะใช้งานตรงๆ..โดยไม่ต้องควบคุมพลังนั้นก็ทำได้อยู่แต่ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่านั่นเอง...เข้าใจไหม... มหาพฤกษาถามย้ำความเข้าใจ
...เข้าใจแล้วครับ... อนันต์คิดตามและพยายามทำความเข้าใจ
...เจ้ารู้ไหมว่าปราณธรรมชาติของเจ้าแตกต่างจากปราณอื่นๆ...อย่างไร... มหาพฤกษาสอบถามชายหนุ่มถึงความเข้าใจในปราณธรรมชาติ
...ปราณธรรมชาติมีการโคจรพลังในร่างไม่เหมือนปราณอื่นๆ ครับ... ชายหนุ่มตอบแบบกำปั้นทุบดิน
...อ่า..ดูท่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องปราณเลยสินะ..งั้นข้าจะบอกให้...ปราณโดยทั่วไป..จะอาศัยการโคจรพลังผ่านจุดเส้นชีพจรวนเวียนเป็นวัฏจักรรอบแล้วรอบเล่าโดยมีเส้นทางการโคจรที่แน่นอน..สะสมพลังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา...
....ส่วนปราณธรรมชาตินั้นจะดึงพลังจากธรรมชาติเข้าไปในผิวหนังไหลไปตามกล้ามเนื้อ..กระดูก..อวัยวะต่างๆ..โดยไม่สนใจทิศทางการไหลของพลัง..ไม่มีเส้นทางแน่นอนเป็นไปตามธรรมชาติขณะนั้น..แล้วปล่อยผ่านออกไปสู่ธรรมชาติเช่นเดิมโดยไม่กักเก็บ..ดังนั้นปราณธรรมชาติเหมือนกับมีวัฏจักรส่วนหนึ่งที่ไม่ไหลผ่านร่างกายแต่ไหลผ่านสิ่งแวดล้อมรอบกายแทน...เข้าใจหรือไม่... มหาพฤกษาอึ้งกับคำอธิบายชายหนุ่มจนขำไม่ออก แล้วอธิบายอย่างเป็นจริงจัง
...ครับ เข้าใจแล้วครับ... ชายหนุ่มที่เริ่มเข้าใจถึงความแตกต่างของพลังปราณเอ่ย
...แล้วเจ้าเข้าใจว่าพลังเวทอาศัยพลังในตัวเจ้าสร้างเป็นพลังเวทขึ้นภายนอกหรือว่าควบคุมพลังภายนอกตรงๆ... มหาพฤกษาถามชายหนุ่มอีกครั้ง
...อืม..เหมือนท่านจะต้องการบอกว่าพลังเวทจริงๆ แล้วเป็นพลังที่อยู่ภายในร่างที่ส่งไปแสดงภายนอกร่างหรือครับ... ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าคำถามน่าจะมีนัย
...ฮะฮะ..เริ่มหัวไวขึ้น..ใช่แล้ว..พลังเวทของพวกมนุษย์นะ..เป็นแบบนี้ทั้งหมด..เพราะอะไรรึ..เจ้าคงรู้ว่าพวกเจ้ามีแถบพลังปราณ..แถบพลังจิต..และแถบพลังเวทไว้ดูกันใช่ไหม...นั่นแหละ..แถบพลังทั้งหมดก็มีไว้เพื่อแสดงพลังที่ตัวเองมีอยู่ใช่ใหม..แล้วถ้าพวกเจ้าใช้พลังเวทภายนอกร่าง..แล้วจะมีแถบพลังเวทไว้ทำอะไรในร่าง...คิดดูสิ..เข้าใจแล้วใช่ไหม... มหาพฤกษาเอ่ยถาม
ชายหนุ่มคิดตามแล้วก็รู้สึกว่าที่มหาพฤกษาเอ่ยมานั้นถูกต้อง ถ้าใช้จิตควบคุมพลังเวทที่อยู่นอกร่างแล้วจะมีแถบพลังเวทไว้ทำไม
