ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ป่าต้องห้าม

    ลำดับตอนที่ #5 : 50 ปี

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 47


    \"ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย\" อันตนร้องถามมาร์คุสในความมืด สิ่งเดียวที่ยังทำให้เขาสองคนรับรู้ว่ายังมีกันและกันอยู่ก็คือเสียงเท่านั้น

    \"ถ้านายไม่รู้แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะ เด็กชาวเมืองอย่างฉันจะไปรู้ทิศรู้ทางในป่าได้ยังไง\"

    \"ชูวววว์...\" อันตนทำเสียงสัญลักษณ์สากลบอกให้มาร์คุสเงียบ \"นายได้ยินอะไรมั๊ย\" ใช่แล้ว เสียงที่อันตนคุ้นเคยมาตลอดไม่กี่วันหลังนี้ เสียงฝีเท้าลึกลับนั่นเอง แต่คราวนี้เสียงนี้มันดังมาก ดังจนก้องเข้าไปในหัวของอันตน

    \"อย่า.. อย่านะ.. อย่าเข้ามา\" อันตนร้องพร้อมกับเอามือปัดป้องสิ่งที่เขาเองก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงเขาจะรู้ดีว่า มองไม่เห็นก็คงจะสัมผัสไม่ได้เช่นกัน แต่ตามสัญชาตญาณแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นมาปัดป้องทั้งๆ ที่รู้

    \"อันตนนนนนน อันตนนนนนน\" เสียงมาร์คุสร้องเรียก \"ตื่นๆๆๆๆๆๆ\" มาร์คุสตะโกนพร้อมทั้งเขย่าตัว



    ใช่แล้ว ทั้งหมดคือความฝัน เมื่ออันตนลืมตาขึ้นมา เขานอนอยู่ในเต็นท์ที่ข้างทะเลสาบ หลังของเขาชื้นไปหมดเพราะว่าเหงื่อออกแม้ว่าอุณหภูมิภายนอกจะกว่า -25องศาก็ตาม อันตนพยายามจะดูว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว เขาโผล่หัวออกไปมองสิ่งแวดล้อมรอบๆ เต็นท์ น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เขาเห็นเลย ในหน้าร้อน ป่านี้เต็มไปด้วยกวาง เรนเดียร์ และนกนานาชนิด สรรพสัตว์นับร้อยนับพัน แต่หน้าหนาวแล้ว ทุกอย่างเป็นสีเทา มืดมัวไปทั้งป่า สิ่งที่จะบอกเขาได้ คือดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาว พ่อของเขาสอนไว้ว่า การใช้ชีวิตในป่า ไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกา กินเมื่อหิว นอนเมื่อเหนื่อย ตื่นเมื่อนอนได้เต็มอิ่ม พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงเรื่อๆ ที่ขอบฟ้าแล้ว เวลาน่าจะกว่าเก้าโมงหรือสิบโมงเช้าได้ ช่วงนี้กลางวันหรือกลางคืนไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก เขาเหลือเวลาอีกสี่วันเท่านั้น



    อันตนกลับเข้าเตนท์ไปหยิบอาหารกระป๋องที่เอามาด้วย เขาเองไม่ค่อยชอบความคิดเรื่องการมาตั้งแคมป์ในป่าแต่กินอาหารกระป๋องเท่าไรนัก แต่เขาไม่มีทางเลือก ตอนนี้เป็นช่วงกลางหน้าหนาว ถ้าไม่พึ่งอาหารกระป๋องพวกเขามีหวังได้อดตายกันก่อนกลับบ้านแน่ เขาคว้าหม้อและไม้ขีดไฟออกไปนอกเตนท์เพื่อจะก่อไฟอุ่นอาหาร ระหว่างที่กินข้าวเช้ากันนั้น ทั้งมาร์คุสและอันตนต่างก็ปิดปากเงียบ ในใจของอันตนได้แต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าได้มากกว่านี้

    \"นี่ อันตน ทำไมนายไม่ถามพ่อนายดูล่ะ คนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดคือพ่อนายไม่ใช่เหรอ\" มาร์คุสถามขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ถึงพ่อของอันตน

    \"สายไปแล้วล่ะ พ่อ แม่ ซิโมนไปพักร้อน กว่าจะกลับมาก็คริสต์มาส\"

    \"ทำไมเราไม่ไปลองค้นของในบ้านกันล่ะ ไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ เผื่อจะเจออะไรน่าสนใจ\"



    ถึงอันตนจะคิดว่านั่นเป็นความคิดที่งี่เง่าสิ้นดี แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความคิดงี่เง่านั้นเป็นไอเดียเดียวที่พวกเขามี พวกเขาเก็บของและมุ่งหน้ากลับบ้าน



