ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บ้านหลังนั้น
ตอนนี้พวกเขารู้สาเหตุที่วิญญาณแค้นต้องการชี็วิตของอันตน รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อเขาเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาต่อไป
\"เอาล่ะ แล้วเราจะทำอะไรกันต่อไป\" มาร์คุสถามขึ้นมา
อันตนใช้เวลาครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า \"ลุงมัทธิอัส\"
มาร์คุสขึ้นซ้อนเวสป้าอันตนอีกครั้ง พอขับมาได้ซักพักอันตนก็บอกให้มาร์คุสลง
\"เราเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้เดินเอาละกัน\" อันตนบอกเนื่องจากกลัวมัทธิอัสได้ยินเสียงรถ ในป่าแบบนี้ เวลาได้ยินเสียงรถแล้วยังต้องรออีกหลายนาทีกว่ารถจะมา และอันตนก็ไม่อยากจะเสี่ยงให้มัทธิอัสได้ยิน เมื่อลุงมัทธิอัสไม่อยากให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน เขาสองคนก็คงต้องแอบเข้าไปเอง
สิบนาทีต่อมา อันตนและมาร์คุสก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเดิมกับเมื่อวาน ประตูที่หลุดออกมานั้นได้ถูกซ่อมแล้ว อันตนทำทีเดินเข้าไปเคาะประตูและร้องเรียก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บ้านแน่ๆ อันตนก็ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป ไม่น่าแปลกใจที่ประตูไม่ได้ล็อก สวีเดนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แถมบ้านโทรมๆ ที่ตั้งอยู่ท้ายป่าแบบนี้ก็คงไม่มีใครอยากปล้น มาร์คุสคว้ากล้องดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปภายในบ้านรวมทั้งถ่ายวีดิโอไว้ด้วย อันตนเดินไปรอบๆ จนมาหยุดยืนมองที่รูปของตัวเองและพ่อที่อยู่บนฝาผนัง ที่จริงแล้วเขาสะดุดตาที่รูปอื่นๆ ที่อยู่บนผนังเหมือนกันต่างหาก พอสังเกตุดีๆ แล้วเขาจึงเห็นว่ารูปทั้งหมดไม่ใช่รูปถ่าย แต่เป็นรูปวาด อันตนรีบหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจด
กุสตาฟ เออลิน 1733
นิลส์ เออลิน 1783
ฮานส์ เออลิน 1833
วิคเตอร์ เออลิน 1883
ลีนุส เออลิน 1933
ยูฮัน เออลิน 1983
อันตน เออลิน 2003
เขามั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ถ้าเขาไปเช็คที่หลุมศพของคนทั้งหมดที่เสียชีวิตในวันคริสต์มาสแล้วล่ะก็ ชื่อพวกนี้จะต้องตรงกันแน่ๆ สิ่งที่เขาสงสัยคือเหตุผลว่าทำไมลุงมัทธิอัสถึงมีรูปพวกนี้อยู่ในบ้าน
มาร์คุสเดินลงไปที่ห้องใต้ดิน เขาสาดไฟฉายมองไปรอบๆ
\"เฮ้ย\" มาร์คุสอุทานขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าไป มือที่ถือไฟฉายตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว ใจของเขาจินตนาการไปต่างๆ นานา สิ่งนั้นอาจจะเป็นหมา แมว นก แมลงสาบยักษ์ หรืออะไรก็ได้ ในห้องใต้ดินนี้ บรรยากาศวังเวงอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั่วบริเวณจนมาร์คุสต้องเอามือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดจมูกไว้ นอกจากกลิ่นแล้วห้องใต้ดินของบ้านนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านอื่นๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยลังกระดาษมากมาย มุมหนึ่งถูกจัดไว้เป็นที่เก็บเครื่องดื่ม เหล้า ไวน์และเบียร์หลากชนิด