คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 1 :: Pay me [100%]
ชายหนุ่มถอนหายใจ พลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุผ้าสักหลาดสีเลือดหมูที่ตั้งไว้ข้างเตาผิงขนาดย่อม เผชิญหน้ากับหน้าต่างบานสูงกว่า
ในมือของเขาถือแก้วใส่บรั่นดีสีอำพันสด ในขณะที่นัยน์ตาไร้อารมณ์คู่นั้นยังคงเลื่อนลอยไร้หลักแหล่ง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในห้องนอนขนาดใหญ่อันแสนสงบเงียบแห่งนี้ สามารถเรียกความสนใจจากเขาไปได้
ในห้องอันเงียบสงบนี้มีเพียงลมหายใจสองสายเท่านั้นที่ยังคงดังอื้ออึงอยู่
เดี๋ยวสิ!! สองเหรอ!!
“บอส ทำไมทำท่าซังกระตายอย่างนั้นล่ะฮ้า”เสียงเจื้อยแจ้วบาดแก้วหูดังขึ้นจากมุมมืด ก่อนตามมาด้วยท่อนแขนกำยำ ที่ค่อยๆเคลื่อนคล้อยมา โอบรอบลำคอของผู้เป็นหัวหน้าอย่างรักใคร่ (??)
“กริ๊ก” ปืนสั้นพกพาในมือของผู้ถูกกระทำลั่นเสียงขึ้นไก ก่อนจะเลื่อนปากกระบอกมาจ่อเข้าที่กลางขมับของแขกไม่ได้รับเชิญ
“แกต้องการอะไร ไอ้สวะ ใครอนุญาตให้แกเข้ามา”เขาเค้นเสียงถามอย่างดุดัน
“แหม! ก็เค้าเห็นบอสท่าทางจะเหนื่อยๆไงฮ้า ก็เลยตามเข้ามา กะจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ให้บอสซักหน่อย” ลุสซุเรียเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทีสะดีดสะดิ้งตามเคย ก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าลงไปยังซอกคอของคนถือปืน
ชายหนุ่มเจ้าของห้องสะดุ้งโหยง เขารู้สึกได้ถึงเส้นเลือดข้างขมับที่เต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมา ก่อนที่จะตัดสินใจหักข้อมือ เบนกระบอกปืนไปอีกทาง และลั่นไกเป็นการข่มขู่คนไม่รู้จักกาลเทสะ
เสียงลั่นของปืนทำเอากระเทยหนุ่ม?? ร่างกำยำถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะชะงักการกระทำทั้งหมด เหลือไว้เพียงรอยยิ้มแห้งๆเจื่อนๆ ใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด และ เหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาตามฝ่ามือและแผ่นหลังอย่างควบคุมไม่ได้
“ถ้าแกไม่ออกไปเดี๋ยวนี้ เป้าต่อไป คงเปลี่ยนจากเพดานห้องมาเป็นหัวแกแน่ ไอ้สวะ” ชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งกหัวหน้าหน่วยรบวาเรียเค้นเสียงอีกรอบ พร้อมกับแววตาที่ราวกับจะฆ่าคนได้
ลุสซุเรียหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะชูมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงว่ายอมแพ้ พร้อมกับถอยจากไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด เขาก็ได้ความสงบที่เขาต้องการคืนมา อย่างน้อยก็ภาวนาเช่นนั้น เพราะการที่เขาจะพบกับความสงบซักครั้ง ในวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนและคาวโลหิต ล้วนทำได้ยากพอๆกับการงมเข็มในมหาสมุทรแปซิฟิค ไม่สิ สำหรับเขา ไม่แน่ว่าการงมเข็มอาจจะทำได้ง่ายยิ่งกว่าการหาความสงบด้วยซ้ำไป
เขาภาวนาในใจ ขอแค่อย่าให้มีไอ้สวะสิ้นคิดหนาไหน มันกล้ามารบกวนเขาในเวลานี้ละกัน
