คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter I
หญิง สาวปัดแป้งฝุ่นลงบนใบหน้าบางๆ ในขณะที่เส้นผมสีขาวกว่าครึ่งหัวของเธอกำลังถูกข้อมือเรียวบางของเพื่อนสาว ร่วมคณะกระชากทึ้งอย่างไม่ปราณี
“เบาๆหน่อยสิ แอนนา” หญิงสาวพูดปรามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงหยอกเย้า เชิงเอ็นดู
“ไม่ได้นะเฟริต้า วิโอเล็ตต้าในวันเปิดม่านโรงละครน่ะ ต้องเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดบนเวที”หญิงสาวเจ้าของนามแอนนากล่าอย่างเร่งร้อน พลางม้วนปอยผมในอุ้งมือให้เป็นลอนด้วยความประณีตที่สุด
เฟริต ้าถอนหายใจเบาๆอย่างจนซึ่งคำพูด ก่อนจะเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ชุดเครื่องแต่งกายที่สวมใส่นั้นหนักอึ้งจนตัวเธอแทบอยากจะกรีดร้องออกมา ไหนจะทั้งคอร์เซ็ตที่รัดช่วงเอวจนเธอแทบหายใจไม่ไหว สุ่ม และกระโปรงผ้าตาข่ายมากมายที่ถูกยัดไว้ใต้ชั้นผ้ากระโปรงสีสันสดใสปักดิ้น เหลื่อมลายอันงดงาม กลับทำให้ทุกย่างก้าวของเธอเป็นไปด้วยความยากลำบาก สิ่งที่เธอพอจะทำได้ในตอนนี้ คือทนกับมันต่อไปเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
“นี่ เฟริต้า”เสียง ใสสายหนึ่งร้องเรียกขึ้นด้วยความตื่นเต้นที่แฝงมาในแววน้ำเสียงอย่างเห็นได้ ชัด ก่อนที่ร่างของเจ้าของเสียงจะถลาลั่นเข้ามาเกาะขอบเก้าอี้ของหญิงสาวผมขาว พลางหอบหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยที่สะสมมาจากการเร่งฝีเท้าออกวิ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ระยะทางที่ไกลซักเท่าไหร่ก็ตาม
“ใจเย็นๆสิ ทริสเทซซ่า” เฟริต้าหันไปปรามแฝดผู้น้อง
“สองคนนั้น จะมาใช่ไหม” ทริสเทซซ่าโพล่งถามเสียงแข็ง พลางสะบัดชายกระโปรงสาวใช้ไปมาด้วยท่าทางคล้ายกับว่าไม่ใคร่พอใจเท่าไหร่นัก
“มาสิ พวกเธอต้องมาแน่ๆ” เฟริต้ารับคำด้วยท่าทีจริงจัง
ทริสเทซซ่านิ่งเงียบไป ดวงตาสองสีของเธอฉายความไม่พอใจระคนกับความลังเลอย่างเด่นชัด พลางขบกรามราวกับว่าเธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“เฟริต้า ฉันไม่อยากแสดงเรื่องนี้” เธอกล่าว ก่อนจะปัดปึ้งกระดาษบทร้องบนโต๊ะเครื่องแป้งของแฝดผู้พี่ลงบนพื้นห้องแต่งตัวอย่างตั้งใจ
ดวงตาสีเขียวของเฟริต้าฉายแววตระหนก เธอเงยหน้าขึ้นมองแฝดผู้น้องผู้กำลังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวด้วยสาเหตุที่เธอเองก็แอบรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆเช่นกัน เพียงแต่ เธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะแสดงมันออกมา
บ่อยครั้ง ที่เธออดไม่ได้ ที่จะรู้สึกอิจฉาน้องสาวฝาแฝดของเธอ เธอไม่ได้ต้องการคำชมสรรเสริญป้อยอมากมายถึงเพียงนี้ เธอไม่ต้องการคำว่าเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์ เพราะทั้งหมดที่เธอเป็นอยู่คือสิ่งที่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นพรแสวง ลึกๆแล้ว เธอก็แค่เด็กสาวที่อ่อนแอคนหนึ่ง ที่ต้องการเพียงความกล้า
“เฟริต้า” เด็กสาวเจ้าของดวงตาสองสีครางเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แอบแฝงความตระหนกอยู่ไม่น้อย
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ทริส”เฟริต้าสะดุ้งตัว ก่อนจะเค้นเสียงกล่าวออกมาอย่าพยายามจะให้เป็นธรรมชาติที่สุด เธอยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดขอบตาที่เริ่มชื้นด้วยหยาดน้ำตา
“เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เราจะแสดงได้ด้วยตัวเราเองนี่” เฟริต้ากล่าว ก่อนหันไปบอกกับแอนนาให้ออกไปก่อน
“แล้วทำไมเธอต้องยอมรับบทวิโอเล็ตต้าล่ะ” ทริสเทซซ่าตะคอกเสียง
“มันคืองานนะ ทริส เราไม่สามารถเอาเรื่องงานมาปนกับชีวิตส่วนตัวได้หรอก”
“ก็ดี” ทริสเทซซ่าขึ้นเสียง ก่อนกลับหลังหันเดินออกไปจากห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
เฟริต้าจ้องมองเงาสะท้อนของตนในกระจก ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ภาพในกระจกที่เธอเห็น ไม่ใช่เฟริต้า เด็กหญิงตัวกระจ้อย แต่เป็นวิโอเล็ตต้า หญิงงามเมืองน้ำใจงาม นางเอกแห่งอุปราการเรื่อง La Traviata
เฟริต้าส่งยิ้มให้กับเงาในกระจก แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืน แต่มันก็เรียกให้ภาพรอยยิ้มของแม่ซ้อนทับขึ้นมาอย่างเด่นชัด
เธอเกลียดตัวเอง ที่ยอมรับบทนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ควร
เธอเกียดตัวเอง ที่ดันมีใบหน้าคล้ายกับแม่จนเกินไป
เฟริต้าสะบัดหน้าเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เธอไม่ควรมีในเวลานี้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เธอต้องทำให้สุดความสามารถ อย่างน้อย เธอยังมีเพื่อนทั้งสองที่รอเธออยู่เบื้องหน้าของม่าย
“หน้าแปลกจังเลยนะครับพี่ ปกติคนก็ไม่น่าจะเยอะขนาดนี้” ฟูตะกล่าว พลางหันซ้ายหันขวา มองผู้คนจำนวนมาก ที่ออกันอยู่เต็มบริเวณห้องโถง
ต้องขอขอบคุณอำนาจของตระกูล ที่ทำให้พวกเขาได้ครองพื้นที่ระเบียงชั้นสองแทนที่จะต้องลงไปยืนเบียดเสียดกับฝูงชนอยู่ข้างล่าง
“นายจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอกฟูตะ” รีบอร์พูดขึ้น ทันทีที่เดินมาถึงบริเวณหน้าระเบียง ที่ฟูตะ ฟง และจินเจอร์เบลดยืนอยู่
ฟูตะหันไปมองหนาจินเจอร์เบลด ราวกับต้องการคำตอบ แต่ที่ได้รับกลับมา กลับเป็นเพียงแค่การส่ายหน้าเบาๆของเขาเท่านั้น
“พวกนายจากอังกฤษไปนานเท่าไหร่กันนะ”ฟงเอ่ยถามขึ้น พลางนับนิ้วคำนวณหาคำตอบ
“6 ปีกว่า” จินเจอร์เบลดตอบพลางอ้าปากหาวหวอดใหญ่
“จริงๆมันเป็นโครงการที่ทางโรงละครออกนโยบายมาเมื่อเดือนที่แล้วน่ะ “ฟงกล่าว
“ฉันถึงได้บอกไง ว่าไม่แปลกหรอก ที่พวกนายจะไม่รู้” รีบอร์นกล่าวขึ้น พลางคว้าซิการ์ในประเป๋ากางเกงขึ้นมาคาบไว
ฟูตะพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าผู้เป็นพี่ชาย “พี่ครับ แล้วมันคือนโยบายอะไรกัน”
“เป็นการลดราคาตั๋วน่ะ แค่อาทิตย์ละวัน เพื่อเป็นการเรียกลูกค้าที่มีรายได้น้อยให้เข้ามาชม”ฟงตอบเสียงเรียบ
“พวกชนชั้นกลางสินะครับ”จินเจอร์เบลดกล่าวขึ้นลอยๆ พลางไล่สายตาไปตามฝูงชนที่เริ่มหัวเราะปรบมือ ส่งเสียงดังกันลั่นไปทั่วโรงละคร บางคนก็โอบอาหารของว่างไว้เต็มสองแขน บางคนก็ปรบมือร้องเพลงราวกับอยู่ในงานฉลอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอากัปกริยาอย่างไร ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ใคร่จะเห็นในโรงละครเช่นนี้
การแสดงำเนินไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของผู้ชมกลุ่มใหม่ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าหัวหน้าคณะตัดสินใจผิด เธอเกือบเสียสมาธิเพราะเสียงผิวปากของกลุ่มเด็กหนุ่มที่นั่งแถวหน้าไป ในขณะที่ขับร้องท่อนอาเรีย
แต่ที่ร้ายยิ่งกว่า คือที่นั่งที่เธอจองไว้สำหรับเพื่อนรักทั้งสอง ยังคงว่างเปล่า!!