มาร์คุสเดินไปเปิดฟรีซเซอร์ีที่ตั้งอยู่ข้างถังเบียร์ มองแว้บแรกมันก็เหมือนกับฟรีซเซอร์ทั่วไปที่มีผัก ขนมปัง ไอศครีมและอาหารแช่แข็งต่างๆ อยู่เต็มตู้ ความรู้สึกของเขาบอกว่าตู้ฟรีซตู้นี้มันเย็นผิดปกติ เขาหยิบเนื้อแฮมเบอร์เกอร์แพ็คหนึ่งออกมา และเขาก็ต้องพบว่ามันหมดอายุไปหลายปีแล้ว ทั้งไอศครีมและขนมปังต่างก็เป็นของค้างปีทั้งนั้น เขาืรื้อทุกอย่างในตู้ออกมา ก่อนที่จะพบแผ่นพลาสติกซึ่งปูรองพื้นอยู่ เขาพยายามที่จะดึงแผ่นพลาสติกนั้นออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล แผ่นพลาสติกนั้นติดแน่นไม่ขยับเขยื่อน เขามองที่นอกตู้แล้วจับแผ่นพลาสติก มันต้องมีอะไรอยู่ใต้แผ่นพลาสติกแผ่นนี้แน่นอน เขายังรื้อได้ไม่ถึงครึ่งของความลึกของตู้ฟรีซด้วยซ้ำ อาหารทั้งหมดในตู้เป็นของบังหน้าสำหรับสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นพลาสติกแผ่นนี้ต่างหาก
\"อันตน ลงมาที่ห้องใต้ดินหน่อยเร็ว\" มาร์คุสเรียกให้อันตนลงไปช่วยเขาดึงแผ่นพลาสติกออกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา \"อันตน\" มาร์คุสตะโกนอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมพร้อมกับเดินขึ้นบันไดที่ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว  ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเขาเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
อันตนนอนอยู่กับพื้นพร้อมทั้งบิดร่างกายด้วยความเจ็บปวด มือกุมศีรษะที่เส้นเลือดปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัด สีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดจนสุดขั้วหัวใจ ปากที่กรีดร้องแต่ไม่มีเสียงออกมา น้ำตาที่ไหลริน น้ำตาลูกผู้ชาย มาร์คุสได้แต่ยืนมองความทุกข์ทรมาณของเพื่อนที่เขารักที่สุด เขาไม่รู้ว่าจะช่วยอันตนได้อย่างไร ดวงตาทั่งสองของอันตนที่เหมือนกับจะถลนออกมานอกเบ้า ตาที่จ้องมองมาที่เขา สายตาที่บ่งบอกร้องขอความช่วยเหลือ เวลาเพียงแค่ไม่ถึงนาทีที่เขายืนมองอันตนก่อนที่อันตนจะค่อยๆ สงบลงเหมือนเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับเขา เขาเดินเข้าไปจับมืออันตนไว้
\"ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ\" มาร์คุสพูดปลอบอันตนที่นอนหอบ อันตนพยายามที่จะพูดกับมาร์คุส
\"น่ากลัว...มันน่ากลัวมาก มันอยู่ในร่างกายฉัน อยู่ในสายเลือด ฉันไม่มีวันหนีมันพ้น ฉันเกิดมาเพื่อที่จะถูกมันฆ่า\" แล้วอันตนก็ซุกหน้ากับมือของมาร์คุส
\"นายจะยอมแพ้ไม่ได้นะอันตน นายจะยอมแพ้ไม่ได้\" มาร์คุสพูดย้ำ ถ้าอันตนยอมแพ้ตอนนี้ทุกอย่างก็จบกัน สิ่งที่เขาร่วมสู้ ร่วมฝ่าฟันกันมา ไม่ใช่แค่สองวันนี้เท่านั้น แต่ตลอดสิบกว่าปีที่รู้จักกัน ความรู้สึกที่ว่าจะไม่มีวันพรากจากกันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มาร์คุสและอันตนสู้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เมื่ออันตนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว มาร์คุสจึงบอกถึงเหตุผลที่เขาขึ้นมาจากห้องใต้ดิน