สิ้นความคิดของชายหนุ่ม ก็ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูห้อง เป็นจังหวะระรัว เร่งรีบ ราวกับพระเจ้าต้องการที่จะกลั่นแกล้งเขาอย่างไรอย่างนั้น
แซนซัสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แกมรำคาญ นี่เขาจะขอดื่มด่ำกับความสงบนี่ไม่ได้เลยรึไงกัน มันชวนให้รู้สึกไม่พอใจ จนแทบอยากจะหยิบปืนสั้นข้างกายมาเป่าสมองเจ้าคนไม่รู้เวลานั่นให้กระจุยแทนการระบายอารมณ์
เสียงเคาะหยุดไป เช่นเดียวกับคนเคาะ ที่คาดว่าคงหมดความอดทน ก่อนที่เจ้าคนไม่มีมายาท จะเปิดประตูผางเข้ามาอย่างไม่ไว้หน้าคนอยู่ในห้อง
ร่างบางยืนจังก้าอยู่หน้าประตูห้อง อย่างชวนให้แปลกใจ ว่าเจ้าของเรือนร่างบอบบางแบบนี้ ไปเอาแรงจากไหนตั้งมากมาย มาใช้ในการเปิดประตูบานใหญ่ที่ลงกลอนอย่างแน่นหนา
แซนซัสผงะไปด้วยความตกใจที่ปนมากับความตะลึง ไม่ใช่ความตะลึงที่มาจากคำถามที่ว่าหล่อนเปิดประตูได้อย่างไร หากแต่เป็นคำถามที่ว่า เจ้าหล่อนคือใคร เขาสาบานได้ว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยพบสาวน้อยผู้นี้มาก่อน แม้จะรู้สึกคับคล้ายคับคลาว่า เขาจะเคยเห็นดวงตาหยิ่งทระนงคู่คมสีน้ำเงินคู่นั้นมาก่อน
เส้นผมของหล่อนเป็นสีทองละเอียด ม้วนเป็นลอนใหญ่ คงจะเป็นประกายระยับน่าดู ถ้าเรือนผมนั่น กระทบเข้ากับแสงอาทิตย์ ดวงตาสีน้ำเงินของหล่อนคมคายราวกับว่ากำลังท้าทายผู้มอง แต่ก็แฝงนัยอะไรบงอย่างที่เค้าอ่านไม่ออก ชวนให้รู้สึกถึงความลี้ลีบในดวงตาคู่นั้น ผิวของหล่อน เป็นสีขาวกระจ่าง ราวกับว่าชั่วทั้งชีวิตของเจ้าหล่อน จะไม่เคยสัมผัสกับแสงแดดมาก่อน ริมฝีปากบอบบางประหนึ่งกลีบกุหลาบป่า เชิดรั้น บ่งบอกถึงอุปนิสัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทระนงในศักดิ์ศรี หล่อนไม่ได้งดงามที่สุดสำหรับเขา แต่หล่อนกลับมีอะไรบางอย่าง ที่ดึงดูดจนเขาไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้าและเรือนร่างบอบบางแต่ระหงนั่นไปได้
ร่างบอบบางก้าวฉับๆเข้ามาในห้อง ราวกับว่าหล่อนเป็นเจ้าของเสียเอง มิใช่เขา
หล่อนตรงปรี่ไปที่หน้าต่างบานใหญ่ ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มเจ้าของห้องแวบหนึ่ง ด้วยแววตาเป็นเชิงว่าเย้ยหยัน ก่อนจะกระชากผ้าม่านทึบให้เปิดออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์อัสดงยามเย็นลุกล้ำเข้ามาในห้องที่มืดมิด
ชายหนุ่มหรี่ตาสู้แสง เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ของตนที่เริ่มครุกรุ่นขึ้นมาด้วยความไม่พอใจในท่าทีของสาวน้อยคนนี้ อย่างน้อยก็เรื่องที่เธอบุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขา โดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นนี้
“ฉันชื่อ เอมิล่า ลินด์-ไรแบค ตั้งแต่วันนี้ไป นี่คือห้องของฉัน เข้าใจมั้ยยะ”เธอแผดเสียงออกคำสั่งกร้าวอย่างชวนให้ผู้ฟัง อยากจะจับร่างบอบบางนั่น โยนออกไปจากห้องด้วยความไม่พอใจ
“เธอไม่รู้หรือไงว่าฉันคือใคร”ชายหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ ความรู้สึกตะลึงเมื่อแรกพบ ล้วนแปรเปลี่ยนกลายเป็นความไม่พอใจเสียสิ้น