    บ้านที่ว่างเปล่า ถึงแม้มาร์คุสจะเคยมาบ้านหลังนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับทุกที บ้านที่เคยมีแต่ความสนุกสนานตอนนี้กลับวังเวงเปล่าเปลี่ยว มาร์คุสเริ่มลงมือค้นห้องนั่งเล่น ส่วนอันตนค้นห้องนอนพ่อกับแม่ของเขา

    \"ให้ตายสิ บ้านนี้มันหนอนหนังสือกันจริงๆ\" มาร์คุสถึงกับบ่นออกมาเมื่อเห็นว่าตู้หนังสือที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขานั้น มีหนังสือหลายร้อยเล่มบรรจุอยู่ภายใน เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหนังสือทั้งหมดถูกเรียงตามลำดับตัวอักษร

    \"อะไรมันจะขนาดนี้วะ\"



    ทางด้านอันตนที่กำลังยุ่งกับของมากมายในห้องพ่อแม่ของเขา เขาไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เขาเริ่มเปิดดูสมุดบันทึกของแม่เขา บนหน้าสุดท้ายเขียนไว้ว่า



    วันที่ 19 ธันวาคม 2003

         ใจหนึ่งของฉันก็ไม่อยากอยู่เห็นลูกเจ็บปวดและสับสน แต่อีกใจหนึ่งฉันก็ไม่อยากทิ้งลูกไว้ตามลำพัง ยังดีที่มาร์คุสและซิสซี่จะมาอยู่เป็นเพื่อนลูก ยูฮันนะยูฮัน ทำกับลูกได้ลงคอ แ่ต่ฉันไม่โทษเขาหรอก ฉันเองก็ผิด ผิดที่ปล่อยเขาไปไม่ได้ พอเรากลับมาที่บ้านนี้ในวันคริสต์มาส ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ทำไมนะ บรรพบุรุษของตระกูลเออลินถึงปล่อยให้ลูกหลานรับเคราะห์เช่นนี้ ถึงฉันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือ ปล่อยลูกไป...




    แล้วก็ไม่มีอะไรเขียนไว้ต่อจากนี้อีก ทั้งพ่อทั้งแม่รู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีทางใดที่เขาสามารถที่จะติดต่อพ่อกับแม่ได้ และดูท่าทางว่าทุกอย่างพ่อกับแม่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว... เตรียมที่จะหายหน้าไปจากเขาช่วงก่อนคริสต์มาสนี้ ถึงเขาจะพบไดอารี่ของแม่ที่เขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้า แต่จากเนื้อความแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้อะไรเกี่ยวกับมันมากขึ้นเลย แต่เขากลับมีความรู้สึกว่าแม่พยายามที่จะให้เขาเห็นสิ่งนี้ มันง่ายเกินไป ทำไมแม่เขาถึงไม่เอาสมุดบันทึกไปด้วยทั้งที่แม่เขียนเป็นประจำทุกวัน ถ้าแม่พยายามจะบอกอะไรเขาแล้วล่ะก็ ข้อความเดียวที่เขาตีความหมายจากไดอารี่นี้ได้ คือ เขาไม่มีทางหนีพ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไร



    มาร์คุสพยายามค้นหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เขายิ่งต้องแปลกใจยิ่งกว่าที่บ้านนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นที่สะสมหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงศตรวรรรษที่ 15 และ 16 เขาแปลกใจว่าทำไม อันตนที่เติบโตมากับครอบครัวที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์เช่นนี้กลับไม่สนใจวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน เขาเปิดดรรชณีของหนังสือประวัติศาสตร์ทุกเล่มเพื่อหาเรื่องเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากแทบจะไม่มีสงครามใดเกิดในแคว้นสมอลันด์นี้เลย เขาค้นหนังสือทุกเล่มที่ชื่อหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ กองหนังสือด้านหลังเขานั้นวางกองพะเนินแล้ว แต่ไม่มีแม้แต่เล่มเดียวที่ให้คำตอบเขาได้ มาร์คุสไปสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเปิดหนังสือขึ้นดูและต้องแปลกใจว่าหนังสือเล่มนี้พิมพ์ตั้งแต่ปี 1912 แต่สภาพยังคงใหม่มาก เป็นหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเข้ม และมีตัวหนังสือสีแดงสด เขียนชื่อหนังสือไว้ว่า \'\'Trageder av Sverige\'\' (โศกนาฎกรรมแห่งสวีเดน)  



    มาร์คุสเปิดไปที่ดรรชณีท้ายเล่ม หาคำว่าสมอลันด์แล้วเปิดเช็คทุกเลขหน้าที่ลงไว้ท้ายเล่ม และแล้วเขาก็เจอสิ่งที่เขาค้นหา