เฟริต้ารู้สึกใจหล่นวูบยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ร้องอาเรียผิด เธอรู้ดีว่า ทั้งเธอและแฝดผู้น้อง เฝ้ารอวันที่จะแสดงอาชีพของเธอให้เพื่อนทั้งสองได้รับชมอย่างนี้มานานแค่ไหน แน่นอนว่า เรื่องแค่นี้ไม่ได้ทำให้เฟริต้าเสียศูนย์ไปเท่าไหร่นัก ที่เธอยังเป็นห่วงก็มีแต่ทริสเทซซ่า เพราะหล่อน เป็นคนที่รอคอยวันนี้มานานยิ่งกว่าเธอ
อาจจะยังเป็นโชคดี ที่ทริสเทซซ่าไม่ได้แสดงอาการท่าทีใดๆออกมา เธอยังขับร้องบทของอันนินาได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีบางช่วงที่เธอดูเหมือนจะกระชากเสียง เสียจนผิดคีย์ไปก็ตาม
“พี่ครับ นักแสดงที่แสดงบทวิโอเล็ตต้า เป็นเด็กใหม่เหรอครับ” ฟูตะเอ่ยถามขึ้นในช่วงพักระหว่างการแสดง แม้เขาจะรู้สึกคุ้นๆหน้าเธออยู่หน่อย แต่เขาก็สาบานได้ว่า เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อนบนเวทีแห่งนี้
“เธอเพิ่งจะมาได้รับบทตัวเด่นเอาในช่วงหลังๆน่ะ ซักประมาณสามสี่ปีก่อน เธอยังคงเป็นแค่ตัวประกอบอยู่เลย” ฟงกล่าวอธิบาย
“เสียงของหล่อนก็ไม่เลวน่ะ ว่ามั้ย” รีบอร์นถามขึ้น พลางเพ่งสายตามองพื้นเวที ในขณะที่เขากลับนึกถึงร่างบางๆในชุดสาวใช้ แม้เจ้าหล่อนจะร้องเสียงโซปราโน่ได้ไม่เฉียบคมเท่ากับนักร้องที่แสดงบทตัวเอก แต่น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอุปนิสัยเอาแต่ใจอันเป็นเอกลักษณ์ ก็ยังติดหูเขาไม่เสื่อมคลาย
หลังม่านแดงโรงละครถูกปิดลง
เฟริต้ากระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกเงาอย่างเหนื่อยหน่าย เธอบรรจงถอดเครื่องประดับออกทีละชิ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเช็ดเครื่องสำอางออกจากบนในหน้า
เธอสะบัดเส้นผมสีขาวยาวสยายเบาๆ เพื่อให้กลับเข้าทรงดังเดิน ก่อนจะใช้แปรงหวีลงเบาๆอย่างประณีต
เวลาอย่างนี้ เธออยากจะเอนกายลงนอนหลับให้หายเหนื่อยซักงีบ หรือแช่ในน้ำอุ่นๆซักพัก เพื่อจะลืมความเหนื่อยล้าจากงานที่เพิ่งจบไป
แต่ความคิดเธอก็ถูกขัด ด้วยเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรง ก่อนที่ผู้บุกรุกจะหมุนลูกบิดเข้ามา อย่างไม่คิดจะขออนุญาต
หญิงสาวสะดุ้งกาย ก่อนที่จะผ่อนคลายลง เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำ และใบหน้าหล่อเหลา ที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ทริสเทซซ่าหายตัวไป”เขากล่าวเสียงนิ่ง
“นายว่าอะไรนะ”
“ทริสเทซซ่าหายตัวไป”
ใจของหญิงสาวกระตุกวูบ เธอรีบคว้าผ้าคลุมบนราวขึ้นมาคลุมเหนือบ่า แล้วตรงออกไปจากโรงละครทันที โดยไม่สนใจแม้ว่าเธอจะยังคงสวมชุดของวิโอเล็ตต้าอยู่ก็ตาม
“ฉันจะไปตามหาทริส ฝากนายบอกคนอื่นด้วย” หญิงสาวตะโกนกลับมา ก่อนเร่งฝีเท้าหายไปในความมืด
ให้ตายสิ ยัยนั่นต้องไม่พอใจเอามากๆแน่ๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้ง ที่เธอรู้สึกอยากจะจับแฝดสาวผู้น้องคนนี้มาเข้าคอร์สอบรมมารยาทในการอยู่ร่วมในสังคมอย่างจริงจัง
เฟริต้าก้าวเท้าวิ่งต่อไปด้วยความกระสับกระส่าย ฟ้ามืดลงแล้ว ทำให้เธอรู้สึกไม่คุ้นชินกับเส้นทางในเมือง ถ้าเธอไม่คุ้น ทริสเองก็คงจะไม่คุ้นเหมือนกัน หล่อนคงไปไหนได้ไม่ไกลหรอก