...ถ้าเจ้ามีดวงตาเวทที่เห็นการเคลื่อนของกระแสเวทละก้อ..เจ้าจะเห็นพลังเวทไหลออกมาจากร่างมนุษย์ผู้ใช้เวท..แล้วแปรเปลี่ยนสภาพไปตามการร่ายเวทหรือการเรียกใช้เวทของคนผู้นั้น...พลังเวทของมนุษย์นะได้รับมาจากอาหารและยาที่มีพลังเวทแฝงอยู่..และจากการดูดซับพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศ..โดยชุดนักเวทที่สวมใส่อยู่...หรือจากอาวุธนักเวท...นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกนักเวทจึงต้องสวมชุดนักเวทไงละ...เข้าใจใช่ไหม... มหาพฤกษาพูดต่อ
...เอาละเรามาเริ่มฝึกเวทกันดีกว่า..แต่ก่อนที่เจ้าจะฝึก...เอาแหวนวงนี้ไปสวมเสียก่อน... สิ้นเสียงมหาพฤกษา แหวนวงหนึ่งซึ่งเป็นผลึกคริสตัลใสทั้งวงก็ลอยมาอยู่ที่ตรงหน้า อนันต์หยิบขึ้นมาสวมไว้ที่นิ้วก้อยอย่างไม่ลังเล
...ซูบ.. ฉับพลันแหวนก็ละลายหายเข้าไปในนิ้วของเขาทันที ชายหนุ่มแปลกใจพยายามมองหาร่องรอยของแหวนแต่ก็ไม่พบแม้แต่น้อย
...พร้อมแล้ว..ไหนลองร่ายเวทที่เจ้าใช้ได้ให้ข้าดูหน่อยซิ... มหาพฤกษาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเบื้องหน้า
...ประกายอัคคี... เขาเรียกเวทที่เห็นได้ชัดด้วยสายตาทันที แต่เงียบกริบไม่มีสิ่งใดปรากฏออกมาทั้งสิ้น
...ประกายอัคคี... “ประกายอัคคี” เขาเรียกเวททั้งความคิดและคำพูด แต่ทุกสิ่งก็เหมือนเดิม เขาเปิดดูสถานะของตนเอง
ชื่อ อนันต์ |
อาชีพ นักปรุงยาขั้น 9 |
ระดับ 53 |
พลังชีวิต 51,000 |
ID X01-1000-9580-0822-586 |
พลังจิต - |
พลังปราณ - |
พลังเวท - |
อาวุธ - |
ชุด ชุดเดินป่าเอนกประสงค์ |
ความอิ่ม 100/100 |
ความสดชื่น 100/100 |
ทักษะ
|
|||
เวท
|
|||
สถานะ
|
อนันต์ตกใจกับสิ่งที่เห็น พลังปราณ พลังจิต และพลังเวท ของเขาหายไปทั้งหมด และติดสถานะสะกดพลัง ซึ่งดูจากวงเล็บแล้วสถานะของเขาคงจะถูกสะกดอยู่ 14 วันโดยวันนี้เป็นวันแรก เขาตกอยู่ในความสงสัยว่ามหาพฤกษากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ ขณะที่เขากำลังอึ้งอยู่นั้น
...ลองสังเกตการโคจรพลังปราณของเจ้าสิว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่... มหาพฤกษาส่งเสียงทุ้มต่ำมาเรียบๆ เขารีบสูดลมหายใจสงบสติลงแล้วพิจารณาพลังปราณทันที สิ่งที่เขาพบยิ่งสร้างความแปลกใจให้แก่เขายิ่งกว่าเดิม เมื่อปราณธรรมชาติไม่ได้ถูกสะกดใดๆ เลย ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามปกติ เขารู้สึกถึงพลังของปราณได้เป็นปกติทั้งที่ค่าพลังปราณของเขาไม่มีตัวเลขใดๆ เลย เขาลืมตามองไปยังมหาพฤกษาอย่างไม่เข้าใจ
...เจ้าคงรู้แล้วสินะ..ปราณธรรมชาติไม่ได้เก็บพลังปราณไว้ในร่างของเจ้า..เจ้าคงจำรัศมีพลังกระแสวิญญาณพิภพของเจ้าได้..รัศมีพลังมีระยะห่างจากตัวเจ้ามากเท่าใด..พลังปราณของเจ้าก็มีมากมายเท่านั้น..พลังจิตของเจ้าก็เช่นกัน..เจ้าขณะนี้ไม่มีพลังจิต..แต่พลังที่เจ้าใช้ขับเคลื่อนปราณนี้คือเจตนาและสติ..ดังนั้นยิ่งเจตนาและสติของเจ้าพัฒนายิ่งขึ้นไปเท่าใด..ปราณของเจ้าก็จะพัฒนายิ่งขึ้นไปเท่านั้น..เข้าใจนะ... มหาพฤกษากล่าวอธิบายต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