“ฉันไม่สนหรอกนะว่านายคือใคร แต่ไม่เคยมีใครกล้าขัดใจเอมิล่าคนนี้”เธอประกาศก้อง ก่อนจะจ้องลึกไปในดวงตาคู่คมที่แสนจะเย็นชาคู่นั้นของเขาด้วยแววตาข่มขู่
“ใครส่งเธอมากันแน่” ชายหนุ่มถามขึ้น ก่อนจะขยับกายเพียงวูบเดียว มายืนอยู่ข้างกายหญิงสาวอวดดีคนนี้ พร้อมกับกระบอกปืนในมือ ที่จ่ออยู่แทบขมับของหญิงสาว
“ชิ”หญิงสาวส่งเสียงออกมาเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยื่นจดหมายในซองสีขาว ประทับตราด้วยขี้ผึ้งสีแดงสดเป็นตราสัญลักษณ์แปลกตา
ชายหนุ่มรับมาอ่านอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ปากกระบอกปืนยังคงไม่เบนออกไปไหน
“ใช้หนี้
”ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆด้วยความฉงนทันทีที่อ่านจดหมายจบ
“ก็ใช้สิยะ ใช้หนี้”เอมิล่ากล่าวขึ้นด้วยโทนเสียงไม่พอใจ ก่อนจะปัดปากกระบอกปืนออกอย่างไม่เกรงกลัว แล้วก้าวฉับๆตรงปรี่ไปที่เก้าอี้นวมอีกตัว
“หนี้ชีวิต ย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต”เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงปัดรำคาญ พร้อมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ โดยไม่รอคำอนุญาตของเจ้าของห้อง
“ฉันจำไม่ได้ว่า เคยไปช่วยชีวิตพ่อของเธอตอนไหน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลง แต่ก็ยังคงแข็งกร้าวตามอุปนิสัยของเขา อย่างน้อย เขาก็มั่นใจแล้ววา เธอคงไม่ได้มาเพื่อสังหารหรือทำร้ายเขาแน่ เพราะเขาสัมผัสไม่ได้ถึงการไหลเวียนของไฟธาตุ หรือแม้แต่จิตสังหาร จากร่างของเจ้าหล่อน
“คิดว่าฉันรู้หรือไง” หล่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง “ตกลงว่า ชีวิตฉันเป็นของนาย เข้าใจใช่มั้ยยะ”
ชายหนุ่มเหลือบมองร่างบางด้วยความงุนงง แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร เจ้าหล่อนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ถึงแม้ว่า ชีวิตฉัน จะเป็นของนาย ก็ไม่ได้แปลว่า ฉันจะต้องยอมรับใช้นาย หรือฟังคำสั่งขงนายนะยะ ก่อนอื่น เรื่องห้องนอน ฉันขอห้องนี้ละกัน ส่วนนายจะไปอยู่อาศัยที่ไหนก็เชิญตามสะดวก อ้อ ฉันชอบแช่น้ำอุ่นก่อนนอน อย่าลืมบอกให้พ่อบ้านเตรียมน้ำลอยกลีบกุหลาบให้ฉันด้วยนะ แล้วอย่าลืม ไวน์ฝรั่งเศสก่อนนอนให้ฉันด้วย ส่วนเรื่องมื้อค่ำ ฉันขอเป็นกราฟัวส์ราดซอสเกรวี่ละกัน บอกให้คนยกเข้ามาให้ฉันในห้องด้วยนะ” เจ้าหล่อนออกคำสั่งเสียยาวยืด ชวนให้คนเป็นเจ้าของห้องรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอประทานโทษนะ แต่ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้เธอทำอะไรได้ตามใจชอบนี่” ชายหนุ่มพูดอย่างข่มอารมณ์
น่าประหลาดใจ โดยปกตินั้น เขาเองก็ไม่ใช่คนดีขนาดที่จะไม่ลงมือกับผู้หญิงไม่มีทางสู้ อาจจะเรียกได้ว่า โหดอำมหิตเลยก็ว่าได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาสีน้ำเงินของแม่สาวประหลาดตรงหน้าแล้ว เขากลับไม่มีความคิดที่จะลงไม้ลงมือกับเธอ
ผิดวิสัยของเขาโดยแท้ !!!!