\"ที่ห้องใต้ดินมีของแปลกๆ ที่ฉันคิดว่านายจะลงไปดู\" ก่อนที่จะฉุดอันตนขึ้นมาจากพื้น สภาพของอันตนดูไม่มีเรี่ยวแรง แค่จะยืนอยู่ยังเป็นเรื่องเหนื่อยสำหรับเขา แต่ที่สุดอันตนก็ลงมาถึงห้องใต้ดินจนได้ ทั้งคู่เดินไปที่ตู้ฟรีซ จากแผ่นพลาสติดที่มาร์คุสดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก แต่พอเขาสองคนพยายามกันอีกครั้งแผ่นพลาสติกกลับหลุดออกมาอย่างง่ายดาย และเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่อยู่ในตู้ฟรีซนั้นคือคน เขาบอกไม่ได้ว่าเป็นศพหรือเป็นเพียงแค่คนที่นอนหลับ อันตนยื่นมือลงไปจับร่างกายที่เย็นเฉียบ ผู้ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าชราพอสมควรจากเคราสีขาวที่ยาวลงมาถึงหน้าอก มือทั้งสองประสานไว้ที่หน้าท้อง ริมฝีปากแดงสดราวกับชาด แต่งกายในชุดเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลที่เนื้อผ้าหยาบราวกับกระสอบ
\"เหมือนแดรกคูล่าเลย\" มาร์คุสพูดขึ้นมาด้วยความคิดแว้บแรก
\"นายว่าเขาตายรึยัง\" อันตนถามขึ้นมา
\"ถ้าฉันคิดว่าตายแล้ว ฉันจะบอกว่าเหมือนแดรกคูล่ามั๊ยเล่า\"
\"แล้วแดรกคูล่าบ้านนายสิ นอนในฟรีซเซอร์น่ะ\" อันตนแย้ง จนมาร์คุสหน่ายในความเถียงคำไม่ตกฝากของเขา
\"โอเค ฉันไม่พูดว่าแดรกคูล่าก็ได้ เอาเป็นว่ามันเหมือนผีดิบละกัน\"
\"แต่ฉันว่ามันเหมือนคนที่ถูกแช่แข็งไว้ เหมือนตายไปชั่วขณะ\" อันตนพูดพร้อมทั้งนึกภาพหนังวิทยาศาสตร์ต่างๆ อันตนนึกถึงหนังเรื่อง Lost in Space ที่คนถูกแช่แข็งไว้เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวในขณะที่ท่องไปในอวกาศที่ต้องใช้ระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปี ส่วนอเมริกัน Animation เรื่อง Futurama ก็ใช้วิธีแช่แข็งคนแล้วไปทำให้ฟื้นในอนาคตเป็นพันๆ ปีถัดไป ถึงความเห็นจะไม่ตรงกันว่าคนๆ นี้คืออะไร แต่ทั้งคู่ก็คิดตรงกันว่าคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ และพร้อมจะฟื้นทุกเมื่อ เมื่อได้รับการ \"ปลุก\" ไม่ว่าการ \"ปลุก\" นั้นจะเป็นวิธีใดก็ตาม
\"กึก กึก กึก\" เสียงส้นเท้าที่กระแทกกับพื้นอย่างแรงดังมาจากชั้นบนของบ้าน ให้ตายสิ ลุงมัทธิอัสกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งคู่รีบช่วยกันโกยอาหารที่ถูกรื้อออกมาจากตู้ฟรีซกลับเข้าตู้อย่างเบาที่สุด ขณะที่เก็บของอยู่นั้นมาร์คุสก็ได้แต่คิดว่าน่าจะสงสัยตั้งแต่เปิดตู้แล้วว่าชายแก่ที่อยู่คนเดียวจะมีตู้ฟรีซใหญ่โตมโหฬารอย่างนั้นไว้เพื่ออะไร \"เพื่อแช่แข็งคนไงเล่า\" มาร์คุสให้คำตอบกับตัวเอง
พอเก็บของทั้งหมดกลับเข้าตู้เสร็จ มาร์คุสกับอันตนก็เข้าไปหลบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่งในห้องใต้ดิน เขาได้ยินเีสียงทีวีดังมาจากด้านบนหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเขาสองคนแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของลุงมัทธิอัส ทั้งคู่ก็พยายามมองหาช่องระบายอากาศที่ห้องใต้ดินควรจะมี โชคดีที่ช่องระบายอากาศของบ้านหลังนี้ไม่ได้มีกรงเหล็กปิดตายเหมือนหลายๆ บ้าน อันตนค่อยๆ ถอดลูกกรงออกและลอดตัวออกมา มาร์คุสค่อยๆ ตามอันตนออกมาแล้วทั้งคู่ก็วิ่งสุดชีวิตไปที่เวสป้าที่จอดทิ้งไว้ แต่หารู้ไม่ว่ามีคนกำลังจ้องมองการกระทำทุกอย่างของพวกเขาอยู่