...กระแสวิญญาณพิภพที่ไหลเวียนภายนอกร่างของเจ้านั้น..สามารถเปลี่ยนแปลงตัวมันเหมือนเป็นเวทได้..นั่นหมายความว่าเจ้าสามารถใช้เวทได้..โดยที่ไม่ต้องมีพลังเวทในตัวเอง..หากเจ้าอยากใช้เวทได้อีกครั้งก็จงเอาแหวนวงนี้ไปสวมอีกวง... เมื่อมหาพฤกษาพูดจบแหวนคริสตัลหน้าตาเหมือนวงเดิมก็ลอยมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว เขารับมาสวมโดยไม่พูดอะไร เพราะเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะทำสิ่งใดต่อไปก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แหวนซึมหายไปบนนิ้วเขาเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เขามองดูค่าสถานะใหม่ของเขาใหม่อีกครั้ง
...อืม พลังปราณ จิต เวท ยังไม่มีค่าเช่นเดิม อ๊ะ เวทประกายอัคคี หยาดวารี เคลื่อนวาโยถูกผนึกไปด้วย... เขามองแล้วคิดในใจตามไปอย่างรวดเร็ว
...เอาละ..เรามาเริ่มฝึกเวทได้แล้ว...ก่อนอื่นเจ้าต้องจับพลังกระแสวิญญาณพิภพนอกร่างของเจ้าในระยะใกล้ๆ..ตัวก่อน....อืม..ดีมาก..ใช้เจตนาที่แน่วแน่เปลี่ยนกระแสวิญญาณพิภพให้เป็นหมอกดูสิ...
...นั่นแหละ..เริ่มทำได้แล้วนี่...คงสภาพมันไว้....ตั้งสติหน่อย..เพิ่มเจตนาให้มากยิ่งขึ้น...นั่นแหละ..อย่างนั้น...ควบคุมให้ดีอย่าให้มันขยายตัวมากเกินไป...เอาละลองสลายมันไปสิ...อืมนั่นแหละ..ดีมาก..ทำได้แล้ว...
....นี่คือเวทมนตร์ที่แท้จริงของพวกเรา..ผู้ครอบครองวิญญาณพิภพ...เอาละ..วันนี้หยุดทดลองพลังเวทไว้ก่อน..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป..ให้เจ้านั่งฝึกจับสัมผัสวิญญาณแห่งพิภพ..ห้ามส่งการรับรู้ออกไปนอกตัว..มิฉะนั้นเจ้าจะฝึกไม่สำเร็จ..จับสัมผัสเพียงบริเวณผิวหนังของเจ้าเท่านั้น..ห้ามขยับเขยื้อนไปแห่งใด..จนกว่าข้าจะบอกให้หยุด..ข้าคิดว่าน่าจะประมาณเกือบๆ..สองอาทิตย์นั่นแหละ...เอาละ..ฝึกได้... มหาพฤกษาแห่งป่ามนตรามายาหยุดการติดต่อกับชายหนุ่ม
เขานั่งลงไปกับพื้นด้วยสติที่เต็มเปี่ยม หลับตา ใช้เจตนาชักนำกระแสพลังจากผิวหนังผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วปล่อยกลับออกมาจากผิวหนังอีกด้านหนึ่ง แล้วใช้สติติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของกระแสวิญญาณแห่งพิภพที่สัมผัสร่างอย่างต่อเนื่อง หากสติขาดแล้วรู้ตัวก็จะพยายามดึงสติคอยติดตามดูการเปลี่ยนแปลงต่อไปโดยไม่ย่อท้อ
ความคิดเห็น