“ใครสนล่ะ ว่านายจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ถ้าฉันจะทำแบบนี้ แล้วใครจะทำไม”เอมิล่ากล่าวกระชากเสียง ก่อนสะบัดเรือนผมสีทองเป็นเชิงว่ายั่วยุ พลางสืบเท้าเข้าใกล้ร่างสูงของชายหนุ่ม ใกล้ในระยะที่ว่า ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
“หรือว่านายจะทำอะไรฉันกันฮึ”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ในลำคอ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายๆกับกลิ่นของดอกอะไรซักอย่าง ที่เขาได้ลืมเลือนชื่อของมันไป
“คิดหรือ ว่าฉันจะไม่กล้าทำร้ายผู้หญิงน่ะ” เขาพยายามเค้นเสียงออกมา แม้ว่ามันจะดูยากเย็นก็ตามที่จะกล่าวประโยคใดๆออกมาในเวลานี้ ให้ตายสิ นี่เขาเป็นอะไรกัน
“คิดสิ”หล่อนเอ่ยเบาๆ คล้ายกับต้องการจะกระซิบให้เพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน มือขาวๆของเจ้าหล่อนวางประทับลงบนแผ่นอกของเขาอย่างแผ่วเบา พลางเบียดกายเข้ามาใกล้กว่าเดิม
ชายหนุ่มเริ่มหมดความอดทนกับการกระทำของเจ้าหล่อน ทั้งชีวิตของเขา เขาไม่เคยถูกต้อนให้จนมุมขนาดนี้มาก่อน อย่างน้อย หล่อนเองก็เป็นผู้บอกเขาไม่ใช่เหรอ ว่าชีวิตของหล่อนเป็นของเขา
“ใครๆก็บอกว่า ดวงตาของฉัน มันมีอำนาจอะไรซักอย่าง ที่ขัดขืนไม่ได้”เธอเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกแรงผลักร่างสูงนั่นเสียเต็มแรง หมายให้ร่างนั้นล้มไป
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิดมหัน แทนที่ร่างนั้นจะเป็นฝ่ายเสียที กลับเป็นเธอเอง ที่ต้องเซไปจากแรงผลักนั่น
“แต่อย่างน้อยฉันก็เป็นผู้ชาย” ชายหนุ่มยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง ด้วยน้ำเสียงที่ดูจะผ่อนคลายลงมาบ้าง จากอากัปกิริยาการพลาดท่าของหญิงสาวมาดสูงตรงหน้า
“งั้นฉันจะบอกอะไรนายไว้นะ คุณหัวหน้าวาเรียรุ่นที่สิบ” เธอกล่าวขึ้นมา ด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางพยุงกายให้อยู่ในอากัปกิริยาวางมาดเช่นเดิม ราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่มาก่อน
“ฉัน ไม่สนผู้ชายหรอกนะ ฉันพิศวาสก็แต่กับสาวน้อยร่างบอบบาง น่าปกป้องก็เท่านั้นแหละ”เธอประกาศกึกก้อง
“เหรอ
แล้วทำไม” ชายหนุ่มกล่าวพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าเรื่องที่เขาได้ยินนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่ปฏิกิริยาแค่นั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หญิงสาวอย่างเอมิล่ารู้สึกไม่พอใจเอามากๆ
“เพราะฉะนั้น นายอย่าคิดหวังว่าจะทำอะไรฉันได้เลย”เธอตระโกนลั่นด้วยโทสะ ใบหน้าขาวๆกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยแรงโทสะและความเขินอาย
“แล้วฉันจะจำไว้ละกัน แล้วเธอจะออกไปจากห้องของฉันได้หรือยัง”แซนซัสกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะนอนที่นี่ ดังนั้น นายนั่นแหละ ที่จะต้องออกไป”หญิงสาวกัดฟันพูดขึ้น ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนหนานุ่มของเจ้าของห้อง