มัทธิอัสนั่งจิบชาอยู่หน้าทีวีที่เปิดรายการทอลก์โชว์ทิ้งไว้ แต่สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ทีวีหรอก สายตาของเขามองไปที่เด็กชายสองคนที่หันหลังวิ่งออกไปจากบริเวณบ้านของเขาต่างหาก
\"เอาล่ะ แล้วเราจะทำอะไรกันต่อไป\" มาร์คุสถามขึ้นมา
อันตนใช้เวลาครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า \"ลุงมัทธิอัส\"
มาร์คุสขึ้นซ้อนเวสป้าอันตนอีกครั้ง พอขับมาได้ซักพักอันตนก็บอกให้มาร์คุสลง
\"เราเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้เดินเอาละกัน\" อันตนบอกเนื่องจากกลัวมัทธิอัสได้ยินเสียงรถ ในป่าแบบนี้ เวลาได้ยินเสียงรถแล้วยังต้องรออีกหลายนาทีกว่ารถจะมา และอันตนก็ไม่อยากจะเสี่ยงให้มัทธิอัสได้ยิน เมื่อลุงมัทธิอัสไม่อยากให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน เขาสองคนก็คงต้องแอบเข้าไปเอง
สิบนาทีต่อมา อันตนและมาร์คุสก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเดิมกับเมื่อวาน ประตูที่หลุดออกมานั้นได้ถูกซ่อมแล้ว อันตนทำทีเดินเข้าไปเคาะประตูและร้องเรียก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บ้านแน่ๆ อันตนก็ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป ไม่น่าแปลกใจที่ประตูไม่ได้ล็อก สวีเดนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แถมบ้านโทรมๆ ที่ตั้งอยู่ท้ายป่าแบบนี้ก็คงไม่มีใครอยากปล้น มาร์คุสคว้ากล้องดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปภายในบ้านรวมทั้งถ่ายวีดิโอไว้ด้วย อันตนเดินไปรอบๆ จนมาหยุดยืนมองที่รูปของตัวเองและพ่อที่อยู่บนฝาผนัง ที่จริงแล้วเขาสะดุดตาที่รูปอื่นๆ ที่อยู่บนผนังเหมือนกันต่างหาก พอสังเกตุดีๆ แล้วเขาจึงเห็นว่ารูปทั้งหมดไม่ใช่รูปถ่าย แต่เป็นรูปวาด อันตนรีบหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจด
กุสตาฟ เออลิน 1733
นิลส์ เออลิน 1783
ฮานส์ เออลิน 1833
วิคเตอร์ เออลิน 1883
ลีนุส เออลิน 1933
ยูฮัน เออลิน 1983
อันตน เออลิน 2003
เขามั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ถ้าเขาไปเช็คที่หลุมศพของคนทั้งหมดที่เสียชีวิตในวันคริสต์มาสแล้วล่ะก็ ชื่อพวกนี้จะต้องตรงกันแน่ๆ สิ่งที่เขาสงสัยคือเหตุผลว่าทำไมลุงมัทธิอัสถึงมีรูปพวกนี้อยู่ในบ้าน
มาร์คุสเดินลงไปที่ห้องใต้ดิน เขาสาดไฟฉายมองไปรอบๆ
\"เฮ้ย\" มาร์คุสอุทานขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าไป มือที่ถือไฟฉายตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อและสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว ใจของเขาจินตนาการไปต่างๆ นานา สิ่งนั้นอาจจะเป็นหมา แมว นก แมลงสาบยักษ์ หรืออะไรก็ได้ ในห้องใต้ดินนี้ บรรยากาศวังเวงอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั่วบริเวณจนมาร์คุสต้องเอามือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดจมูกไว้ นอกจากกลิ่นแล้วห้องใต้ดินของบ้านนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านอื่นๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยลังกระดาษมากมาย มุมหนึ่งถูกจัดไว้เป็นที่เก็บเครื่องดื่ม เหล้า ไวน์และเบียร์หลากชนิด มาร์คุสเดินไปเปิดฟรีซเซอร์ีที่ตั้งอยู่ข้างถังเบียร์ มองแว้บแรกมันก็เหมือนกับฟรีซเซอร์ทั่วไปที่มีผัก