    การทรยศของทหารในสมอลันด์

    เมื่อกษัตริย์คาร์ลที่ 12 สั่งเรียกกำลังสนับสนุนจากสตอกโฮลม์ไปที่ลุนด์เพื่อไปรบกับนอร์เวย์นั้น คาร์ลได้ให้แม่ทัพชั้นหนึ่ง กุสตาฟ เออลินเป็นผู้ยกทัพสนับสนุนเพื่อไปสมทบกองทัพหลักที่ลุนด์ ระหว่างทางกุสตาฟ เออลินได้พาทัพผ่านแคว้นสมอลันด์ และสมรู้ร่วมคิดกับทหารกลุ่มหนึ่งวางยาทหารทั้งกองทัพที่มีทหารจำนวนนับหมื่น หลังจากที่ไม่ได้รับกำลังสนับสนุนครั้งนี้ คาร์ลที่ 12 ยกทัพหลักเพียงลำพังไปนอร์เวย์และถูกลอบสังหารที่นอร์เวย์ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1718 ทำให้สิ้นยุคมหาอำนาจของประเทศจากยุโรปเหนือแห่งนี้




    ระหว่างที่มาร์คุสพลิกหน้ากระดาษไปมานั้น ก็มีภาพถ่ายภาพหนึ่งตกออกมาจากหนังสือ มาร์คุสหยิบขึ้นมาดูและเห็นว่าเป็นรูปของสุสาน



    \"อันตนนนนน\" มาร์คุสตะโกนเรียกอันตนอย่างสุดเสียง อันตนที่กำลังหาข้อมูลจากเครื่องแลบท็อปของแม่รีบวิ่งลงมาตามเสียงของเพื่อนรัก

    \"นายรู้มั๊ยว่าที่นี่คือที่ไหน\" มาร์คุสพูดอย่างรีบร้อนพร้อมทั้งยื่นรูปถ่ายนั้นให้อันตนดู

    \"รู้สิ สุสานประจำครอบครัวฉันเอง\"

    \"ที่นั่นมีศพของกุสตาฟ เออลินรึเปล่า\" มาร์คุสถามขึ้นมาเล่นเอาอันตนงงว่ามาร์คุสรู้จักกุสตาฟ เออลินได้อย่างไร

    \"ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาอธิบาย เดี๋ยวฉันจะอธิบายระหว่างทาง รีบหยิบแจ็กเก็ตของนายซะ อ้อ อย่าลืมกุญแจจักรยานด้วย\" มาร์คุสพูดพร้อมทั้งเดินไปที่ประตูเพื่อจะไปเอาจักรยานที่ห้องเก็บของ

    \"ฉันมีของดีกว่านั้น\" อันตนพูดพร้อมกับยิ้ม เขาพามาร์คุสลงไปที่ห้องเก็บของและโชว์เวสป้าให้มาร์คุสดู \"โดดขึ้นมาเร็ว\" มาร์คุสรีบคว้าไฟฉายและซ้อนท้ายอันตนออกไป



    สุสานที่ว่านี้ไม่ไกลจากบ้านมากนัก หลังจากขับมาได้ห้านาทีก็ถึง มาร์คุสเดินเอาไฟฉายส่องไปตามป้ายหลุมศพทั่วบริเวณจนเจอหลุมศพของกุสตาฟ เออลิน ซึ่งเป็นหลุมศพซึ่งอยู่ไกลออกไปมากที่สุด จะพูดอีกอย่างก็คือเป็นหลุมศพหลุมแรกนั่นเอง มาร์คุสรีบหาวันที่ที่กุสตาฟ เออลินเสียชีวิต แผ่นหินนี้ถึงจะเก่ามากแล้ว แต่ตัวเลขทุกอย่างก็ยังชัดเจน มาร์คุสต้องช็อกเมื่อเห็นว่ากุสตาฟ เออลินเสียชีวิตเมื่อ 25 ธันวาคม 1733



    มาร์คุสเดินเอาไฟส่องทางไปเรื่อยๆ ไปจนครบทุกหลุม เขานับจำนวนคนที่เสียชีวิตในวันคริสต์มาสได้ 5 คน ทุกคนเป็นผู้ชาย และแน่นอนว่าเป็นสายเลือดของตระกูลเออลิน ตั้งแต่ปี 1733, 1783, 1833, 1883 และปี 1933

    \"นายว่านี่มันเรื่องบังเอิญหรือเปล่า.. ทุกๆ 50 ปีจะมีคนในตระกูลเออลินเสียชีวิตในวันคริสต์มาส\" มาร์คุสพูดขึ้น อันตนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง นี่หรือคือความลับของครอบครัวที่ถูกปิดบังจากเขามาตลอด

    \"แต่ว่า นายเห็นมั๊ย ไม่มีคนตายเมื่อปี 1983 ทั้งๆ ที่คนที่ 6 ควรจะตายในปีนั้น คนที่ตายควรจะเป็นพ่อของนายยังไงล่ะ และในเมื่อเขาไม่ตาย นาย...คือคนที่จะต้องตายแทน\"



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×