สุดท้ายแล้ว เขาเอง ก็ต้องออกมาเดินเตร่อยู่ตามระเบียงเช่นนี้ ทั้งๆที่ควรจะเป็นเธอ ไม่ใช่เขา แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อำนาจในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น กลับทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต่น้อย จนเขาต้องเป็นฝ่ายสละห้องเสียเอง
ว่าแต่ว่า ค่ำคืนนี้เขาจะนอนที่ไหนดี ห้องนอนสำหรับแขกก็คงไม่เหมาะซักเท่าไหร่นัก เขาแทบจำครั้งล่าสุดที่สั่งให้พ่อบ้านทำความสะอาดห้องนั้นไปไม่ได้ ตัวเลือกที่เหลือ ก็คงจะมีแต่ห้องนอนของสมาชิกวาเรีย เบลกับฟรานเองก็ไม่อยู่ บางทีการจะเข้าไปใช้ห้องซักหน่อย คงไม่เป็นอะไรมั้ง อย่างน้อย ก็ไม่ต้องไปมีเรื่องวุ่นวายยามดึกนี่แหละ
เมื่อเลือกเป้าหมายได้ หัวหน้าหนุ่มก็ก้าวฉับๆตรงไปที่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว
เสียงเปิดประตูออก ทำเอาแขกไม่ได้รับเชิญในห้องสะดุ้งโหยง พลางซ่อนของในมือเอาไว้ข้างหลัง อย่างกลัวว่าจะโดนจับได้
แสงไฟจากหลอดนีออนถูกเปิดขึ้น เผยให้เห็นร่างของผู้มาใหม่ และแขกไม่ได้รับเชิญที่มาอยู่ก่อน
“บอส”แขกรับเชิญครางเบาๆอย่างไม่เชื่อสายตา
“แกมาทำอะไรที่นี่ ไอ้ฉลามสวะ”ผู้มาใหม่เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์โทสะที่ยังตกค้างอยู่
“เอ่อ
ฉันก็แค่มาเอาของทีลืมไว้น่ะ”สควอลโล่ละล่ำละลักกล่าว ก่อนจะวางคว่ำกรอบรูปในมือลงบนโต๊ะข้างเตียง อย่างมีพิรุธ
“ของที่ลืมไว้ ในห้องนี้นี่เหรอ” แซนซัสทวนคำ
“ก็ใช่น่ะสิ ฟรานมันยืมของฉันไปน่ะ แล้วบอสนั่นแหละ มาทำอะไร” ชายหนุ่มผมยาวพยายามเฉไฉเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไม่มีเหตุผล ให้ฉันต้องบอกแก ออกไปได้แล้ว”
สควอลโล่เหลือบตามองหัวหน้าของตน คงเป็นการดีที่จะเลือกไม่ถามอะไรต่อไป เพียงแววตาดุดันที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจคู่นั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้คนมองอย่างเขาหายใจติดขัดได้
“เข้าใจแล้ว” สควอลโล่รับคำ ก่อนสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
แซนซัสถอนหายใจเบาๆ ก่อนเหลือบตามองกรอบรูปที่ถูกคว่ำไว้ อาจจะดูเป็นการเสียมารยาท แต่เขาก็พลิกมันขึ้นดูอย่างระอาใจ
เป็นเพียงภาพคอบครัวของเจ้าของห้อง ซึ่งไม่อยู่ในเวลานี้ เพียงแค่ภาพครอบครัวธรรมดาๆใบหนึ่ง สะดุดตาก็แต่ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวอ่อน ที่ยืนอยู่ในภาพคนนั้น
แซนซัสถอนหายใจช้าๆ ก่อนคว่ำกรอบรูปลงที่เดิม แล้วทิ้งตัวลงนอนทันที
ราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปราสาทวาเรีย
“อีกไม่ไกลแล้วล่ะ สเตลล่า”
“ฉันว่าเราน่าจะพักกันได้แล้วนะลูน่า ฉันแทบจะเดินไม่ไหวแล้วนะ”
“มาเถอะ สเตลล่า พี่ชายอยู่ไม่ไกลแล้ว”
จบแล้ว ตอนที่1 แฮ่กๆ (เหนื่อย)
ยังไงก็ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วนะคะ
ความคิดเห็น