ขนมปัง ไอศครีมและอาหารแช่แข็งต่างๆ อยู่เต็มตู้ ความรู้สึกของเขาบอกว่าตู้ฟรีซตู้นี้มันเย็นผิดปกติ เขาหยิบเนื้อแฮมเบอร์เกอร์แพ็คหนึ่งออกมา และเขาก็ต้องพบว่ามันหมดอายุไปหลายปีแล้ว ทั้งไอศครีมและขนมปังต่างก็เป็นของค้างปีทั้งนั้น เขาืรื้อทุกอย่างในตู้ออกมา ก่อนที่จะพบแผ่นพลาสติกซึ่งปูรองพื้นอยู่ เขาพยายามที่จะดึงแผ่นพลาสติกนั้นออกมาแต่ก็ไม่เป็นผล แผ่นพลาสติกนั้นติดแน่นไม่ขยับเขยื่อน เขามองที่นอกตู้แล้วจับแผ่นพลาสติก มันต้องมีอะไรอยู่ใต้แผ่นพลาสติกแผ่นนี้แน่นอน เขายังรื้อได้ไม่ถึงครึ่งของความลึกของตู้ฟรีซด้วยซ้ำ อาหารทั้งหมดในตู้เป็นของบังหน้าสำหรับสิ่งที่อยู่ใต้แผ่นพลาสติกแผ่นนี้ต่างหาก
\"อันตน ลงมาที่ห้องใต้ดินหน่อยเร็ว\" มาร์คุสเรียกให้อันตนลงไปช่วยเขาดึงแผ่นพลาสติกออกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา \"อันตน\" มาร์คุสตะโกนอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมพร้อมกับเดินขึ้นบันไดที่ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าว  ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเขาเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
อันตนนอนอยู่กับพื้นพร้อมทั้งบิดร่างกายด้วยความเจ็บปวด มือกุมศีรษะที่เส้นเลือดปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัด สีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดจนสุดขั้วหัวใจ ปากที่กรีดร้องแต่ไม่มีเสียงออกมา น้ำตาที่ไหลริน น้ำตาลูกผู้ชาย มาร์คุสได้แต่ยืนมองความทุกข์ทรมาณของเพื่อนที่เขารักที่สุด เขาไม่รู้ว่าจะช่วยอันตนได้อย่างไร ดวงตาทั่งสองของอันตนที่เหมือนกับจะถลนออกมานอกเบ้า ตาที่จ้องมองมาที่เขา สายตาที่บ่งบอกร้องขอความช่วยเหลือ เวลาเพียงแค่ไม่ถึงนาทีที่เขายืนมองอันตนก่อนที่อันตนจะค่อยๆ สงบลงเหมือนเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับเขา เขาเดินเข้าไปจับมืออันตนไว้
\"ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ\" มาร์คุสพูดปลอบอันตนที่นอนหอบ อันตนพยายามที่จะพูดกับมาร์คุส
\"น่ากลัว...มันน่ากลัวมาก มันอยู่ในร่างกายฉัน อยู่ในสายเลือด ฉันไม่มีวันหนีมันพ้น ฉันเกิดมาเพื่อที่จะถูกมันฆ่า\" แล้วอันตนก็ซุกหน้ากับมือของมาร์คุส
\"นายจะยอมแพ้ไม่ได้นะอันตน นายจะยอมแพ้ไม่ได้\" มาร์คุสพูดย้ำ ถ้าอันตนยอมแพ้ตอนนี้ทุกอย่างก็จบกัน สิ่งที่เขาร่วมสู้ ร่วมฝ่าฟันกันมา ไม่ใช่แค่สองวันนี้เท่านั้น แต่ตลอดสิบกว่าปีที่รู้จักกัน ความรู้สึกที่ว่าจะไม่มีวันพรากจากกันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มาร์คุสและอันตนสู้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เมื่ออันตนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว มาร์คุสจึงบอกถึงเหตุผลที่เขาขึ้นมาจากห้องใต้ดิน