ถ้าอย่างนั้น ที่ๆทริสน่าจะไปได้ ก็คงจะมีแต่จัตุรัสกลางเมือง คงมีแต่ที่นั่นเท่านั้นที่เธอพอจะนึกออกในเวลานี้
ทันทีที่คิดได้ หญิงสาวก็เลือกที่จะมุ่งตรงไปยังเป้าหมายอย่างไม่รีรออะไร
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอคาดไว้ จะผิดถนัด จัตุรัสกลางเมืองกลับว่างเปล่า และมืดมิด น้ำพุหินอ่อนที่มักจะมีชีวิตชีวา กลับไม่ทำงานเหมือนอย่างเคย ราวกับว่าเธอเดินหลงเข้ามายังเขตเมืองแห่งความตายก็ไม่ปาน ความกลัวค่อยๆคืบคลานเข้ามาจับยังขั้วหัวใจของหญิงสาวอย่างช้าๆ
แต่แม้ว่าเธอจะกลัว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะก้าวเดินต่อไป มือเรียวบ้างเอื้อมขึ้นมากระชับผ้าคลุมช้าๆ ในขณะที่ความหนาวเหน็บเริ่มแล่นเข้ามาจับทุกอณูของปลายนิ้วมือ
ที่น้ำพุ ปรากฏเงาตะคุ่มขึ้นสายหนึ่ง
หญิงสาวสะดุ้งกายเล็กๆ เธอคงจะชื้นใจกว่านี้ ถ้าเงาสายนั้นคล้ายน้องสาวฝาแฝดของเธอมากกว่านี้สักหน่อย เธอคงจะชื้นใจกว่านี้ ถ้าเงาสายนั้น ไม่ใช่เงาของบุรุษที่เธอไม่เคยพบเจอในเมืองแห่งนี้มาก่อน
ใจเธอร้องเตือนว่า เธอควรจะถอยไป เพราะเขาอาจจะไม่ใช่คนดี แต่อีกใจก็ยังคงเป็นห่วงน้องสาวฝาแฝด หากว่าเขารู้เบาะแส แล้วขืนเธอหนีไป ไม่เท่ากับว่า เธอทิ้งโอกาสเดียวตรงหน้าเหรอ
เฟริต้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าเท่าที่พอจะมี ก่อนจะตรงเข้าไปทักบุคคลตรงหน้า
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเห็นผู้หญิงผมสีน้ำเงิน ตาข้างขวาสีเขียว ข้างซ้ายสีแดงผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยคะ”
เธอถามออกไปแล้ว หญิงสาวร่ำร้องกับตัวเอง ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะราวกับจะหลุดออกมานอกอก พร้อมกับเสียงภาวนาว่า ขออย่าให้เขาเป็นอย่างที่เธอคิดในแง่ร้ายเลย
ชายหนุ่มค่อยๆหันมองเธออย่างช้าๆ แววความประหลาดใจระคนตื่นตะลึงฉายชัดผ่านแววตาสีกาแฟคู่นั้น
“วิโอเล็ตต้า”เขาคราออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่มั่นใจ แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกไว้วางใจเขามากขึ้น เพราะอย่างน้อย เขาก็รู้จักเธอ
เฟริต้าแย้มรอยยิ้มบางๆออกมา ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะแปรเปลี่ยนมลายหายไปกลายเป็นความตระหนกที่เข้ามาแทนที่ ทันทีที่ร่างของเธอทรุดลงไปกับพื้น
เธอรับรู้ได้ถึงความเย็นของพื้นอิฐ ที่แทรกตัวเข้ามาผ่านสัมผัสจากฝ่ามือ แต่เธอกลับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของขาทั้งสองข้าง ราวกับว่ามันได้อันตรธานหายไปท่ามกลางความมืดนี่อย่างนั้น น้ำตาใสๆเริ่มเอ่อท่วมขอบตา พร้อมกับความกลัวที่ค่อยๆแล่นเข้าจับใจ
Theme : cinna mon
จบตอนอย่างสวยงาม?!
555+ ใครที่อ่านตอนนี้แล้ว อย่าลืมแวะไปอ่านในบทความของน้องฟ้าด้วยนะคะ
เพราะฟิคนี้เป็นฟิคที่ต้องอ่านวนสองบทความค่ะ
Link:: http://writer.dek-d.com/noofasai/writer/viewlongc.php?id=735816&chapter=3
ความคิดเห็น