\"ที่ห้องใต้ดินมีของแปลกๆ ที่ฉันคิดว่านายจะลงไปดู\" ก่อนที่จะฉุดอันตนขึ้นมาจากพื้น สภาพของอันตนดูไม่มีเรี่ยวแรง แค่จะยืนอยู่ยังเป็นเรื่องเหนื่อยสำหรับเขา แต่ที่สุดอันตนก็ลงมาถึงห้องใต้ดินจนได้ ทั้งคู่เดินไปที่ตู้ฟรีซ จากแผ่นพลาสติดที่มาร์คุสดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก แต่พอเขาสองคนพยายามกันอีกครั้งแผ่นพลาสติกกลับหลุดออกมาอย่างง่ายดาย และเขาก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่อยู่ในตู้ฟรีซนั้นคือคน เขาบอกไม่ได้ว่าเป็นศพหรือเป็นเพียงแค่คนที่นอนหลับ อันตนยื่นมือลงไปจับร่างกายที่เย็นเฉียบ ผู้ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าชราพอสมควรจากเคราสีขาวที่ยาวลงมาถึงหน้าอก มือทั้งสองประสานไว้ที่หน้าท้อง ริมฝีปากแดงสดราวกับชาด แต่งกายในชุดเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลที่เนื้อผ้าหยาบราวกับกระสอบ
\"เหมือนแดรกคูล่าเลย\" มาร์คุสพูดขึ้นมาด้วยความคิดแว้บแรก
\"นายว่าเขาตายรึยัง\" อันตนถามขึ้นมา
\"ถ้าฉันคิดว่าตายแล้ว ฉันจะบอกว่าเหมือนแดรกคูล่ามั๊ยเล่า\"
\"แล้วแดรกคูล่าบ้านนายสิ นอนในฟรีซเซอร์น่ะ\" อันตนแย้ง จนมาร์คุสหน่ายในความเถียงคำไม่ตกฝากของเขา
\"โอเค ฉันไม่พูดว่าแดรกคูล่าก็ได้ เอาเป็นว่ามันเหมือนผีดิบละกัน\"
\"แต่ฉันว่ามันเหมือนคนที่ถูกแช่แข็งไว้ เหมือนตายไปชั่วขณะ\" อันตนพูดพร้อมทั้งนึกภาพหนังวิทยาศาสตร์ต่างๆ อันตนนึกถึงหนังเรื่อง Lost in Space ที่คนถูกแช่แข็งไว้เพื่อให้มีชีวิตยืนยาวในขณะที่ท่องไปในอวกาศที่ต้องใช้ระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปี ส่วนอเมริกัน Animation เรื่อง Futurama ก็ใช้วิธีแช่แข็งคนแล้วไปทำให้ฟื้นในอนาคตเป็นพันๆ ปีถัดไป ถึงความเห็นจะไม่ตรงกันว่าคนๆ นี้คืออะไร แต่ทั้งคู่ก็คิดตรงกันว่าคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ และพร้อมจะฟื้นทุกเมื่อ เมื่อได้รับการ \"ปลุก\" ไม่ว่าการ \"ปลุก\" นั้นจะเป็นวิธีใดก็ตาม
\"กึก กึก กึก\" เสียงส้นเท้าที่กระแทกกับพื้นอย่างแรงดังมาจากชั้นบนของบ้าน ให้ตายสิ ลุงมัทธิอัสกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งคู่รีบช่วยกันโกยอาหารที่ถูกรื้อออกมาจากตู้ฟรีซกลับเข้าตู้อย่างเบาที่สุด ขณะที่เก็บของอยู่นั้นมาร์คุสก็ได้แต่คิดว่าน่าจะสงสัยตั้งแต่เปิดตู้แล้วว่าชายแก่ที่อยู่คนเดียวจะมีตู้ฟรีซใหญ่โตมโหฬารอย่างนั้นไว้เพื่ออะไร \"เพื่อแช่แข็งคนไงเล่า\" มาร์คุสให้คำตอบกับตัวเอง
พอเก็บของทั้งหมดกลับเข้าตู้เสร็จ มาร์คุสกับอันตนก็เข้าไปหลบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่งในห้องใต้ดิน เขาได้ยินเีสียงทีวีดังมาจากด้านบนหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเขาสองคนแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวของลุงมัทธิอัส ทั้งคู่ก็พยายามมองหาช่องระบายอากาศที่ห้องใต้ดินควรจะมี โชคดีที่ช่องระบายอากาศของบ้านหลังนี้ไม่ได้มีกรงเหล็กปิดตายเหมือนหลายๆ บ้าน อันตนค่อยๆ ถอดลูกกรงออกและลอดตัวออกมา มาร์คุสค่อยๆ ตามอันตนออกมาแล้วทั้งคู่ก็วิ่งสุดชีวิตไปที่เวสป้าที่จอดทิ้งไว้ แต่หารู้ไม่ว่ามีคนกำลังจ้องมองการกระทำทุกอย่างของพวกเขาอยู่
มัทธิอัสนั่งจิบชาอยู่หน้าทีวีที่เปิดรายการทอลก์โชว์ทิ้งไว้ แต่สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ทีวีหรอก สายตาของเขามองไปที่เด็กชายสองคนที่หันหลังวิ่งออกไปจากบริเวณบ้านของเขาต่างหาก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น